494. ผู้อาวุโสซุน!
เทียนหยุนสั่งสอนเต๋าทุกหมื่นปีเท่านั้นและเวลาที่เขาสั่งสอนครั้งล่าสุดห่างกันมากแต่ละครั้ง ครั้งนี้เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับใครก็ตามที่เข้ามาค้นหาเต๋า เป็นเหตุการณ์เฉพาะต่อดาวเทียนหยุนที่เริ่มขึ้นหลังจากมีเทียนหยุนขึ้นมา
ท่ามกลางผู้คนทั้งหมดที่มาจากทั่วสารทิศ มีแม้กระทั่งเซียนที่ทรงพลังแข็งแกร่ง ทว่าแม้แต่พวกเขาก็ต้องฟังเทียนหยุนอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเก็บไว้ในใจ
ยามเช้าของวันนี้เหล่าศิษย์ของเจ็ดกองกำลังในสำนักชะตาสวรรค์เดินออกมา เริ่มด้วยกองกำลังสีแดง
กองกำลังสีแดงมีศิษย์ทั้งสิ้นเจ็ดคนและไม่มีใครหายไป พวกเขาสวมชุดคลุมสีแดงทั้งหมดปักษ์ด้วยมังกรทองบนแขนเสื้อและผ้าคาดเอวสีเขียวรอบเอวแต่ละคน ทั้งเจ็ดคนเหาะเหินออกมาจากกองกำลังสีแดงเป็นแสงสีแดงเจ็ดเส้น กลางท้องฟ้าเหนือกองกำลังสีแดงพวกเขาโค้งคำนับไปทางทิศสำนักหลักอย่างเคารพนับถือ
หลังจากกองกำลังสีแดง ตามมาด้วยกองกำลังสีส้มอย่างใกล้ชิด กองกำลังสีส้มมีศิษย์เจ็ดคนเช่นเดียวกัน ทั้งหมดสวมชุดสีส้มและโค้งคำนับตามหลังกองกำลังสีแดง
หลังจากนั้นมีสีเหลือง เขียว คราม และน้ำเงินตามลำดับ หลังจากกองกำลังทั้งหมดนี้ปรากฎขึ้นก็ถึงคราวของกองกำลังสีม่วง หลังจากนั้นกองกำลังสีม่วงอ่อนแอที่สุดในสำนักชะตาสวรรค์
มีเพียงลำแสงสามเส้นลอยออกมาจากกองกำลังสีม่วงและหยุดลงกลางอากาศ
สายตาของอีกหกกองกำลังเลื่อนมาหาพวกเขา มีกระทั่งสายตาเย็นชา เยาะเย้ย ดูถูกในสายตาเหล่านี้ สายตาพวกเขาจรดลงทั้งสามคนราวกับกระบี่อันแหลมคม
ใบหน้าป๋ายเวยยังปกติดี ชัดเจนว่าเขาเคยเจอแบบนี้มาแล้ว
ส่วนพี่สี่ ใบหน้านางเต็มไปด้วยจิตสังหาร นางกัดริมฝีปากและไม่ได้เอ่ยอะไร
หวังหลินยืนอยู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งและมองศิษย์แต่ละคนของอีกหกกองกำลังด้วยใบหน้าเยือกเย็น ยิ่งเขามองออกไปก็ยิ่งตกตะลึงและไม่อาจประมาณได้
สำหรับศิษย์ของอีกหกกองกำลัง เขารู้จักเพียงแค่สามคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือซือหม่าลู่เฟิงซึ่งเป็นอันดับสามในกองกำลังสีน้ำเงิน เขาอยู่ชั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุดและห่างจากขั้นเทวะเพียงก้าวเดียว!
