บทที่ 13
บังคับขู่เข็ญ
บริเวณโดยรอบสำนักชางฉยงซานมีเขตอาคมป้องกันภัยทางอากาศ กระบี่เซียนที่ไม่ใช่ของสำนักไม่อาจผ่านเข้าไปได้โดยไม่บอกไม่กล่าว ผู้ที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกดีดสะท้อนออกไปทันที
เสิ่นชิงชิวจึงหยุดกระบี่ที่ตีนเขา ส่งกระบี่เหินคืนร้าน แล้วถือโอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้า หาหมวกไม้ไผ่สานใบหนึ่งมาสวม
เมืองน้อยที่ตีนเขาปกติจะมีซิวซื่อไปๆมาๆ วันนี้กลับไม่เห็นเลยสักคน ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังนึกฉงน ก็มีคนถามขึ้นว่า “เซียนซือท่านนี้ ท่าน…จะขึ้นไปสำนักชางฉยงซานหรือ”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า
คนผู้นั้นค้านว่า “ไปตอนนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง”
เสิ่นชิงชิวในเขม็งเกร็งวูบหนึ่ง กล่าวถาม “เหตุใดถึงไม่ดีเล่า”
คนผู้นั้นกับคนอื่นๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กล่าวว่า “ท่านยังไม่รู้หรือเขาลูกนี้ถูกปิดล้อมมาสองวันแล้ว”
เขาผ่านเข้าประตูสำนัก เดินขึ้นบันไดสวรรค์ก็ไม่เจอศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์แม้แต่คนเดียว
เสิ่นชิงชิวยิ่งนึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขากระโดดข้ามบันไดทีละหลายๆขั้น เร่งขึ้นเขาไปเดี๋ยวนั้น ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งเห็นชัดว่าบนยอดฉยงติ่งเฟิงมีควันไฟลอยพวยพุ่งหลายสาย ระคนไปกับแสงไฟแลบแปลบปลาบในอากาศและเสียงดังกึกก้อง
ยอดฉยงติ่งเฟิงอยู่ในสภาพเละเทพ สับสนอลหม่าน ในป่ามีไฟลุกไหม้ ลิ่มน้ำแข็กเกลื่อนเต็มพื้น เชิงชายคาหักพังลงมา เห็นแล้วรู้เลยว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างหนัก
ด้านนอกอารามฉยงติ่ง กลุ่มคนแยกเป็นสองฟากประจันหน้ากัน ฟากหนึ่งคือซิวซื่อชาวมนุษย์ บ้างก็ยืนบ้างก็นอน
มู่ชิงฟางวิ่งวุ่นไปมาคอยดูทางโน้นทีทางนี้ที
อีกฟากหนึ่งคือนักรับเผ่ามาร สวมเกราะดำมะเมื่อมยืนกันมืดฟ้ามัวดินดูน่าเกรงขาม แม้ดูเหมือนอยู่ระหว่างพักรบชั่วคราว แต่ขอเพียงมีใครชักกระบี่ออกจากฝักแค่ชุ่นเดียว จะเหมือนได้กลิ่นดินปืนปะทุขึ้นในอากาศทันที
ดูท่าว่าลั่งปิงเหอคงหน่ายปกปิดสถานะตัวเองแล้ว เสิ่นชิงชิวไม่นึกแปลกใจแม้แต่น้อย ตอนลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมเปิดเผยสถานะตนเองก็ช่วงเวลาประมาณนี้เหมือนกัน
อำนาจของผู้นำเผ่ามารอยู่ในมือเขาเป็นที่ชัดเจนแล้ว ส่วนวังฮ่วนฮวาทั้งภายนอกภายในล้วนถูกเขาล้างสมองสั่งการได้ดังใจหมาย เมื่อมีที่ยืนได้อย่างมั่นคงก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก เพียงแต่สาเหตุในการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ถึงแม้ลูกศิษย์ของแต่ละยอดเขาต้องสวมเครื่องแบบ แต่ซิวซื่อที่มีชื่อเสียงแล้วหลายคนไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกรอบเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้การที่เสิ่นชิงชิวแต่งกายไม่เข้าพวกจึงไม่มีใครให้ความสนใจแต่อย่างใด เขาเบียดฝูงชนเข้าไปถึงหน้าอาราม แล้วมองชะเง้อเข้าไปข้างใน
เยวี่ยชิงหยวนนั่งหลังตา หลิ่วชิงเกอยืนอยู่ข้างหลัง ฝ่ามือแตะอยู่ที่หลังของผู้เป็นศิษย์พี่ พลังทิพย์ปั่นป่วนพลุ่งพล่านรอบกายคนทั้งคู่ ดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก ได้มาเจอศิษย์พี่เจ้าสำนักกับศิษย์น้องตัวแสบอีกครั้ง เห็นพวกเขาต้องเป็นเช่นนี้เพราะตน เสิ่นชิงชิวรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด แต่พอหันมองอีกด้านลมหายใจก็ต้องสะดุด
ลั่วปิงเหอยืนเงียบๆอยู่อีกฟากหนึ่งของอารามใหญ่ ชุดดำที่เขาสวมขับผิวขาวจนดูแทบโปร่งแสง ดวงตาดำขลับทว่าใสกระจ่าง สีหน้าเย็นชาเฉยเมย ทั่วทั้งร่างแผ่รังสีชนิดหนึ่งที่ชวนให้ผู้คนกระวนกระวายไม่เป็นสุข
โม่เป่ยจวินยืนอยู่ด้านหลังเขา ถึงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย แต่กลับหน้าเชิด ดูราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งที่หยิ่งผยองไม่เห็นหัวใคร
เยวี่ยซิงหยวนลืมตาขึ้นกะทันหัน ฉีชิงชีกล่าวอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…ท่าน…สบายดีแล้วหรือ”
เยวี่ยซิงหยวนส่ายหน้า มองลั่วปิงเหอแล้วกล่าว “หลายปีก่อนเผ่ามารบุกมาโจมตีสำนักชางฉยงซาน เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมศึกต้านเฝ่ามาร ซือจุนของเจ้ายิ่งใช้ร่างกายเข้าปกป้องชางฉยงซานทั้งสำนัก นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับเป็นเจ้าที่บัญชาการเผ่ามาร นำพาให้ชางฉยงซานต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง”
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างชืดชา “หากมิใช่เพราะสำนักของท่านบีบคั้นกันเกินไป ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้”
