959. ความลับของเทียนหยุน
“ครานี้ข้าจะต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อเปิดประตูสู่ดินแดนวิญญาณปิศาจ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและข้ายังต้องเชิญชวนสหายบางส่วนก่อนที่เราจะเข้าไปในถ้ำนั้นได้ ช่วงเวลานี้ให้เจ้ารอที่นี่ไปก่อน” เทียนหยุนสงบนิ่ง ไม่เผยว่าโกรธหรือมีความสุข หลังจากเอ่ยจบ ก้อนเมฆปรากฏตัวขึ้น ก้าวไปบนก้อนเมฆและจากไป
“ตำหนักพฤกษาม่วงยังเก็บไว้ให้เจ้า” เทียนหยุนเอ่ยเสียงดังออกมาไกล
หวังหลินมองจุดที่เทียนหยุนหายไปและขบคิด
‘การกระทำของหลิงเทียนโฮวมีความหมายล้ำลึก! แม้แต่วิชาสุดท้ายที่เขาใช้ก็ยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่…’ หวังหลินไม่อาจเดาความคิดทั้งหมดของหลิงเทียนโฮวได้ แต่เขาก็พอจะมีเค้าลางบางอย่าง
‘ส่วนเทียนหยุน…ข้ามองเขาไม่ออกเลย…’ ตอนที่มาหาเทียนหยุน หวังหลินมักจะสับสนุนเรื่องความคิดภายในของเทียนหยุน แม้เขาจะพบเบาะแสบางอย่าง พริบตาเดียวมันก็ตีความเป็นอีกแบบหนึ่งจนทำให้กลายเป็นเรื่องลึกลับอีกครั้ง
‘ข้ามิอาจมองทะลุเขาได้’ หวังหลินถอนหายใจ มีหมอกหนึ่งชั้นห่อหุ้มรอบตัวเทียนหยุน เขารู้สึกว่าทุกครั้งที่เขามองเทียนหยุน เขาจะแตกต่างเล็กน้อย
ความจริงแล้วหวังหลินก็คาดการณ์ว่าเทียนหยุนเตรียมการการมาถึงของเขาไว้เช่นนี้ ทว่าเมื่อมาเผชิญหน้ากับมัน แม้เทียนหยุนจะทำตามที่หวังหลินคาดคิด เขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นไปเล็กน้อย ราวกับทุกอย่างเกิดขึ้นตามแผนของหวังหลิน
หวังหลินมองไปรอบๆสำนักชะตาสวรรค์อันคุ้นเคยพลางขมวดคิ้ว สักพักเขาก็ก้าวลงเข้าไปหาตำหนักพฤกษาม่วง มีถนนสายเดียวนำทางไปยังที่นั่น เส้นทางมีหอคอยหินทั้งสองข้างทางและเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่ม
ตอนนี้เป็นเวลาอาทิตย์ตก ยามสายลมพัดผ่านนำพาเอาความหนาวเหน็บพร้อมกับเสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบมาด้วย แม้กระทั่งเสียงสายน้ำก็ยังได้ยินไกลๆ
หวังหลินเคยเดินอยู่บนถนนสายนี้มาก่อน ตอนนี้เมื่อก้าวลงมาอีกครั้งอีกหลายร้อยปีให้หลัง จึงรู้สึกเศร้าซึม
‘มันไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย…’ หวังหลินก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายๆ
ขณะเดินเหิน หญิงหนึ่งชายหนึ่งชุดน้ำเงินเดินเข้าใกล้เขาพลางพูดคุยกัน ระดับบ่มเพาะแต่ละคนไม่ได้สูงนัก เพียงแค่ขั้นแปลงวิญญาณเท่านั้น
ประโยคที่พวกเขาสองคนพูดคุยกันดังขึ้นมาพร้อมกับสายลม
‘น้องสาว ข้าได้ยินว่าในอีกเจ็ดวัน ตลาดเนตรภูติจะเปิดขึ้นอีกครั้ง ได้ยินว่าเซียนอีกหลายคนต่างก็มุ่งไปที่นั่น’
“ตลาดเนตรภูติ? นั่นเป็นที่ประมูลวิชาเทพและชื่อเสียงโด่งดังในพริบตาน่ะหรือ?” น้ำเสียงหญิงสาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วมันคือตลาดเนตรภูติที่เจ้าว่านั่นแหละ วิชาเทพจะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่มหาศา ลือกันว่าเหล่าเซียนเฒ่าบางคนยังต้องเดินทางมาที่นี่เพราะวิชาเทพ! ด้วยสถานะของเราคงได้มาแค่วิชาเทพไม่สมบูรณ์สักหนึ่งวิชา ทั้งยังเป็นวิชาเทพระดับต่ำอีก ลือกันว่าวิชาเทพที่นั่นคือวิชาเทพสมบูรณ์อันหายาก! คราวนี้ลือกันว่าตลาดเนตรภูติจะมีสิ่งของลึกลับเข้ามาประมูลด้วย”
