ตอนที่ 45
หลูลิ่วกล่าวว่า “เสิ่นชิงชิวยอมรับความอัปยศไม่ไหว เสี่ยงชีวิตหนีออกมา ใครจะไปนึกว่าพอถึงเมืองฮวาเยวี่ยกลับเจอประกาศจับของลั่วปิงเหอสกัดเอาไว้ ชางฉยงซานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หลิ่วชิงเกอเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงย่อมต้องมาให้การช่วยเหลือ พอช่วยเหลือก็เจอเข้ากับลั่วปิงเหอ
ลั่วปิงเหอหึงหน้ามืดตาลาย ไม่ยอมพูดยอมจาตั้งหน้าตั้งตาสู้กับหลิ่วชิงเกอชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน มุ่งมั่นจะลงมือสังหาร ด้วยความจำใจเสิ่นชิงชิวจึงได้แต่ระเบิดพลังทิพย์ตัวเองตายคาที่…นับแต่นั้นมาก็…”
หลูลิ่วไม่ได้เล่าต่อ ปล่อยที่เหลือให้คิดกันเอาเอง ทำเอาทุกคนพากันทอดถอนใจไปตามๆกัน
สุดท้ายหลูลิ่วจึงค่อยกล่าวสรุป “นี่แหละคือคำอธิบายอีกอย่างที่ปิดกันให้กระฉ่อน ถึงแม้จะฟังเหลวไหลอย่างมาก คนบางกลุ่มอาจเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ในรายละเอียดมีหลายจุดที่น่าขบคิด ทุกท่านโปรดอย่าลืมว่า ผู้จดบันทึกพงศาวดารมักชอบใส่สีตีไข่กันอยู่เป็นประจำ และอำพรางข้อเท็จจริงเอาไว้ ขณะที่พงศาวดารเถื่อนนี่แหละมักเป็นเรื่องจริง”
แค่รายละเอียดก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว!
เรื่องจริงบ้านแม่แกซิ!
ต่อให้เกออยู่มายี่สิบปีไม่เคยมีแฟน จะรันทดแค่ไหนก็ยังไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องมาเป็นเกย์นะ มิหนำซ้ำยังเป็นเกย์คู่กับพระเอกยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่
น้องสาวที่มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารเยื้องกรายส่ายสะโพกเอากับข้าวมาวางครบแล้ว แต่หยางอี้เสวียนกับหลิ่วหมิงเยียนยังคงอ้ำอึ้งนิ่งงันอยู่
เสิ่นชิงชิวดุเข้าให้ “รีบๆกินซิ กินเสร็จแล้วจะได้รีบกลับไป”
สถานที่อันตรายแห่งนี้ ขืนรั้งอยู่นาน ไม่รู้ว่าโลกทัศน์ มโนทัศน์ แบะวิสัยทัศน์ของเด็กสองคนนี้จะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างไรบ้าง
บทที่ 10 ฮ่วนฮวา
หลังจากส่งคนทั้งคู่ออกไปจากพื้นที่ชายแดนเรียบร้อยแล้ว เสิ่นชิงชิวก็เลือกมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเขา
เดินทางมาจนกระทั่งพระจันทร์ลอยอยู่กลางฟ้า โสตประสาทของเขาเฉียบคมเสียจนได้ยินเสียงกระพรวนปีศาจดังแผ่วมาเป็นระลอก
เสิ่นชิงชิวกล่าวโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ “เจ้าช่างตามรังควานเหมือนวิญญาณที่ไม่ไปผุดไปเกิดจริงๆ”
พอถูกเปิดโปงร่องรอย ซาหัวหลิงก็ไม่คิดจะหลบซ่อนตัวต่อ เดินออกมาอย่างผ่าเผย มือควงผ้าโปร่งสีแดงกล่าวยิ้มๆ “ก็ใครใช้ให้ท่านทำให้หลิงเอ๋อร์นึกสงสัยเช่นนี้เล่า ท่านเป็นห่วงเป็นใยสองคนนั้นปานนี้ ตกลงท่านเกี่ยวพันอย่างไรกับชางฉยงซานกันแน่”
เสิ่นชิงชิวหันกลับมา ส่ายนิ้วกล่าว “ข้าไม่สู้กับเจ้า เจ้าก็อย่าได้คิดมาลองดีกับข้าเป็นอันขาด”