ฉีซิงซีโมโหจนหัวเราะหยัน “ฮ่าๆ ชางฉยงซานบีบคั้นเกินไปอย่างนั้นหรือ อยากให้คนทั่วหล้ามาได้ยินนัก หมาป่าเนรคุณเช่นเจ้าทรยศสำนักไม่สำนึกบุญคุณก็ไม่เป็นไร ยังบังคับให้ซือจุนตัวเองต้องระเบิดพลังทิพย์ตายต่อหน้าต่อตาตัวเอง จากนั้นกระทั่งคนตายไปแล้วก็ยังไม่ละเว้น เอาศพเขาไปทำเรื่องบัดสีอะไรบ้างก็ไม่รู้ ตอนนี้มามีหน้าแว้งกัดเอาคืน ตกลงใครบีบคั้นใครกันแน่”
ลั่วปิงเหอทำหูทวนลม ไม่ฟังคำถากถางของนาง กล่าวเสียงเรียบ “ต่อไปจะเป็นใคร ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาป้ายชื่อไปแล้วนะ”
เสิ่นชิงชิวตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมอง ป้ายชื่อที่ลั่วปิงเหอพูดถึงคือแผ่นป้ายที่แขวนตามแนวขวางอยู่ด้านในอารามฉยงติ่งนั่นเอง
หนึ่งในปรมาจารย์ที่ก่อตั้งสำนักชางฉยงซานคือผู้เขียน ‘ซางฉยง’ สองพยางค์นี้เองกับมือ ความเก่าแก่ คุณค่า และความหมายเทียบได้กับเกียรติภูมิของชางฉยงซาน ผู้ใดจะเอาป้ายนี้ไปก็เท่ากับตบหน้าคนทั้งชางฉยงซาน
ครั้งนั้นซาหัวหลิงบุ่มบ่ามนำขบวนเหล่าขุนพลเผ่ามารบุกขึ้นฉยงติ่งเฟิง วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะเอาป้ายชื่อแผ่นนี้กลับไปยังภพมาร เป็นการอวดโอ่แสนยานุภาพเช่นกัน
ฉีซิงซีกล่าวว่า “เจ้าจะสู้ก็สู้เลย ประเดี๋ยวก็เผากระท่อม ประเดี๋ยวก็พังประตู มาตอนนี้จะเอาป้ายชื่อ ตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำแต่เรื่องหยุมหยิม ทำไมไม่เอาจริงไปเสียเลย”
เยวี่ยซิงหยวน “ศิษย์น้องฉีค่อยๆพูด ค่อยๆจาเถอะ”
เขาลุกขึ้นมาถึงจะอยู่ในสภาพที่ดูเสียเปรียบ ทว่าท่าทางยังคงแน่วแน่ดั่งเขาไท่ซาน ไม่ทำให้ฝ่ายตนเองต้องเป็นกังวล
“ร่างเซียนของศิษย์น้องชิงชิวนอนสงบอยู่ในอาราม เขาเป็นคนของชางฉยงซาน ยิ่งเป็นคนของชิงจิ้งเฟิง หลังสังขารวางวายก็ต้องฝังอยู่ในสุสานที่ทอดร่างเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงทุกรุ่น จะได้นิทราอย่างสงบใต้ผืนดิน นอกจากเจ้าจะสังหารคนในชางฉยงซานจนสิ้นหาไม่แล้วขอเพียงคนของสำนักเราแม้สักคนยังมีลมหายใจ ไม่ว่ต้องประจันหน้ากันนานเท่าใด ร่างของศิษย์น้องชิวชิวก็ไม่มีวันส่งมอบให้เจ้า”
ทุกคนในที่นั้นพร้อมใจกันกล่าวเป็นเสียงเดียว “ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้”
เสิ่นชิงชิวรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องมีท่าทีเช่นนี้ เพราะชางฉยงซานจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องศพของตน เสิ่นชิงชิวถึงต้องกลับมา
ลั่วปิงเหอเหยียดมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา เขาก้มหน้ากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าจะไม่ลงมือกับชางฉยงซานด้วยตัวเอง และจะไม่ฆ่าคนในสำนักแม้แต่คนเดียว แต่ที่ข้ามีก็คือเวลาที่ผลาญได้อย่างเหลือเฟือเลยทีเดียว”
คำว่า ‘ผลาญอย่างเหลือเฟือ’ นี้กระแทกใส่หูของเสิ่นชิงชิวทีละคำอย่างชัดเจน เขาใจหายวูบขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ลั่วปิงเหอไม่ใช่สุภาพชนเปี่ยมมารยาทที่จะมาพูดจาสำบัดสำนวนเด็ดขาด ด้วยพลังและอำนาจที่มี เขาจึงคร้านจะเสแสร้งแกล้งมีมารยาทกับใคร ไม่ว่าอยากได้อะไรจากสำนักไหนก็จะใช้วิธีตรงๆและได้ผล นั่นคือนองเลือด ฆ่าไม่เหลือ แล้วฉวยเอามา
แต่ลั่วปิงเหอคนนี้กลับใช้เวลาอย่างอดทนถึงสองวัน ไม่น่าจะเพราะมีอารมณ์อย่างเอ้อระเหยสบายใจแต่อย่างใด หากแต่ดูเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างมากกว่า
อย่างรอให้เสิ่นชิงชิวปรากฎตัวออกมาเอง
เสิ่นชิงชิวกำหมัดแน่น
ลั่วปิงเหอออกคำสั่ง “ลงมือ”
โม่เป่ยจวินส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง เดินออกมาข้างหน้า แต่แล้วก็แย้งว่า “ข้าลงมือไปหลายครั้งแล้ว”
ลิ่มน้ำแข็งที่ระเบิดเป็นกองพะเนิน และพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อนอกอารามล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของทั้งสิ้น
ลั่วปิงเหอจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็หาใครสักคนก็ได้มาลงมือแทนเจ้า”
โม่เป่ยจวินพยักหน้า เอื้อมมือไปด้านหลัง คว้าตัวคนผู้หนึ่งที่กำลังยืนคุดคู้ตัวสั่นงันงกออกมา เขาหิ้งตัวคนผู้นี้ราวกับหิ้วลูกเจี๊บสักตัว แล้วโยนโครมไปที่พื้นตรงกลางระหว่างผู้คนสองฝั่ง
ซั่งชิงหัวคลานยักแย่ยักยันขึ้นจากพื้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน
คนของชางฉยงซานมองเขาเป็นตาเดียว ดวงตาแทบพ่นไฟได้
อย่างว่าแต่พวกเขาเลย เสิ่นชิวชิวก็อยากพ่นไฟใส่หน้าเขาเหมือนกัน ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ไอ้นักเขียนซังกระบ๊วย เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย!
