Skip to content

Scumbag System 14

บทที่ 14

กักขัง

รอยแยกระหว่างสองภพเชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินศิลากว้างสายหนึ่ง คบไฟปักไว้ยาวเหยียดตลอดระเบียงทางเดินสองข้างทางเป็นคู่ๆ ปลายทางด้านในสุดคือความมืดมิด ดูจากสไตล์จิตรกรรมฝาผนักทั้งสองด้าน อีกทั้งบรรยากาศที่หนาหนักด้วยไอหยิน ก็รู้ทันทีว่าที่นี่คือกองบัญชาการใหญ่ในภพมารของลั่วปิงเหอ

หลังจากรอยแยกถูกปิด ลั่วปิงเหอก็ไม่ควบคุมตัวเสิ่นชิงชิวอีก ค่อยๆคลายมือออก

เสิ่นชิวชิวยืนตัวตรง เอามือตบๆแขนเสื้อ ไม่พูดไม่จา

คนทั้งสองมองตรงไปข้างหน้า ไม่มีใครยอมพูดอะไร คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง เสียงฝีเท้าเบากริบ บรรยากาศกึ่งกดดันกึ่งหนาวเหน็บ

ทางแยกในวังใต้ดินไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อยต่อความเร็วของลั่วปิงเหอ เดินวกวนอยู่พักหนึ่ง เบื้องหน้าพลันเปิดโล่งกะทันหัน สิ่งก่อสร้างในภพมารมักอยู่ลึกลงไปใต้ดิน โดยขุดเป็นโพรงลึก ทั้งปีทั้งชาติไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ทว่าบริเวณนี้กลับเจารูตรงเพดานเหนือศีรษะเอาไว้ ส่งให้แสงแดดส่องลงมาได้ ช่วยเพิ่มกลิ่นอายมนุษย์ขึ้นมาไม่น้อย

เมื่อผลักประตูเปิดออก การตกแต่งภายในห้องดูคุ้นตาอย่างมาก ใกล้เคียงกับเรือนไผ่ของชิงจิ้งเฟิงอย่างไม่น่าเชื่อ

เสิ่นชิงชิวเดือดปุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาอยากถามลั่วปิงเหอสักประโยคจริงๆ แบบนี้จะมีความหมายอะไร

จัดฉากไว้ราวกับละครเวที เอาคนมาเลี้ยงในคอก แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เล่นฉากการใช้ชีวิตประจำวันของศิษย์อาจารย์ที่รักกันดื่มด่ำต่อจากในฝันอย่างนั้นหรือ

เดี๋ยวออดอ้อนทำตัวน่าสงสารชวนให้เห็นใจ เดี๋ยวก็บอกเขาว่าที่ทำน่ะเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น อะไรจริงอะไรลวง เขาไม่ใช่คนฉลาดเฉียบแหลม ที่จะรู้ว่าเบื้องลึกในใจลั่วปิงเหอแท้จริงคืออะไร อันไหนจริงใจ อันไหนเสแสร้าง

ขณะที่มัวกลัดกลุ่ม ลั่วปิงเหอก็เดินเข้ามาใกล้เสียแล้ว

ถ้าเป็นเมื่อหลายวันก่อนเสิ่นชิงชิวคงต้องคอยหลบหลีก เข้ามาหนึ่งก้าวก็ถอยหลังไปสามก้าว แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากทำแบบนั้นอีกต่อไป

อย่างนั้นมันเหมือนกุลสตรีในห้องหอที่ถูกโจรป่าจับตัวมา ดูสำออยไปหน่อย ต่อให้ตกต่ำเป็นมังกรว่ายน้ำตื้น พยัคฆ์หลุดมาอยู่ในที่โล่ง(หลงตัวเองสุดๆ” หากยังต้องการรักษาศักดิ์ศรีเศษเสี้ยวสุดท้านเอาไว้ก็ต้องรักษามาดไว้ให้ดี จะได้ไม่ทุเรศจนถึงขั้นสุด

แต่เขาก็อดตึงเครียดไม่ได้ เส้นประสาทตึงเปรี๊ยะราวกับสายธนู ข้อนิ้วจิกงอ เปลือกตาเต้นตุบๆ

ลั่วปิงเหอความรู้สึกเฉียบไวเพียงใดมีหรือจะไม่สังเกต เขาเดินเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง

ซือจุนคิดว่าข้าจะทำอะไรท่านหรือ”

เสิ่นชิงชิวเอ่ยจากใจจริง “ข้าเดาไม่ออกหรอก”

เขาไม่กล้าคาดเดาความคิดของลั่วปิงเหอสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไปแล้ว ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าทุกครั้งที่เดาคือผิดไปไกลเป็นล้านโยชน์

ลั่วปิงเหอยื่นมือขวาออกมา

เสิ่นชิงชิวยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก สายตาจับแน่วแน่อยู่ที่ปลายนิ้วซึ่งกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

มือข้างนั้นเพรียวยาวสะอาดสะอ้าน ดูไม่เหมือนนิ้วของนายน้อยแห่งเผ่ามารที่คร่าชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่กลับเหมือนมือที่จับเครื่องดนตรี จุดเครื่องหอม อาบหิมะมาตั้งแต่เกิด มือข้างนั้นเฉียดผ่านแก้ม แต่สัมผัสผิวแผ่วเบาคล้ายมีคล้ายไม่มี

จากนั้นไล่ต่ำลงมาที่คอ

ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ มือข้างนี้แตะเข้าที่เส้นเลือดสำคัญตรงซอกคอเสิ่นชิงชิวพอดิบพอดี ลูกระเดือกเสิ่นชิงชิวขยับเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น

ทว่าลั่วปิงเหอชักมือกลับ ตอนที่กล่าววาจาอีกครั้งก็มองไม่ออกว่าคิดอย่างไร “เลือดของข้าไม่รับคำสั่งแล้ว”

ที่แท้ลั่วปิงเหอแตะผิวหนังเมื่อครู่เป็นการทดสอบโลหิตมารฟ้าที่ถูกสะกดข่มในกายเสิ่นชิงชิว

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ดูเหมือนไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ซือจุนจะไปเจอของดีเข้า”

เสิ่นชิงชิวถาม “เช่นั้นเจ้าจะทำอย่างไร เอาลือดให้ข้าดื่มอีกครั้งหรือ”

ลั่วปิงเหอตอบ “ดื่มก็หนี ไม่ดื่มก็หนี จะอย่างไหนผลลัพธ์ก็เหมือนกัน เช่นนั้นสู้อย่าให้ซือจุนเกลียดข้าไปมากกว่านี้เลยจะดีกว่า”

เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น สักนิดเขาก็ไม่ไว้หน้าเสิ่นชิงชิว แต่พอยู่ด้วยกันตามลำพัง กลับสุภาพมีมารยาทขึ้นมา เสิ่นชิงชิวรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“ซือจุนโปรดอยู่ที่นี่ไปก่อน หากต้องการ ในวังใต้ดินนี้ท่านจะเดินไปไหนก็ได้ตามใจชอบ” ลั่วปิงเหอกล่าว “ข้าทิ้งคนไว้ด้านนอก พวกเขาจะไม่เข้ามาข้างใน หากต้องการอะไรก็เรียกใช้ได้เลย”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “เจ้าช่างเอาใจใส่นัก”

ลั่วปิงเหอจ้องหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง “มีอะไรที่ท่านต้องการหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “อะไรก็ได้หรือ”

ลั่วปิงเหอพยักหน้า

เสิ่นชิงชิวบันดาลโทสะขึ้นมาชั่ววูบ เลยกล่าวออกไปตรงๆ “ข้าอยากเจอหน้าเจ้าให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เจอเลยยิ่งดี”

ลั่วปิงเหอดูจะคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสิ่นชิงชิวจะพูดออกมาเช่นนี้ หน้าเขาซีดเผือด

เสิ่นชิงชิวเห็นดังนั้นก็นึกกระหยิ่มดีใจทันควัน แต่ก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเสียเองช่นกัน คงเป็นเพราะเขาไม่เคยพูดจาร้ายกาจและไม่ปรานีใส่ใครมาก่อน

หน้าของลั่วปิงเหอมีสีเลือดกลับคืนมาอย่างช้าๆกล่าวว่า “ซือจุนเคยถามข้าว่าอย่างแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าว “ตอนที่ข้าถามคำถามนี้ เหมือนจะเคยบอกเจ้าไว้ด้วยเช่นกันว่า แข็งแกร่งก็เพื่อเอาไว้ปกป้องผู้คน แต่ไม่ใช่เพื่อเอาไปเข่นฆ่าปล้นชิง”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเฉยชา “ไม่ ท่านพูดผิดแล้ว ที่ซือจุนสอน ก็หาใช่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดให้ได้ ถึงจะสามารถเอาตัวคนที่เราต้องการมาไว้ในฝ่ามือได้อย่างมั่นคงต่างหาก ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าขืนมัวรอให้ซือจุนมาเอง วันนั้นคงไม่มีทางมาถึง”

เขากำหมัดแน่น ฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียม “ดังนั้นถูกข้าจับตัวไว้คราวนี้ ซือจุนก็อย่าหมายจะหนีได้อีกตลอดกาล”

หลังจากมารร้ายในคราบมนุษย์ออกไป เสิ่นชิงชิวก็เคาะเรียกระบบ “2.0 อยู่เปล่า”

ระบบ [ระบบพร้อมบริการด้วนน้ำใจอย่างครบวงจรเพื่อท่านตลอด 24 ชั่วโมง]

เสิ่นชิงชิว “เอ่อ ครบวงจรก็พอแล้ว บริการด้วยน้ำใจไม่ต้องก็ได้ ตอนนี้พวกค่าตัวเลขต่างๆเป็นเท่าไหร่แล้ว”

ระบบ [ค่า B 1,330คะแนน ฉลากคำว่า ‘พล็อตห่วยเกินเยียวยา’ ถูกดึงออกจากนิยาย ‘เทพมารอหังการ’ สำเร็จแล้ว ได้ติดตราเกียรติยศ ‘มีประเด็นให้แขวะค่อนข้างมาก’ ขอให้พยายามต่อไป ทางเรารอคอยที่จะได้ประกาศมอบตราเกียรติยศปริศนาอื่นๆให้ท่านอีกในคราวหน้า ค่าความฟิน 3,840 คะแนน ค่าความโกรธ 1,500 คะแนน ค่าใจสลาย 4,500 คะแนน ยังต้องพยายามต่อไป]

ดีมาก ด้วยความพยายาม(รนหาที่ตาย)ของเขา ในที่สุดนิยายฮาเร็มกากๆเรื่องนี้ก็มีค่า B เพิ่มขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ ‘มีประเด็นให้แขวะค่อนข้างมาก’ จะไม่ใช่ผลการประเมินที่ดีอะไร แต่ยังไงก็ดีกว่า ‘พล็อตห่วยเกินเยียวยา’ มั้ง ค่าความโกรธไม่ได้กระฉูดอย่างที่คิด ทว่าค่าใจสลายกลับสูงเสียจนเสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงอีกรอบ

เขากรอกตาถามว่า “ค่าความฟินเท่านี้ ใช้แลกอะไรได้ไหม”

ระบบ[สามารถอัปเกรดเครื่องมือของระบบได้]

เสิ่นชิงชิวอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง “ดี งั้นอัปเกรดเลย”

ระบบทำเสียง ติ๊ง! เริ่มด้านดาวน์โหลดแพ็กเกจสำหรับอัปเกรดอย่างกระมิดกระเมี้ยน

เสิ่นชิงชิวคิดๆ แล้วถามอย่างปุบปับ “จริงซิ เครื่องมือของระบบมีชื่อว่าอะไรรึ”

ระบบ [แพ็กเกจตัวสร้างสถานการณ์ระดับดีลักซ์]

เสิ่นชิงชิวจิ้มปุ่มดาวน์โหลดเพื่ออัปเกรดทันทีโดยไม่ลังเล

เชี่ย! พอดาวน์โหลดเสร็จ ค่าความฟินลดฮวบไปเลยสามพัน แบบนี้ต้องร้องเรียน

เสิ่นชิงชิวส่งเรื่องร้องเรียนไปพร้อมกับข้อความขยะเป็นตั้งด้วยความเจ็บใจ แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตที่ถูกกักขังต่อไป

ลั่วปิงเหอวุ่นอยู่กับการรวบรวมเผ่ามารทางเหนือในเขตปกครองของโม่เป่ยจวิน

ซาหัวหลิงดูเหมือนกำลังเริ่มภารกิจขุดหลุมฝังพ่อ

(สำนวน ขุดหลุมฝังพ่อ 坑爹 เคิงเตีย แปลตามตัวอักษรคือขุดหลุมพ่อ ปกติเป็นสแลงที่ส่วนมากพูดกันในกลุ่มผู้ชายซึ่งใช้พูดเวลาโมโหที่โดนหลอก ประมาณว่า หลอกกันนี่หว่า หรือบางครั้งแปลว่าหักหลัง แต่ในกรณีนี้หมายถึงซาหัวหลิงเตรียมแผนกำจัดพ่อตัวเอง)

