61. บรรพบุรุษ
หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเองหวังหลินนั่งขัดสมาธิบนเตียงเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกไปและทิ้งร่องรอยรอบห้องเพื่อเอาไว้ตรวจจับคนที่พยายามตรวจสอบเขา
หลังจากนั้นเขาหยิบลูกปัดลึกลับออกมาและเริ่มคิดขึ้น สามวันก่อน ภาพก้อนเมฆทั้งหมดบนลูกปัดได้หายไปและแทนที่ด้วยภาพใบไม้หนึ่งใบ
เรื่องนี้ซือถูหนานได้พูดว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้รับธาตุน้ำเพียงพอแล้วและตอนนี้มันต้องการธาตุไม้เหตุนี้เองเขาจึงกระตุ้นหวังหลินอยู่หลายรอบเพื่อให้ออกจากสำนักไปเก็บวัตถุดิบธาตุไม้และรีบเติมเต็มลูกปัดมันทันที
หวังหลินพึ่งได้เข้าใจพลังในปัจจุบันของตัวเองในตอนนี้เขามีระดับ 14 ขั้นรวบรวมลมปราณถึงเช่นนั้นเขากลับอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่จำเป็นต้องใช้บทสวดและก้าวข้ามผ่านระดับมาไกลขนาดนี้หวังสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวกับซือถูหนาน
ขณะที่เขาถือลูกปัดอยู่นั้นจึงได้เข้าสู่มิติความฝันไป เมื่อเข้าไปข้างในเรียบร้อย หวังหลินก็เก็บลูกปัดกลับไปทันที
ในขณะที่เข้ามาสู่มิติความฝันซือถูหนานพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ทำไมเจ้าไม่สังหารคนพวกนั้นในการประลองคราวก่อน? ถ้าเป็นข้าคงสังหารทั้งพวกชายและหญิงที่ร้องไห้พวกนั้นหมดแน่จากนั้นก็จับตะขาบตัวนั้นมาทำเหล้า มันคงจะบำรุงกำลังยิ่งนักแต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าทำให้ข้าพอใจก็คือการฆ่าซุนต้าซื่อ ไม่เลวทีเดียวเจ้าเหมือนข้าตอนยังหนุ่มยังแน่นนะหวังหลินเจ้าจำไว้ว่าโลกผู้ฝึกเซียนนั้นเป็นสถานที่ที่โหดร้ายผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ ถ้าหากเจ้ายังคิดไร้เดียงสาต่อไปเช่นนี้ข้ากลัวว่าเจ้าจะมีชีวิตได้ไม่นาน”
หวังหลินลังเลอยู่นาน “ผู้อาวุโสขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมตัวสำหรับขั้นสร้างลำต้นหรือ? ผู้น้อยไม่รู้จักบทสวดใดๆเลยที่จะเข้าสู่ขั้นสร้างลำต้น”
ซือถูหนานพูดขึ้น “ข้ารู้จักบทสวดอยู่แล้วแต่การเข้าสู่ขั้นสร้างลำต้นเป็นขั้นตอนที่แท้จริงในโลกของผู้ฝึกเซียนและมันยากมากมายนักเจ้าควรจะหาสถานที่โดดเดี่ยวเพื่อปิดประตูฝึกฝนในการช่วยเพิ่มโอกาสเจ้าทะลวงระดับด้วยน้ำพลังปราณและน้ำหิมะมันไม่เพียงพอแน่ๆ เมื่อเจ้าจะสร้างลำต้นจำเป็นต้องใช้พลังปราณมหาศาล ทางที่ดีคือเตรียมน้ำค้างพลังปราณไว้เยอะๆ”
หวังหลินพยักหน้าและพูดขึ้น “น้ำค้างเก็บมาได้ง่ายๆ แต่มันจำเป็นต้องใช้เวลามาก”
ซือถูหนานถอนหายใจพลางพูดขึ้น “ขั้นย้ายวิญญาณหรือขั้นรวบรวมลมปราณนั้นคือการใช้พลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพีเพื่อเสริมสร้างร่างกายสิ่งพวกนี้เป็นการวางรากฐานสำหรับขั้นสร้างลำต้นทั้งนั้นตอนนี้เจ้าสามารถทดลองทะลวงเข้าสู่ระดับสร้างลำต้นได้แต่ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารอจนถึงระดับ 15 ก่อน พรสวรรค์ของเจ้าไม่ได้ดีมากและแม้ข้าจะใช้แก่นวิญญาณของข้าเพื่อช่วยเจ้าก็ใช้เวลาผ่านนับสิบปีการเข้าสู่ขั้นสร้างลำต้นเป็นการฝืนกฎสวรรค์ ถ้าข้ายังมีร่างกายอยู่ข้าคงสามารถอดทนช่วยเจ้าผ่านมันได้ แต่ข้าไม่สามารถทำได้ตอนนี้”
“นอกจากนี้การโจมตีของเจ้าเรียบง่ายเกินไป แค่วิชาเซียนวิชาเดียวไม่อาจทำได้แต่น่าเศร้านักวิชาเซียนทั้งหมดที่ข้ามีจำเป็นต้องมีระดับอย่างน้อยขั้นสร้างลำต้นเพื่อใช้มันเจ้าควรจะเร่งเข้าถึงขั้นสร้างลำต้น ข้าจะส่งต่อวิถีเซียนนรกให้เจ้า”
หวังหลินตกตะลึง “วิถีเซียนนรก?”
