677. สัญญาณควัน
“ทำไมอสรพิษพิฆาตจันทร์ถึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมถึงไม่มีคนมาเอาสายแร่โลหะเมื่อมันก็โผล่ให้เห็นตลอดเวลา…” ความคิดแต่ละอย่างค่อยๆเข้าสู่จิตใจหวังหลิน เขาจ้องสายแร่นั้นและไม่ได้ตัดสินใจบุ่มบ่าม
ความระมัดระวังตลอดหลายปีได้ทำให้หวังหลินมีนิสัยตั้งคำถามต่อทุกสิ่งอย่าง ที่นี่มีความลึกลับมากเกินไป หากเขาไม่ระมัดระวังตัวเองอาจจะเผชิญวิกฤตที่ไม่คาดคิดได้
ขณะที่กำลังระงับแรงกระตุ้นไม่ให้ไปเอาสายแร่โลหะอยู่นั้น หวังหลินเดินไปรอบๆสายแร่อย่างระมัดระวังตัว ความสงสัยในใจค่อยๆเพิ่มมากขึ้น
ในมุมมองของเขา สายแร่โลหะนี้เรียบร้อยดีเกินไปเล็กน้อย ตั้งแต่ต้นจนปลายมันแทบมีความหนาเท่ากัน
“หากมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันคงไม่เป็นเช่นนี้ได้แน่นอน สายแร่นี้ดูเหมือนจะเป็นกระดูกยาวๆ”
เมื่อคิดเช่นนี้ ร่างหวังหลินหยุดชะงักทันที ดวงตาเผยประกายแสงประหลาด เขาจ้องไปที่สายแร่ จิตใจตกอยู่ความสับสน
“กระดูก…หรือจะเป็นกระดูกที่เหลืออยู่ของพลังลึกลับ?!” หวังหลินอ้าปากค้าง เขาจินตนาการไม่ออกว่าจะมีอสูรตัวไหนที่กระดูกของมันจะกลายเป็นสายแร่โลหะไปได้
หวังหลินตามสายแร่โลหะไปอย่างต่อเนื่อง ขณะนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นไหวและหวังหลินสัมผัสคลื่นความผันผวนออกมาจากทุกทิศทาง ความผันผวนทั้งหมดมาจากเบื้องบน
หวังหลินควบแน่นพลังปราณสวรรค์ทั้งหมด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น สัมผัสวิญญาณยังคงกระจายออกมา เขาเห็นหนวดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากสายแร่และยื่นขึ้นไปบนพื้นดิน ท้ายที่สุดแล้วพวกมันก็ผุดโผล่ออกมาจากรอยร้าวบนผิวดินและเริ่มแกว่งไปมา
หวังหลินตกตะลึงในชั่วจังหวะแต่ก็ก้มศีรษะลงมองสายแร่โลหะ ความไม่ชอบมาพากลยิ่งมากขึ้น
“เหตุกาณณ์นี้ช่างคุ้นตา…”
เมื่อจ้องสายแร่โลหะ ดวงตาหวังหลินก็ส่องสว่างและพึมพำ “ที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยหนวดพวกนี้ซึ่งทำให้ทั้งดวงดาวเหมือนกับเส้นขนที่เติบโตออกมาจาก…”
“ร่างแบบที่สองของอสรพิษพิฆาตจันทร์ตอนที่เส้นขนทั้งหมดบนร่างมันถอนออกมา เช่นนั้นมันก็อยู่ในสภาวะหลับไหล…เป็นไปได้ว่า…ที่ที่ข้าอยู่บนดาวหยุนเซีย…จะเป็นอสรพิษพิฆาตจันทร์ที่ตัวใหญ่ยักษ์!?”