อีกคนชื่อว่าหวาง จากกองกำลังสีเขียว เมื่อเขาเห็นหวังหลินมองมากลับเผยใบหน้าไม่แยแส ระดับบ่มเพาะของเขาสูงกว่าหวังหลินซึ่งอีกเพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นเทวะเท่านั้น
นอกจากทั้งสองคนยังมีอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้ดูคุ้นเคยต่อหวังหลินอย่างมาก เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ต่อสู้กับฉีฮู่และใช้ผลึกจิตสังหาร
ตอนหน้านั้นระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้ยังไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณแต่ตอนนี้เขากลับเป็นขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายไปแล้ว เขายืนอยู่ตำแหน่งที่สี่ในกองกำลังสีส้มและเขาก็มองมาที่หวังหลินเช่นกัน
ขณะที่สองสายตาประสานกัน เขาเผยใบหน้างุนงงราวกับจดจำหวังหลินได้จากนั้นเผยรอยยิ้มประหลาด
หวังหลินสูดหายใจลึก ก่อนนี้เขาไม่รู้เรื่องสำนักชะตาสวรรค์มากนักแต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าเมื่อตอนอยู่ในดินแดนสวรรค์ คนผู้นั้นซ่อนระดับบ่มเพาะของตัวเอง
แม้กระทั่งตอนนี้หวังหลินยังคิดว่าเขากำลังซ่อนระดับบ่มเพาะของตัวเองอยู่แต่ไม่แตกต่างจากตอนนี้มากนักดังนั้นหวังหลินจึงไม่สามารถมองทะลุคนผู้นี้ออก
เขามองไปที่ศิษย์ทั้งหมดของกองกำลังอื่นทั้งหกทีละคน หวังหลินไม่สามารถอ่านระดับบ่มเพาะพวกเขาได้มากกว่าครึ่ง แม้ว่าเขาจะสามารถพบเบาะแสบางอย่างแต่หวังหลินเดาว่ามันมาจาการร่องรอยที่พวกเขาซ่อนระดับบ่มเพาะของตัวเองเอาไว้
“สำนักชะตาสวรรค์ทรงพลังอย่างยิ่ง…ใครก็ตามในกองกำลังเหล่านี้สามารถกวาดล้างซูซาคุได้ง่ายๆ แม้จูเซว่จื่อจะมีผนึกซูซาคุเขาก็ไม่อาจเปรียบกันได้!”
ใบหน้าหวังหลินปกติดีแต่จิตใจมืดมน
หลังศิษย์สายหลักของทั้งเจ็ดกองกำลังได้มาถึง ศิษย์ธรรมดาก็เหาะเหินขึ้นไป ไม่ใช่ศิษย์ทั้งหมดที่มีสิทธิ์ในการค้นหาเต๋า มีเพียงผู้ที่มีระดับบ่มเพาะสูงส่งหรือพรสวรรค์มากล้นจึงจะได้รับอนุญาตได้ฟังการสั่งสอนเต๋าอย่างใกล้ชิด
ศิษย์ธรรมดาของเจ็ดกองกำลังปรากฎขึ้นทีละคนและยืนอยู่เบื้องหลังศิษย์หลัก จำนวนพวกเขามีมากล้นและก่อตัวเป็นรูปพัดด้านหลังเหล่าศิษย์สายหลัก
ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งระหว่างแต่ละกองกำลังแตกต่างกันอย่างชัดเจน กองกำลังสีแดงแข็งแกร่งที่สุดจึงมีศิษย์ด้านหลังมากที่สุดและมีเซียนที่แข็งแกร่งกลายคน
ส่วนกองกำลังสีม่วง ศิษย์ด้านหลังหวังหลินเห็นได้ชัดว่ามีเพียงไม่กี่คนด้านล่าง
“น้องเจ็ดเห็นกองกำลังสีม่วงของเราก็ปฏิเสธแล้วหรือ?” ขณะที่หวังหลินกำลังคิดพลันมีเสียงศิษย์พี่สี่ซึ่งเต็มไปด้วยความไพเพราะเข้าสู่หูของเขา
เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้าและส่งข้อความสื่อสารกลับไป “กองกำลังสีม่วงห่างชั้นกับอีกหกกองกำลังเหลือเกิน”
ศิษย์พี่สี่ถอนหายใจและถามขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าทำไม?”