ซือถูหนานพูดอย่างภูมิใจ “ถูกต้องฮี่อี่ แม้แต่ในถิ่นข้า แคว้นระดับ 6 มันยังเป็นวิธีฝึกที่มีคุณภาพติดอันดับสูงสูดน่าเสียดายที่มันต้องการสถานที่ที่มีธาตุหยินจำนวนมากไม่เช่นนั้นการฝึกเซียนจะเชื่องช้ามากแต่พลังปราณเย็นจะสามารถสร้างพลังอำนาจอันเหลือเชื่อได้ อึ่มเมื่อเจ้าเข้าถึงจุดสูงสุดของวิถีเซียนนรกนี้เจ้าแม้แต่จะต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญของแคว้นระดับ 7 ได้ นี่เป็นคำตัดสินพรุ่งนี้ให้เจ้าออกไปหอคัมภีร์สำนักเล็กๆนี่และดูว่ามีอะไรบ้างแต่เมื่อเจ้าเข้าถึงชั้นสร้างลำต้นได้แล้ว เจ้าต้องฝึกฝนวิถีเซียนนรก”
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและพยักหน้า
“ส่วนเจ้า หวังหลินอย่านำลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไว้ในกระเป๋าข้างเดวจะดีกว่าให้วางไว้ใกล้กับหน้าอกไว้ถ้าเป็นไปได้เพราะข้าจะสามารถคุยกับเจ้าได้โดยตรงเมื่อไม่ได้อยู่ในมิติความฝันและเจ้าสามารถเข้ามิติความฝันผ่านข้าได้”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องเชื่อเมื่อซือถูหนานพูดขึ้น หลังจากผ่านไปสองวันในมิติความฝัน หวังหลินก็ได้ตื่นขึ้น
เขานั่งขัดสมาธิและวางลูกปัดไว้แนบกับหน้าอกจากนั้นดื่มน้ำพลังปราณและฝึกฝนทั้งคืนอย่างเงียบๆในตอนเช้าหวังหลินได้เปิดประตูออกมาร่างกายลอยไปบนอากาศและเคลื่อนกายย้ายร่างไปยังโถงหลัง
เมื่อเขามาถึง ฮวงหลงเดินออกมาใบหน้ายิ้มแย้มใจดีเมื่อเห็นหวังหลิน รอยยิ้มดูอบอุ่นกว่าเมื่อวาน “หวังหลิน มากับข้า”
เมื่อพูดเช่นนี้เขาโบกแขนเสื้อและกระโดดไปบนอากาศ หวังหลินรีบตามหลังไปทันทีหลังจากผ่านมาไม่นานนักพวกเขาก็ไดมาถึงยอดภูเขาย่อมๆของภูเขาเหิงยั่วยอดต้นส้น
เมื่อพวกเขาผ่านไปบนพื้นที่ที่ประลองกันเมื่อวานนี้ฮวงหลงไม่ได้หยุดแต่กลับบินตรงผ่านไปในยอดต้นสนลึกเข้าไปอีกจนเมื่อทั้งคู่หยดบนหน้าก้อนหินแปลกประหลาดก้อนหนึ่ง “หวังหลินที่นี่เป็นเขตหวงห้ามในสำนักเหิงยั่วซึ่งมีผู้อาวุโสที่แท้จริงขั้นสร้างละต้นและขั้นแตกหน่อฝึกฝนอยู่ดังนั้นอย่าเผลอปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณของเจ้าหรือเจ้าอย่าขัดใจพวกท่าน”
หวังหลินตกลงทัน
ฮวงหลงสูดหายใจลึก เขาหยิบเอาเศษหยกม่วงออกมาและโยนไปบนอากาศ
จากนั้นผนึกมือคราหนึ่งสบัดผ่านอากาศและกระซิบขึ้น “เปิด!”
