Skip to content

Sword of Coming 201

บทที่ 201 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ

หลังจากเฉาซีที่ชอบพูดจาโผงผางเสียงดังจากไปแล้ว บ้านตระกูลเซี่ยก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง คนทั้งตระกูล นับจากสตรีวัยออกเรือนแล้วที่ทำหน้าที่เป็นประมุขของบ้านไปจนถึงลูกชายหญิงคู่หนึ่ง แล้วก็ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนต่างก็เดินเก็บมือเก็บเท้ากันอย่างเงียบเชียบ ด้วยกลัวจะไปรบกวนการพักผ่อนของเซี่ยสือ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทุกคนในตระกูลเซี่ยต่างก็รู้สึกเหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเป็นความจริง จู่ๆ ก็มีบรรพบุรุษตัวเป็นๆ เดินออกมาจากเทียบลำดับวงศ์ตระกูลเล่มนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเขามีชีวิตผ่านกาลเวลามายาวนานแค่ไหน

เกรงว่าคงมีแต่เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่เงียบขรึมมาตั้งแต่เด็กเท่านั้นที่สภาพจิตใจค่อนข้างสงบนิ่ง เพราะเซี่ยสือได้อธิบายเกี่ยวกับโลกภายนอกให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว อีกทั้งยังให้เด็กหนุ่มอยู่ตีเหล็กหลอมกระบี่กับหร่วนฉงก่อนชั่วคราว เรื่องของโชควาสนานี้ ไม่ใช่ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่โดยอาศัยบารมีของบรรพบุรุษตัวเองแล้วจะดี จิตใจของเด็กหนุ่มคิ้วยาวหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ต่อให้จะรู้ว่าอีกไม่นานเซี่ยสือบรรพบุรุษของตนก็จะกลายเป็นเทียนจวินคนแรกของอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือฐานะก็ล้วนเหนือกว่าหร่วนฉงหนึ่งระดับ แต่เด็กหนุ่มกลับยังไม่มีท่าทีว่าจะย้ายสำนักใหม่ นี่ทำให้เซี่ยสือรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ เพราะนี่คือจิตใจที่ลูกหลานตระกูลเซี่ยสมควรมี

เด็กหนุ่มไม่มีทางรู้เลยว่า หากปณิธานของเขาเอนเอียงเพียงเล็กน้อย เซี่ยสือก็จะล้มเลิกความคิดที่จะอบรมปลูกฝังเขาไปทันที และอาจถึงขั้นเป็นฝ่ายไปพูดกับหร่วนฉงด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลต้องโชคร้าย เกิดหายนะทอดยาวไม่จบไม่สิ้น

หากเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคิ้วยาวแทบจะสูญเสียโอกาสในการพิสูจน์เส้นทางการเป็นอมตะและไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะพลิกฟื้นกลับมาอีกอย่างสิ้นเชิง

การรับลูกศิษย์ของเซียนซือบนภูเขา โดยเฉพาะเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋า จะให้ความสำคัญต่อใจในการฝึกตนอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะแน่ใจได้ ส่วนใหญ่มักจะต้องพเนจรไปทั่วสารทิศหลายสิบปีถึงจะพบลูกศิษย์ที่พึงพอใจให้มาสืบทอดควันธูปต่อได้ ระยะเวลาระหว่างนี้เซียนซือหลายคนจะมีการทดสอบลูกศิษย์ของตนหลากหลายรูปแบบ ความร่ำรวย ความเป็นความตาย ความรัก เรื่องอีกมากมายบนโลกมนุษย์ ฯลฯ ล้วนเป็นด่านที่ผู้ฝึกตนต้องก้าวผ่านเพื่อเดินขึ้นสู่สวรรค์ให้ได้ จะเป็นปลาที่ปะปนกันอยู่ในแม่น้ำต่อไป หรือจะเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรก็อยู่ที่แค่ความคิดเดียวเท่านั้น

มหามรรคาทอดยาว ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ โดยเฉพาะห้าขอบเขตบนจึงล้วนเป็นพวกที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เพียงแต่ว่ามหามรรคายาวไกล เส้นทางที่เดินขึ้นสู่ภูเขาไม่มีจำนวนที่แน่นอน ด้วยเหตุนี้ต่างคนจึงมีโชควาสนาที่ต่างกัน นิสัยที่เทียนจวินเซี่ยสือไม่ชอบ หากไปอยู่ในสายตาของอริยะสำนักอื่นหรือสำนักนอกรีตก็อาจจะกลายมาเป็นหยกชิ้นงามชิ้นหนึ่ง ดังนั้นคำโบราณจึงมีประโยคที่ว่าฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเสมอ

แน่นอนว่าเซี่ยสือมีฐานะสูงส่ง ดวงตาของเขาจึงมองแต่จุดสูงตามไปด้วย อันที่จริงด้วยพรสวรรค์และความสามารถของเด็กหนุ่มคิ้วยาว หากไปอยู่ในสำนักตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่ดีเยี่ยมที่ทุกคนต้องแย่งชิงกันโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ต้องแย่งมาเป็นลูกศิษย์ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ทุกครั้งที่ในสำนักมีเทพเซียนห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ไม่ว่าจะเอามาใช้สยบจักรพรรดิขุนนางของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือเอามาสร้างสัมพันธ์อันมหัศจรรย์กับ ‘เพื่อนบ้าน’ บนภูเขาที่อยู่รอบด้านก็ล้วนช่วยได้มาก ไหนเลยจะคอยจับผิดหาข้อด้อยอย่างเทียนจวินเซี่ยท่านนี้

เซี่ยสือดื่มเหล้าช้าๆ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“ท่านบรรพบุรุษมีเรื่องในใจหรือ?” เด็กหนุ่มคิ้วยาวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ คนจิ๋วควันธูปที่ระดับสูงมากคู่หนึ่งเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงกระโดดลงมาจากกรอบป้ายของห้องโถง มายืนอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วเอาหัวไล่ดุนดันกันไปมาอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มคิ้วยาวเคยชินกับการกระทำของพวกเขาเสียแล้ว

เซี่ยสือดื่มเหล้าเงียบๆ “ก็แค่ถามใจตัวเองแล้วรู้สึกละอายเท่านั้น”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวตะลึง “ท่านบรรพบุรุษร้ายกาจขนาดนี้ ยังจำเป็นต้องทำเรื่องที่ตัวเองไม่ต้องการอีกหรือ?”