ด้วยฝีมือของซาหัวหลิง ถึงคิดลองดีกับเขาก็ไม่ไหวอยู่แล้ว ขณะคิดจะขู่ขวัญนางเล่นสักหน่อย จู่ๆเสิ่นชิงชิวพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับมีตะขาบที่มีขายั้วเยี้ยกำลังชอนไชอยู่ในหัวใจและปอด ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและน่ากลัวชนิดหนึ่งแผ่ขยายขึ้นมาจากท้องน้อย
ซาหัวหลิงยิ้มประหลาด “ข้าสู้ท่านไม่ได้ แต่ท่านเข้าใจว่าจะไม่มีผู้ใดมีวิธีควบคุมท่านหรือ”
เสิ่นชิงชิวแข้งขาอ่อนแรงไปชั่วขณะ แต่ยังฝืนทรงตัวไว้อยู่ เขากัดฟันกล่าว “เจ้าเอาให้ข้ากินตั้งแต่ตอนไหน”
ซาหัวหลิงกล่าวเสียงหวาน “วันนี้อาหารในเมืองอร่อยไหม สาวน้อยที่นำอาหารมาส่งสวยหรือไม่ ดีนะที่ท่านยอมกิน หากท่านถือตัวว่าขอบเขตพลังของตัวเองสูงถึงขึ้นปี้กู่แล้วไม่ยอมเอาอาหารเข้าปาก หลิงเอ๋อร์คงต้องปวดหัวอยู่บ้าง”
เชี่ย! ตอนนั้นดันถูกทอล์กโชว์ของกัปตันทีมขาเม้าท์ดึงความสนใจไปหมด อันว่านินทากาเลมันฆ่าคนตายได้จริงๆ
นางเดินวนรอบตัวเสิ่นชิงชิว ทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านรู้หรือไม่ว่าในร่างกายตนเองในยามนี้มีสิ่งใดอยู่ หาใช่ยาพิษธรรมดาสามัญหรอกนะ”
เพ้อเจ้อ! ฉันรู้ดีกว่าเธออีก โลหิตมารฟ้าน่ะ ฉันกินเป็นครั้งที่สองแล้ว สองครั้งเลยนะ!
ปกติแล้วกินครั้งนึงก็ตายครั้งนึง ไม่มีใครถูกหวยได้กินมากเท่าฉันแล้ว ขอบอก!
นอกจากผู้เป็นนายตัวจริงแล้ว คนอื่นไม่มีทางควบคุมโลหิตมารฟ้าได้ แต่เวลานี้กู่โลหิตกำลังดิ้นยุกยิกอยู่ในร่างเขา เช่นนั้นก็มีคำอธิบายได้อย่างเดียวเท่านั้น
จู่ๆซาหัวหลิงก็ค้อมกายคารวะไปทางด้านหลังของเสิ่นชิงชิว กล่าวว่า “บ่าวทำตามที่ได้รับมอบหมาย จับตัวคนผู้นี้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นชิงชิวตัวแข็งทื่อ หันหน้ากลับไป
ห้วงอากาศที่ถูกผ่าเป็นรอยแยกเหมือนเส้นสายฟ้าสีดำ ค่อยๆหุบเข้าหากันช้าๆ
ร่างสูงเหยียดตรงยืนอยู่ด้านหลัง พอเสิ่นชิงชิวหันไปก็ประจันหน้ากับอีกฝ่ายพอดี
ลั่วปิงเหอยืนตระหง่านง้ำก้มหน้ามองเขา สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด แต่เสิ่นชิงชิวถูกสายตาเย็นเยือกราวกับห้วงน้ำแข็งจ้องมอง อย่าว่าแต่จะมีหนวดเคราปกปิดไว้ชั้นหนึ่งเลย ต่อให้ปลอมตัวมากกว่านี้ก็รู้สึกเหมือนไม่เหลืออะไรปิดบังทั้งสิ้น
เสิ่นชิงชิวจ้องตากับเขานิ่งๆ
ลั่วปิงเหอในสมัยก่อน จะว่าเย็นชาก็เย็นชาอยู่ แต่ก็เปรียบเสมือนแสงแดดอันอบอุ่นที่ส่องสะท้อนหิมะแรกตก ต่อให้เป็นตอนที่อยู่ในเมืองจินหลันและที่คุกน้ำก็ยังพอมีกลิ่นอายมนุษย์อยู่บ้าง มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่บ้าง และหากโกรธขึ้นมาจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทว่ายามนี้สีหน้าของเขาดูราวกับทุ่งหิมะธารน้ำแข็งที่จับตัวแข็งมานับพันปี ทำให้เห็นแล้วหวาดผวา
แม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าความรู้สึกของเสิ่นชิงชิวกลับต่างไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในตอนแรก มันเป็นความรู้สึกที่หลากหลายปนเปจนยากจะอธิบาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอย่างที่ควรจะเป็น
หรือเป็นเพราะดิ้นรนหมดทุกวิถีทางแล้วก็ยังหลบไม่พ้น จับพลัดจับผลูหนีกลับมาที่จุดตั้งต้นอยู่ดี มันชวนให้เขาสงบใจลงได้เสียด้วยซ้ำ คิดว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปแล้วกัน