“อา แล้วเราจะทำอะไรกันได้เล่า? ราคาของทุกอย่างในตลาดเนตรภูติต่างก็เหนือล้ำเกินจินตนาการกันทั้งนั้น นอกจากนี้จะต้องมีสารเชิญชวนอีก”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แม้เราจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในอาคารประมูล เรายังมีสิทธิ์เข้าไปในพื้นที่ต้นไม้แลกเปลี่ยนในตลาดเนตรภูติ” ขณะที่ชายชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้น เขาพลางหยิบหยินหยกจากกระเป๋าออกมา หินหยกชิ้นนี้เป็นสีดำสนิท นอกจากตรงกลางที่มีตาหนึ่งข้างแล้ว ดวงตานั้นยังเรืองแสงสีแดงน่าประหลาดยิ่ง
“หยกเชิญชวนเนตรภูติ!” แววตาหญิงสาวส่องประกาย
ชายชุดน้ำเงินภูมิใจและกำลังจะเอ่ยขึ้น พลันมองไปตรงหน้า สิ่งที่เขาเห็นทำให้ต้องตกตะลึง เขาเห็นหวังหลินกำลังเดินลงมาจากภูเขา
เมื่อสตรีสาวสังเกตความผิดปกติของศิษย์พี่ นางเงยศีรษะขึ้นมาและสังเกตเห็นหวังหลินเช่นกัน
ด้วยระดับบ่มเพาะของแต่ละคน จึงไม่สามารถรับรู้การคงอยู่ของหวังหลินจากระยะไกลได้
หวังหลินท่าทางสุขุม เมื่อเข้าไปใกล้ชายหญิงสองคนนี้ เขายิ้มให้กับชายชุดน้ำเงินและเอ่ยขึ้น “พี่ลี่ ข้าไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“เจ้า…เจ้า…” ชายชุดน้ำเงินตกตะลึงเป็นไก่ตาแตก เขาพึ่งจะกลับมายังสำนักจึงไม่รู้ว่าหวังหลินกลับมาแล้ว ตอนที่เขาเห็นหวังหลินก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหวังหลินดูคุ้นหน้าคุ้นตาจึงเพียงแค่ตกตะลึง ทว่าหลังจากได้ยินเสียงหวังหลินยิ่งตกใจหนักกว่าเดิม
“หวังหลิน!!” ชายชุดน้ำเงินก้าวถอยไปสองสามก้าว แววตาหวาดกลัว
หวังหลินยิ้ม เขาไม่รู้จักชื่อเต็มคนข้างหน้าและรู้แต่เพียงว่าแซ่ลี่เท่านั้น ทั้งสองเคยเจอกันสั้นๆครั้งเดียวและจำได้ว่าชายตรงหน้านี้มองเขาด้วยความดูถูกดูแคลน
เมื่อเห็นคนตรงหน้าในวันนี้ ระดับบ่มเพาะของเขาเพียงเพิ่มขึ้นมาจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นมาสู่ระดับกลางเท่านั้น
หวังหลินไม่มองชายแซ่ลี่อีก เขาเดินผ่านและค่อยๆจากไป
“ศิษย์พี่ เขาชื่อหวังหลิน? ชื่อนี้ดูคุ้นๆ…” นางมองแผ่นหลังหวังหลินด้วยสายตางงงวย
‘หวังหลินกลับมาแล้วจริงๆ! หากข้าวิ่งไปหาเขาที่นี่ อาจารย์จะต้องรู้เรื่อง หรือว่าเขาได้รับการอภัยโทษจากอาจารย์แล้ว? ข้าสัมผัสพลังปราณจากเขาไม่ได้เลย ราวกับเขาเป็นคนธรรมดา แต่กระนั้นตอนที่เขาผ่านข้าไป ข้าตกตะลึงที่พลังปราณทั้งหมดในร่างสั่นเทาจนเกือบสูญสลาย’ ชายชุดน้ำเงินใบหน้าซีด เขาดึงศิษย์น้องไปข้างๆและรีบจากไป
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไร?” นางยังคงมึนงง
ชายชุดน้ำเงินรีบเอ่ย “เขาชื่อหวังหลิน เป็นศิษย์ลำดับเจ็ดของกองกำลังสีม่วงแห่งสำนักชะตาสวรรค์ ศิษย์น้องเจ้ายังจำไม่ได้อีกหรือ?”