เซี่ยสือยิ้ม “วันหน้าเจ้าเองก็จะต้องมีเรื่องให้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องตกอกตกใจ นิสัยของเจ้านั้นตรงไปตรงมามากกว่าจะมีไหวพริบว่องไว เหมาะกับการเรียนกระบี่มาก ลัทธิเต๋าเน้นย้ำในเรื่องของความสงบบริสุทธิ์ นิสัยอาจฟังเหมือนน้ำนิ่งในบ่อ แต่อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะจำเป็นต้องทบทวนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตรงไปตรงมาในทุกเรื่องราว ไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด”

เด็กหนุ่มคิ้วยาวของตระกูลเซี่ยพยักหน้ารับ

เซี่ยสือมองใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์อยู่มากแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ

กลียุคกำลังจะมาถึง เหล่าวีรบุรุษทยอยกันปรากฏตัว ชะตากำหนดมาให้เป็นช่วงเวลาแห่งสีสันอันงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเป็นความตายและการจากลาที่น่าจนใจเกิดขึ้นอีกมากมาย ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ต่างกัน

เซี่ยสือโบกมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มจากไปได้

คนจิ๋วควันธูปคู่นั้นจึงกระโดดกลับไปบนกรอบป้าย อิงแอบแนบชิดกัน กระซิบพูดคุยกันเบาๆ

เซี่ยสือหลับตาทำสมาธิ ลมหายใจทอดยาว เข้าฌานลืมตนจิตใจล่องลอยไปไกล

……

หลังออกจากมาตรอกเถาเย่ เฉาซีก็เริ่มเดินเตร่ไปทั่ว เขาเดินไปตามตรอกน้อยใหญ่ เศรษฐีเฒ่ายิ้มตาหยี คนนอกไม่รู้ตัวตนที่องอาจของเขา และเฉาซีเองก็สามารถพูดคุยกับทุกคนได้หมด หากไม่เป็นเพราะตอนนี้สมบัติในถ้ำสวรรค์หลีจูถูกกวาดไปจนเกลี้ยงหมดแล้ว ด้วยนิสัย ‘ห่านบินผ่านยังถอนขน’ ของเฉาซียามที่อยู่ในนาตยทวีป เกรงว่าคงต้องพลิกเมืองเล็กค้นให้ทั่วก่อนถึงจะสาแก่ใจ เฉาซีเจ็บแค้นอยู่ในใจ โมโหการบังคับซื้อขายของราชวงศ์ต้าหลีก่อนหน้านี้ ตามคำรายงานลับจากลูกหลานสกุลเฉา การค้นหาสมบัติเหมือนการจับปลาในหนองบึงของต้าหลีครั้งนั้นทำให้พวกเขาได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นเฉาซีที่ตบะสูงถึงขนาดนี้ก็ยังอดอิจฉาตาร้อนไม่ได้

ศึกสังหารมังกร เหล่าปราชญ์เมธีของสามลัทธิร้อยสำนักต่างก็มาเปิดศึกนองเลือดกันที่นี่ พวกเขาสู้กันจนฟ้าคว่ำดินพลิก ศพร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้าเหมือนหิมะ จากนั้นอริยะสี่ท่านก็จับมือกันเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า วาดเขตพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นดั่งกรงขัง สมบัติทุกอย่างจึงถูกทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์เล็กๆ แห่งนี้ ทุกๆ หกสิบปีถึงจะเปิดประตูต้อนรับแขกหนึ่งครั้ง ให้แต่ละคนอาศัยความสามารถของตัวเอง ควักเงินจ่ายค่าผ่านทาง อาศัยสายตาของตนมาควานหาสมบัติ และคนส่วนใหญ่เมื่อออกไปจากที่นี่ก็จะโชคดีขอบเขตทะยานพรวดพราด

เฉาซีลังเลอยู่ชั่วครู่ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ลูกหลานย่อมมีโชควาสนาของลูกหลานกะผีน่ะสิ หากไม่พูดอะไรบ้าง ข้าว่ามันอันตรายเกินไป”

เขามายังที่ว่าการของผู้ตรวจการ คนเฝ้าประตูเป็นคนสายตาไม่ค่อยดี อีกทั้งยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รู้เรื่องในตระกูลเฉาและเรื่องบนภูเขา จึงพุ่งมาขวางเฉาซีไว้ด้วยท่าทางดุดัน เฉาซีเองก็ไม่โกรธ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนเฝ้าประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไปๆ มาๆ กลับคุยกันถูกคอ สุดท้ายเป็นเฉาจวิ้นที่ย้ายออกจากบ้านตระกูลเฉามาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยเตือนเฉาเม่าผู้ตรวจการไปคำหนึ่ง ลูกหลานสายตรงของสกุลเฉานายพลเอกรุ่นนี้ตกใจจนรีบวิ่งปรู๊ดมาที่หน้าประตูใหญ่ เห็นบรรพบุรุษที่ตนครุ่นคิดถึงตลอดเวลาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงคุกเข่าลงดังตุ้บ โขกหัวดังปั่กๆ

ทำเอาคนเฝ้าประตูตกใจขวัญหนีดีฝ่อ

อย่าเห็นว่าเฉาเม่าวางตัวผ่อนคลายไม่เป็นโล้เป็นพายเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองอู๋ยวน ไม่เห็นลูกศิษย์ของราชครูที่มีชาติกำเนิดเป็นยากจนอย่างอู๋ยวนอยู่ในสายตา อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เลื่องชื่อของเมืองหลวงต้าหลี วันนี้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเฉาซีกลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย จะหาว่าเฉาเม่าสติหลุด ไม่รู้อะไรควรไม่ควรไม่ได้ เฉาซี บรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูล เมื่อเทียบกับท่านปู่ที่รับตำแหน่งเป็นพลเอกเสาหลักของแคว้นในปัจจุบันแล้วยังสูงส่งกว่ามาก ทุกรุ่นของคนตระกูลเฉามีเพียงลูกหลานสายตรงเท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติได้รู้ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้าข้อที่ว่าบรรพบุรุษของตนคือเซียนกระบี่พสุธาแห่งนาตยทวีป เป็นเจ้าของหอสยบสมุทรครึ่งหนึ่ง เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงเวลาอันตรายคับขัน เพราะนี่คือยันต์คุ้มกันชีวิตที่มีประโยชน์ยิ่งกว่าคัมภีร์เหล็กละเว้นโทษตายเสียอีก

เฉาซีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉาเม่าแล้วเตะป้าบเข้าไปหนึ่งที “ลุกขึ้น อย่ามาทำตัวน่าขายหน้าอยู่แถวนี้”

เฉาเม่ารีบลุกขึ้นยืน แม้แต่ฝุ่นบนชุดขุนนางก็ยังไม่กล้าปัด ชายหนุ่มตื่นเต้นจนกรอบตาแดงก่ำ เป็นความปลื้มปิติที่ออกมาจากใจจริง

คิดอยากจะพบบุคคลอย่างเทพเซียนห้าขอบเขตบนก็พบได้อย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับนี่ยังเป็นบรรพบุรุษที่ถูกระบุชื่อไว้บนหนังสือลำดับเทียบวงศ์ตระกูลของตนอย่างชัดเจนด้วย!

มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ วันหน้าลูกหลานสกุลเฉาอย่าว่าแต่จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของราชวงศ์ต้าหลีเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็เดินอาดๆ ได้ตามใจชอบไม่ใช่หรือ?

เฉาซีถาม “ตรวจสอบเรื่องชาติกำเนิดของเฉินผิงอันได้แน่ชัดหรือยัง?”

เฉาเม่าตอบกลับอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพบุรุษ ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไล่ย้อนขึ้นไปหลายร้อยปีก็ยังเป็นแค่ตระกูลคนธรรมดาในเมืองเล็ก แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณที่สามารถตรวจสอบได้พบก็ไม่มีปรากฎแม้แต่คนเดียว”

เฉาซีอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นเรื่องที่แปลกมากอยู่ดี หากไม่เป็นเพราะสกุลเฉินหลงเหว่ยลงมือทำอะไรบางอย่าง ก็อาจเป็นเพราะโชคชะตาของบรรพบุรุษบางท่าน ‘เผด็จการ’ เกินไป เบิกเอาโชควาสนาของลูกหลานหลายสิบรุ่นมาใช้ล่วงหน้า ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย ก็แค่เรื่องเล็กน้อยหาสาระอะไรไม่ได้เท่านั้น”

เฉาเม่าค้อมเอวต่ำ คิดจะพาท่านบรรพบุรุษไปนั่งในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการ เฉาซีกลับเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เสียก่อน “ตำแหน่งขุนนางใหญ่เท่าก้น จะให้ไปนั่งในห้องโถงนั่นข้ายังอายแทน”

เฉาเม่ารู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหน

ควรจะพูดคุยกับบรรพบุรุษที่เป็นเทพเซียนอย่างไร เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจริงๆ เกรงว่าหากเปลี่ยนมาเป็นท่านปู่ของเขา เจ้าประมุขของตระกูลเฉาที่เป็นนายพลเอกของต้าหลีก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน

เฉาซียืนอยู่ใต้กรอบป้ายของลานกว้างที่ว่าการผู้ตรวจการ แค่นเสียงหยัน “เฉาจวิ้น เจ้าไสหัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้”

ผ่านไปไม่นานนัก เฉาจวิ้นที่พกกระบี่คู่หนึ่งยาวหนึ่งสั้นก็เดินออกมาอย่างเกียจคร้าน เห็นเฉาซีแล้วก็ไม่มีท่าทางเคารพยำเกรง เอ่ยยิ้มๆ “ทำไม อารมณ์เสียมาจากจวนตระกูลเซี่ยเลยคิดจะมาระบายอารมณ์เอากับข้า อุตส่าห์เดินมาตั้งไกลก็เพื่อจะลากข้าออกมาด่างั้นรึ?”

เฉาซีปรายตามองเฉาจวิ้น “เด็กเปรต!”

เฉาจวิ้นหัวเราะร่า “ช่วยไม่ได้ ก็ติดมาจากบรรพบุรุษนี่นา”

ลึกๆ ในใจของเฉาเม่ารู้สึกอิจฉามือกระบี่หนุ่มจากตระกูลเดียวกันซึ่งเขารู้จักแต่ชื่อแซ่ผู้นี้อยู่บ้าง ถึงขนาดกล้าพูดกับบรรพบุรุษด้วยน้ำเสียงกวนโทสะแบบนี้

เฉาซีเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองการจัดวางและการไหลเวียนของลมและน้ำในจวนที่ว่าการอย่างละเอียดแล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เมื่อไม่นานมานี้ที่ว่าการเพิ่งจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ใช่หรือไม่? ใครเป็นคนออกความคิด?”

เฉาเม่ากวาดตามองไปรอบด้าน ก่อนจะตอบเบาๆ “ท่านปู่เป็นคนเอาแผนที่ของที่ว่าการไปให้ยอดฝีมือสกุลลู่ในเมืองหลวงคนหนึ่งช่วยดูแล้วขอคำแนะนำ ท่านบรรพบุรุษ มีอะไรหรือ ไม่เหมาะหรือขอรับ?”

สีหน้าของเฉาซีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ไม่เหมาะ? เหมาะนักล่ะ สามารถซ่อนลมรวมน้ำได้ดียิ่งกว่าเก่า หากเปลี่ยนอีกเล็กน้อยก็สมบูรณ์ดุจแต้มนัยน์ตามังกร มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสถานที่ที่มังกรได้ลุกผงาด อืม อย่าเข้าใจผิด เจ้าไม่ได้มีชะตาดีถึงขนาดจะได้เป็นโอรสสวรรค์มังกรที่แท้จริง หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ชั่วชีวิตนี้อย่างมากสุดเจ้าเฉาเม่าก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งนายพลเอก หากโชคดีในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นบรรพบุรุษผู้นำพาความรุ่งเรืองซึ่งถูกบันทึกไว้ในลำดับเทียบวงศ์ตระกูล”

เฉาเม่าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าอย่างไรก็เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่

เฉาจวิ้นยิ้มตาหยีด้วยความเคยชิน

เฉาซีกลับรู้สึกหน่ายใจ กว่าตนจะทำให้ตระกูลกลายมาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีลูกหลานเฟื่องฟูได้ไม่ใช่ง่ายๆ ทำไมมาถึงท้ายที่สุดกลับมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ได้เป็นนายพลเอกเสาหลักของราชวงศ์หนึ่งก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลงแล้ว?

เฉาซีอารมณ์เสียอย่างหนัก เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็เท่านั้น

จู่ๆ เฉาซีก็นึกถึงบ้านบรรพบุรุษที่ถูกคนอื่นซ่อมแซมให้จนแตกต่างไปจากในความทรงจำ ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นวันที่ฝนตกหนัก เนื่องด้วยริมขอบหลังคาที่เปิดกว้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมของบ้านหลังโทรมที่เขาอยู่อาศัยตอนเด็กมีน้ำหยดซึมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปีจึงผุพังไม่เหลือสภาพไปนานแล้ว อีกทั้งพวกเขายังไม่มีเงินให้ซ่อมแซม พอฝนตกบนพื้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน แต่หากเป็นหลังคาเปิดกว้างของตระกูลคนมีเงิน ไม่ว่าจะฝนหรือหิมะ ‘โชคลาภร่ำรวย’ ก็ล้วนตกลงไปในบ่อน้ำที่อยู่ด้านล่างเพดานเปิดทั้งหมด ไม่มีทางที่จะปล่อยให้พื้นดินรอบเพดานเปิดเปียกชื้น นั่นเรียกว่าการรับลมและน้ำอย่างสะอาดเอี่ยม ตามคำพูดของพวกคนเฒ่าคนแก่ในเมืองเล็ก บรรพบุรุษสั่งสมคุณความดี ประทานข้าวสารมาให้หนึ่งร้อยเม็ด ลูกหลานก็จะใช้ถ้วยใหญ่ซึ่งก็คือบ่อน้ำบนพื้นดินนี้รับเอาไว้หนึ่งร้อยเม็ดเต็มๆ ไม่ขาดไปสักเม็ด ไม่เหมือนบ้านของเฉาซีตอนเด็กที่อย่างมากก็ได้แค่รับข้าวไว้ครึ่งถ้วย

ตอนนี้บ้านบรรพบุรุษที่พังถล่มได้รับการซ่อมแซมแล้ว ก็ถือว่ามีโชคดีหลังรับเคราะห์ หากเชื่อตามคำโบราณเรื่องผีเรื่องเจ้า ก็ถือว่าได้รับการปกป้องจากร่มเงาบรรพบุรุษ

เฉาซีพูดพึมพำ “บ้านที่ทำความดีย่อมมีเรื่องน่ายินดี หรือว่าข้าควรจะเชื่อสักหน่อย?”

จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนซุ้มประตูพูดแดกดัน “คนอื่นเชื่อเรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้าเฉาซีก็จะเชื่อด้วย? หากเจ้าเชื่อจริงๆ ก็คงไม่มีทางเดินมาถึงวันนี้!”

เฉาซีไม่ได้เงยหน้า เพียงหัวเราะหยัน “นั่นก็เพราะข้าเฉาซีดวงแข็ง มีความสามารถมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่หากเป็นสายสกุลเฉาในแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ได้เรื่องได้ราวสายนี้ หากข้าไม่เชื่อซะบ้าง เกรงว่าวันใดพวกเขานึกจะล่มจมก็คงล่มจมไปจริงๆ”

เฉาจวิ้นเอ่ยเย้า “เชื่อจริงๆ หรือ? ทำไม หรือท่านบรรพบุรุษคิดจะสั่งสมคุณความดีกับเขาบ้างแล้ว? แบบนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่”

เฉาซีหันหน้ามามองเฉาจวิ้น “ตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น เจ้าไม่ต้องคิดอยากจะได้แล้ว หากตัดใจไม่ได้จริงๆ กลับไปข้าจะชดเชยให้เจ้าด้วยตัวเอง”

รอยยิ้มของเฉาจวิ้นเริ่มเย็นชา “ทำไม?”

เฉาซีทิ้งไว้หนึ่งประโยค “เพราะข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า”

เฉาจวิ้นพลันหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็เอาตามนี้! คนทำดีย่อมได้ดี ท่านบรรพบุรุษต้องมีอายุยืนยาวเป็นหมื่นปีแน่นอน!”

จิ้งจอกสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่บนแผ่นป้ายปรบมือรัวๆ เพื่อแสดงความยินดี แต่ปากกลับพูดประชดไม่หยุด “ว้าว เหมือนภาพของบิดาผู้เมตตากับบุตรผู้กตัญญูเลย ท่านบรรพบุรุษมือใหญ่ใจกว้าง คนที่เป็นลูกหลานก็กตัญญูว่านอนสอนง่าย อบอุ่นใจยิ่งนัก ไม่ไหวๆ น้ำตาข้าจะไหล…”

เฉาซีแค่นเสียงหึหนึ่งที คร้านจะสนใจจิ้งจอกปากเสียตัวนี้ หมุนตัวได้ก็สะบัดชายแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป

เมื่อผู้เฒ่าเดินออกไปจากที่ว่าการ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตกลงมาจริงๆ

เขากลับมาถึงบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายก็มาเยือนโดยไม่คาดคิด และยิ่งนานก็ยิ่งตกหนัก

เฉาซีนั่งอยู่ในห้องโถงเล็กๆ เพียงลำพัง ห้องนี้ไม่มีกรอบป้ายหน้าห้อง และคนจิ๋วควันธูปที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะถือกำเนิดขึ้นมาก็ถูกคนกินไปนานแล้ว

เหลือเพียงบ้านผุพังที่ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย

เฉาซีพลันลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบถ้วยใบใหญ่ใบหนึ่งมาจากชั้นวางในห้องครัว แล้วเดินมาที่ข้างบ่อน้ำซึ่งตรงกับเพดานสี่เหลี่ยมเปิดอ้า เขานั่งยองลงบนพื้น สองเท้าเหยียบอยู่บนหินไข่ห่างที่ปูไว้ในบ่อน้ำ ใช้ถ้วยขาวรองรับน้ำฝน

พอรองน้ำฝนได้เกือบครึ่งถ้วย เฉาซีกระดกขึ้นดื่มหนึ่งคำแล้วสาดน้ำที่เหลือลงไปในบ่อทันที สบถพึมพำ “พวกบัณฑิตดีแต่พูดอะไรเลื่อนเปื้อน น้ำของบ้านเกิดอร่อยเท่าเหล้าเสียที่ไหน”

เฉาซีถอนหายใจ นั่งเหม่อลอย

สุดท้ายผู้เฒ่ายกถ้วยขึ้น หันหน้ากลับไปมองก็คล้ายจะเห็นสตรีลักษณะแก่กว่าวัยคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในห้อง พอเขาหันมามอง นางก็เหมือนจะหยุดงานในมือลง กอดไม้กวาดเอาไว้ ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มมาให้บุตรชายของตน ลูกอยากจะตอบแทน แต่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว คนเป็นมารดาไม่เคยได้สุขสบาย แต่ขอแค่ลูกชายได้ดิบได้ดี อะไรก็ยอมทน

ผู้เฒ่าที่เสวยสุขกับความร่ำรวยหรูหราทุกอย่างจนครบถ้วนมานานนม ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้วที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกเสียใจแบบนี้ น้ำตากลบดวงตาของเขา ปากพึมพำเบาๆ “ท่านแม่ ท่านแม่คนโง่ของข้า”

……

เนินเขาทางใต้ของภูเขาพีอวิ๋น สำนักศึกษาหลินลู่กำลังเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ราวกับว่าทุกวันจะต้องมีอาคารมีหอเรือนสูงผุดขึ้นมา ต้าหลีให้ความสำคัญกับสำนักศึกษาแห่งนี้มาก ฮ่องเต้สกุลซ่งถึงกับให้สร้างในระดับที่เท่าเทียมกับศาลเทพขุนเขาเหนือ ลำพังเพียงแค่พระราชโองการก็มีถึงสองฉบับ โดยส่งไปให้กับที่ว่าการมณฑลและที่ว่าการเขตการปกครอง

เจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงที่ใช้ชื่อว่าเฉิงสุ่ยตงสวมชุดสีเขียว ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอาจารย์ผู้มากความรู้

บุคคลที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจียวเฒ่าผู้นี้ซึ่งหากรวมฮ่องเต้ต้าหลีและราชครูชุยฉานเข้าไปแล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ ดังนั้นต่อให้ผลงานของเฉิงสุ่ยตงจะโด่งดัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแถบทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป แต่การที่ให้ซื่อหลางรองเจ้ากรมตำแหน่งเล็กๆ ของแคว้นหวงถิงมารับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ยังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในราชสำนักต้าหลีอยู่ดี ในราชสำนักรู้สึกว่าเฉิงสุ่ยตงไม่มียศตำแหน่งในระบบการศึกษาของลัทธิขงจื๊อ น้ำหนักเบาเกินไป ไม่อาจทำให้ผู้คนยอมสยบได้ ขุนนางบู๊ก็ยิ่งไม่พอใจ ตาแก่หงำเหงือกจากแคว้นหวงถิงคนหนึ่ง แค่มีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ไม่เลวแล้ว นี่ยังคิดจะมาเป็นอาจารย์ของเหล่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตต้าหลีอีกรึ?