ฉีซิงซีชักกระบี่ทันที ร้องตวาด “ศิษย์ทรยศ”
ซั่งชิงหัวยิ้มเป็นเชิงขออภัย “ศิษย์น้องฉี ค่อยๆพูดค่อยๆจาก็ได้ อย่าเอะอะก็ชักกระบี่ซิ เจ้าหน้าตางดงามขนาดนี้ หากอ่อนโยนขึ้นอีกนิดก็จะ…”
ฉีซิงซีแทงกระบี่ แล้วกล่าวอย่างโกรธแค้น “ผู้ใดเป็นศิษย์น้องเจ้า”
ซั่งชิงหัวรีบหลยไปอยู่ข้างหลังโม่เป่ยจวิน
โม่เป่ยจวินก็ไม่มคำว่าปราณี ถีบเขากลับออกมาโดยพลัน
ซั่งชิงหัวทำหน้ารันทด “ข้าก็ฝืนใจทำเพราะถูกบังคับหรอกนะ เจ้าอย่าทำเช่นนี้ซิ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอาที่เพื่อนร่วมสำนักเดียวกันฆ่าฟันกันเอง”
เสิ่นชิงชิวอึ้งกิมกี่ ซั่งชิงหัวนี่มันไร้ศักดิ์ศรียิ่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก ตอนนี้ยังมีหน้าพูดแบบนี้ออกมาได้ ยางอายสักนิดก็ไม่มีจริงๆ
ฉีซิงซีร้องด่า “ผู้ใดเป็นเพื่อนร่วมสำนักของเจ้า งานชุมนุมเซียนเจ้าก็เอาปีศาจมาปล่อย แล้วเจ้าเคยนึกบ้างหรือไม่ว่าศิษย์ของสำนักชางฉยงซานที่บาดเจ็บล้มตายเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมสำนักของเจ้า ทรยศหลบหนี แล้วลดตัวไปเป็นสุนักรับใช้ของเผ่ามาร เจ้าเคยคิดว่าพวกข้าเป็นเพื่อนร่วมสำนักหรือ วันนี้ยังติดตามเจ้ามารร้ายในคราบมนุษย์นี่ขึ้นเขามา เจ้ายังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนร่วมสำนักอีกหรือ”
คนทั้งสองวิ่งหลบหลีกไล่จับกันเป็นที่โกลาหลอลหม่านอยู่ในอาราม โดยมีเสิ่นชิงชิวยืนลุ้นอยู่ข้างๆอย่างตื่นเต้น ฟันเลยๆๆ โธ่เว้ย อีกนิดเดียวเอง ฉีซิงซีตัดพวงมันเลย!
หลิ่วชิงเกอถอนมือจากการถ่ายพลังทิพย์ให้เยวี่ยซิงหยวนแล้ว ครั้นปรับระดับลมหายใจเสร็จก็ลุกขึ้นยืน เฉิงหลวนที่อยู่ในฝึกสั่นระริกไม่หยุด หวีดร้องไม่ขาดสาย
หยางอี้เสวียนกุมหมัดกล่าว “ซือจุน ท่านต่อสู้กับเจ้ามารผู้นั้นมาหนึ่งวันแล้วนะขอรับ”
หลิ่วชิงเกอสะกดเสียงต่ำ “ถอยไป”
ลั่วปิงเหอมองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะแล้วกล่าวเบาๆ “ผู้แพ้ใต้น้ำมือข้าเนี่ยนะ”
เสียงเขาไม่ดังนัก ทว่ากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งยังมีการขึ้นเสียงสูงในตอนท้าย
คนทั้งอารามล้วนได้ยินกันหมด
หลิ่วชิงเกอกุมกระบี่แน่น ดวงตาเรืองประกายวาบ ไม่มีอะไรจะมาทำให้เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงรู้สึกอัปยศอดสูไปมากกว่าคำว่า ‘ผู้แพ้ใต้น้ำมือข้า’ อีกแล้ว
หยางอี้เสวียนของขึ้น กล่าวโต้กลับเดี๋ยวนั้น “ไอ้หมาพันทางภพมาร”
ลั่วปิงเหอไม่มีทีท่าว่าจะเดือดร้อน “ใช่ ข้าเป็นหมาพันทาง ชางฉยงซานทั้งสำนักถูกหมาพันทางตัวหนึ่งก่อกวน เป็นเกียรติเป็นศรีหรือไม่เล่า ไม่ใช่ฉยงติ่งเฟิงเท่านั้นหรอกนะ ยอดเขาอื่นๆที่เหลือข้าก็จะก่อกวนให้หมด เอาหใคนทั่วหล้าได้รู้ว่าชางฉยงซานซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะถูกหมาพันทางตัวหนึ่งก่อกวน แต่ไม่มีปัญญาจะตอบโต้ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
หนิงอิงอิงร้องอย่างขัดใจ “ละ…ลั่วปิงเหอ หรือแม้กระทั่งชิงจิ้งเฟิงเจ้าก็จะต้องเผาให้ราบเป็นหน้ากลองจึงจะพอใจหรือ”
ลั่วปิงเหอไม่แม้แต่จะคิด กล่าวทันทีว่า “แน่นอนว่าไม่”
เขานิ่วหน้าเอ่ย “ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้า หรือเรือนสักหลังของชิงจิ้งเฟิง หากใครหน้าไหนบังอาจสร้างความเสียหายแม้เพียงสักส่วน ข้าไม่มีวันให้อภัยแน่”
หลิ่วชิงเกอแค่นเสียงขึ้นจมูก “เสแสร้งจอมปลอม”
เฉิงหลวนดีดผึกออกมาเดี๋ยวนั้น ปราณกระบี่เฉียดผ่านแก้มลั่วปิงเหอ ทำเอาเส้นผมเขาปลิวสะบัด
ลั่วปิงเหอเอามือวางบนกระบี่ที่สะพายอยู่ข้างเอง ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อต่อ “ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย”
ถึงกระนั้นกระบี่สองเล่มกลับมิได้เข้าปะทะกันจนแล้วจนรอด
เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน ปราณกระบี่ทั้งสองเล่มพวยพุ่งกระทบกัน หมวกไม้ไผ่ที่สวมไว้เพื่อพรางตัวถูกผ่าเป็นสองซีกทันที มือซ้ายของเสิ่นชิงชิวคีบปลายกระบี่เฉิงหลวน ไม่ปล่อยให้หลิ่วชิงเกอบุกเข้ามาโจมตีได้อีกแม้สักชุ่น ส่วนมือขวากดมือของลั่วปิงเหอที่กุมกระบี่ซินหมัวเอาไว้ไม่ให้ชักออกมา