สีหน้าของลั่วปิงเหองุนงงไปครู่หนึ่ง จึงทำให้ใบหน้าเขาดูนุ่มนวลขึ้นมาบ้าง แต่ในไม่ช้าความนุ่มนวลนั้นก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย รูม่านตาหดตัวโดยฉับพลัน ใจกลางหน้าผากเหมือนกับมีเส้นสีแดงสายหนึ่งวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แขนเสื้อของเขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ทว่าซาหัวหลิงกลับลอยขึ้นไปแขวนค้างอยู่กลางอากาศราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งบีบคอแล้วชูขึ้น จนนางกระอักกระไอเป็นการใหญ่อย่างเจ็บปวดทรมาน
ขณะเดียวกันโลหิตมารฟ้าหนึ่งหยดในตัวเสิ่นชิงชิวก็แตกตัวอย่างรุนแรงออกเป็นนับพันเส้น มุดเข้ามุดออกไปตามอวัยวะภายใน จนแผ่นหลังเขาเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าช่างขวัญกล้าไม่น้อย”
น้ำเสียงของเขาแม้จะค่อย แต่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ทันทีว่าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นคือความโกรธอย่างรุนแรง
ขวัญกล้าไม่น้อย? มันหมายถึงเขา หรือซาหัวหลิงล่ะ
สมองเสิ่นชิงชิวแล่นเร็วจี๋ ลั่วปิงเหอไม่น่าจะจดจำเขาได้ แม้ใบหน้าของเขาในยามนี้ยังมีเค้าของเสิ่นชิงชิวอยู่บ้าง ด้วยการสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนของลั่วปิงเหอ ต่อให้มีหนวดเคราปกปิดอยู่ชั้นหนึ่งก็ยังสามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างไม่ยากเย็น ดูท่าว่าคงเห็นเขาเป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี จำได้ขึ้นมาก็อนาถแน่ แต่จำไม่ได้ก็ใช่ว่าจะดีอีกนั่นแหละ
ซาหัวหลิงไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ลั่วปิงเหอถึงได้โกรธเกรี้ยวใหญ่โตเพียงนี้ นางดิ้นกระแด่วๆ พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบด้านที่ดูพร่าเลือนด้วยน้ำตาเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ตนถูกลงโทษว่าอยู่ตรงไหน ทันทีที่กวาดมองผ่านใบหน้าของเสิ่นชิงชิว นางก็ทำหน้าราวกับเห็นผี
นางร้องอย่างหวาดผวา “จวินซั่งโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวทราบความผิดแล้ว แต่บ่าวสาบานว่าทั้งหมดนี้เป็นความบังเอิญจริงๆเจ้าค่ะ จวินซั่งโปรดไว้ชีวิตด้วย ครั้งนี้บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะเจ้าคะ”
ซาหัวหลิงคร่ำครวญไม่หยุด เพราะมีความผิดติดตัวอยู่ก่อนแล้ว นับจากลั่วปิงเหอรับตัวนางไว้ใต้อาณัติ นางเห็นเขาวันๆอยู่แต่กับศพของเสิ่นชิงชิวตลอดเวลา พอจะเดาได้รางๆว่าอะไรเป็นอะไร จึงไปกาคนที่หน้าตาคล้ายเสิ่นชิงชิวมาโดยมองว่าวิธีการนี้ช่างชาญฉลาดนัก จากนั้นเชิญผู้มีความสามารถของเผ่ามารใช้คาดาปรับแต่งเล็กน้อย จนตัวปลอมดูเหมือนตัวจริงราวกับพิมพ์เดียวกัน เรียกได้ว่าฝีมือประณีตละเอียดลออมากก็ว่าได้ จากนั้นนางก็นำตัวปลอมไปส่งให้ลั่วปิงเหอถึงที่ ผลปรากฏว่าไม่เพียงไม่มีความดีความชอบ กลับทำให้ลั่วปิงเหอโกรธหนัก จนแทบเข่นฆ่าลูกน้องในถ้ำฮื้ออวิ๋นเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ซาหัวหลิงไม่เคยลืมและไม่อยากเห็นสีหน้าของลั่วปิงเหออย่างในคราวนั้นอีกแล้ว