เจียวเฒ่ายืนเคียงบ่าอยู่กับเว่ยป้อ มองที่ตั้งสำนักศึกษาที่ฝุ่นคลุ้งตลบ จอแจไปด้วยเสียงผู้คนที่กำลังทำงานก่อสร้าง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนมาพบหน้ากันเป็นการส่วนตัว

เจียวเฒ่าปลงอนิจจัง “เจ้าเว่ยป้อลุกติดไฟท่ามกลางกองขี้เถ้ามอดได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างอยู่เหนือการคาดการณ์จริงๆ”

ในอดีตเคยเป็นเทพขุนเขาเหนือของแคว้นเสินสุ่ย จากนั้นก็ถูกต้าหลีทุบทำลายร่างทองทิ้งลงก้นแม่น้ำ ภายหลังกว่าจะถูกคนเก็บเศษซากไปประกอบเป็นร่างทองที่ไม่สมประกอบ ฝืนรักษาควันธูปไม่ให้ขาดสายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่คาดคิดว่าหายนะจะหล่นลงมาจากฟ้า จู่ๆ ก็ถูกเซียนสองคนที่เล่นหมากล้อมถอดร่างทองทิ้ง ตกต่ำกลายมาเป็นเทพเจ้าที่ที่ลำดับชั้นต่ำเตี้ยที่สุด ยังเทียบกับพ่อปู่แม่ย่าลำคลองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่ามาถึงท้ายที่สุดกลับได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเทพขุนเขาเหนือของภูเขาพีอวิ๋นอีกครั้ง

คาดว่าเทพแห่งขุนเขาดั้งเดิมของต้าหลีคงต้องมีใจอยากสู้กับเว่ยป้อให้ตายกันไปข้างอยู่บ้าง

ในอดีตเจียวเฒ่าเคยเดินทางไกลไปเยือนหลายๆ สถานที่ จึงได้รู้จักกับเว่ยป้อมานานแล้ว

ฝนเม็ดเล็กโปรยลงมาจากฟากฟ้า ฝุ่นผงจึงถูกกดทับกลับลงไปบนพื้นดิน

แน่นอนว่าเจียวเฒ่ากับเว่ยป้อไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเม็ดฝนกระเด็นมาโดนร่าง

เว่ยป้อยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ ม่านฝนเบื้องหน้าก็กระเพื่อมตามไปด้วย เขายิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นคนบนโลกจะอิจฉาว่าเทพเซียนดีกว่าไปทำไม? แล้วนับประสาอะไรกับที่เทพยังอยู่ข้างหน้า เซียนยังอยู่ด้านหลัง”

เจียวเฒ่าถามเบาๆ “ฮ่องเต้ต้าหลีจะลงมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงรึ?”

เว่ยป้อยิ้มตาหยี ตอบอย่างไม่ปิดบัง “ก็จริงน่ะสิ อีกไม่นานก็คงมา ถึงเวลานั้นเจียวเฒ่าอย่างเจ้าได้พบโอรสสวรรค์มังกรที่แท้จริง จะต้องสนุกมากแน่ เจ้าเตรียมของขวัญพบหน้าไว้พร้อมหรือยัง?”

เจียวเฒ่ายิ้ม “เตรียมไว้แล้ว แต่ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง”

เว่ยป้อชี้ไปทางเมืองเล็ก ถามว่า “จะตีกันหรือไม่ ถ้าตีกัน เจ้าจะลงมือไหม?”

เจียวเฒ่าลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่มองว่าที่เทพขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนโง่ “ขึ้นเรือโจรแล้วยังจะทำยังไงได้อีก?”

เว่ยป้อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “แค่อย่าตีกันจนภูเขาพีอวิ๋นของข้าพังก็พอ”

เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “มองเป็นบ้านของตัวเองเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

เว่ยป้อหัวเราะหึหึ “ข้าคนนี้ได้ใหม่แต่ไม่ลืมเก่าหรอกนะ”

เว่ยป้อชี้ไปที่เทพชุดขาวข้างกาย “ไม่ลืมเก่าได้อย่างเจ้าก็นับว่าหายาก”

เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังกังวาน “นั่นย่อมเป็นเพราะประสบการณ์เจ้ายังไม่มากพอ”

ฟังความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ออก เจียวเฒ่าก็หุบยิ้ม เอ่ยเตือน “เรื่องบางเรื่องคนอื่นทำได้ แต่พวกเราพูดไม่ได้”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ แล้วก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ข้าต้องไปที่ภูเขาลั่วพั่วสักหน่อย คงไม่อยู่ตากฝนเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว”

……

เหนือลำคลองหลงซวี เม็ดฝนตกกระทบลงในน้ำลำคลองเสียงดังจักๆ

เบื้องใต้สะพานหินโค้ง สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีนิลหนาดกเหมือนหญ้าน้ำลอยตัวอยู่เหนือท้องน้ำ ร้องไห้กระซิกๆ นางคิดถึงหลานชายของตน แล้วพอนึกถึงสภาพอเนจอนาถที่ร่างทองครึ่งหนึ่งของตัวเองถูกทำลายไปก็ยิ่งเสียใจ ขนาดอยู่ในถิ่นของตัวเองยังยากลำบากขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานชายที่อยู่ไกลถึงภูเขาเจินอู่ และต้องฝึกตนท่ามกลางเทพเซียนและภูตผีปีศาจมากมายเลย

ก่อนหน้านี้นางยังสามารถออกตรวจตราลำคลองหลงซวีอย่างเบิกบานได้ทุกวัน คิดว่าเมื่อตนเป็นสุนัขที่อาศัยบารมีจิ้งจอกรังแกคนอื่น รวมไปถึงใช้การข่มขู่ที่หน้าไม่อายทั้งหลายรวบรวมสมบัติที่ทั้งมีค่าและไม่มีค่ามาได้มากมายแล้ว สักวันหนึ่งจะต้องมอบทั้งหมดให้แก่หลานชาย เขาจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเรื่องการหาเงินบนเส้นทางของการฝึกตน แต่ตอนนี้เมื่อได้รับความเจ็บปวดมหาศาล ต้องทำลายร่างทองของตนที่ต้นกำเนิดลำคลอง ทำให้เทพลำคลองที่ยังไม่มีศาลให้เสวยสุขกับควันธูปผู้นี้กระจ่างถึงคำว่าวิถีสวรรค์ยากคาดเดา การฝึกตนเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแท้จริง ช่วงนี้นางจึงมาหลบอยู่ใต้สะพานหินโค้ง ใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวัน

แต่แล้วสตรีแต่งงานแล้วก็หยุดเสียงสะอื้น ข่มกลั้นความตื่นตะลึงในใจ พุ่งตัวว่ายไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับริมฝั่ง เปิดทางให้กับผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งอย่างรวดเร็วและว่าง่าย

แน่นอนว่าสตรีแต่งงานแล้วต้องรู้จักองค์เทพแห่งแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้น อีกฝ่ายมีนามว่าหยางฮวา มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเทพแม่น้ำระดับสูงซึ่งอายุน้อยที่สุดของบุรพแจกันสมบัติทวีป นางมีเส้นผมสีทองที่ยาวถึงหนึ่งจั้ง สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มักจะกอดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก อารมณ์ร้ายอย่างถึงที่สุด ภูตผีที่ผ่านทางมาซึ่งตายด้วยน้ำมือนางมีมากมายเกินจะนับได้หมด

ลำคลองหลงซวีคือช่วงน้ำตอนบนของแม่น้ำเถี่ยฝู แน่นอนว่าต้องถือเป็นน่านน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู ดังนั้นการที่หยางฮวาจะมาตรวจตราลำคลองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากหยางฮวาได้รับตำแหน่งเทพแม่น้ำก็ไม่เคยขึ้นมาที่น้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองและแม่น้ำเลย วันนี้เป็นครั้งแรก เทพลำคลองที่ตอนมีชีวิตอยู่ชื่อว่าหม่าหลันฮวา แม้จะกลายมาเป็นเทพแล้วก็ยังคงมีนิสัยเหมือนหญิงชาวบ้านขี้ขลาดดังเดิม นางก้มหน้าพูดจาทักทายตามมารยาทอย่างขลาดๆ พอเงยหน้าอีกครั้งก็เห็นว่าหยางฮวาทะยานไปไกลหลายสิบลี้แล้ว

ในใจสตรีแต่งงานแล้วเจ็บแค้น รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย ต่อให้เป็นผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือนาง แต่ไม่คิดจะทักทายกันสักคำก็ไม่เกินไปหน่อยหรือ

ดังนั้นสตรีแต่งงานแล้วจึงเริ่มบ่นกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองถูกคนรังแก

สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วกลัวว่าหลานชายของตนจะถูกคนอื่นมองไม่เห็นหัวแบบเดียวกัน นางจึงยกมือข้างหนึ่งกดไปที่หัวใจ มืออีกข้างเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ว่ายกลับไปที่รังของตัวเองราวปลาหลีส่ายสะบัดหาง ได้เห็นสมบัติทั้งหลายของตน แล้วคิดว่าวันหน้าพวกมันจะกลายมาเป็นสินสอดทองหมั้นที่อู้ฟู่ของหลานชาย นางถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตที่ยากลำบากยิ่งกว่าตายนี้พอจะมีความหวังรออยู่เบื้องหน้าบ้าง

นอกจุดพักม้ามีรถเข็นล้อเดียวที่บรรจุแผงดูดวงคันหนึ่งจอดอยู่ นักพรตหนุ่มไม่ทันได้ตั้งแผงก็เริ่มจับมือของคนงานในจุดพักม้าที่เชื่อเรื่องดวงชะตามาตรวจดูดวงแล้ว เมื่ออยู่ในสายตาของขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในจุดพักม้า นี่ก็คือเรื่องเหลวไหลที่น่าขันอย่างถึงที่สุด สุดท้ายนักพรตหนุ่มไม่เก็บเงิน อันที่จริงคนงานผู้นั้นก็ไม่คิดจะจ่ายเงินเหมือนกัน ยังดีที่นักพรตรู้อะไรควรไม่ควร แค่ขอน้ำร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง ยืนดื่มอักๆ อยู่ข้างรถเข็นอย่างสบายอารมณ์

นักพรตหนุ่มเช็ดปาก โบกมือลากับคนในจุดพักม้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เข็นรถเดินหน้าต่ออีกครั้ง

ทางฝั่งของจุดพักม้า มีคนขยี้ตาอย่างแรง เอ๊ะ? ทำไมด้านหลังนักดูดวงต้มตุ๋นถึงได้มีสตรีสวมชุดแม่ชีผู้หนึ่งโผล่มาได้ล่ะ?

แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามเสียงอ่อนโยน “อาจารย์อาน้อย ท่านบอกว่าท่านดูดวงและเล่นหมากล้อมได้แย่ที่สุด ถ้าอย่างนั้นใครเก่งที่สุดกันล่ะ?”

นักพรตนามว่าลู่เฉินตอบยิ้มๆ “อาจารย์อาน้อยที่แท้จริงของเจ้า หรือก็คือศิษย์พี่ของข้า ด้านหนึ่งในอนาคตจะต้องเล่นหมากล้อมได้ดีกว่าข้า จะต้องชนะปีศาจแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้น อีกด้านหนึ่งก็ทำนายดวงชะตาได้ดีกว่าข้า จะต้องทำให้…เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า พูดแล้วก็ทำร้ายจิตใจ สรุปก็คือศิษย์พี่ที่ ‘หนึ่งบวกหนึ่งก็ยังเป็นที่หนึ่ง บวกอีกหนึ่งก็ยิ่งเป็นที่หนึ่ง’ ผู้นี้เก่งกาจกว่าข้ามาโดยตลอด”

แม่ชีก็คือเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ถูกลู่เฉินหลอกพามาจากสำนักโองการเทพ หญิงสาวใจร้ายที่ทำให้เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ

อันที่จริงก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้สถานะของกุมารีหยกเป็นตัวแทนของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปเดินทางมาที่นี่กับกุมารทอง เพื่อเอาวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่บุรพาจารย์ของสำนักทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนที่จากไป พวกเขาไม่สามารถพาตัวหม่าขู่เสวียนไปด้วยกันได้สำเร็จ แต่นางกลับได้หินดีงูงดงามก้อนหนึ่งมาเพิ่ม ช่วยไม่ได้ โชควาสนาของนางหนาหนักจนเป็นที่จับตามองของคนทั้งทวีป ราวกับว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน ของดีๆ ก็มักจะตรงเข้ามาหานางเสมอ ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่

แม่ชีสาวลังเลอยู่ชั่วครู่

นางอยากถามคำถามที่แม้แต่อาจารย์อาน้อยท่านที่อยู่ในสำนักโองการเทพก็ยังคิดไม่ตก

เหตุใดคนข้างกายผู้นี้ถึงเป็นเงื่อนตายซึ่งผลักให้ฉีจิ้งชุนเดินไปสู่ความตายที่แท้จริง

อาศัยอะไร!