เศษหยกเริ่มเปล่งแสงทันทีและขยายเป็นวงกลม สร้างเป็นทางเดินวงกลมกว้างพอที่คนหนึ่งคนสามารถผ่านเข้าไปได้
ฮวงหลงไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปข้างในหวังหลินลังเลเล็กน้อยและเดินตามเขาเข้าไปข้างใน ขณะที่เขาเดินเข้าไปสายตาเริ่มพร่ามัวขึ้น และกลับมาแจ่มชัดหวังหลินเห็นคนแก่สองสามคนและสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่สิ่งก่อสร้างพวกนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายหนักอึ้ง ทำให้เขายากที่จะหายใจ
ขณะเดียวกัน สัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่ง 7 ถึง 8 เส้นก็ปลดปล่อยออกมาสำรวจเขา จากนั้นน้ำเสียงเก่าแก่ก็ดังออกมาข้าๆ
“งั้นเจ้าคือหวังหลิน ไม่เลวทีเดียว”
หวังหลินระมัดระวังและพูดอย่างเคารพ “ศิษย์หวังหลินทักทายผู้อาวุโส” ในเวลาเดียวกันเสียงของซือถูหนานก็ดังก้องในในเขา “สถานที่นี่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าที่สำนักเล็กๆควรจะมี ขั้นแตกหน่อ 2 คนและขั้นสร้างลำต้น 10 คน ไม่เลวนัก”
การแสดงออกของฮวงหลงเปลี่ยนไปและร้องขึ้น “ผู้อาวุโสอะไร? นี่คือบรรพบุรุษ!”
หวังหลินตกตะลึงน้ำเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ไม่ต้องมารยาทมากนัก หวังหลินเวลานี้เจ้าได้ทำคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับสำนักดังนั้นเจ้าสามารถเลือดวิชาเซียนที่เจ้าชอบในหอคัมภีร์แห่งนี้หอคัมภีร์นี้เทียบไม่ได้กับที่อยู่ในลานสำนักที่นี่ได้เก็บวิชาเซียนที่แท้จริงของสำนักเหิงยั่วเอาไว้มีมากกว่าหมื่นวิชาที่อยู่ข้างในถ้าเจ้าเข้าไปในหอคัมภีร์และเปรียบเทียบกับสำนักอื่นในแคว้นจ้าวทั้งหมดไม่มีที่ไหนใหญ่กว่าที่นี่แล้วเจ้าต้องไม่โลกมากและหยิบออกมาได้เพียงวิชาเดียวเท่านั้น! ฮวงหลงเจ้าพาเขาไปที่นั้นได้”
ในความคิดหวังหลินมีเสียงซือถูหนานพูดอย่างดูถูก “แค่ขั้นแตกหน่อก็เป็นบรรพบุรุษแล้ว? ตอนข้ายังหนุ่มพวกผู้ฝึกตนข้นแตกหน่อต่างพยายามดึงดูดข้าและหญิงสาวขั้นแตกหน่อบางคนแม้แต่จะถอดกางเกงอยากหลับนอนกับข้างทั้งนั้น”
สีหน้าหวังหลินสงบเป็นปกติราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ซือถูหนานพูด
ฮวงหลงรีบเร่งและตอบรับอย่างสุภาพเขาดึงหวังหลินไปที่สิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ปลดปล่อยชั้นบรรยากาศอันเก่าแก่ออกมามากมันดูเหมือนเป็นหอสมุดเก่าๆ