โดยหมายความตามตัวอักษรจริงๆ สรุปง่ายๆ ช่วงนี้ลั่วปิงเหอจะต้องเข่นฆ่าสังหารและชักนำผู้คนจำนวนมากมาเป็นพวก ท่าทางจะเป็นงานที่ซับซ้อนยุ่งยากไม่น้อย ไม่อาจปลีกตัวมาโดยง่าย ดังนั้นจึงไม่ได้โผล่หน้ามาให้เขาเห็นอีกเลย

…หรือไม่ก็เป็นเพราะวันนั้นโดนเสิ่นชิงชิวพูดจาแรงๆ ตอกใส่หน้าดวงใจแตกสลายเลยไม่กล้ามาปรากฏตัว

เสิ่นชิงชิวพยายามไม่คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหลัง

สรุปแล้ว หากต่อไปลั่วปิงเหอไม่มาหาเขาเลย ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่ ‘นั่งกินนอนกินรอวันตาย’ แบที่ต้องการมาตลอดเหรอ

ทั้งลั่วปิงเหอก็ไม่ได้จับเขาล่ามโซ่ เอาผ้าปิดตาปิดหาก จับแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้วเฆี่ยนตีทรมานอะไรพวกนั้น เหมือนอย่างที่บรรยายไว้ในนิยายแปลกๆ ซึ่งน้องสาวในชาติที่แล้วของเขาชอบอ่านเสียหน่อย รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ทุกที่ก็เป็นบ้าน อา…

บ้านพ่องซิ!

หากเสิ่นชิงชิวปลอบใจตัวเองด้วยประโยคนี้ก็สมองกลับแล้ว เขาไม่ได้เป็นพวกสตอกโฮล์มซินโดรมนะ เลี้ยงดูจนอ้วนพีขึ้นมานิดหน่อยก็ซาบซึ้งในพระคุณเหลือหลาย ชีวิตที่ดีต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่อาจอาศัยใบบุญที่คนอื่นทำทานให้ เข้าใจ๋!

(สตอกโฮล์มซินโดรม หมายถึง อาการที่เกิดขึ้นกับตัวประกันที่ถูกคนร้ายควบคุมตัวในระยะเวลาหนึ่ง ต้องใช้ชีวิตด้วยกันจนทำให้พวกเขาเกิดความผูกพัน หรือบางครั้งเกิดความรักใคร่)

ล้างสมองตนเองไม่สำเร็จ เสิ่นชิงชิวออกแรงมากไปนิด หน้าหนังสือในมือก็ฉีกออกแควก พร้อมๆกับได้ยินเสียงไม้ไผ่หักดังมาจากด้านนอก เขาเลิกม่านออกดู เห็นเด็กรับใช้เผ่ามารกลุ่มหนึ่งกำลังวุ่นกันอยู่ เลยลองถามออกไป “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”

“เสิ่นเซียนซือ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ”

กิริยาท่าทีของเด็กรับใช้ผู้นั้นเป็นมิตรและอ่อนน้อมสุดๆ ดูไม่เหมือนคำพูดที่เอ่ยกับเชลยซึ่งถูกกักขังสักนิด ตอบยิ้มๆว่า “พวกข้ากำลังปลูกต้นไผ่ขอรับ”

เสิ่นชิงชิวตกตะลึง “ไผ่หรือ”

“ขอรับ ท่านคงรู้ว่านี่เป็นต้นไม้ของภพมนุษย์ เอามาปลูกที่ภพมารไม่ขึ้น แต่จวินซั่งต้องการจะปลูกที่นี่ให้ได้ ทุกคนก็ได้แต่คิดหาวิธีกันอยู่”

เสิ่นชิงชิวดูจากพละกำลังและวิธีการโคจรพลังของเขาแล้ว ก็รู้ว่าไม่ใช่ชนชั้นแรงงานทั่วไป

เผ่ามารที่ลั่วปิงเหอหามาเหล่านี้ดูท่าจะคัดเลือกมาจากบุคลากรชั้นเยี่ยมของภพมารแต่ละเผ่าเลยทีเดียว ให้ยอดฝีมือเหล่านี้มาทำงานหยุมหยิมให้ เสียของจริงๆ

ไม่เพียงแค่นี้ สองวันแรกเสิ่นชิงชิวไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเท่าไหร่ วันที่สามเขาก็เบื่อที่จะปี้กู่อดอาหารต่อแล้ว หลังจากชวนหญิงรับใช้เผ่ามารสาวสวยผิวขาวอกโตคุย(จีบ) ได้สองสามคำ เลยบอกนางให้หาข้าวหาปลาให้สักหน่อย แต่พอขยับตะเกียบเริ่มกินไม่กี่ทีก็กินต่อไม่ลง

หญิงรับใช้ผู้นั้นเอียงคอถาม หัวเราะคิกคัก “ทำไมหรือเจ้าคะเสิ่นเซียนซือ อาหารไม่อร่อยหรือ”

อร่อยน่ะอร่อยอยู่ อร่อยมากเชียวล่ะ แต่เพราะอร่อยเกินไป แถมรสชาติมันช่างคุ้นปากยิ่งนัก เสิ่นชิงชิวไม่ได้กินอะไรอร่อยๆแบบนี้มาหลายปีจึงกินต่อไม่ลง

เขาวางตะเกียบ ทำเป็นถาม “แม่นางเป็นคนทำหรือ”

หญิงรับใช้ผู้นั้นหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าทำเป็นแต่ฆ่าฟัน ทั้งยังชอบกินอาหารดิบๆ หรือไม่ก็รอให้เน่าอีกนิดแล้วค่อยกิน วิธีแบบพวกมนุษย์ข้าทำไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ ไหนจะต้องจุดไฟ ต้องปรุงโน่นนี้สารพัด วุ่นวายจะตายไป”

…เวรกรรม แม่คนสาวยเสียงหวานตัวหอมตรงหน้าเขา ที่แท้เป็นพวกชอบกินของเน่าหรอกรึ

เสิ่นชิวชิวมองออกแต่แรกแล้ว หญิงสาวที่มาปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันผู้นี้ ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเกินไปแล้ว เสิ่นชิงชิวคิดว่าพละกำลังที่แท้จริงของนางเหมาะกับการแบกขวานคู่ไปออกรบฟาดฟันศัตรูให้เหมือนผ่าแตงหั่นผักมากกว่า และเป็นไปได้อย่างมากว่านั่นก็คือตำแหน่งเดิมของนาง

เสิ่นชิงชิวข่มเสียงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ “เช่นนั้นผู้ใดทำ”

หญิงสาวผู้นั้นกล่าวว่า “อุ๊ย เรื่องนี้ข้าพูดไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ขืนพูดจวินซั่งต้องฆ่าข้าแน่”