หวังหลินอ้าปากค้างและจ้องสายแร่โลหะซึ่งห่างออกไปไม่ไกล
“นี่มันไม่ใช่สายแร่โลหะ แต่มันเป็นกระดูกของจริง มันไม่ใช่กระดูกของสัตว์อสูรตนใดแต่เป็น…กระดูกของอสรพิษพิฆาตจันทร์!” จิตใจหวังหลินเย็นเยียบ
“หากข้าเอาสายแร่โลหะไป ข้ากลัวว่าเจ้าตัวนี้มันจะตื่นขึ้นมาทันทีซึ่งทำให้ข้าตายแน่นอน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ตื่นอย่างสมบูรณ์แต่ตื่นเพียงชั่วขณะเพื่อฆ่าคนที่พยายามจะเอากระดูกของมันไป” ในที่สุดหวังหลินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีเซียนแข็งแกร่งคนใดมาลองดีและเอากระดูกนี้ไป ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการ แต่พวกเขาไม่กล้า
“ข้าเชื่อว่ามีคนอื่นมาที่นี่ก่อนแล้วแต่พวกเขาตายกันทั้งหมด อีกทางหนึ่งคนจากตระกูลฮวนช่างฉลาดยิ่ง เขานำออกมาจากผิวหน้าเล็กน้อยและจากไปทันที หากเอาไปมากกว่านั้นคงไปกระตุ้นอสรพิษพิฆาตจันทร์จนตื่นมาได้ อาจเป็นเพราะมีโชคเข้ามาเกี่ยวด้วย หากเป็นคนอื่นแล้วแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้มันตื่นขึ้นมาได้”
ความคิดหลายร้อยแบบแล่นผ่านจิตใจหวังหลิน เขารู้ตัวว่าควรจะจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุดและจะไม่คิดเรื่องนี้อีก แต่ว่าเขามองสายแร่โลหะและรู้สึกไม่ยอมจากไป
“ที่ข้าต้องการคือกระดูกทั้งท่อน แต่อสรพิษพิฆาตจันทร์จะตื่นขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์หากข้าพยายามเอาไป หากทำเช่นนั้นร่างกายของมันจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบโจมตีและข้าจะตายแน่นอน…อย่างไรก็ตามข้าไม่ยอมล้มเลิกไปแบบนี้! อ๊าาา!” หวังหลินถอนหายใจ ดวงตาส่องสว่าง เขารื้อฟืนข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับอสรพิษพิฆาตจันทร์จากความทรงจำของเทพโบราณ
“ไม่มีตัวตนอื่นใดที่รู้จักปรสิตนี้ได้ดีเท่ากับเทพโบราณ นั่นเป็นประโยชน์ของข้า เจ้าอสรพิษพิฆาตจันทร์ตัวนี้มีชีวิตด้วยโลหิตของเทพโบราณ…”
“หนวดแต่ละเส้นคืออวัยวะที่อ่อนไหวที่สุด…มีวิธีใดที่ข้าสามารถเอากระดูกไปได้แต่ไม่ทำให้มันตื่นขึ้นมา…”
ดวงตาหวังหลินเต็มไปด้วยแสงลึกลับขณะพึมพำกับตนเอง “ตอนที่ข้ากลืนกินผลทะยานสวรรค์ทั้งหมดไปนั้น ข้าเต็มไปด้วยสัมผัสแห่งความบ้าคลั่ง ถึงตอนนั้นแม้จะมีคนเอากระดูกข้าไปแล้ว ข้ากลัวว่าข้าก็คงไม่รู้สึก หากข้าใส่สภาวะมายาเข้าไปในอสรพิษพิฆาตจันทร์ในขณะที่มันยังหลับอยู่ บางทีข้าอาจจะเอากระดูกมันไปได้…”
หวังหลินขบคิดอยู่ชั่วขณะ พลันมองไปที่สายแร่ด้วยความฝืนใจ เขาถอนหายใจออกมา ก้าวหนึ่งครั้งปรากฏตัวเหนือผืนดิน จากนั้นเคลื่อนที่พริบตาในกลางอากาศและปรากฏตัวนอกดาวหยุนเซีย หวังหลินนำเข็มทิศดวงดาวออกมาและนำพาตัวเองให้ไกลจากดวงดาว
เมื่อห่างมาได้ไกลแล้ว หวังหลินมองกลับไปที่ดาวหยุนเซียด้วยสายตามุ่งมั่น
“ข้าต้องได้กระดูกอสรพิษพิฆาตจันทร์ท่อนนั้นมา! ข้าสามารถผลิตยาที่ทำให้มันไม่รู้สึกตัวได้ แต่ข้าจำเป็นต้องเตรียมการมากมายให้มันเข้าสู่สภาวะมายา”
หากเป็นคนอื่น แม้จะคิดวิธีได้และมีเม็ดยามา พวกเขาคงไม่สามารทำให้อสรพิษดูดซับไปได้