ต้องรู้ว่าตบะที่ฉีจิ้งชุนแสดงออกมาในตอนนั้น หากไม่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปจมหายลงไปในทะเล ไม่ต้องการให้คนทั้งเมืองเล็กต้องเดือดร้อน ลำพังแค่เลือกใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสองตัวต้านรับศัตรู และลงมือเต็มกำลัง นักพรตหนุ่มที่ทำตัวลึกลับผิดปกติคนนี้จะสามารถต้านทานได้จริงๆ หรือ? หรือถึงขั้นรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าฉีจิ้งชุนได้?!

เอาชนะห้าขอบเขตบนกับสังหารห้าขอบเขตบนคือสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อีกอย่างหากห้าขอบเขตบนคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน พลังการทำลายล้างที่เขาระเบิดออกมาย่อมน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

เว้นเสียแต่ว่ามีเซียนที่ขอบเขตสูงกว่าหนึ่งถึงสองระดับมาเข้าควบคุมสมรภูมิรบอย่างเต็มกำลัง หรือไม่ก็มีคนที่สามารถย้ายถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งมาเป็นกรงขัง

เหตุใดเซี่ยสือถึงกล้ามาเยือนเมืองเล็กเพียงลำพัง ก็คือเหตุผลข้อนี้

ข้าเซี่ยสือจะตายในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ได้ แต่เจ้าต้าหลีก็ต้องชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ให้ดีเสียก่อน

ตอนนั้นที่หลี่เอ้อร์ไปเยือนวังหลวงของต้าสุยก็ใช้หลักการเดียวกันนี้

แต่ลู่เฉินกลับรู้ว่านางจะถามอะไร จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เต๋าที่อธิบายได้ไม่ใช่เต๋าที่เที่ยงแท้ หมายความว่าอย่างไร ก็คือภาษาเอามาพูดได้ แต่ให้ใช้อธิบายมหามรรคากลับมีน้ำหนักไม่มากพอ ส่วนความหมายของข้าก็คือ อันที่จริงคำถามที่เจ้าอยากถามนั้น นักพรตอย่างข้าไม่มีทางตอบ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มเจื่อน

‘อาจารย์อาน้อย’ ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในสำนักโองการเทพผู้นี้พูดจาประหลาดนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง มีหลายเรื่องที่นางคิดตามแล้วก็ไม่เข้าใจ ตอนหลังเลยหยุดคิดมันเสียเลย ถ้าเขาอยากพูดก็จะพูดๆๆ ๆ ไม่หยุด ต่อให้เจ้าปิดหู หรือปิดประตูหัวใจก็ไม่ได้ผล เพราะในหัวใจก็ยังคงมีเสียงของเขาดังขึ้นมาอยู่ดี แต่หากเวลาใดที่เขาไม่อยากพูดก็สามารถเงียบกริบได้เป็นสิบวันเป็นครึ่งๆ เดือน

ลู่เฉินมองไปทางเมืองเล็กแล้วก็เริ่มพูดจาประหลาดอีกครั้ง “คนในโลกล้วนอิจฉาเทพเซียน เทพเซียนดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องดี แต่เหตุใดเจ้าเว่ยป้อถึงไม่อิจฉา นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยเป็นเทพเซียนที่แท้จริงนี่นา”

“ถามใจตัวเองแล้วรู้สึกละอาย หากละอาย คำว่าละอายนี้คือผีอยู่ในหัวใจ (愧 แปลว่าละอายใจ หากแยกกันจะได้ตัวอักษร 心 หัวใจกับตัวอักษร 鬼 ที่แปลว่าผี) เส้นทางการเป็นเทียนจวินหลังจากนี้ เจ้าจะเดินได้อย่างยากลำบากกว่าเดิม”

“จุ๊ๆ หลานชายเจ้าน่ะเหรอจะถูกคนอื่นรังแก? เขาไม่รังแกคนอื่นก็ถือว่ามีเมตตาธรรมมากพอแล้ว ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ด้วยนิสัยของเขานั้น ทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ชะตาชีวิตดีก็คือชะตาชีวิตดี”

“จะว่าไปแล้วก็แปลก เป็นคนที่ออกไปจากเมืองเล็กเหมือนกัน กลับมาบ้านเกิดเวลาเดียวกัน เซี่ยสือเป็นเทพเซียนที่ดีมาตลอดชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่ผิดต่อใจต่อเอง เฉาซีทำตัวระยำมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่มีคุณธรรม”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตหนุ่มก็พลันหันหน้าไปมองเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ด้านหลัง ถามยิ้มๆ “เจ้าได้ยินเสียงในใจของมนุษย์ธรรมดาบ้างไหม?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างระอาใจ “ต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะพอได้ยิน ตอนนี้ข้าทำได้ซะที่ไหน”

นักพรตหนุ่มร้องอ้อเบาๆ หนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีล่ะ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน

นักพรตหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถพูดได้ จึงเปิดฉากสนทนาโดยไม่สนว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสนใจหรือไม่ เขาพูดรวดเดียวราวเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เรื่องแบบนี้น่ะลึกลับมาก แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ลึกลับสักนิดเดียวเช่นกัน ชนิดแรกคือต้องใช้ความจริงใจอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าหากเรามีความตั้งใจจริง แม้แต่หินที่แข็งกร้าวก็ยังแตกออกได้ ดังนั้นอริยะจึงมีคำกล่าวบอกว่า มีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่ถึงจะเขย่าคลอนจิตใจคนได้ บางครั้งคนธรรมดาก็สามารถชักนำการตอบรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน”

“อีกชนิดหนึ่งแน่นอนว่าต้องมีตบะสูงส่ง หรือไม่ก็พรสวรรค์โดดเด่น เสียงหัวใจของพวกเขาย่อมดังกังวานยิ่งกว่ายกตัวอย่างเช่นข้าผู้อาวุโสต้องการพูดคุยกับเจ้า เจ้าจะอยากฟังหรือไม่ก็ยังได้ยินอยู่ดี”

“แต่ข้ารู้สึกว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะของข้า ล้วนเป็นความจริงใจอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงประจบสอพลอใครไม่เป็น “ข้ารู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเวทคาถาที่ลึกล้ำของอาจารย์อาน้อยมากกว่า”

ลู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็ไม่อยากพูดอะไรต่ออีก

ตามคำบอกของลู่เฉินก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่หลี่ซีเซิ่งขึ้นไปในภูเขาแล้วเอ่ยเรียกชื่อไป๋เจ๋อออกมาโดยตรง ซึ่งทำให้นายท่านไป๋ที่อยู่ห่างไปไกลถึงชายหาดมหาสมุทรประจิมของแจกันสมบัติทวีปได้ยินทันที ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉานเด็กนักเรียนข้างกายเขาที่ต่อให้อ้าปากด่าหยาบคายไปเป็นร้อยรอบ นายท่านป๋ายก็คงไม่ได้ยิน หรือต่อให้ได้ยินแล้วก็คงไม่สนใจ แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเอาจริงขึ้นมา ต่อให้อยู่ห่างหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยชื่อก็สามารถตายคาที่อย่าง ‘ไร้สาเหตุ’ ได้

ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้เป็นเหมือนกับดวงดาวดารดาษที่พริบพราวอยู่เหนือผืนแผ่นดินซึ่งย่อมดึงดูดสายตาคนได้มากกว่า อย่าเห็นว่าพวกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบซึ่งเคยชินกับการสวมยศ ‘อริยะ’ ชอบหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าพันปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว สายตาของบุคคลยิ่งใหญ่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าบางคนกลับมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาบนโลกมากนัก

แน่นอนว่าการที่เทพมองเห็นภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อาณาเขตของหนึ่งทวีปหนึ่งแคว้นย่อมต้องสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นดำรงอยู่เพื่อขัดขวางไม่ให้คนของที่อื่นมองมาเห็น สถานที่อย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็มีต้นกำเนิดมาจากสาเหตุนี้ หากมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวาง แล้วยังคิดจะตรวจสอบเรื่องราวภายในของใต้หล้านั้นๆ ตบะและขอบเขตที่ต้องใช้ก็ต้องสูงเทียมฟ้าจริงๆ

ทางทิศใต้ของเมืองเล็กมีเสียงโลหะกระทบกันดังกังวานไปยันชั้นฟ้า เสียงที่มีพลังแห่งการสั่นสะเทือนรุนแรงนั้น คนธรรมดากลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้ไม่น้อยเลย และในความเป็นจริงหากเสียงตีเหล็กในเตาหลอมของหร่วนฉงดังเข้าหูของเผ่าปีศาจ ก็เทียบเท่ากับเสียงฟ้าร้องในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดังเป็นระลอก

พวกภูตผีปีศาจที่อยู่ในเมืองเล็กต่อเพราะหวังว่าจะโชคดีต่างก็พากันกลับคืนสู่ร่างเดิม มหาสมุทรลมปราณสั่นสะท้านรุนแรง อยู่ไม่สู้ตาย คลุ้มคลั่งราวกับเป็นบ้า จากนั้นก็จะถูกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณของต้าหลีที่เตรียมตัวรอไว้นานแล้วช่วยกันกำราบก่อน แล้วค่อยโยนพวกเขาเข้าไปในภูเขาใหญ่ น้ำใจนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นบุญคุณช่วยชีวิต

ขณะเดียวกันบรรยากาศการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงก็อดทำให้คนข้างๆ ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ อริยะก็คืออริยะ

แม้แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็อดตกตะลึงไม่ได้ “หลอมกระบี่มาจนเกือบถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เหตุใดความเคลื่อนไหวถึงยังรุนแรงขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้รากฐานภูเขาและโชคชะตาแม่น้ำในอาณาเขตสั่นคลอนตามไปด้วย หรือว่าระดับของกระบี่เล่มนี้สูงจนถึงขั้นสั่นคลอนใต้หล้าได้?”

ลู่เฉินเพียงส่งยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร

พวกอริยะก็ต้องทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าในเมื่อฉีจิ้งชุนพูดคุยกับท่านอาจารย์รู้เรื่องแล้ว เขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้อีก

นี่เป็นทั้งความเคารพที่มีต่ออาจารย์ และยิ่งเป็นการแสดงความเลื่อมใสของตัวเองที่มีต่อบัณฑิตคนนั้น

หวนนึกถึงปีนั้นในอดีต

หมอดูลู่เฉินนั่งหันหลังให้กับโรงเรียน คอยทำนายดวงชะตาให้กับผู้คน

ด้านหลังคืออริยะลัทธิขงจื๊อที่กำลังถ่ายทอดความรู้แก่เหล่าเด็กๆ

ส่วนข้อที่ว่าทำไมฉีจิ้งชุนถึงต้องตาย

มันเกี่ยวพันกับมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่มากเส้นหนึ่ง

ฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้อ่านตำราของสามลัทธิอย่างถ้วนทั่ว

คำกล่าวที่ว่าฉีจิ้งชุน ‘มีความหวังในการก่อตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบรรพจารย์’ คือตั้งลัทธิอะไร?

ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด สรุปก็คือเขาคิดเหมือนกับใครบางคน ถ้าอย่างนั้นลู่เฉินที่เป็นศิษย์น้องของคนผู้นั้นก็จำเป็นต้องมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง

ลู่เฉินมองไปยังท้องฟ้า

เคยมีบัณฑิตคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวต่อต้านเซียนจากสามลัทธิ

นับถือก็ส่วนนับถือ เคารพก็ส่วนเคารพ

แต่เรื่องที่ผิดต่อเจตจำนงเดิมก็ยังต้องทำ

ภายหลังเขาปล่อยเรื่องราวให้เป็นไปตามสถานการณ์ หลังจากพอจะคำนวณทางหนีทีไล่ที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนได้คร่าวๆ จึงทิ้งสี่ตัวอักษรนั้นไว้ให้กับเด็กหนุ่ม บอกว่าให้เขาหัดเรียนรู้ตัวอักษร นี่เป็นความจริง แต่ความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเหมือนการปล่อยว่าวให้บินไปตามลม หวังจะอาศัยตอนที่เด็กหนุ่มคัดลอกสี่ตัวอักษรนั้นมาคำนวณการเดินหมากก้าวที่สำคัญที่สุดได้ในวันใดวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ของยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมเท่านั้น

แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ เฉินผิงอันให้โอกาสลู่เฉินแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

และลู่เฉินก็คำนวณอะไรไม่ได้มากนัก

สำหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ได้ถือสาอะไร เพราะอย่างไรซะสถานการณ์โดยรวมก็ค่อนข้างแน่นอนแล้ว เขาไม่มีทางได้ทีขี่แพะไล่หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว

นักพรตหนุ่มเคยพูดกับเด็กหนุ่มกับปากตัวเองว่า “มองดูเหมือนเป็นการกระทำด้วยความหวังดี แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนดี เป็นเรื่องที่ดี”

ประโยคนี้มีความหมายลึกล้ำ ทั้งพูดถึงสี่ตัวอักษรบนเทียบยาสองสามแผ่นนั้น แล้วก็ยิ่งพูดถึงถังหูลู่ไม้นั้นที่ผ่านการวางแผนมานานมากแล้ว

ลู่เฉินปล่อยมือที่จับรถเข็นล้อเดียว ยืดแขนบิดขี้เกียจ เอ่ยยิ้มๆ “หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ ประโยคหลังว่ายังไงแล้วนะ”

แม่ชีสาวยิ้มบางๆ “ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version