ไม่บอกรึ นึกว่าไม่บอกแล้วเขาจะจำรสมือไม่ได้งั้นซิ

เสิ่นชิงชิวหยิบตะเกียบที่วางลงไปแล้วขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นี่แหละรับผลประโยชน์ของชาวบ้านมา จะพูดจาอะไรก็ลำบาก

เสิ่นชิวชิวชักสงสัยว่าหลังกินอาหารมื้อนี้เข้าไป ตนเองยังจะมีเหตุผลอะไรให้แสดงความไม่พอใจต่อลั่วปิงเหอได้เต็มปากเต็มคำอีกล่ะ อย่างไรเสียคนที่ทำอาหารก็รู้จักนิสัยการกินและรสชาติที่เขาชอบเป็นอย่างดี ขณะที่มัวสงสัยอยู่ ก็กินอาหารหมดไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ตัว

หญิงรับใช้ผู้นั้นเก็บจาน เอามือปิดปากหัวเราะแล้วเดินยักซ้ายยักขวาออกไป พอนางออกไปได้ไม่นาน ม่านก็ถูกเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งเดินเซแซดๆเข้ามา

พอเสิ่นชิงชิวเห็นหน้าคนผู้นั้นก็โมโหทันควัน ฟาดฝ่ามือจู่โจมออกไปเดี๋ยวนั้น “ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ฟัคยู!”

ซั่งชิงหัวรีบเอากระบี่ที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักชูขึ้นขวางตรงกลางสลายพลังโจมตี เขาพูดว่า “นี่ๆๆ อย่านะ อย่า ลูกพี่เสิ่น ตอนนี้คุณจะมาเที่ยวฟัคคนโน้นคนนี้ตามใจชอบไม่ได้แล้วนะ หากคุณฟัคผม ผมคงไม่ได้ตายดีแน่ และคุณก็อย่างได้คิดว่าคนๆนั้นจะยอมปล่อยคุณลอยนวลด้วยเหมือนกัน”

เสิ่นชิงชิวด่าลั่น “นายขายฉันได้ลงคอน ไหนวะ มิตรภาพ ไหนวะน้ำใจคนบ้านเดียวกัน”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “มิตรภาพของคุณกับผมมีที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าทั้งรักทั้งชังกันมาตลอดหรอกหรือ อย่าทำกับผมแบบนี้ซ มันเจ็บนะ..ไม่ขายแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ นั่นน่ะคือลูกพี่ลั่วผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ ต่อให้ผมไม่ขายคุณเดี๋ยวเขาก็เดาได้เองอยู่ดี แล้วผมจะยอมเจ็บตัวไปเปล่าๆทำไม หากต้องเจ็บตัวอย่างไร้ความหมายแบบนั้น ผมเลือกพูดความจริงดีกว่า จะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย”

เขาพูดเต็มปากเต็มคำโดยไม่นึกอายแม้แต่น้อย

เสิ่นชิงชิวมัวแต่ช็อค รู้ตัวอีกทีซั่งชิงหัวก็เดินมานั่งข้างโต๊ะแล้ว เขาเอากระบี่ในมือวางลงบนโต๊ะ “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ผมได้รับคำสั่งให้เอาของมาส่ง”

เสิ่นชิงชิวจ้องอีกที มือก็เผลอลูบคลำไปเรียบร้อยแล้ว มันคือกระบี่ของเขาเอง ตอนนั้นที่เขาระเบิดพลังทิพย์ตัวเองส่งผลให้มันได้รับผลกระทบจนแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปด้วย กระบี่ซิวหย่าที่แสนอาภัพ

เสิ่นชิงชิวยังผูกพันกับมันอยู่มาก พอได้กระบี่คู่ใจมาไว้ในมือก็ไม่สนใจจะด่าซั่งชิงหัวต่อ เขาชักกระบี่ออกมา มันยังคงเปล่งประกายขาวพร่าง เรียวบาง ถูกเชื่อมประสานใหม่อย่างประณีตไร้ที่ติ พลังทิพย์เต็มเปี่ยม มองไม่เห็นรอยขีดข่วนแม้แต่เส้นเดียว

ส่วนทางซั่งชิงหัวก็ถูมือถูไม้ เดาะลิ้น “โอ้โฮเฮะ จริงๆนะนี่ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ เนื้อเรื่องจะกลับตาลปัตรไปได้แบบนี้ สุดยอด สุดยอด”

เสิ่นชิงชิวถาม “พระเอกนิยายฮาเร็มที่นายเขียนเป็นเกย์ไปแล้ว นายไม่เดือดร้อนสักนิดเลยรึ”

ซั่งชิงหัวตอบอย่างจริงใจ “ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ถึงยังไงคนที่เขาชอบก็ไม่ใช่ผมซะหน่อย”

เสิ่นชิงชิวชูนิ้วกลางให้เขาอย่างจริงใจยิ่งกว่า ก้มหน้าลูบคลำกระบี่

ซั่งชิงหัวชูนิ้วหัวแม่โป้ง “ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น แบบนี้ก็เท่ากับคุณมีอนาคนที่สดใสเลยนะนี่ สดใสมาก มีต้นขาทองคำให้เกาะ ต้นขาที่ทั้งเฟิร์มทั้งมั่นคงสุดๆ”

เสิ่นชิงชิวด่า “ต้นขาทองคำพ่องซิ ให้มันเป็นต้นขาก็ยังดีกว่า แต่ไอ้ที่ฉันต้องเกาะน่ะแค่ต้นขาที่ไหนกัน หว่างขาเลยนะ!”

ซั่งชิงหัวว่า “หว่างขาซิยิ่งดี หว่างขาเป็นอวัยวะสำคัญของลูกผู้ชายเชียวนะ”

หากไม่ใช่เพราะเพิ่งได้กระบี่ซิวหย่ากลับคืนมาหมาดๆ ไม่อยากเอามันไปทำเรื่องสกปรก ไม่อย่างนั้นเสิ่นชิงชิวคงเอามันปาดไปที่หว่างขาอีกฝ่ายฉับเดียวเหี้ยนเตียนไปแล้ว

หลังจากตลกไร้สาระคั่นเวลาพอหอมปากหอมคอ เขาก็ทำหน้าจริงจังและถามว่า “ไหนๆก็สารภาพความจริงไปแล้ว งั้นถามหน่อย นายเคยวางพล็อตเกี่ยวกับเทียนหลางจวินไว้ยังไงรึ”