‘ศพก็คือศพเท่านั้นเอง ทุกท่าน ศพก็คือศพเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย’
เสิ่นชิงชิวมองไปทางซ้ายแล้วมองไปทางขวา ยังไม่ทันได้พูดประโยคนี้ออกไปด้วยซ้ำ ลั่วปิงเหอพลันพลิกมือยึดข้อมือของเขาไว้แน่นหนาราวกับปลอกน้ำแข็ง รอยยิ้มบนใบหน้าเกือบจะบิดเบี้ยว กล่าวช้าๆชัดๆ “จับตัวได้เสียที ซือจุน”
ถึงเสิ่นชิงชิวจะทำใจไว้แล้ว แต่ยามนี้พอได้เห็นใบหน้านี้ใกล้ๆ ก็อดขนลุกซู่ไม่ได้
หลังจากตกอยู่ในความเงียบสงัดครู่ใหญ่ ในอารามก็วุ่นวายปั่นป่วนราวกับเกิดพายุ
เยวี่ยชิงหยวนตกตะลึง กล่าวเสียงสั่น “นั่นคือศิษย์น้องชิวชิวหรือ”
ฉีซิงซีลืมแม้แต่จะไล่ฟันซั่งชิงหัว ฝ่ายหลังจึงรีบฉวยโอกาสไปแอบอยู่หลังโม่เป่ยจวินอีกครั้ง
หนิงอิงอิงกระตุกแขนหมิงฟานที่หน้าตาฟกช้ำดำเขียวเป็นการใหญ่ กล่าวพึมพำไม่หยุด “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านได้ยินหรือไม่ อาลั่วกับอาจารย์ลุกเจ้าสำนักบอกว่า คนผู้นั้น…คือซือจุนหรือ”
หมิงฟานกล่าวว่า “ข้าดูแล้วเหมือนจะใช่…แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่นะ”
ส่วนหยางอี้เสวียนมาไม่เหมือนใคร เขาเอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่าทางแบบนี้มิใช้ เจวี๋ยซื่อหวง…ผู้อาวุโสหวงหรอกหรือ หวง…ที่แท้ผู้อาวุโสหวงคืออาจารย์ลุงเสิ่นหรอกหรือนี่”
ขอบใจนะ ที่ไม่เรียกชื่อไอดีฉันออกมาแบบเต็มๆ
หลิ่วชิงเกอพลันเบิกตากว้าง ใบหน้าที่ปกติไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้นประดุจน้ำในบ่อ บัดนี้พลุ่งพล่านประหนึ่งผิวน้ำแตกกระจาย เขาถาม “…เจ้ายังไม่ตายหรือ”
ความรู้สึกของเสิ่นชิงชิวที่เดิมทั้งรู้สึกผิดและซาบซึ้งในน้ำใจของฝ่ายนั้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขากล่าวอย่างรับไม่ได้ “ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าทำหน้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ศิษย์พี่ไม่ตายเจ้าไม่ดีใจหรือ”
หลิ่วชิงเกอหน้าเขียวแล้วก็ดำ ดำแล้วก็ขาว สีหน้าสลับสับเปลี่ยนไปสารพัด แทบดูไม่ได้เลย คนไม่น้อยก็ไม่ต่างจากเขา
เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันได้กล่าวต่อ มือข้างหนึ่งก็จับหน้าเขาหันไป
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ในที่สุดก็ยอมออกมาแล้วหรือ”
เสิ่นชิงชิวถูกเขาบีบข้อมือเสียจนกระดูกแทบหักอยู่แล้ว มีแต่เท้าเท่านั้นที่ขยับได้ ทว่าก็ไม่อาจยันเข่าใส่อวัยวะส่วนสำคัญของลั่วปิงเหอต่อหน้าธารกำนัล พอย้อนคิดถึงรายละเอียดทั้งหมดก่อนหน้าก็โกรธกรุ่น เลยเอ่ยว่า “เจ้าจงใจนี่”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนหมายความว่ากระไร”
เสิ่นชิงชิวแจกแจง “เจ้าไม่ได้สังหารคนทั้งสำนักทันที แต่ถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ ก็เพื่อล่อข้าออกมา”
ลั่วปิงเหอยิ้มเย็น “บางครั้งซือจุนก็เดาความคิดของศิษย์ได้ถูกต้อง ศิษย์ดีใจยิ่งนัก อยากตีอกชกหัวเลยด้วยซ้ำ จะไม่มีวันลืมเวลานี้ไปตราบชั่วชีวิต”
หลิ่วชิงเกอชักกระบี่กลับ ร่างโงนเงนไปมา เหมือนยังวิงเวียนอยู่บ้าง เขาชี้หน้าลั่วปิงเหอ “เจ้า ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ”
ลั่วปิงเหอฉุดเสิ่นชิงชิวเข้ามาไว้ในอ้อมอก กล่าวอย่างรำคาญ “เจ้าว่าอะไรนะ”
ท่าทางของเขาแข็งกร้าว ไฟโทสะที่เสิ่นชิงชิวสู้อุตส่าห์ข่มไว้ลุกโหมขึ้นมาทันที จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าในฝันคือข้าตัวจริง”
หากมิใช่เพราะถูกลั่วปิงเหอค้นพบช่องโหว่ เขาจะเดาออกได้อย่างไรว่าตนไม่ได้ตายจริง ถึงได้มารออย่างใจเย็นที่ชางฉยงซานให้เหยื่อวิ่งมาติดกับเอง
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนออกจะดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว ต่อให้ครั้งแรกข้าไม่เอะใจสงสัย ทว่าครั้งที่สองหากยังไม่ค้นพบความผิดปกติ เช่นนั้นก็นับว่าโง่เง่าเบาปัญญาจริงๆแล้ว”
เสิ่นชิงชิวฟังแล้วเข่าแทบทรุด พูดในใจว่า เจ้าไม่ได้โง่เง่าเบาปัญญาหรอก ข้าต่างหากที่โง่เง่าเบาปัญญา