นางตกตะลึง ใบหน้าท่าทางเปลี่ยนไปทันที
“ใช่คนที่มีข่าวลือว่าสังหารผู้คนไปมากมายในดินแดนวิญญาณปิศาจและก่อเกิดสายธารโลหิต? ท้ายที่สุดก็ถูกอาจารย์และผู้อาวุโสเจ็ดคนไล่ล่าแต่ก็ยังหนีรอดไปได้? ปิศาจหวังหลินน่ะหรือ?!”
ห่างออกไปไกล หวังหลินเผยรอยยิ้ม เสียงซุบซิบเป็นเรื่องไร้สาระ ข่าวลือเกี่ยวกับเขาค่อยๆเปลี่ยนไปตลอดหลายร้อยปี หวังหลินถอนหายใจพลางเดินออกไปนอกสำนักชะตาสวรรค์ผ่านทางเดินเล็กๆ
เบื้องหน้าคือภูเขาสูงเสียดฟ้า ยอดของมันโดนเมฆหมอกปกคลุม มีแสงสีม่วงหลายเส้นอยู่ในเมฆหมอกนี้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหล่าศิษย์กองกำลังสีม่วงตั้งอยู่
ภูเขาม่วง สำนักชะตาสวรรค์
หวังหลินมองยอดเขาอันคุ้นเคยและเดินเข้าไป ราวกับเขากลับสู่อดีตที่ผ่านมาและเห็นเด็กหนุ่มก้าวเดินทีละก้าวไปบนภูเขา แต่ละก้าวเริ่มหยั่งเท้าจากตรงนี้
สายลมภูเขาพัดผ่านและหนาวเย็น แม้จะไม่แข็งกระด้างมันยังสลัดความอบอุ่นและทิ้งความหนาวเหน็บเอาไว้คนเดียว
บนภูเขามีต้นไม้ใบหญ้าหลายชนิดส่ายโอนเอนไปมา ไม่รู้ว่าเป็นภูเขาที่กำลังส่ายหรือว่าจิตใจเขากันแน่
หวังหลินเดินขึ้นไปราวกับเดินไปบนสรวงสวรรค์ ก้าวย่างอย่างช้าๆ ระหว่างทางไม่เจอเซียนคนใดเลย เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงสายลมหวีดหวิว
นอกจากเสียงสายลมแล้วไม่มีเสียงอื่นอันใด ภูเขายังเป็นเหมือนเดิมเช่นกาลก่อน ตำหนักละเอียดละออตั้งอยู่ใจกลาง มองไกลๆจะเห็นแผ่นโลหะตั้งตรงเขียนสลักคำหนึ่งไว้ว่า
ม่วง!
ขณะที่หวังหลินก้าวไปข้างหน้า มุมของตำหนักนั้นเปิดเผยตัวเองอีกครั้ง หลังจากเดินผ่านสิ่งกีดขวางไปมันจึงเผยตัวตนต่อหน้าเขา
ตำหนักพฤกษาม่วง!
