บทที่ 236 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม
เขตการปกครองหลงเฉวียน ตระกูลเซี่ยในเมืองเล็ก
เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ในมือถือตำราไว้หลายเล่มวิ่งเข้ามาในลานบ้าน กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านบรรพบุรุษ วันนี้ข้าเรียนวิชาดาบอย่างใหม่มาจากอาจารย์ด้วย”
เทียนจวินเซี่ยสือพยักหน้ารับ วางตำราในมือลง
เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังที่มีอายุห่างกันหลายชั่วคนอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ เซี่ยสือก็ยังคงมีท่าทางจริงจังเคร่งขรึม ไม่มีทางที่จะเหลียวซ้ายแลขวา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่รู้ถึงความหมายของท่าทางเช่นนี้ สิ่งที่เขาคิดถึงยังคงเป็นยศเทียนจวินแห่งลัทธิเต๋าของท่านบรรพบุรุษ คิดถึงกิจการยิ่งใหญ่จากการเดินทางลงใต้ของเขาในครั้งนี้ รวมไปถึงจมจ่อมอยู่ในความปิติยินดีอันมากล้นที่ตระกูลเซี่ยจะได้ลุกผงาดขึ้นมา สำหรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย จึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก
เซี่ยสือรับหนังสือเหล่านั้นมาวางลงบนโต๊ะหิน แล้วทำมือบอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มนั่งลง
เด็กหนุ่มนั่งลงเบาๆ แล้วก็ถามว่า “ท่านบรรพบุรุษ เข้าตาท่านบ้างหรือไม่?”
เซี่ยสือตบที่ตำราเหล่านั้นเบาๆ ตอบด้วยรอยยิ้ม “จะไม่เข้าตาได้อย่างไร หากไปสอบเพื่อเอาตำแหน่ง ข้าก็มีคุณสมบัติให้สอบระดับมณฑลได้อย่างไม่มีปัญหา”
แม้ว่ารูปลักษณ์ของเซี่ยสือจะบ้านๆ ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาในเมืองเล็ก แต่อันที่จริงแล้วเขากลับอ่านตำรามาแล้วนับไม่ถ้วน มีความรู้ครอบคลุมสามลัทธิ ช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านเก่าตระกูลเซี่ยนี้ เขาก็เอาแต่อ่านตำราอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก ทุกวันที่เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลับมาจากการหลอมกระบี่ ตีเหล็กที่ร้านตระกูลหร่วน จะต้องเอาตำราสองสามเล่มที่วางขายในร้านหนังสือร้านใหม่ของเมืองเล็กติดมือกลับมาด้วย เซี่ยสือบอกกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่ตำราของลัทธิเต๋าเท่านั้น ไม่ว่าหนังสือแบบไหนก็ซื้อมาได้ทั้งหมด
เซี่ยสือพลันลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มคิ้วยาวจึงลุกตามโดยอัตโนมัติ หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืนเฉยๆ กันอยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งก้านธูป
เด็กหนุ่มถึงได้สังเกตเห็นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดว่า มารดาของตนที่ยิ้มแย้มอ่อนหวานพา ‘นักพรตหนุ่ม’ คนหนึ่งมาที่ลานบ้าน
รอจนสตรีแต่งงานแล้วจากไป เซี่ยสือกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกนักพรตสวมกวานดอกบัวที่มาเยือนถึงบ้านทำมือบอกให้นั่งลง
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้หิน ใช้ฝ่ามือเป็นพัด โบกให้ลมเย็นโชยมาเป็นระลอกพลางเอ่ยสั่งความเซี่ยสือเหมือนพูดคุยเรื่องปกติทั่วไป “รอจนเรื่องในแจกันสมบัติทวีปเสร็จสิ้นแล้ว หกสิบปีหลังจากที่เจ้ากลับไปยังกุรุทวีป จงช่วยดูแลเฮ้อเสี่ยวเหลียงให้มากหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออะไรนาง แค่รับรองว่านางจะไม่ตายก็พอ รอจนนางหยัดยืนได้มั่นคง เปิดสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองได้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถเพิ่มบุปผาบนผ้าแพร จะคนก็ดี จะเงินก็ช่าง หรือจะเป็นสมบัติอาคมอะไรก็ได้ แสดงความเป็นมิตรต่อนางให้มาก พวกเจ้าสองคนก็ถือว่าผูกบุญสัมพันธ์ต่อกันแล้ว”
เซี่ยสือลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กุมมือคารวะ “น้อมรับคำบัญชาของเจ้าลัทธิ!”