อสรพิษพิฆาตจันทร์ของเทพโบราณไม่สามารถดูดซับสิ่งใดนอกจากโลหิตของเทพโบราณได้ เว้นแต่จะมีคนที่มีวิชาของเทพโบราณเป็นคนส่งการ
ซึ่งหวังหลินคนเดียวเท่านั้นที่มีวิชาเทพโบราณ
ขณะที่มังกรเงินข้ามผ่านหมู่ดาวไป หวังหลินนั่งอยู่บนหลังของมันด้วยสีหน้ามืดมน การเดินทางครั้งนี้กินเวลาหลายเดือนและเสียเวลาอย่างไร้ค่าโดยสิ้นเชิง เขาคิดว่าจะสามารถทำให้ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าสมบูรณ์ขึ้นมาได้แต่ก็ต้องละมันไว้แบบนี้
“ช่างมันเถอะ ข้าก็รอมาแปดร้อยปีแล้ว ข้าไม่คิดมากหรอกถ้าจะนานกว่านี้อีกสักหน่อย ตราบใดที่ข้ามีผลทะยานสวรรค์เพียงพอ ข้าก็สามารถกลับมาได้อีก”
“แต่ข้าไม่คิดว่าจะมาเจออสรพิษพิฆาตจันทร์ตัวใหญ่นี้…ต้องเป็นเทพโบราณกี่ดาวถึงจะจับมันได้…เห็นได้ชัดว่ามันหลับไหลมานานมากแล้วเพราะแม้แต่เมืองบนผืนดินยังเป็นซากปรักหักพัง”
หวังหลินก้มหน้าลงและเริ่มคิด
“อสรพิษพิฆาตจันทร์ตัวนี้มีขนาดเท่ากับดาวหนึ่งดวง เมื่อมันตื่นขึ้นข้าสงสัยจริงว่ามันจะมีความแข็งแกร่งขนาดไหน…กลัวว่าแม้แต่หลิงเทียนโฮว เทียนหยุนและคนอื่นๆคงหนีด้วยความหวาดกลัวทันที! น่าเสียดายที่มันไม่ฟังคำสั่งใครเว้นแต่จะเป็นนายของมัน แม้ร่างดั้งเดิมข้าจะอยู่ที่นี่ ก็ไร้ประโยชน์”
“ไม่เช่นนั้นหากข้าสามารถควบคุมมันได้และนำมันกลับไปที่ดาราจักรพันธมิตรเซียน จะไม่เป็นเรื่องน่ายินดีเชียวหรือ?”
หวังหลินเผยรอยยิ้มขมขื่นขณะควบคุมทิศทางของเข็มทิศดวงดาวให้ตรงไปที่ดาวรานหยุน แสงสีเงินกระพริบวาบ หวังหลินค่อยๆออกห่างไกลจากดาวหยุนเซียขึ้นเรื่อยๆ
ณ ดาวรานหยุน บรรพชนตระกูลราน ซานเหรินและซุนซื่อต่างมองขึ้นไปบนฟ้า สีหน้าแต่ละคนมีแต่ความหวาดกลัว
“ค่ายกลผนึกดวงดาว…” ใบหน้าซุนซื่อเต็มไปด้วยความขมขื่น
ซานเหรินกล่าว “ตระกูลฮวนไม่เคยทำแบบนี้ หากพวกเขาต้องใช้เวลาจัดตั้งค่ายกลผนึกดวงดาว คงอยู่บนดาวรานหยุนไปแล้ว”
บรรพชนตระกูลรานขบคิดอยู่นานและเอ่ยขึ้น “ข้ากลัวว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ถูกเตรียมการไว้สำหรับลูกสาวบุญธรรมคนใหม่ของบรรพชนตระกูลฮวน ฮวนเหมย เพื่อให้นางแสดงอำนาจ”
“ตระกูลฮวนต้องการกวาดล้างสามตระกูลของพวกเราและใช้ค่ายกลเพื่อป้องกันการหลบหนี” ดวงตาซุนซื่อเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
บรรพชนตระกูลรานกล่าว “พวกเขาจะไม่สามารถกวาดล้างตระกูลของพวกเราได้ ในหลายปีที่ผ่านมา เราสามคนต่างส่งสมาชิกที่มีพรสวรรค์ของตระกูลออกไปนอกดวงดาว ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ ชื่อเสียงของตระกูลของเราก็จะคงอยู่ต่อไป”
“โชคร้ายนักที่รากฐานของเราทั้งหมดต่างอยู่บนดาวรานหยุน ดังนั้นเราจะอพยพตระกูลทั้งหมดในช่วงเวลาสั้นๆได้อย่างไร? หากเราเคลื่อนไหวเร็วเกินไปคงทำให้เรื่องนี้แตกตื่นขึ้น” ซานเหรินยิ้มอย่างเจ็บปวด
ซุนซื่อลังเลและกล่าวออกมา “บางทีสหายเซียนซิ่วมู่จะกลับมาทัน…”
บรรพชนตระกูลรานกัดฟันแน่น “ฮึ่ม หากเขาไม่กลับมาตอนที่เราสามคนถูกตระกูลฮวนจับไป ข้าจะลากเขาเข้ามาในเรื่องนี้เอง ข้าจะปล่อยให้หินหยกสวรรค์ทั้งหมดนั่นไปฟรีๆได้อย่างไร?! เขาสัญญาจะปกป้องเราแต่กลับจากไปในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ น่ารังเกียจนัก!”