‘ใครจะจำได้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยถูกเรียกว่าตำหนักเมฆาม่วง…’ หวังหลินยืนอยู่เงียบๆก่อนจะผลักประตูเข้าไป กลิ่นดินพุ่งออกมาจากตำหนัก
ข้าวของเครื่องใช้ในห้องเป็นเหมือนเดิมกับก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง หากจะมีสิ่งใดเปลี่ยนก็คงจะเป็นฝุ่นที่มีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ไม้หรือเตียงนอน ทั้งหมดเต็มไปด้วยฝุ่น
ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะหมดเชื้อเพลิงไปนานแล้ว
หวังหลินยกนิ้วและลูบโต๊ะอย่างแผ่วเบา เขาค่อยๆสร้างรอยลึกบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว มองฝุ่นผงและโบกสะบัด
สายลมอ่อนๆพัดผ่านมา กวาดไปเบื้องหน้าหวังหลินและพัดผ่านฝุ่นผงบนโต๊ะ จากนั้นก็ผ่านเก้าอี้ เตียง บันไดขึ้นและบันไดลง ราวกับพายุพัดเข้าไปทั่วตำหนัก
ทว่าสิ่งประหลาดก็คือพายุนั้นเพียงแค่กวาดฝุ่นและไม่มีสิ่งใดขยับเคลื่อนไหว แม้กระทั่งหน้าต่างเองยังส่งเสียงคราเดียวเป็นสัญญาบอกว่าสายลมพัดผ่าน
เวลาผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ หวังหลินยกฝ่ามือขึ้นและหุบมือลง
วินาทีนั้นพายุดูเหมือนจะหวนคืนกลับมาและรวมกันในฝ่ามือหวังหลินจากทุกทิศทาง พริบตาเดียวพายุในตำหนักก็หายวับไป
วังวนสีเทาหม่นปรากฏในฝ่ามือหวังหลิน มันคือฝุ่นผงทั้งหมดในตำหนัก
เขาค่อยๆโบกแขนขวา ประตูทั้งหมดในตำหนักเปิดออก วังวนสีเทาเจาะออกไปจากหน้าต่าง ราวกับช่วงเวลาหลายร้อยปีและความทรงจำในอดีตทั้งหมดที่ฝากเอาไว้ ทุกอย่างในห้องตอนนี้ดูใหม่เอี่ยม ท้องฟ้ายามนี้มืดมิดเนื่องจากพระอาทิตย์ตกดิน
ในห้องมืดไปหมดทำให้ร่างหวังหลินดูพร่ามัวเล็กน้อย เขาถอนหายใจและเดินออกไปหาตู้ไม้สีม่วง จำได้ว่ามันมีน้ำมันวางอยู่ตรงนั้น หวังหลินเปิดตู้ไม้ขึ้นมาและพบขวดเล็กๆเพียงพอจะจุดตะเกียงน้ำมัน
หลังจากเติมน้ำมันไปในตะเกียง หวังหลินจึงจุดมันขึ้นมา เสียงจุดดังขึ้นและความมืดมิดในห้องก็ถูกขับไล่ออกไป
ทว่าวินาทีที่เปลวเพลิงส่องสว่าง สายลมกรรโชกโผล่ออกมาจากภูเขาทำให้เปลวเพลิงที่พึ่งจุดขึ้นมาสั่นไหวและโยกเยก เงาหวังหลินจึงบิดเบี้ยวไปมา
“เอ๊ะ?” หวังหลินจ้องเปลวเพลิงสั่นไหวนั้นด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป ความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว ดวงตาส่องเป็นประกาย!
‘สายลมพัดเข้ามาและเปลวเพลิงเปลี่ยนแปร การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ในสายลมทำให้บอกไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ดั้งเดิมมันคืออะไร…ข้าเข้าใจแล้ว! เทียนหยุนเป็นเหมือนตะเกียงนี้ เหตุผลที่ข้ารู้สึกว่าเขาแตกต่างในแต่ละครั้งก็เพราะเขาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เป็นเหมือนร่างอวตารนับพันและทั้งหมดนั้นบรรจุในร่างกายเดียว พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันไปในทุกขณะ…นี่คือเหตุผลว่าทำไมเทียนหยุนถึงทำให้ข้ารู้สึกคาดเดาไม่ได้!’
หวังหลินมองแสงที่กำลังกระพริบไปมา สีหน้าท่าทางสว่างขาวสลับดำ ทว่าแววตาเป็นประกายรู้แจ้ง