มีแต่คนที่รู้ดีว่าพลังฝึกปรือของลั่วปิงเหออยู่ระดับไหน ความสามารถในการควบคุมห้วงฝันเป็นเลิศแค่ไหน แต่ก็ดันปักใจว่าลั่วปิงเหอสติสตังเลอะเลือน แยกแยะผู้บุกรุกจากภายนอกและภาพมายาที่สร้างขึ้นในฝันไม่ออก
เสิ่นชิงชิวซักไซ้ “ในเมื่อค้นพบความผิดปกติ ทำไมถึงไม่เปิดโปง ร่วมแสดงละครอาจารย์เมตตาศิษย์กตัญญูนี่มันสนุกนักหรือ”
ลั่วปิงเหอมองเขา “เปิดโปงทำไม ซือจุนเองก็มิใช่ว่าสนุกกับละครที่ข้าเล่นเอาใจท่านหรอกหรือ”
…สนุกหรือ
เสิ่นชิงชิวในตอนนั้นจะสนุกไปได้อย่างไร มีแต่จะเป็นห่วงสภาพจิตใจของลั่วปิงเหอต่างหาก ทว่าความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าความเป็นห่วงเป็นใยของเขาอยู่ในการควบคุมของลั่วปิงเหอทั้งหมอ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นถึงลั่วปิงเหอพระเอกของเรื่องเชียวนะ กับอีแค่แผนตับตามั่วๆมึนๆของเขาจะทำให้ลั่วปิงเหอกลับตัวกลายเป็นดอกบัวขาวที่น่ารักน่าสงสารได้อย่างไรกัน
ความจริงแล้วเสิ่นชิงชิวเป็นคนประเภทชอบกินของอ่อนไม่กินของแข็ง แต่คุณก็ไม่อาจปล่อยให้เขากินจนเสร็จแล้วตบหน้าเขา
เสแสร้งแกล้งทำนัก!
ฉีซิงซีร้องเสียงหลง “ช้าก่อน ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นางชี้ไปที่ด้านในอารามฉยงติ่ง “ที่นอนอยู่ข้างในนั่น…นั่นไม่ใช่เสิ่นชิงชิวหรือ ทำไมถึงมีเสิ่นชิงชิวเพิ่มมาอีกคนล่ะ”
ลั่วปิงเหอดูจะอารมณ์ดีทีเดียว กล่าวว่า “ไม่ลองถามเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงดูเล่า”
เสิ่นชิงชิวคิด บ้าชิบ…เขารู้อีกด้วยว่านี่เป็นความดีความชอบของซั่งชิงหัว เจ้าคนหน้าด้านไร้ยางอายไม่มีศีลธรรมจรรยานั่น
ซั่งชิงหัวหัวเราะแห้ง พอโม่เป่ยจวินชายตามองเขาทีหนึ่ง เขาก็ก้าวออกมาทันควัน สูดหายใจเข้าลึกๆ ยืดอกเชิดหน้า กล่าวเสียงดังฟังชัด
“หลายปีก่อนศิษย์พี่เสิ่นได้เดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง ได้หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราที่เป็นของวิเศษมา หญ้านี้มีสรรพคุณวิเศษ สามารถสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ ศิษย์พี่เสิ่นจึงใช้มันดำเนินกลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบที่เมืองฮวาเยวี่ยได้สำเร็จ ดังนั้นเขาคนนั้นที่อยู่ข้างในก็แค่คราบร่างที่ว่างเปล่าเท่านั้น ส่วนที่อยู่ด้านนอกตรงนี้ก็คือเขา…ใช่เขาทั้งคู่”
ซั่งชิงหัวสรุปเพียงสั้นๆแต่ได้ใจความ
สายตาไม่รู้กี่คู่พร้อมใจหันไปมองเสิ่นชิงชิวเป็นตาเดียว หลิ่วชิงเกอเอาปลายกระบี่เฉิงหลวนชี้ไปที่เขาทันที รังสีอำมหิตรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนสู้กับลั่วปิงเหออีก
เยวี่ยชิงหยวนกดเสียงต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเมื่อห้าปีก่อนเจ้าถึงไม่ส่งข่าวคราว ตัดขาดกับทั้งสิบสองยอดเขาอย่างสิ้นเชิง หรือในใจเจ้า เพื่อนร่วมสำนักทุกคนไม่คู่ควรกับความเชื่อใจ”
เสิ่นชิงชิวละอายใจนัก กล่าวอึกอัก “นั่นน่ะ…ศิษย์พี่ฟังข้าพูด…”
ฉีซิงซีกล่าวอย่างโมโห “เสิ่นชิงชิวเจ้า…เจ้าคนผู้นี้นี่! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องถูกเจ้าทำจนน่าสมเพชแค่ไหน บรรดาศิษย์ของเจ้า ตอนนั้นก็ร้องไห้กันจะเป็นจะตาย วันทั้งวันเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนชิงจิ้งเฟิงมีแต่ความสลดหดหู่ สวมชุดไว้ทุกข์กันเป็นปีจนไม่มีใครอยากขึ้นไปบนนั้นแล้ว ตำแหน่งเจ้ายอดเขาก็ต้องว่างลง แต่เจ้ากลับลอยนวลสบายอกสบายใจอยู่ข้างนอก”
เสิ่นชิงชิวกลัวเวลาฉีซิงซีชี้หน้าด่าเขาเป็นที่สุด รีบอธิบาย “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ ข้าหาได้ลอยนวลสบายอกสบายใจอยู่ข้างนอกเลยสักนิดไม่ ทว่าถูกฝังอยู่ในดินตลอดห้าปีเต็ม เพิ่งจะตื่นขึ้นมาได้ไม่กี่วันเอง ถ้าเป็นเจ้าจะลอยนวลอย่างสบายใจได้ไหมเล่า ทั้งหมดเป็นเพราะเขาต่างหาก”
ซั่งชิงหัวเห็นปลายหอกชี้มาที่ตนก็ตีโพยตีพาย “มาโทษข้าได้อย่างไร ท่านบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องเร่งให้โตทันใช้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลิ่วชิงเกอเอามือกุมขมับตัวเอง “หุบปาก!”