ซั่งชิงหัวถามว่า “คุณถามถึงพ่อของปิงเกอเขาทำไม”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่ทำไม แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ พ่อของพระเอกนายกลับไม่ยักเขียนถึงสักเท่าไหร่ ทีบรรดาเมียของเขางี้ นายเขียนออกมาได้เป็นล้านตัวอักษร เพิ่มพ่อเขาเข้าไปอีกคนนายต้องเขียนยืดยาวต่อไปได้อีกสามปีแน่”

ซั่งชิงหัวตื่นเต้นขึ้นมาทันที “คุณช่างมีวิสัยทัศน์จริงๆ เป็นนักอ่านแฟนพันธุ์แท้ของผมชัดๆ ผมจะบอกให้นะ เดิมทีผมวางโครงเรื่องเอาไว้แบบยิ่งใหญ่มาก กะจะให้พ่อของปิงเกอเขาเป็นลาสต์บอส ผลปรากฏว่าเขียนๆอยู่ คอมพ์ดันเจ๊ง เค้าโครงที่เขียนไว้หายเกลี้ยง รายละเอียดส่วนใหญ่เลยคลุมเครือไม่ชัดเจน แล้วตอนนั้นคนอ่านในเน็ตเรียกร้องบอกว่าอยากอ่านพล็อตแนวอื่นมากกว่า ก็พวกฉากปิงเกอตะลุยดงบุปผาไง คุณก็รู้นี่ ภูตสาวแห่งเผ่าบุปผาศักดิ์สิทธิ์นับร้อนตนที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผู้ชาย ทั้งหมดยังเวอร์จิ้นอยู่เลย กวาซยงไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นผมต้องเขียนฉากบุปผาเบ่งบานพร้อมกันนับร้อยดอกด้วยความทรมานขนาดไหน ยังจะมาด่าผมอีก…”

“…” ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็รู้แล้วว่าเนื้อเรื่องที่ไม่ต่อเนื่องกันพวกนั้นมีที่มายังไง

“นายก็เลยมัวไปเขียนพล็อตฮาเร็มของลั่วปิงเหอซะ ส่วนพล็อตอื่นที่มันเป็นเรื่องเป็นราวหน่อยอย่างเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพ่อเขาก็เลยกระท่อนกระแท่นแบบนี้น่ะเหรอ”

ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “กระท่อนกระแท่นก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ข้อสำคัญก็คือทุกคนอ่านแล้วฟินก็ใช้ได้ละ พวกสาวๆที่ควรโดนจับกดก็โดนแล้ว พวกปลาซิวปลาสร้อยที่ควรฆ่าก็ฆ่าแล้ว เขียนพล็อตที่ไม่ใช่ทุกคนจะสนใจ มันได้ไม่คุ้มเสียหรอก ผมก็ทำไปเพราะเลี้ยงตัว หากยอดอ่านลดฮวบผมก็ไม่มีข้าวกินซิ กวาซยง นักเขียนบนเน็ตมันไม่ง่ายหรอกนะ”

 

เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเอาโครงเรื่องมาหั่นตามใจชอบ แต่ระบบกลับมาเรียกร้องเอากับเสิ่นชิวชิวโดยไม่มีการโอนอ่อนผ่อนผันแม้แต่น้อย ให้เขาเป็นคนกลบหลุมที่อีกฝ่ายขุดเอาไว้อย่างไร้จรรยาบรรณเหล่านั้น

ซั่งชิงหัวกล่าวต่อ “ความจริงผมก็ทำเพราะความจำใจนะ พล็อตเดิมที่วางไว้น่ะ เลือดของเทียนหลางจวินบริสุทธิ์กว่าเลือดของปิงเกอ วรยุทธ์ก็สูงกว่า มีชื่อเสียงมาก่อนปิงเกอเขา ภาพลักษณ์สูงส่งกว่าปิงเกอ เก่งกาจกว่าใครในสามภพ แถมยังมีเรื่องรักรันทดในอดีต เหมือนตัวละคร แจ็ก ซู เลยใช่ไหมล่ะ แต่ถ้านักอ่านโวยวายว่าปิงเกอถูกขโมยซีนจะทำยังไง คุณก็รู้ว่าติ่งของปิงเกอเขาแรงแค่ไหน ด่าแรง แต่กดให้ทิปก็แรงด้วย”

(แจ็ก ซู คนจีนเรียก แมรี ซู ภาคผู้ชายว่า แจ็ก ซู หรือบางครั้งก็ ทอม ซู ในขณะที่ทางตะวันตกเรียกว่า แกรี่ สตู)

เสิ่นชิงชิวเอามือกุมหน้าผาก ฟังไอ้คุณเซี่ยงเทียนกล่าวอย่างหมดเปลือกแบบนี้ก็เริ่มกลุ้ม หากเทียนหลางจวินถูกปล่อยออกมา ลั่วปิงเหอจะเอาชนะได้หรือเปล่าล่ะเนี่ย

แต่เปลี่ยนมาคิดอีกมุมหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจใช้พ่อมาควบคุมลูกได้นี่นา แต่แล้วเสิ่นชิงชิวก็รีบระงับความคิดอันตรายนั้นเป็นการด่วน กับคนที่ไม่รู้ว่ามีความสามารถขนาดไหน เป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ฝันลมๆแล้วๆว่าจะใช้ประโยชน์จากเขา สุดท้ายตัวเองตายอย่างไรก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ สรุปแล้วยังคงตีความได้ว่าไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีช่างเป็นนักเขียนที่ล้ำพิสดารเกินคนแห่งยุคจริงๆ

เสิ่นชิงชิวตบโต๊ะ “นายบอกความจริงมาเลยละกัน เล่าเนื้อหาที่เคยคิดไว้แต่ดันเปลี่ยนพล็อตกลางคันเลยไม่ได้เขียนออกมาให้หมด เริ่มจากเรื่องสำคัญก่อน”

ซั่งชิวหัวกล่าวอึกอัก “สำคัญรึเปล่าผมไม่รู้ แต่มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคุณ หรือที่ถูกคือเกี่ยวกับเสิ่นจิ่ว ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่กล้าบอก…”

เสิ่นชิงชิวพอได้ฟังก็ขนลุก ดูจากสันดานของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีแล้ว การที่หมอนี่จะเพิ่มบทอะไรที่มันปกติธรรมดาให้เขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!