“โปรดบอกข้า!” หวังหลินทำตัวสงบนิ่ง
“ปัญหาหลักคือกองกำลังสีม่วงสู้กันบ่อยเกินไปและตำแหน่งของศิษย์สายตรงเปลี่ยนบ่อยมาก ไม่เหมือนกับอีกหกกองกำลังซึ่งมีศิษย์สายตรงดำรงอยู่มาเกินพันปี ทำให้กองกำลังสีม่วงค่อยๆลดลงและไม่มีพลังเหมือนตอนที่มีน้องซุนหยุนอยู่” พี่สี่ถอนหายใจอย่างขมขื่นและไม่กล่าวอะไรอีก
หลังจากศิษย์ธรรมดาของเจ็ดกองกำลังปรากฎขึ้นทั้งหมด แม้จะห่างไกลจากจุดกลางก็ยังมีผู้คนเข้ามาเฉลิมฉลอง ท่ามกลางพวกเขาที่มาค้นหาเต๋า ระดับบ่มเพาะและตำแหน่งไม่สำคัญ ตราบใดที่มาร่วมเฉลิมฉลอง พวกเขาได้รับอนุญาตให้มาที่นี่เพื่อค้นหาเต๋าเช่นกัน
ยิ่งมีผู้ค้นเข้ามามากขึ้น พื้นที่รอบๆหมื่นลี้ค่อยๆเต็มไปด้วยเหล่าเซียน
หวังหลินชำเลืองมองและไม่สามารถประเมินได้ว่ามีคนเข้ามามากเท่าไหร่ นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินสามารถเห็นว่าตำแหน่งของเทียนหยุนในสำนักชะตาสวรรค์มีอำนาจขนาดไหน
หลังจากนั้นไม่นานลำแสงสีรุ้งพลันลอยขึ้นมาจากสำนักหลักของสำนักชะตาสวรรค์ ลำแสงข้ามท้องฟ้าเป็นเส้นโค้งมายังหนุดที่มีเหล่าศิษย์อยู่ ชายชราสวมเสื้อคลุมสีรุ้งหลากสีค่อยๆเดินออกมาจากลำแสงเข้าหาพวกเขา
ขณะทั้งศิษย์สายหลักทั้งหมดของเจ็ดกองกำลังต่างโค้งคำนับและเอ่ยขึ้น “ขอคารวะ ท่านอาจารย์!”
หวังหลินโค้งตามคนอื่นๆและคำนับเทียนหยุนอย่างเคารพ
ด้านหลังเขาเป็นศิษย์ธรรมดาสามัญทั้งหมดของเจ็ดกองกำลัง มีพวกเขาอยู่มากมายดังนั้นเมื่อทั้งหมดกล่าวคำนับมันจึงราวกับเสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั้งสรวงสวรรค์
“ขอคารวะ ท่านบรรพชน!”
หลังจากนั้นก็เป็นเหล่าแขก ท่ามกลางพวกเขามีเสียงร้องตะโกนออกมาดังๆและมีการพยักหน้า
แม้ว่าชายชราจะดูเชื่องช้าแต่มันใช้เวลาเพียงสามลมหายใจเท่านั้นที่เขามาถึงกลางท้องฟ้าเหนือพวกเขา เมื่อมองเหล่าเซียนรอบๆแล้วชายชรายิ้มบางและเอ่ยขึ้น “ข้า เทียนหยุน สามารถรู้แจ้งสวรรค์ได้เพราะข้าบ่มเพาะมาเป็นเวลาช้านาน วันนี้จะให้สหายเซียนทุกท่านพบประสบการณ์การรู้แจ้งที่ข้าได้รับ เต๋าของข้านี้เกี่ยวกับการติดตามชะตาฟ้าดิน หากมีการเข้าใจผิดอันใดข้าหวังว่าพวกท่านจะอภัยให้ข้า!”
เมื่อเขามาถึงที่นี่พลันหยุดลงและเงยศีรษะขึ้นมองความว่างเปล่าด้านบน เขาเผยรอยยิ้มบางออกมาและเอ่ยขึ้น “ทว่าก่อนหน้านั้นข้าจะให้สหายเก่าของข้าจากสมาพันธ์เซียนมาพูดก่อน”
หลังเทียนหยุนกล่าวเช่นนี้ รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบสนิทและทุกคนมองไปยังความว่างเปล่าด้านบน โดยเฉพาะเหล่าเซียนที่ทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดตื่นตัวทันทีและเผยใบหน้าประหลาดใจ
เสียงหัวเราะยาวดังออกมาจากช่องว่างในความเงียบสงัดนี้
ในเวลาเดียวกันกลับมีลำแสงสีทองนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นภายในรัศมีห้าพันลี้ หลังจากลำแสงสีทองปรากฎทั้งหมดรวมตัวกันที่จุดเดียวอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่ลำแสงสีทองเคลื่อนไหว ท้องฟ้าดูคล้ายกับกฎเกณฑ์ขนาดมหึมา กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้เคลื่อนไหวสะเปะสะปะ มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดเมื่อแสงสีทองทั้งหมดรวมกันในจุดเดียว พระอาทิตย์สูญเสียแสงของมัน ท้องฟ้าและผืนดินสูญเสียแสงด้วยเช่นกัน มีเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้คือแสงสีทองแห่งนั้น
คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากแสงสีทองอย่างช้าๆ เขามีเรือนผมยาวพริ้วไสว สัดส่วนแข็งแรงและดูคล้ายเทพสงคราม
เขาดูอายุราวๆสี่สิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและดวงตาราวกับสายฟ้า ใครก็ตามที่มองเขาจะรู้สึกสั่นเทา เพียงยืนอยู่ก็ให้แรงกดดันมหาศาลแล้ว
มีเซียนแข็งแกร่งมากมายท่ามกลางเหล่าเซียนโดยรอบ แต่เมื่อพวกเขาเห็นสายตาของคนผู้นี้กลับอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลง
เขาสวมชุดคลุมสีม่วงและมีตัวเซเบิลสามตาบนไหล่ เซเบิลสามตาตัวนี้ราวกับสายฟ้าและมีสายตาเย็นชา
ใบหน้าเทียนหยุนยังปกติ หลังจากเห็นชายกลางคนเขายิ้มบางและเอ่ยขึ้น “นี่คือผู้อาวุโสซุน เทียนหยุนคำนับผู้อาวุโสซุน! ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสซุนจะส่งร่างอวตารมาเพื่องานเฉลิมฉลองวันเกิดเล็กๆของชายแก่คนนี้ ข้าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
คำพูดของเทียนหยุนเป็นที่เคารพแต่เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแค่ทำให้เป็นทางการเท่านั้น
ชายกลางคนดูไม่คิดอะไรมาก หลังจากเดินออกมาจากลำแสงสีทอง เขาโบกแขนด้านหลัง แสงสีทองค่อยๆหมองลงเผยร่างเป็นกระบี่เหินสีทองซึ่งเขาคว้าไว้หลังจากนั้น
“สัตว์ประหลาดเฒ่าเทียนหยุน ทำไมข้าจะไม่มางานเฉลิมฉลองวันเกิดเจ้าในรอบหมื่นปีเล่า?” ชายกลางคนหัวเราะขณะโยนกระบี่เหินในมือเขาหาเทียนหยุน
“ข้ารีบมาดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมของขวัญดีดีอะไร กระบี่เล่มนี้สูงกว่าสมบัติสวรรค์ระดับกลางและเพราะข้าหล่อหลอมมาหมื่นปีมันจึงมีพลังอยู่บาง ข้ารู้ว่าเจ้าชอบสีรุ้งและกระบี่ทองเล่มนี้มีเงาของสีเหลือง ดังนั้นเจ้าน่าจะชอบมัน!”
เทียนหยุนยิ้มบาง หลังจากรับกระบี่เหินไว้เขาโยนมันให้กองกำลังสีเหลืองคนแรก “คุนเพิงจื่อ ข้ามอบกระบี่เล่มนี้กับเจ้า!”
ร่างคุนเพิงจื่อสั่นเทาขณะรีบรับกระบี่ไว้ หัวใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะตอบกลับมา “ขอบคุณมากท่านอาจารย์!”
ชายกลางคนส่ายศีรษะและยิ้มอย่างขมขื่น “ทัศนคติของเจ้ายังไม่เปลี่ยน!”
เทียนหยุนยิ้มบางแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขามองไปยังเหล่าเซียนรอบๆแทนและเอ่ยขึ้นช้าๆ “เต๋าที่ข้าจะสอนเป็นเต่าแห่งชะตาสวรรค์ หากใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยก็จงแย้งได้ตลอดเวลา!”
เช่นนั้นเทียนหยุนสะบัดแขนเสื้อและนั่งลง ขณะที่นั่งลงก้อนเมฆหนึ่งปรากฎข้างใต้
ชายกลางคนที่มาจากสมาพันธ์เซียนก็นั่งลงถัดจากเขาเช่นกัน เขาให้ความสนใจต่อเทียนหยุนอย่างละเอียดและเตรียมค้นหาเต๋า ส่วนเซเบิลสามตานั้นมันลอยออกจากไหล่ เคลื่อนไหวเร็วกว่าแสงและหายไปโดยไร้ร่องรอย
รูม่านตาหวังหลินหดเล็ก ความเร็วรูปแบบนี้มีเพียงดาบครึ่งจันทราที่ใช้พลังเต็มที่เท่านั้นที่สามารถเปรียบได้
ขณะที่ขบคิด เขาพลันสัมผัสแรงหนักบนไหล่ตัวเองได้ทันที เซเบิลสามตาร่อนลงบนไหล่เขาโดยที่ไม่อาจตรวจจับได้ หวังหลินหันศีรษะมองไปที่เซเบิลและเจ้าเซเบิลน้อยก็มองมาหาหวังหลินเช่นกัน
TL: เซเบิลเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่ในตระกูลพังพอนครับ