ซั่งชิงหัวหุบปากแต่โดยดี พวกเขาต่างเอะอะล้งเล้งเป็นการใหญ่ หากเปลี่ยนเป็นสถานการณ์อื่น คงฮาพิลึก แต่ในสถานการณ์และเวลาเช่นนี้เสิ่นชิงชิวกลับขำไม่ออก
บนยอดฉยงติ่งเฟิงสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิง ต้นไม้ดินหินถูกเผาจนดำ หลังจากโดนยื้อสถานการณ์และถูกปิดล้อมมาสองวัน ฉยงติ่งเฟิงก็ไม่เหลือเค้าความสง่างามน่าเกรงขามดังเช่นปกติ ไม่ว่าจะในอารามหรือนอกอาราม ใบหน้าของผู้คนล้วนเปรอะคราบเลือด พวกศิษย์ประคองกันและกัน ที่รุ่นเยาว์หน่อยล้วนดูหวาดผวา ท่าทางอ่อนล้าราวกับเกาทัณฑ์สิ้นแรง ขณะที่อีกฟากหนึ่งนั้น ขุนพลในชุดเกราะดำและพลทหารของเผ่ามารที่โอบล้อมเป็นครึ่งวงกลมยังคงดูราวกับใบมีดที่เพิ่งลับคมมา วาววับคมเฉียบประดุจเสือที่รอตะครุบเหยื่อ
เสิ่นชิงชิวเก็บสายตากลับมา แล้วเกริ่นถาม “ลั่วปิงเหอ เจ้าบอกว่ามาสำนักชางฉยงซานก็เพื่อจับตัวข้า”
ลั่วปิงเหอตอบ “ถูกต้อง”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยว่า “เจ้าก็จับได้แล้วนี่”
เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ก็ควรสลายทัพได้แล้ว
ลั่วปิงเหอมองเขา “ไม่หนีแล้ว?”
“…” เสิ่นชิงชิวพยักหน้าช้าๆ “ไม่หนีแล้ว”
ลั่วปิงเหอขยับมุมปาก เผยรอยยิ้มอ่อนเพลีย ในรอยยิ้มนี้ไม่มีร่องรอยเยาะเย้ยถากถางอย่างที่มักปรากฏบนใบหน้าอีกเลย เขากล่าวเสียงแผ่ว “กี่ครั้งกี่หนข้าก็เชื่อซือจุนเช่นนี้มาตลอด”
หลิ่วชิงเกอถามทันควัน “เสิ่นชิงชิว เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เขามองหน้าเสิ่นชิงชิวด้วยสีหน้าคล้ายได้รับความอัปยศใหญ่หลวง
“เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เจ้ากลับยอมพลีกายให้เขาแต่โดยดีต่อหน้าต่อตาข้าเช่นนั้นหรือ”
ศิษย์น้อง ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าที่เหมือนถูกหยามศักดิ์ศรีในฐานะเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงนะ แต่ช่วยเปลี่ยนคำพูดหน่อยได้ไหม ยอมพลีกายแต่โดยดีบ้าบอคอแตกอะไรเล่า เปลี่ยนคำพูดซะจะขอบใจมาก
หลิ่วชิงเกอกล่าว “เจ้ากลัวทำให้ชางฉยงซานเดือดร้อน แต่ชางฉยงซานหาได้กลัวเจ้าทำให้เดือดร้อนไม่”
ลั่วปิงเหอหัวเราะหยัน “ซี่โครงเจ้าที่ยังไม่หักยังเหลืออีกกี่ท่อนล่ะ”
มือของเยวี่ยซิงหยวนแต่ด้ามกระบี่เสวียนซู่
สีหน้ามู่ชิงฟางพลันตื่นตระหนก “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ช่วงที่ท่านปิดด่านกักตัวฝึกวิชา ท่านฝืนฝ่าด่านออกมารับมือศัตรู เดิมเป็นการเสียเปรียบอยู่แล้ว ตอนนี้หากยังฝืนชักกระบี่ เกรงว่าร่างกายของท่าน…”
ไอสีดำพลุ่งจากผิวหน้าเยวี่ยชิงหยวน แต่เขาฝืนสะกดมันลงไปอีกครั้ง กล่าวอย่างกินแรง “ไม่ไหวก็ต้องไหว ศิษย์น้องตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพวกเราปกป้องเขาไว้ไม่ได้ หรือตอนนี้จะให้ข้ายืนเฉยมองเขาเอาชีวิตไปทิ้งอีกครั้งเล่า”
ถ้อยคำนี้ทำเอาเลือดลมในอกเสิ่นชิงชิวพลุ่งพล่านปั่นป่วน หากถามว่าในโลกใบนี้เสิ่นชิงชิวเคารพยกย่องใครมากที่สุด ที่อยู่หัวแถวอันดับหนึ่งก็คือเยวี่ยซิงหยวน ไม่ใช่แค่เพราะเขาคอยคุ้มครองห่วงใยจากใจจริง แต่ยังเพราะเขาทุ่มเทเต็มที่ดูแลคนทั้งสำนักอยู่ตลอดเลาลา มันทำให้ตนละอายเกินกว่าจะปล่อยให้ชางฉยงซานกับเจ้าสำนักผู้นี้ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้อีก เมื่อตนเองก่อเรื่องไว้ก็ต้องรับกรรมเอง
เสิ่นชิงชิวเอ่ยปาก “ศิษย์ที่ข้าสอนออกมา ข้าจัดการคนเดียวก็พอ ศิษย์พี่เจ้าสำนักในฐานะที่เป็นผู้นำ ความอยู่รอดปลอดภัยของศิษย์ทั้งสิบสองยอดเขาล้วนอยู่บนบ่าท่าน ท่านย่อมทราบดีว่าสมควรตัดสินใจอย่างไร”