เสิ่นชิงชิวเอามือกุมหัว “นายว่ามาเลย ฉันรับไหว”

ซั่งชิงหัวเริ่มสาธยายไอเดียของเขาอย่างกระตือรือร้น “สำหรับเสิ่นชิงชิวนี่ ผมมีไอเดียสำหรับเขาเยอะมาก ผมอยากสร้างให้เขาเป็นตัวละครที่มีคาแรคเตอร์หลากหลายแง่มุม เขามันชั่วช้าอุบาทว์ด้วย แต่คนอ่านไม่สนใจอยากอ่าน ตอนที่ผมเอาไปเกริ่นๆไว้ พวกเขาก็เอาไปเม้มต์ด่าในเน็ตซะเละ ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเปลี่ยนให้เขาเลวบริสุทธิ์ไปเลย แต่ความจริงแล้วเขา…”

เสิ่นชิงชิวกำลังตั้งอกตั้งใจฟังเต็มที่ แต่แล้วหญิงรับใช้ด้านนอกก็ขานขึ้นอย่างนอบน้อม “จวินซั่ง”

มาได้ไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย

พอได้ยินประโยคนี้เข้า ซั่งชิงหัวก็หน้าถอดสี เด้งพรวดเหมือนมีไฟจ่อก้น รีบออกไปทางประตูหลังเดี๋ยวนั้น “เขาของคุณมาแล้ว เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน อ๊ะ ไม่ซิ วันหน้าค่อยคุยกันนะ”

อย่าเพิ่งไปซิ เสิ่นชิงชิวยื่นมือออกไปหมายรั้งเขาไว้ มา ‘วันหน้าค่อยคุยกันนะ’ ได้ไง มาพูดค้างไว้แบบนี้มันทนไม่ได้ซะชิ่งกว่าฉากน้ำเน่าพวกนั้นเสียอีก เหมือนเวลาพยานในที่เกิดเหตุซึ่งใกล้ตายเต็มทีกำลังพูดว่าความจริงแล้ว คนร้าย…คือ…คือ… แต่ดันกระอักเลือดตายไปก่อนเฉยเลย

ม่านเขียวถูกเลิกขึ้น ลั่วปิงเหอก้มหัวลอดประตูเข้ามาในห้อง เสิ่นชิงชิวรีบเปลี่ยนมาทำหน้านิ่งๆ ทันใด เพราะเมื่อกี้ถูกขัดจังหวะตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี สีหน้าเขาจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก สายตาของลั่วปิงเหอจับไปยังกระบี่ซิวหย่าในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วเบนออก

เงียบกันไปครู่หนึ่ง ยังคงเป็นลั่วปิงเหอที่กล่าวขึ้นก่อน “ช่วงนี้ซือจุนดูเหมือนไม่ได้พักผ่อนเท่าไร”

พูดเรื่องพักผ่อนขึ้นมาเสิ่นชิงชิวเลยนึกไปถึงเรื่องฝัน พูดถึงเรื่องฝันก็อดนึกถึงการกระทำอันน่าอับอายสารพัดอย่างที่ตัวเองทำเพื่อปลอบลั่วปิงเหอในฝันไม่ได้ เสิ่นชิงชิวเอามือลูบจมูก กล่าวว่า “หากไม่ฝันเสียได้ ก็จะพักผ่อนได้เต็มที่เอง”

ลั่วปิงเหอหลุบเปลือกตายืนเฉยครู่หนึ่ง เมื่อตัดสินใจได้จึงค่อยกล่าวเสียงกระด้าง “ถึงแม้ในห้วงฝันวันนั้นข้าจะตบตาซือจุน แต่ความรู้สึกทั้งหมดที่ข้าแสดงออกมาหาใช่เรื่องเท็จ”

เสิ่นชิงชิวถอนใจ กร่อนกล่าวจากใจจริง “ลั่วปิงเหอ ตอนนี้ข้าไม่รู้จริงๆว่าคำพูดของเจ้า ประโยคไหนจริงประโยคไหนเท็จ ดังนั้นคำพูดพวกนี้ก็อย่าพูดเลยดีกว่า”

ลั่วปิงเหอที่อยู่ในความฝันน่ารักมากจริงๆ ถึงพระเอกยังคงเป็นพระเอกคนเดิมอยู่ แต่ท่าทางน่าสงสาร จิตใจมีแต่ความเศร้า หน้าตาก็ไม่เลว ทำเอาเสิ่นชิงชิวที่เป็นชายแท้ยังอดสงสารไม่ได้ ทว่ายิ่งสงสารมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดที่เหมือนกับโดนตบหน้าทีหลังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ลั่วปิงเหอบอกว่าเหตุการณ์ที่เมืองจินหลันเขาไม่ได้เป็นคนทำ ทีแรกเสิ่นชิงชิวก็เชื่อไปแล้วประมาณ 90% แต่มาตอนนี้กลับไม่กล้าหลับหูหลับตาเชื่ออีกแล้ว

ลั่วปิงเหอเลือดลมพลุ่งพล่าน หน้าตาเริ่มแดงนิดหน่อย เขาเหลือบตาขึ้นกล่าวอย่างเย็นชา “ซือจุนเอาแต่โกรธที่ข้าหลอกลวงท่าน แต่หากข้าไม่ทำเช่นนั้น เกรงว่าป่านนี้ก็ยังไม่มีหนทางพูดคุยกับท่านได้สักประโยคเดียว”

นิ้วของเขากุมด้ามกระบี่ซินหมัวแน่นโดยไม่รู้ตัว ออกแรงเกร็งจนข้อนิ้วซีดขาว ไม่เพียงนัยน์ตาเริ่มแดง ขอบตาก็แดงเรื่อเช่นกัน

“หรือซือจุนไม่เคยหลอกลวงข้าเล่า ท่านเคยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับคนที่ยึดถือเรื่องความแตกต่างของเผ่าพันธุ์มากเกินไป แต่เพียงแค่กะพริบตาท่านก็ไม่ยอมรับแล้ว หลังจากท่านเสียชีวิตที่เมืองฮวาเยวี่ย ข้าทำพิธีเรียกวิญญาณไม่รู้กี่ครั้ง ทดลองแล้วล้มเหลว ล้มเหลวแล้วก็ทดลองใหม่อยู่เช่นนั้น แต่ไม่เคยท้อถอยแม้สักนิด ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่เคยมีความคิดเลยว่าซือจุนจะเกลียดชังข้าได้ถึงขนาดนี้ พอท่านกลับมายืนตรงหน้าข้า คาดไม่ถึงจริงๆว่าท่านจะมองข้าที่ทำตัวโง่เง่าได้อย่างเฉยชานัก”

เขาพูดมาถึงตอนท้าย หากเสียงสั่นไหวอยู่บ้าง น้ำเสียงก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทั้งโมโหทั้งอัดอั้น

“ตอนนี้ซือจุนย่อมมีเหตุผลที่จะประณามข้าได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นมารร้ายในคราบมนุษย์ นำหายนะมาสู่ผองชน ทว่าแล้วเหตุใดตอนที่ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด กลับถูกหลีกลี้หนีหน้าราวกับเป็นสัตว์เลื้อยคลานด้วยเล่า ท่านหลอกลวงข้าสองครั้ง ข้าก็หลอกท่านสองครั้ง มิใช่เสมอกันแล้วหรอกหรือ”