นับจากนั้นมานางจะระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้าไปแตะต้องอะไรทำนองนี้อีกเลย ใครจะรู้ว่าภาชนะที่นางต้องตาในหนนี้กลับมีหน้าตาคิ้วคางละม้ายคล้ายเสิ่นชิงชิวเจ้าคนน่าชังผู้นั้นอยู่บ้าง มิน่าเล่าจึงไปละเมิดข้อห้ามใหญ่หลวงของลั่วปิงเหอเข้า
ลั่วปิงเหอกล่าว “ข้าน่าจะเคยเตือนเจ้าแล้ว ไม่อนุญาตให้มายุ่งกับใบหน้านี้
ซาหัวหลิงห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ หายใจไม่ออก สำลักไม่หยุดจนหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างยากลำบาก “…คราวนี้ บ่าวมิได้…ตั้งใจจริงๆ…”
แม้เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุแต่พอจะเดาได้รางๆว่าน่าจะเกี่ยวกับใบหน้าตน เขาปิดปากเงียบ นึกกังวลอยู่ในใจ คนก็ตายไปห้าปีแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ลั่วปิงเหอขนาดแค่เห็นคนหน้าเหมือนตนก็เกิดโทสะขึ้นมา เห็นทีว่าเขาคงทิ้งบาดแผลสาหัสไว้ในใจลั่วปิงเหอจริงๆ
ทันใดนั้นเสิ่นชิวชิวก็เจ็บแปลบในช่องท้อง อวัยวะภายในราวกับถูกเข็มนับหมื่นนับพันเล่มมิ่มแทงชอนไช
ต่อให้มีพลังทิพย์มากมายก็ไม่มีประโยชน์ เบื้อหน้าเขาพลันดำมืด โลหิตอุ่นๆสีแดงฉานเจือสีดำกระอักออกมาจากปาก
บรรยากาศรอบตัวลั่วปิงเหอถูกบีบอัดถึงขีดสุด สายตาที่มองมายังเขาราวกับกำลังมองวัตถุไร้ชีวิตไม่มีผิด กระบี่ซินหมัวที่ห้อยเอวอยู่สั่นระริกอย่างตื่นเต้น กรีดร้องไม่หยุดเหมือนอยากออกจากฝักให้จงได้
ลั่วปิงเหอกดด้ามกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่ง เส้นเลือดฝอยในดวงตาแผ่ซ่าน
เสิ่นชิงชิวกำลังปาดเลือดที่มุมปาก พอเห็นภาพนี้เข้าก็ชะงัก
ว่ากันตามเหตุผล หลังจากเนื้อเรื่องดำเนินมาจนเข้าสู่ภพมาร ลั่วปิงเหอน่าจะปรับสภาพร่างกายจนเข้าที่เข้าทางได้แล้วสิ แต่ละเดือนที่สูดปราณทิพย์มนุษย์ไปคนสองคนก็เพียงเพื่อรักษาความเสถียรถึงจะถูก แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้สมดุลในร่างกายของลั่วปิงเหอกลับดูแย่ลงสับสนปั่นป่วนยิ่งกว่าตอนที่เขาระเบิดพลังทิพย์ของตัวเองเพื่อช่วยสะกดข่มปราณมารให้เสียอีก
ซาหัวหลิงถูกชูสูงขึ้นไปอีก พอเห็นเสิ่นชิงชิวกระอักเลือดก็รู้ว่าลั่วปิงเหอเกิดจิตสังหารแล้ว และกำลังสั่งการโลหิตมารฟ้าในกายของเขาอยู่ นางกล่าวอย่างกระเสือกกระสน “จวินซั่ง…ท่านไม่อาจฆ่าเขา…คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เขาจะต้องมีประโยชน์แน่ๆ ไม่มีใครเหมาะไปกว่าเขาแล้ว…”
นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องความเป็นตายของเสิ่นชิงชิว แต่หากปล่อยให้โทสะของลั่วปิงเหอระเบิดจนเอาชีวิตคนประหลาดผู้นี้ไปแล้ว ต่อให้ปราณมารในกายเขาจะไม่ทะลักออกมาจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ผลที่ตามมาอย่างไรก็คงไม่เป็นการดีสำหรับนางแน่ คิดมาถึงตรงนี้ซาหัวหลิงก็รู้สึกว่าชีวิตตนเองตกอยู่ในคราวเคราะห์เสียแล้ว จึงยิ่งกล่าวอย่างจริงใจตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง “ต่อให้ท่านไม่สนใจคนผู้นี้ ไม่สนใจข้า แต่โปรดคิด…คิด…ถึง…ท่านผู้นั้น” นางเสี่ยนชีวิตตะโกนสุดเสียง “คิดถึงสุสานศักดิ์สิทธิ์ซิเจ้าคะ”