“นิสัยเคร่งขรึมตายตัวของเจ้านี่ไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย”
ลู่เฉินเอ่ยเย้าหนึ่งคำก็หันไปยิ้มตาหยีให้เด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กคิ้วยาว มาๆๆ ข้ามีของขวัญก่อนจากจะมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวตัวสั่น ทั้งดีใจและทั้งกริ่งเกรง รีบหันไปมองบรรพบุรุษเซี่ยสือ
เซี่ยสือพยักหน้าบอกเป็นนัยให้เขารับของขวัญมาอย่างสบายใจ
ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตบนจะไม่ค่อยกล้าประทานโชควาสนาให้ใครส่งเดช
แต่ของที่เจ้าลัทธิลู่เฉินจะมอบให้คนอื่นจะดีหรือเลว ล้วนมีจำนวนที่กำหนดไว้แน่ชัดอยู่แล้ว จะขาดหรือเกินไม่ได้เด็ดขาด
ต่อหน้าเขาเซี่ยสือ ของที่มอบให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวจะยังเป็นของที่เลวร้ายได้อีกหรือ?
ย่อมต้องถูกกำหนดมาแล้วว่า เป็นเรื่องดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าแน่นอน!
และนี่ก็ถือเป็นโชควาสนาของตัวเด็กหนุ่มเอง
ลู่เฉินพลิกข้อมือ เพียงไม่นานก็มีเจดีย์วิเศษเจ็ดสีที่ใสแวววาวโผล่มาหนึ่งชิ้น ประกายแสงบนตัวเจดีย์ไหลเวียนวนระยิบระยับ มหัศจรรย์จนมิอาจพรรณนา
หากมองอย่างละเอียดจะสังเกตเห็นว่าเจดีย์เล็กๆ ที่สูงแค่ครึ่งฉื่อชิ้นนี้ ลำพังเพียงแค่กรอบป้ายที่แขวนตามจุดต่างๆ ด้านนอกก็มีมากถึงสามสิบหกป้าย
เซี่ยสือที่เพิ่งจะนั่งลงลุกพรวดขึ้นอีกครั้ง เอ่ยกับเด็กหนุ่มเสียงหนัก “ยังไม่คุกเข่าขอบคุณอีก!”
ครั้งนี้ลู่เฉินไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ประคองเจดีย์ไว้ในมือคุกเข่าอย่างมึนงง ก่อนจะโขกหัวคำนับดังปั่กๆๆ สามครั้ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ว่าเจ้ามีนิสัยอ่อนโยน ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะใช้อำนาจรังแกคนอื่น เจดีย์เล็กชิ้นนี้สามารถสยบปีศาจและสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลกที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงมาได้ พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้ครึ่งหนึ่งกระมัง เพียงแต่จงจำไว้ข้อหนึ่งว่า ภูตผีวัตถุหยินและสิ่งชั่วร้ายที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะเลวร้ายที่สุด จุดที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมในใจคนต่างหากที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีจิตมารปรากฎขึ้น”
เด็กหนุ่มหน้าแดงหูแดง ตอบรับเสียงดังกังวาน “ผู้น้อยจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
ลู่เฉินยังคงพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้านดังเดิม “วันหน้าเมื่อเจ้าเรียนวิชากระบี่กับหร่วนฉงจนประสบความสำเร็จ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ควรเดินทางไปให้ทั่วสารทิศ ถึงเวลานั้นก็หัดสังเกตใจคนให้มาก การที่มอบเจดีย์ชิ้นนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกังวลกับเรื่องนอกตัวมากเกินไป ใคร่ครวญถึงเรื่องของตัวเองให้มาก ลัทธิพุทธมีคำเรียกอย่างหนึ่งว่าจื้อเหลี่ยวฮั่น หมายถึงผู้ที่สนใจแต่ตน ไม่สนใจสถานการณ์ส่วนรวม น่าสนใจมากเลยล่ะ ใช่แล้ว เซี่ยสือ จำไว้ว่าช่วยหาวัตถุจื่อชื่อที่ดีๆ ให้เด็กคนนี้ชิ้นหนึ่งด้วย ไม่ช่วยดึงต้นหญ้าให้เติบโตเป็นเรื่องที่ดี แต่ในฐานะผู้อาวุโส ตระหนี่ถี่เหนียวเกินไปก็ไม่ดี”
เซี่ยสือเตรียมจะลุกขึ้นยืนรับคำสั่งอีกครั้ง
ลู่เฉินฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ!”