ซานเรินขบคิดเงียบๆ
ซุนซื่อถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ แม้เขาจะกลับมา เราจะทำอะไรได้? บรรพชนตระกูลฮวนบรรลุขั้นที่สองไปแล้ว ใครจะหยุดเขาได้กัน? ลือกันว่าตระกูลฮวนมีบรรพชนสองคนที่อยู่ในขั้นที่สอง หนึ่งในนั้นตายในการต่อสู้ของแดนสวรรค์อัสนี จึงเหลืออยู่หนึ่งคน แม้เขาจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับก่อนหน้านี้ ตราบใดที่เขามา ทุกสิ่งทุกอย่างจะไร้ค่า”
สามคนขบคิดเงียบๆ พวกเขาเต็มไปด้วยความสำนึกผิดเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน นี่เป็นกรรมสนองแท้ๆ
ขณะนั้นสีหน้าท่าทางของบรรพชนตระกูลรานก็เปลี่ยนไปและอุทาน “พวกเขามาแล้ว!”
ซุนซื่อและซานเหรินเงยศีรษะขึ้น พวกเขารู้สึกถึงอันตรายกำลังเข้ามาจากท้องฟ้าและแต่ละคนก็ต่างมีท่าทางมืดมนยิ่งกว่าเดิม
คลื่นความผันผวนออกมาจากท้องฟ้าราวกับแรงกดดันมหาศาลกำลังตกลงมาจากเบื้องบน
ด้านนอกดาวรานหยุน หลิวเหมยก้าวเข้าหาดาวเคราะห์โดยยังสวมชุดสีขาวอยู่ด้วย เมื่อผ่านค่ายกลผนึกดวงดาวเข้ามา นางกระจายสัมผัสวิญญาณออกและจับจ้องไปที่บรรพชนตระกูลรานกับพรรคพวก
สีหน้านางสงบนิ่งดั่งสายน้ำพร้อมกับเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
“พี่ซุน พี่จ้าว เราสามคนใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการต่อสู้ ตอนนี้อนาคตพวกเราถูกลิขิตไว้แล้ว เรามาใช้พลังทั้งหมดจะว่าอย่างไร? แม้เราจะตายก็ตายโดยไม่ต้องเสียใจ!” แม้จะกล่าวเสียงต่ำแต่กับแฝงเจตนาต่อสู้เอาไว้ ขณะที่มองไปบนท้องฟ้า ดวงตาเขายังแฝงเพลิงที่กำลังลุกไหม้
“พี่รานเป็นคนกล้าหาญ เมื่อท่านเผาไหม้วิญญาณไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปเป็นเพื่อนท่าน!” ซานเหรินหัวเราะและเพลิงเผาไหม้พลันปรากฏในแววตาด้วย
ดวงตาของซุนซื่อเผยความมุ่งมั่นและยิ้มออกมา “ช่างมันเถอะ การฝึกฝนตลอดชีวิตของข้านั่นหมายถึงข้ากล้าเข้าไปในสวรรค์และตำหนิเหล่าแม่ทัพเทพไปแล้ว ข้าจะถอนตัวตอนนี้ได้อย่างไร?”
เจตนาต่อสู้มหาศาลระเบิดออกมาจากทั้งสามคนดุจเปลวเพลิงยักษ์ที่ปะทุขึ้นมาบนดาวรานหยุน เพลิงธรรมดาสามารถสร้างสัญญาณควันได้แต่เหล่าเซียนที่เผาไหม้วิญญาณของตนไม่สามารถสร้างสัญญาณควันได้ พวกเขาสามารถสร้างเจตนาการต่อสู้ได้เพิ่มสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่าที่รุนแรงมากกว่าสัญญาณควันเสียอีก
เจตนาการต่อสู้ได้พวยพุ่งถึงขีดสุดเมื่อร่างงดงามของหลิวเหมยปรากฏตัว
ร่างหลิวเหมยลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับมองทั้งสามคน “เผาไหม้วิญญาณดั้งเดิมของตนเอง…” นางเอ่ยเสียงไพเราะดุจสายลมใบไม้ผลิที่พัดผ่านผืนดิน ทั้งยังมีพลังลึกลับอยู่ในน้ำเสียงนางด้วย
ซานเหรินจ้องหลิวเหมยในท้องฟ้า เปลวเพลิงในดวงตาหมองหม่นอย่างช้าๆและถูกแทนที่ด้วยความหลงไหลอย่างบ้าคลั่ง…