พอได้ยินคำพูดช่วงท้ายนั่น การลงมือของลั่วปิงเหอก็ผ่อนจังหวะลงไปเล็กน้อย
สุสานศักดิ์สิทธิ์คือสถานที่ๆผู้ปกครองเผ่ามารรุ่นแล้วรุ่นเล่าสถิตร่างหลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์ นอกจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันแล้ว คนอื่นๆที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ใดฝ่าฝืนคือตายสถานเดียว
ภายใจสุสานเต็มไปด้วยของวิเศษและศาสตราทิพย์สารพัดชนิดซึ่งเป็นสมบัติฝังร่วม ของผู้ตายที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ปริมาณมากมายมหาศาล ล้วนเป็นของมีค่าหายาก ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็นแล้ว ไม่มีทางที่น้ำลายจะไม่หก
(สมบัติฝังร่วม คือของมีค่าที่นิยมฝังใส่ไว้ในสุสานพร้อมกับผู้ตาย)
ว่ากันว่าในสุสานยังมีเทพศาสตราระดับสยบฟ้าที่สามารถชุบชีวิตจากความตายได้
ลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมได้รับการช่วยเหลือจากคนในอย่างซาหัวหลิงจนได้ครองตำแหน่งสำคัญ จากนั้นก็ลอบเข้าไปในสุสานศักดิ์สิทธิ์ แล้วข้าวของเหล่านั้นจะตกไปอยู่ในกระเป๋าผู้ใดก็คงเดากันได้
ซาหัวหลิงพูดถึงสุสานศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อเตือนลั่วปิงเหอว่ายังฆ่าเธอไม่ได้อย่างนั้นรึเปล่า
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนก็เห็นชัดว่าเธอมาถูกทางแล้ว
พอลั่วปิงเหอได้ฟังประโยคท้าย สีแดงฉานยังคงลุกเรืองในดวงตาอยู่ ทว่าร่างของซาหัวหลิงกลับร่วงดิ่งลงมาแล้วระดับหนึ่ง ปลายเท้าพอจะเหยียดแตะพื้นดินได้
“นับว่าเจ้าช่วยเตือนข้า” นิ้วของลั่วปิงเหอลูบกระบี่ซินหมัวช้าๆ ปลอบประโลมตัวกระบี่ที่ยังคงสั่นระริกไม่หยุด เขากล่าวเสียงต่ำ “ถูกต้องยังมีสุสานศักดิ์สิทธิ์อยู่”
ซาหัวหลิงกำลังจะพักหายใจ พลันได้ยินลั่วปิงเหอถามขึ้นอีกว่า “นี่คือการข่มขู่ของเจ้าใช่หรือไม่”
ซาหัวหลิงใจหายวาบ “บ่าวไม่บังอาจเจ้าค่ะ”
อนาถเกินไปแล้ว อย่างน้อยๆน้องเขาก็เป็นหนึ่งในสองนางเอกคนสำคัญของเทพมารอหังการนะ ติดอันดับท็อปทรีของตัวละคร(ฝ่ายหญิง) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดการ ทำไมถึงได้ตกต่ำขนาดนี้ล่ะ
เสิ่นชิงชิวยังทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ทันเสร็จ ก็เหมือนถูกกระชากคอเสื้อด้านหน้าอย่างแรง จากนั้นก็ถูกดึงลอยขึ้นมาทั้งตัว
เขาตาลาย จากนั้นแผ่นอกก็เย็นวาบ พอก้มหน้ามองก็เห็นมือข้างหนึ่งของลั่วปิงเหอกำลังทาบอยู่ที่แผ่นอกด้านซ้ายของเขา
ความรู้สึกคล้ายดั่งถูกคนเอาระเบิดทะลวงเปิดหน้าอก ดินระเบิดก็คือปราณมารสีดำสนิท เมื่อเข้ามาในร่างก็ปะทุทะลวงไปตามปราณชีพจรทิพย์ แล้วแผ่ขยายไปยังแขนขาและกระดูกกระเดี้ยวทั่วทั้งร่าง
ระบบพลันส่งเสียงเตือนแหลมปรี๊ด แจ้งข้อความเข้ามาจนเสิ่นชิงชิวปวดหัว
[แตะเพื่อยืนยันเป็นผลสำเร็จ!]
[เชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานเรียบร้อย อยู่ระหว่างการชาร์จ!]
[การทดสอบตัวเองของระบบ : พลังงานไหลเวียนถูกต้อง ขอบพระคุณที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง!]
การแตะเพื่อยืนยันแบบนี้มันจะล้ำเกินไปไหม
พลังทิพย์ในร่างเสิ่นชิงชิวเดิมทีเป็นเสมือนสระน้ำที่เต็มเปี่ยม ด้วยการเชื่อมต่อหนนี้ถูกสูบทีเดียวก็ยุบวาบไปเกือบหมด
แต่การยุบวาบนี้เป็นสภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ กายเนื้อที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราเริ่มหลั่งพลังทิพย์กลับคืนมาใหม่อย่างรวดเร็ว ทว่าพลังทิพย์ที่หลั่งกลับคืนมาใหม่นี้ถูกลั่วปิงเหอสูบวาบไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพาวเวอร์แบงก์เลยทีเดียว เขาแหกปากร้องลั่นอยู่ในใจ ชาติที่แล้วตูเขียนด่านิยายเยอะไปหน่อย แต่ที่ด่าๆ ความจริงแล้วคือด่ามาตรฐานการเขียนนิยายของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันนะ ไม่เคยด่าพระเอกเลย ทำไมลั่วปิงเหอถึงได้ตามจองเวรกันนักเล่า?!
ลั่วปิงเหอทำเสียง “ฮึ้ย” และชักมือกลับ
กายเนื้อนี้ไม่เหมือนภาชนะในการโอนถ่ายพลังที่เคยเจอมาก่อนหน้า ถูกสูบพลังทิพย์ไปเกือบหมด ซ้ำยังถูกถ่ายปราณมารเข้าไปในปริมาณมหาศาล กลับยังสามารถเติมพลังให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เห็นทีว่าที่ซาหัวหลิงทุ่มเทกำลังจับคนผู้นี้มาก็มีเหตุผลของนางอยู่
ซาหัวหลิงร่วงตุบลงมานั่งแปะกับพื้น เลยรู้ว่าจับตัวคนผู้นี้มาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว นับว่าตัวเองรอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างฉิวเฉียด นางตกใจจนเสียขวัญ ไม่สนว่าเข่ายังสั่นไม่หาย รีบจัดเสื้อผ้าท่าทางให้เรียบร้อย คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น โดยชันเข่าอีกข้างหนึ่งขึ้น
ลั่วปิงเหอกล่าว “ข้าไม่สนว่าเป็นการลงมือของเจ้าหรือไม่ จำไว้ว่าอย่าให้ข้าเห็นเขาใช้ใบหน้านี้อีก”
ซาหัวหลิงรีบก้มหน้า “น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะ”
ลิ่วปิงเหอใช้มือกรีดฝ่าห้วงอากาศออกเป็นช่องว่างสายหนึ่งแล้วก้าวเข้าไปสบายๆ บทจะไปก็ไปซะงั้น จากไปแบบง่ายๆเสียจนน่าโมโห ทิ้งสองคนทางนี้ไว้กลางที่เปลี่ยวร้างราวกับไม่เดือดร้อนสักนิดว่าเสิ่นชิงชิวจะอยู่หรือจะไป
มันก็ใช่อะนะ เขาไม่เดือดร้อนอะไรเลยจริงๆนั่นแหละ ตอนนี้เสิ่นชิงชิวดื่มโลหิตมารฟ้าของเขาไปแล้ว หนีไปไหนก็ไม่ได้ ลั่วปิงเหอลำบากแค่งอนิ้วคำนวณก็สามารถไปปรากฏกายต่อหน้าเสิ่นชิงชิวที่กำลังชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดได้แล้ว