เซี่ยสือจึงนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี
ลู่เฉินครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เขาไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป แต่กล่าวอย่างจริงจังว่า “จำไว้ให้ดีว่าวันหน้าต้องปกป้องหลี่ซีเซิ่งให้ดี หากเกิดปัญหา ต่อให้ข้าผู้เป็นนักพรตต้องทำผิดกฎของทั้งสองฝ่ายก็จะต้องลงจากป๋ายอวี้จิงย้อนกลับมายังใต้หล้าไพศาลแห่งนี้เพื่อเอาคำอธิบายจากเจ้าเซี่ยสือ!”
เซี่ยสือที่เคยถูกเตือนไปก่อนแล้ว คราวนี้ไม่รู้ว่าจะนั่งหรือจะลุกขึ้นยืนดี
ลู่เฉินตบหน้าผากตัวเอง “มีศิษย์ลูกศิษย์หลานที่ซื่อบื้ออย่างเจ้า มิน่าเล่าควันธูปสายของข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ไม่โชติช่วงเอาซะเลย”
ลู่เฉินเงยหน้า ยกมือขึ้นดีดนิ้วลงบนกวานดอกบัวเบาๆ พูดเสียงค่อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นี่ๆๆ ชีสือ อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็รบกวนเจ้าช่วยเปิดประตูส่งแขกหน่อย!”
เซี่ยสือหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบเงยหน้ามองไปตามเส้นสายตาของนายท่านเจ้าลัทธิ
ด้วยมรรคาถาอันยิ่งใหญ่ไพศาลของผู้นำลัทธิเต๋าหนึ่งแคว้นของเขา พยายามมองไปสุดสายตาแล้วก็ยังได้แค่มองทะลุทะเลเมฆหนาชั้นไปเห็นริ้วคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยตรงมุมหนึ่งของม่านฟ้าเท่านั้น
ร่างของลู่เฉินวูบหายไป
พริบตาเดียว ‘ประตูบานเล็ก’ ที่เปิดอ้าอยู่บนม่านฟ้าก็ปิดตามไปด้วย
และลู่เฉินหนึ่งในลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าก็ไปจากใต้หล้าไพศาล กลับคืนสู่ใต้หล้ามืดสลัวอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
ลู่เฉินไปจากใต้หล้าไพศาล แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว นายท่านเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นี้กลับสร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งใหญ่
บนม่านฟ้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นใต้หล้ามืดสลัวซึ่งเป็นใต้หล้าที่ลัทธิเต๋าเป็นผู้บัญชาการณ์ ม่านฟ้านั้นถูกแหวกออกเป็นโพรงใหญ่เท่าภูเขาอยู่กลางทะเลเมฆสีทอง แสงสีทองเส้นหนึ่งที่ใหญ่เท่าภูเขากระแทกตูมลงบนยอดหอเรือนสูงแห่งหนึ่งที่สูงถึงหนึ่งจั้ง
ปัญญาชนวัยชราผู้หนึ่งที่มือหนึ่งถือไม้เท้า บนหลังสะพายหีบหนังสือเดินอยู่บนทางภูเขาที่ทอดยาวของใต้หล้ามืดสลัว ข้างกายคือเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้คนใหม่ซึ่งเขาเพิ่งรับตัวมา ผู้เฒ่าร่างผอมบางคนนี้ยกมือขึ้นบังหน้าผาก แหงนหน้ามองไปแล้วคลี่ยิ้ม “ดูท่าจะทำให้ฉีจิ้งชุนโมโหไม่เบา”
เด็กหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ฉีจิ้งชุนคือใครหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางตอบยิ้มๆ “คือบัณฑิตคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้า อายุไม่มาก แต่ความรู้สูงมาก”
คำถามถัดมาของเด็กหนุ่มค่อนข้างไร้เดียงสา “สูงแค่ไหนหรือ?”