ถึงจะรู้สึกว่าเขานับหนึ่งเป็นหนึ่ง สองเป็นสองได้เป๊ะๆ เสิ่นชิงชิวก็ยังคงกล่าวอย่างอดไม่ได้ “เจ้าช่างจดจำความแค้นจริงๆ”

ลั่วปิงเหอหัวเราะขื่น “เกรงว่าซือจุนคงไม่เคยเห็นหรอกว่าเวลาที่ข้าจดจำความแค้นจริงๆมันเป็นอย่างไร”

แม้ยังคงหัวเราะอยู่ แต่สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นอึมครึม ดึงระยะห่างระหว่างสองคนให้เข้ามาใกล้ขึ้น “แต่หากข้าบอกว่ากับซือจุนแล้ว ข้ามีแต่จดจำ ไม่เคยแค้น ท่านคงไม่เชื่อกระมัง”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าเงาร่างของเขาที่ทาบลงมามันชักใหญ่เกินไปแล้วจึงรีบกล่าว “เจ้าใจเย็นๆก่อน”

อยากพูดคุยก็พูดคุยกันดีๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นซิ

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงต่ำ “ซือจุนมักใจเย็นได้เสมอในทุกสถานการณ์ แต่ข้าเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว”

เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันตั้งตัวว่าอะไรเป็นอะไร เพียงได้ยินเสียงโครม ก็พลันรู้สึกเจ็บที่หลังขึ้นมา พอรู้ตัวอีกที พวกเขาทั้งคู่ก็นอนกลิ้งอยู่ด้วยกันบนเตียงแล้ว

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้นอนเตียงไม้ไผ่ แม่งเอ๊ย! แข็ง เจ็บหลังสุดๆ

เสิ่นชิงชิวโวยลั่น “เจ้าคิดจะแข็งข้อหรือ”

ลั่วปิงเหอเม้มปากไม่พูดไม่จา

เสิ่นชิงชิวกำลังคิดจะยกยาถีบเขาออกไป ทันใดนั้นจากศีรษะจรดปลายเท้าก็เสียววูบ มือข้างหนึ่งมุดจากด้านล่างของชายเสื้อเข้ามา

ผีหลอกกลางวันแสกๆ

เขารีบยันเข้าขึ้นต้าน แต่ถูกลั่วปิงเหอยึดเข่าไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วจับขาแบะออกกว้าง

เสิ่นชิงชิวสบถ ‘เชี่ย!’ ในใจร้อยรอบ ยังไงก็ไม่ยอมถูกจับให้นอนแหกขาอยู่ใต้ร่างคนอื่นเด็ดขาด เขายันร่างกายท่านบนขึ้นเดี๋ยวนั้น อาศัยจังหวะบิดเอวทีหนึ่ง ยืมกำลังฝ่ายตรงข้ามพลิกกายอย่างรวดเร็วจับลั่วปิงเหอพลิกไปอยู่ใต้ร่างแทน ซิวหย่าออกจาฝักสามชุ่น แผ่รังสีเย็นเฉียบจ่ออยู่ที่คอหอยลั่วปิงเหอ

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โดนจับกด ก็กดซะเสิ่นชิงชิวโมโหเดือนพล่าน

“คิดจะเล่นป้าหวางขืนน้าวธนู กับซือจุนของเจ้าหรือ ห๊า! ช่างกตัญญูเหลือเกินแล้ว!” จริงอยู่ว่าเขาเป็นเบี้ยล่าง แต่อย่าเหมาว่าเขาจะโอนอ่อนแต่โดยดีเด็ดขาด

(ป้าหวางขืนน้าวธนู เป็นสำนวน หมายถึง บังคับขืนใจ มีที่มาจาก เซี่ยงอวี่ บุคคลในสมัยราวชงศ์ฉิน-สมัยซีฉู่(232-202 B.C.) (หลังสมัยซุนชิวจ้านกั๋ว) แม่ทันคนสำคัญของแคว้นฉู่ ซึ่งมีฉายาว่า ฉู่ป้าหวาง(ฌ้อปาอ๋อง) เซี่ยงอวี่เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล ถึงขนาดที่เล่ากันว่า เวลาเขาจะขึ้นสายธนู ซึ่งคนทั่วไปจะผูกสายไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของคันธนูก่อน ใช้เข่าทั้งสองข้างหนีบคันธนูให้หักโค้งเข้าหากัน แล้วจึงผูกสายเข้าที่ปลายอีกด้านหนึ่งได้ แต่เซี่ยงอวี่นั้น เมื่อผูกสายธนูที่ปลายด้านหนัชึ่งแล้ว กลับสามารถใช้มือเปล่าจับคันธนูโค้งเข้าหากันแล้วผูกปลายอีกด้านได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึงคนที่ชอบใช้กำลังอำนาจในการทำเรื่องต่างๆ ปัจจุบันยังใช้ในการเปรียบเปรยว่าใช้กำลังเพื่อขืนใจบุคคลอื่นอีกด้วย)

จุดสำคัญทั่วร่างรวมทั้งลำคอของลั่วปิงเหอล้วนถูกควบคุม แต่แววตากลับเปล่งประกายเจิดจ้า ไม่มีหวาดกลัวต่อคมกระบี่ที่จ่อลำคออยู่แม้แต่น้อย เขาใช้มือข้างหนึ่งยึดข้อมือเสิ่นชิงชิว ส่วนมืออีกข้างยันพื้นไว้ ปะทุพลังแรงระลอกหนึ่งออกมา จนเกือบจะพลิกขึ้นมาอยู่บนได้ไหม่

เสิ่นชิงชิวไหนเลยจะยอมให้เขาสมใจ เอาด้ามกระบี่ซิวหย่ากดจุดชีพจนเขาทันที

นายบนฉันล่าง นายล่างฉันบน กลับไปกลับมาอยู่สองสามตลบ พวกเขาทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเป็นก้อนกลมร่วงลงจากเตียงไม้ไผ่ กลิ้งขลุกๆไปกับพื้น แสงสีขาวพลันระเบิดประกายพร่างไปทั้งห้อง ปราณทิพย์ปราณมารดีกันกระเด็นเซ็นซ่าน ความที่เก๊กมานานจนเคยตัว ทำให้เสิ่นชิงชิวลืมไปเลยว่าตนไม่ได้ลงไม้ลงมืออย่างดุเดือดแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว สู้กันถึงจุดคับขัน เสิ่นชิงชิวถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา

ไม่ถูก นี่มันนิยายผู้ฝึกวิชาเซียนนะ เอาตัวเข้าสู้ทำบ้าอะไร มีปืนใหญ่แต่ดันไม่ใช้ โง่เปล่า!?”