เสิ่นชิงชิวพลันเข้าใจ แบบนี้ก็ถือว่าเขากลายเป็นเด็กในคอนโทรลของปิงเกอไปแล้วใช่ไหมนี่
ในเมื่อลั่วปิงเหอจำเขาไม่ได้ ไม่แน่ว่าติดตามเขาอาจมีอนาคตก็ได้นะ
เอาวะ! ก็แค่มาเดือนละครั้งเองไม่ใช่เหรอ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ
ขณะกำลังนึกคิดให้วุ่นวาย ทันใดนั้นซาหัวหลิวก็เข้ามาหมายจะตะกุยหน้าเขา เสิ่นชิงชิวใช้สองนิ้วสกัดนางไว้ได้ทัน “เจ้าจะทำอะไร”
ซาหัวหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าไม่ได้ยินหรือ เขาเพิ่งจะพูดอย่างไรเล่า ไม่อยากเห็นหน้านี้ของเจ้าอีก”
เสิ่นชิงชิวจ้องหน้านาง แต่แล้วจู่ๆก็ยื่นมือไปกระชากผ้าโปร่งจากตัวนางลงมา
ซาหัวหลิงร้องกรี๊ด “เจ้าฉีกเสื้อผ้าข้าทำไม”
เสิ่นชิงชิวเอาผ้าผืนนั้นมาเจาะให้ขาดเป็นสองรู แล้วเอามาคลุมหน้าโผล่มาแต่นัยน์ตา “เสื้อผ้าข้าขาดกะรุ่งกระริ่งพอแล้ว ขอยืมของเจ้ามาใช้ก่อน เจ้าเอะอะก็ทำเป็นแต่ตะกุยหน้าอยู่ท่าเดียวหรือ แค่เอาผ้ามาปิดปน้าก็ใช้ได้แล้วนี่นา จะต้องเอาให้เสียโฉมกันเลยหรือไร”
หากไม่ใช่เพราะต่อไปลั่วปิงเหอจะต้องใช้คนผู้นี้เดือนละครั้ง เลยต้องคอยดูแลเป็นอย่างดีอย่าให้เขามีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นซาหัวหลิงคงได้สับเขาละเอียดเป็นหมูบะช่อซะตรงนี้เลย คิดๆอีกที แม้ลั่วปิงเหอจะรังเกียจตัวปลอม แต่เกรงว่าคงไม่อยากเห็นใบหน้านี้ในสภาพเลือดตกยางออกเช่นกัน ซาหัวหลิงเลยได้แต่กล้ำกลืนความอัปยศ ตวาดว่า “ไปได้แล้ว”
ไปก็ไปซิ อย่างไรซะในเวลานี้จะไปที่ไหนก็ไม่แตกต่าง ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูเหตุการณ์แล้วค่อยหาทางหนีทีไล่ไปทีละขั้นดีกว่า เสิ่นชิงชิววางแผนไว้ว่าหลังจากลั่วปิงเหอสะกดกระบี่ซินหมัวได้อย่างราบคาบแล้ว ก็คงไม่ต้องใช้งานเขาอีก เวลาที่จะได้โบกมือล่ำลาน่าจะอีกไม่นานแล้ว ขอแค่เขาระวังให้มากๆ อย่าให้ฝ่ายนั้นพบว่าตนใช้หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรามาดำเนินกลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบก็พอ
เสิ่นชิงชิวปรับบทบาทได้รวดเร็วจนเหลือเชื่อ ก้าวตามเข้าไปในรอยแยก โดยมีซาหัวหลิงปิดท้ายหลังสุด จากนั้นรอยแยกก็ค่อยๆหุบเข้าหากัน ความสารมาถในการปรับทัศนคติของพนักงานดีเด่นแห่งเผ่ามารเองก็ไม่เลว หลัวจากสุดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ที ซาหัวหลิงก็ใจเย็นขึ้น ถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร”