47. ประลอง(1)
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น “ขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณช่างเป็นเรื่องไกลตัวผู้เยาว์ยิ่งนัก”
“เจ้าโง่เอ๊ย! สำหรับข้าที่เป็นคนในแคว้นอันดับหกแล้ว การช่วยเจ้าเป็นขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณจะนับเป็นเช่นไรได้? แม้ว่าข้าจะออกไปไม่ได้ ข้าก็ได้ใช้แก่นแท้ขั้นผลิดอกเพื่อช่วยเจ้าฝึกฝนมาสามสิบปี ไม่เช่นนั้นด้วยความไร้พรสวรรค์ของเจ้าจะมาถึงระดับนี้ได้ยังไงกัน? ”
“และเพราะว่าเจ้าดูดซับแก่นแท้ขั้นผลิดอกของข้า นอกจากคนที่อยู่ระดับฝึกเซียนเช่นเดียวกับข้า จะไม่มีใครสามารถมองเห็นระดับฝึกตนของเจ้าได้”
“ด้วยลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าในมือเจ้า ยังจะกลัวอะไรอีก? ตอนที่มันปรากฎบนเขตกองกำลังเซียน ข้าได้ใช้ความพยายามอย่างยากลำบากเพื่อได้มันมา ผลปรากฎว่าข้าได้เสียกายเนื้อไป วิญญาณข้าก็คงแตกสลายถ้าข้าหนีออกจากลูกปัดนี้ได้ แรกเริ่มเดิมทีแล้วข้าต้องหาร่างอื่นเพื่อออกไป แต่ไอ้ลูกปัดบ้านี่…เหมือนว่าถ้ามีคนที่ไม่มีร่างเนื้อเข้ามา จะไม่สามารถออกไปได้”
“ข้าไม่ได้ต้องการโกหกเจ้าหรอก ตอนที่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรกข้าก็คิดอยากได้ร่างเจ้าแต่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้านี่เหมือนกับกรงขังที่ป้องกันข้าไม่ให้ออกไปไหน”
“ข้าเรียนรู้ลูกปัดนี้มานานหลายปี มันต้องมีเจ้าของก่อน ถึงจะแสดงผลลัพธ์และปลดปล่อยพลังออกมาได้”
“ตอนที่ข้าได้ลูกปัดนี้มา ข้ากำลังถูกตามล่าแต่ก็มีเวลาเรียนรู้มันบ้าง ข้าต้องดูดซับแก่นพลังงานห้าธาตุ เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดินก่อน มันถึงกำหนดความเป็นเจ้าของได้ แต่ถึงเช่นนั้นเมื่อเจ้าของได้เข้าถึงขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณก็จะสามารถนำข้าออกไปจากที่นี่ได้ อาห์…เจ้าเด็กน้อย แสดงความเมตตาของเจ้าและฝึกฝนให้ไวเข้า! จากนั้นช่วยข้าหากายเนื้อ ข้าซื่อถูหนาน(司徒南 sītú nán) จะจดจำน้ำใจเจ้าและด้วยการปกป้องของข้าแล้วเจ้าจะปลอดภัยและมีชีวิตสุขสบาย!”
ในตอนท้ายน้ำเสียงของซื่อถูหนานไม่ได้ก้าวร้าวเหมือนก่อนแต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เมื่อเขาจะพูดขึ้น น้ำเสียงของซื่อถูหนานดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าเด็กเหลือขอ มีใครกำลังมา ข้าจะช่วยเจ้าออกไป”
ทันใดนั้นความรู้สึกฉีกกระชากก็ปรากฎขึ้น ร่างหวังหลินสั่นและลืมตาขึ้น
เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปและเจอกับศิษย์สองคน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีย่องเดินตรงมาทางหวังหลินอย่างเงียบงัน ห่างจากหวังหลินราวสามสิบเมตรทั้งสอคนก็หยุดลงและเริ่มหอมและจูบอย่างดูดดื่มกัน ไม่ช้าทั้งคู่ก็เปลื้องผ้าและส่งเสียงครางออกมา
หวังหลินรู้สึกคุ้นเคยกับศิษย์สองคนนี้ ทั้งสองคนเคยอยู่ที่หลังภูเขา หวังหลินจ้องมองทั้งสองไม่นานนัก โดยเฉพาะศิษย์สตรีที่ดูคุ้นเคย ก่อนที่หวังหลินจะกลับบ้านไปโดยไม่เต็มใจ
หวังหลินคิดเรื่องที่ซื่อถูหนานพูดขึ้น เขายังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของซื่อถูหนานนักแต่กลับได้เรียนรู้เรื่องของโลกผู้ฝึกเซียนมากมายซึ่งหวังหลินไม่เชื่อว่าเขาจะโกหกกับเรื่องพวกนี้
สามวันต่อมาการประลองกระชับมิตรระหว่างสำรักเหิงยั่วและสำนักซวนต้าวก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ประเพณีที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างสองสำนัก ตำแหน่งประลองถูกตั้งขึ้นบนยอดภูเขาทั้งสองของสำนักเหิงยั่ว
สะพานหินเรียงโค้งเชื่อมต่อกันระหว่างยอดของทั้งสองภูเขา หวังหลินเห็นยอดของภูเขาต้นสนไกลลิบ อีกทั้งยังเห็นไม่ชัดเนื่องจากเมฆบดบั้งรอบด้าน
ภูเขายอดสนเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของสำนักเหิงยั่วซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นสูงเหมือนหลังภูเขาและยังมีผู้อาวุโสขั้นแตกหน่อมาฝึกตนที่นี่
บนยอดของภูเขามีแผ่นหินยักษ์เตรียมไว้สำหรับการประลอง มันล้อมรอบด้วยเสาหยกสีขาวจำนวนแปดเสาที่มีประวัติศาสตร์ของสำนักเหิงยั่วสลักไว้กว่าห้าร้อยปี
เมื่อมาถึงที่นี่ บรรยากาศอันสูงส่งจากเสาหยกขาวจะเปลี่ยนเป็นรังสีฆ่าฟันเสียดกระดูก
“สหายฮวงหลง ทุกครั้งที่ข้าเห็นเสาหยกขาวนี่มันกลับให้ความรู้สึกหลากหลาย ไม่แปลกใจเลยว่านี่เป็นสมบัติของเซียนแคว้นจ้าว” ชายชราโอวหยางถอนหายใจและโบกแขนเพื่อทำลายรังสีฆ่าฟัน
ด้านหลังเขา เหล่าศิษย์สำนักซวนต้าวตาค้าง ในขณะนั้น รังสีฆ่าฟันทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังอยู่ในสนามรบ พวกเขารู้สึกเกือบถูกบดขยี้จนเมื่อผู้อาวุโสโอวหยางขจัดมันออกไป
“สหายโอวหยาง นี่เป็นสมบัติของผู้ก่อตั้งเราสร้างไว้ด้วยตนเอง ภายในระยะหนึ่งร้อยเมตรจากเสาสีขาว ศิษย์ทุกคนจะถูกกดดันด้วยรังสีฆ่าฟัน ข้าเชื่อว่าสหายโอวหยางเข้าใจ ได้โปรดอภัยให้พวกเราด้วย” ใบหน้าของฮวงหลงมีท่าทีสงบ มือเขาสร้างผนึกขึ้นมาหนึ่งครั้ง ลำแสงอ่อนโยนก็ปล่อยออกมาจากเสาหยกสีขาวราวกับมือชิ้นโต ลำแสงเคลื่อนผ่านหมู่เมฆที่ปกคลุมยอดภูเขา จากนั้นรังสีฆ่าฟันก็ได้หายไป
เหล่าศิษย์สายในทุกคนต่างคำนับด้วยกำปั้นตนเอง
ผู้อาวุโสโอวหยางกลับไปพูดคุยกับสองผู้อาวุโสก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วง จากกฎเดิมเราจะส่งคนแรกออกไป หลิวเฟิง เจ้าออกไปได้!”
หลิวเฟิงเป็นบุรุษที่มีรากวิญญาณวารีพิสุทธิ์ เขายิ้มขึ้นจากนั้นสูดหายใจลึกและมาถึงบนสนามราวกับสายฟ้า พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด “หลิวเฟิงจากสำนักซวนต้าว ขอสำนักเหิงยั่วโปรดชี้แนะ”
หวังหลินยืนอยู่ด้านหลังซุนต้าซื่อ เขามีกระบี่เหินบนหลัง สวมชุดศิษย์สายในสีแดงดูค่อนข้างสง่าผ่าเผย
ซุนต้าซื่อเต็มไปด้วยความพึงพอใจกับลูกศิษย์ของเขา ตั้งแต่เมื่อหวินหลังเข้าสู่ระดับสาม เมื่อเขามองดูหวังหลินก็ไม่เห็นแววตาน่ารำคาญอีกต่อไป แม้ว่าหวังหลินยังห่างไกลจากศิษย์ที่เขาต้องการให้เป็นแต่อย่างน้อยเขาก็มองเห็นเป็นศิษย์คนหนึ่ง
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆที่ทำให้หวังหลินเข้าสู่ระดับสามเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับเขาหรือไม่ก็ตาม ถ้าหลังผ่านไป 8 ถึง 10 ปีหวังหลินยังคงอยู่ระดับสาม เมื่อนั้นซุนต้าซื่อก็คงเกลียดหวังหลินเช่นเดิม
ในสามวันนี้หวังหลินไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในมิติความฝันเพื่อพูดคุยกับซื่อถูหนาน
หลังจากพูดคุยกันหลายครั้งเขาจึงเข้าใจเรื่องราวของซื่อถูหนานมาบ้าง ซื่อถูหนานเป็นผู้รอบรู้อันดับหนึ่งของแคว้นซูซาคุลำดับ 6 ระดับการฝึกเซียนของเขาอยู่ที่ขั้นที่หวังหลินจินตนาการไม่ออก ฆ่าใครก็ตามที่เขารำคาญ ขโมยทุกอย่างที่อยากได้และหยิ่งยโยเป็นที่สุด
เพราะภาพลักษณ์ของหลิวเฟิง เหตุการณ์จึงเงียบลง จ้าวสำนักฮวงหลงมองไปที่หลิวเฟิงและพูดขึ้น “จ้าวหลง(趙龍 Zhào lóng) เจ้าออกไป!”
จ้าวหลงเป็นศิษย์ที่เป็นคนเงียบมากๆ เขาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ได้เข้าสู่ระดับหกหลังจากฝึกฝนอันเข้มข้น
สำนักเหิงยั่วส่งศิษย์ระดับหกขั้นรวบรวมลมปราณมาในรอบแรก นี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก
ผู้อาวุโสโอวหยางไม่คิดมากและพูดขึ้น “หลิวเฟิง การประลองนี้ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้พลังเพียงครึ่งส่วน”
เมื่อพูดเช่นนี้ สีหน้าเหล่าศิษย์ของสำนักเหิงยั่วเปลี่ยนไปทันที