เขายกกำปั้นที่อัดแน่นไปด้วยพลังทิพย์ระดับสะท้านฟ้าสะเทือนดินต่อยท้องน้อยลั่วปิงเหอทันที

ลั่วปิงเหอที่โดนเข้าไปเต็มๆหนึ่งหมัด ไม่แม้แต่จะครางสักแอะ

“…” พูดตามตรง เสิ่นชิงชิวเองก็ไม่คาดคิดว่าจะต่อยเข้าเป้าจังเบ้อเร่อแบบนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมัดนี้ต่อยได้สะใจจริงๆ อารมณ์เดือดที่สะสมมาหลายวันเหมือนจะถูกระบายออกมาพร้อมกับหมัดนี้เลยทีเดียว

ทันใดนั้นระบบก็โผล่มาประกาศข่าวดีอย่างร่าเริง โปรยดาวโปรดดอกไม้ให้เต็มไปหมด

[*(^o^)** ยินดีด้วย ~~ ค่าความฟินเพิ่มขึ้น 500 คะแนน!]

เสิ่นชิงชิวอับจนคำพูด “…”

ลั่วปิงเหอนี่มัน…สาย M ตัวจริงเสียงจริงเลยนะนี่ ยิ่งโหดใส่ยิ่งฟิน ต่อยเข้าไปทีหนึ่งดันได้ค่าความฟินมาตั้ง 500 แม่แต่ระบบยังเปลี่ยนไปใช้อีโมจิที่สดใสร่าเริง กระทั่งตัวอักษรยังใส่เครื่องหมาย ~ มาตั้งสองอันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อยู่มาป่านนี้ยังไม่เคยเห็นใครที่ประหลาดเท่าลั่วปิงเหอเลย แถมยังเป็นคนประหลาดที่เขาเลี้ยงมากับมืออีกต่างหาก

ขณะเสิ่นชิงชิวกำลังนึกรันทดกับการสอนที่ล้มเหลว ลั่วปิงเหอกลับไม่เล่นสนุกกับเขาแล้ว ดีดนิ้วมือข้างขวาทีหนึ่ง เสิ่นชิงชิวทันระวังเผลอปล่อยพลังทิพย์ที่อัดอยู่ในกำปั้นกระแทกใส่เพดานห้องระเบิดเป็นรูเบ้อเริ่ม ฝุ่นผงพากันร่วงกราว

ลั่วปิงเหอเอาตัวบังเขาไว้ พลางใช้สองมือคว้าเสื้อเขากระชากออกจนขาดอย่างง่ายดาย หัวเราะร่า “ต่อยให้เต็มที่เลย ต่อยอย่างไรข้าก็ไม่ตายอยู่แล้ว ได้รับการสั่งสอนจากซือจุน ศิษย์มีความสุขมาก”

ทว่าในรอยยิ้มคล้ายแฝงความอ้างว้างอยู่ด้วย เสิ่นชิงชิวใจกระตุกวูบ จนลืมกระทั่งว่าเสื้อผ้าถูกฉีกขาด หยุดมือโดยไม่รู้ตัว ลั่วปิงเหอไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาสงสาร ไม่ทันตั้งตัว มืออีกข้างก็ฉีกเสื้อตัวใน แล้วลูบเอวเปลือยโล่งของเขาเต็มๆมือ

เสิ่นชิงชิวใจอ่อนได้ครู่เดียวก็เอาด้ามกระบี่เคาะหน้าผากลั่วปิงเหอดังโป๊ก ร้องด่า “เดรัจฉาน!”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ถึงอย่างไรในสายตาซือจุนข้าก็เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานอยู่แล้ว มิสู้ทำให้เป็นจริงตามนั้นไปเลยก็แล้วกัน”

เสิ่นชิงชิวโมโหจนอย่างหัวเราะให้บ้า ทันใดนั้นก็ตาลายวูบ ตัวเองกระเท่เร่ กระบี่ซิวหย่าร่วงโครมกับพื้น

พลังรุนแรงประหนึ่งจะกระชากวิญญาณออกจากร่างจู่โจมเข้ามา ร่างกายเขาพลันแข็งทื่อ

ลั่วปิงเหอเองก็หยุดการเคลื่อนไหว ตื่นตระหนกและงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เพียงชั่วพริบตาเสิ่นชิงชิวปวดศีรษะอย่างรุนแรงราวกับมันกำลังจะระเบิด

เบื้องหน้า สายตาปรากฏภาพเล็กภาพน้อยนับไม่ถ้วนวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางทีก็ว่างโล่ง บางทีก็ดำมืด บางทีก็เห็นเป็นเงาคนวูบวาบ เสียงแหลมสูงดังอึงอลจนแสบแก้วหู

ลั่วปิงเหอไม่อาจหวาดระแววอยู่อีก รีบพลิกกายขึ้นนั่ง ยื่นมือไปกดตัวเขาไว้ แต่กลับจับตัวเสิ่นชิงชิวไม่อยู่ คล้ายกับมีมือยักษ์คู่หนึ่งกำลังลากวิญญาณกับสมองของเขาออกไป

เสิ่นชิงชิวเอามือกุมหัว นอนดิ้นพล่านอยู่กับพื้น

มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเรียกเขา เหมือนมีมือยื่นออกมาจากทุกทิศทุกทางเข้ามากระชากวิญญาณของเขาพร้อมกรีดร้องโหยหวนไปด้วย

ลั่วปิงเหอลนลานกล่าว “ซือจุน ข้า…เมื่อครู่ข้าแค่ขู่ท่านเล่นเฉยๆ ท่านอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังซิ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ”

ร่างของเสิ่นชิงชิวดิ้นทุรนทุรายอยู่ในอ้อมแขนของเขา ลั่วปิงเหอกึ่งๆกอดเสิ่นชิงชิวไว้พลางถ่ายทอดกระแสปราณทิพย์สายหนึงเข้าไปในร่างอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เสียงร้องของเสิ่นชิงชิวกลับฟังโหยหวนและน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับถูกเหล็กเผาไฟร้อนๆนาบเข้าไปที่สมอง

ลั่วปิงเหอพยายามทำทุกวิถีทางที่เขาพอจะนึกออก ทว่ากลับไม่กระเตื้องขึ้นเลย

ขณะที่หัวใจของเสิ่นชิงชิวเต้นอ่อนลงไปทุกขณะ ลั่วปิงเหอเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ แล้วสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทานไว้ไม่ไหว ทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น เขาคำรามลั่น “ใครก็ได้เข้ามาที รีบเข้ามาเร็วๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!