ในอารามเงียบกริบ
เยวี่ยนซิงหยวนสีหน้าแข็งทื่อ มือที่กุมกระบี่เห็นข้อนิ้วขาวโปน
เสิ่นชิงชิวกำลังเตือนเขาเป็นนัยว่าในฐานะเจ้าสำนักคนหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ตกเป็นรองควรต้องตัดสินใจเช่นไร
เจ้ายอดเขาทุกคนก็มีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน กลับเป็นหนิงอิงอิงที่ก้าวพรวดออกมา นางยื้อยุดแขนเสิ่นชิงชิวเอาไว้ ตะโกนว่า “ข้าไม่เห็นด้วย”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หมิงฟาน ดูแลศิษย์น้องเจ้าด้วย”
หนิงอิงอิงกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาดูแลข้า ตอนนั้นที่นางปีศาจจากเผ่ามารบุกมาก็หนหนึ่งแล้ว และไหนจะเหตุการณ์ที่เมืองจินหลันและวังฮ่วนฮวาอีก ล้วนเป็นท่านที่ก้าวออกมาด้วยตนเองตลอด แล้วคราวนี้ทำไมยังต้องเป็นท่านอีก เพราะอะไรทุกครั้งต้องเป็นซือจุนที่ได้รับความทุกข์ทรมาน”
ก็เพราะซือจุนเจ้ามันรนหาที่เองน่ะซิ แต่ยังดีที่เขาอบรมสั่งสอนเด็กผู้หญิงที่เป็นปกติและกตัญญูรู้คุณมาได้กับเขาคนหนึ่ง นอกเหนือจากความกลุ้มใจแล้ว เสิ่นชิงชิวก็พอเบาใจขึ้นมาบ้าง เขาปลอบ “โตจนป่านนี้แล้ว ยังร้องไห้ฟูมฟายอยู่อีก แบบนี้ดูเหมือนอะไรเล่า เหวยซือไม่ตายหรอกน่า” แต่แอบต่อท้ายในใจว่า คงจะนะ…
หมิงฟานมีสีหน้าเจ็บปวด “ซือจุน เพื่อซางฉยังซานแล้ว ท่านยอมมองตัวเองให้เจ้ามารผู้นี้ จะไม่เท่ากับอยู่มิสู้ตายหรอกหรือ แต่ไหนแต่ไรมา เคยได้ยินแต่สละชีพเพื่อวิญญูชน แต่ไม่เคยมีผู้ใดถึงขนาดต้องเอาตัวเองไปสังเวยมารกัน”
พูดอะไรของมัน ไอ้หนูนี่มันพูดภาษาคนเป็นไหมนี่
มัวแต่ยื้อกันอยู่เป็นนานจนลั่วปิงเหอหมดความอดทนเรียบร้อยแล้ว เขายึดตัวเสิ่นชิงชิวด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างแต่อยู่ที่ปลอกกระบี่ซินหมัว “เอาร่างเซียนของซือจุนไปด้วย”
เจ้ายอดเขาคนหนึ่งกล่าวอย่างโกรธแค้น “จะรังแกกันเกินไปแล้ว เอาคนไปยังไม่พอ ยังจะเอาศพไปเพื่ออะไร”
ลั่วปิงเหอไม่ตอบ เพียงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้โม่เป่ยจวิน
เสิ่นชิงชิวเห็นว่าไม่ง่ายกว่าจะประนีประนอมกับลั่วปิงเหอได้ พูดผิดคำเดียวเดี๋ยวได้เป็นเรื่องขึ้นมาอีกแน่ ตอนแรกเขาคิดจะฉุดแขนลั่วปิงเหอ แต่รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยเปลี่ยนเป็นกระตุกแขนเสื้อแทน อึกๆอักๆอยู่สักพัก จึงค่อยแข็งใจกล่าวกว่า “ข้าก็จะไปกับเจ้าอยู่แล้ว ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย”
ขณะที่เสิ่นชิงชิวพูดเช่นนี้ก็รู้สึกอับอายอย่างมาก
เขาเป็นลูกผู้ชาย กลับต้องลดตนถ่อมเสียงพูดกับผู้ชายอีกคนเรื่อง ‘ไปด้วย’ ‘ไม่ไปด้วย’ ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ มิหนำซ้ำผู้ชายคนนี้ยังเป็นศิษย์ของเขามาก่อน ยิ่งให้ความรู้สึกอดสูและละอายขึ้นไปอีก
ทว่าการแสดงความอ่อนแอก็ใช้ได้ผลทั้งนั้นไม่ว่ากับผู้ชายหน้าไหน
สีหน้าลั่วปิงเหอแจ่มใสขึ้นเห็นได้ชัด ไม่เพียงผ่อนแรงที่ยึดตัวเขาไว้ น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นเช่นกัน ถึงน้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่เนื้อหาที่พูดกลับยังกระด้างเหมือนเดิม “ถึงอย่างไรก็เป็นร่างดั้งเดิมของซือจุน มีความผูกพันมากมาย อีกอย่างหากซือจุนเกิดจะใช้กลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบขึ้นมาอีก ศิษย์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”
ลั่วปิงเหอหันหน้าไปออกคำสั่ง น้ำเสียงกลับมาเย็นชาอีกครั้ง “เอาไปด้วย”
โม่เป่ยจวินยังไม่ทันขยับ ทางด้านฉีซิงซีก็หันหน้าไปฟังหลิ่วหมิงเยียนที่แอบเข้ามาในอาราม กล่าวอย่างกระซิบกระซาบเบาๆ ทีแรกนางตกใจก่อนเยือกเย็นขึ้นในเวลาต่อมา ตะโกนว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว”
นางเชิดหน้ากล่าว “ลั่วปิงเหอ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ต่อให้พวกเรายอมให้เจ้าเอาไป เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะสมใจเด็ดขาด”
เสิ่นชิงชิวรู้ว่านางเจ้าอารมณ์ กลัวจะไปทำอะไรให้ลั่วปิงเหอโกรธเข้า ขณะกำลังใจคอไม่ดี นึกไม่ถึงว่านางทำท่าเป็นเชิงบอกให้หลิ่วหมิงเยียนออกมายืนข้างหน้า “หมิงเยียน เจ้าว่าไป”
หลิ่วหมิงเยียนรายงาน “ร่างเซียนของอาจารย์ลุงเสิ่นหายไปแล้ว”
นางกล่าวจบก็เบี่ยงกายออก ศิษย์สองสามคนถูกหามออกมาจากด้านในอาราม ศิษย์เหล่านี้ทำหน้าที่เฝ้ารักษาตั่งอยู่ด้านในอาราม คอยดูแลศพ เวลานี้ล้วนสิ้นสติสมประดี ใบหน้าจนถึงปลายเล็บเป็นสีเขียวคล้ำผิดปกติ
เกิดเสียงอื้ออึงทั่วทั้งอาราม
เยวี่ยชิงหยวนหน้าเปลี่ยนสีถนัดตา
ลั่วปิงเหอเลิกคิ้ว
ฉีซิงซีกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “ลั่วปิงเหอ เจ้าไม่ต้องมามองข้า ความจริงข้าก็เคยคิดจะนำไปซ่อนเช่นกัน เสียดายที่พอข้าให้หมิงเยียนไปจัดการเคลื่อนย้าย บนแท่นศิลาก็ว่างเปล่าแล้ว ศพที่พวกข้าดูแลรักษาเป็นอย่างดีอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย”
นางนึกกระหยิ่มยินดีอยู่ในใจ ทั้งแสดงออกชัดจากน้ำเสียง ไม่ว่าอย่างไรยอมให้ศพหายไปเสียยังดีกว่าปล่อยให้ลั่วปิงเหอเป้นคนเอาไป
มู่ชิงฟางโน้มตัวลงไปตรวจดูอาการศิษย์ที่ถูกหามออกมา “หมดสติไป แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต พวกเขาถูกพิษ”
เยวี่ยซิงหยวนถาม “พิษอะไร”
มู่ชิงฟางตอบ “ตอนนี้ยังดูไม่ออก อีกทั้งร่างกายไม่มีบาดแผล ขอข้าเอาเลือดไปตรวจดูก่อน”
ฉีซิงซีกล่าวว่า “หากเป็นพิษของภพมนุษย์ ศิษย์น้องมู่แค่มองปราดเดียวก็ทราบกระจ่างแล้ว ในเมื่อเขาดูไม่ออก ข้าก็อยากถามว่าใช่อุบายของเจ้าหรือไม่”
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างชืดชา “ข้าไม่ชอบใช้พิษ”
นี่เป็นความจริง น้อยนักที่ลั่วปิงเหอจะใช้พิษฆ่าคน อีกอย่างด้วยสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อทุกทางเช่นนี้ ลั่วปิงเหอมไม่จำเป็นต้องพูดปดเลย
สรุปแล้วมีใครก็ไม่รู้ฉวยโอกาสที่สองฝ่ายทุ่มเถียงกันอยู่ด้านหน้าอารามปะปนขึ้นเขามาโดยไม่มีใครรู้ตัว เล็ดลอดสาตาของบรรดาบอสทั้งเผ่ามารและซิวซื่อฝ่ายธรรมะขโมยร่างของเสิ่นชิงชิวที่อยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงกำแพงออกไปจนสำเร็จ จไม่ให้เป็นที่ตกอกตกใจได้ยังไง
เสิ่นชิงชิวก็คลางแคลงใจเช่นกัน จะขโมยศพของเขาไปทำอะไร ทำไมตอนเขายังเป็นๆไม่มีใครอยากได้ พอตายไปแล้วดันฮอตฮิตขึ้นมาซะงั้น
ลั่วปิงเหอเห็นว่ารั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เขานิ่วหน้ากล่าว “ช่างเถอะ ข้าไม่สนหรอกว่าใครขโมย เดี๋ยวก็หาเจอเองนั่นแหละ”
ซินหมัวออกจากฝักแผ่ไอดำพวยพุ่ง จุดที่ปลายกระบี่กรีดผ่านเปิดเป็นรอยแยกสายหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวเตือน “ถอนทัพด้วย”
ลั่วปิงเหอมองเขา ตอบรับเสียงกระด้าง “ได้ขอรับ”
ปลายกระบี่เฉิงหลวนชี้เฉียงลงพื้น ครั้นมองขึ้นไป มือของหลิ่วชิงเกอกำแน่นอยู่ในแขนเสื้อ ง่ามมือที่แตกมีเลือดไหลนองตามตัวกระบี่ก่อนหยดลงสู่พื้น
เขานิ่งขึงไปอึดใจใหญ่ ก่อนจะเค้นเสียง “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ถ้อยคำนี้ราวกับลิ่มน้ำแข็งห้าแท่งซัดออกมา แฝงไว้ด้วยเพลิงโทสะและจิดวิญญาณนักสู้เต็มเปี่ยม
ลั่วปิงเหอเก็บซินหมัวคืนฝัก หัวเราะเยาะ “ได้ทุกเมื่อ”