ผู้เฒ่าผอมบางคิดแล้วก็ตอบอย่างขอไปที “บ้านเกิดของเจ้ามีสุภาษิตคำหนึ่งบอกว่า น้ำท่วมหลังเป็ดไม่ได้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพึมพำ “ดูท่าจะไม่สูงเท่าไหร่”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้อง “บัณฑิตที่แท้จริงจะมีความเพียรพยายามแค่ในด้านการแสวงหาความรู้ที่สูงส่งยาวไกลอย่างเดียวไม่ได้ ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มายังต้องมากพอให้พาชาวบ้านเดินขึ้นเขาลงห้วยไปพร้อมกันด้วย นอกจากจะทำให้ตัวเองมีสถานที่ที่สงบใจได้แล้ว บัณฑิตยังต้องทำให้ชาวบ้านมีสถานที่ที่สุขกายด้วย หาไม่แล้วต่อให้ความรู้จะสูงแค่ไหน เขียนบทความได้งดงามเท่าไหร่ก็มีประโยชน์แค่กับตัวเอง ไม่ได้ช่วยอะไรคนอื่นได้เลย”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าว่าหลักการของท่านก็สูงมากเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าร่างผอมบางยื่นมือมาเขกศีรษะของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ถอนหายใจอยู่กับตัวเอง
ผู้เฒ่านึกถึงฤดูกาลที่บ้านเกิดของตัวเอง ตอนนี้ทุกพื้นที่คงมีแต่ดอกไม้สีเหลืองบานสะพรั่งแล้ว
……
หลังจากที่ลู่เฉินไปจากใต้หล้าแห่งนี้ เซี่ยสือก็จำต้องยอมรับว่า ถึงแม้จะผิดหวังอย่างมาก แต่สภาพจิตใจของเขากลับผ่อนคลายกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลู่เฉินยังอยู่ในเมืองเล็ก อันที่จริงเซี่ยสือกระวนกระวายไม่น้อย กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด ไม่ทันระวังถูกนายท่านเจ้าลัทธิผู้นั้นมาเห็นเข้าแล้วจดจำไว้ขึ้นใจ
เซี่ยสือพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พลังอำนาจทั่วร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยน เขายืนอยู่ในลานบ้าน ทอดสายตามองไกลไปยังท่าเรือภูเขาอู่ถงที่อยู่ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก แล้วไม่นานตรงนั้นก็มีเรือข้ามทวีปขนาดใหญ่มหึมาอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีปปรากฎขึ้น บนเรือมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปอยู่หลายท่าน การที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวถูกโจมตีตรงพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ นอกจากบุรพาจารย์หลายท่านของภูเขาต่าเจี้ยวที่ถูกระดมพลแล้ว ยังมีกองกำลังใหญ่อีกหลายฝ่ายที่พร้อมใจกันเดินทางลงใต้ ภายนอกบอกว่าเดินทางมาเพื่อตรวจสอบเรื่องเรือจม แต่ความจริงนั้นเป็นอย่างไร นอกจากภูเขาต่าเจี้ยวที่มีกองกำลังเล็กสุดซึ่งถูกปิดหูปิดตามาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เซี่ยสือรู้ดี ชุยฉานราชครูต้าหลีรู้ดี ผู้อาวุโสสองท่านที่เพิ่งขึ้นเรือมาใหม่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งก็คือหมากที่สำคัญที่สุด คือทหารที่ต้องพลีชีพ
ต่อให้เป็นที่อุตรกุรุทวีปก็มีคนน้อยมากที่รู้ว่า ผู้ฝึกตนอิสระสวมหมวกขนเตียวคนนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ‘เหยือกกระบี่’ (เจี้ยนเวิ่ง) ที่เป็นสมบัติอาคม ในขณะเดียวกันกับที่ช่วยคนอื่นหลอมกระบี่ ก็ได้บ่มเพาะปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ สั่งสมมานานหลายร้อยปี ปราณกระบี่ที่อยู่ในเหยือกกระบี่ถูกรวบรวมไว้จนแน่นขนัดมานานแล้ว ดังนั้นการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งโดยจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่ ‘เหยือกกระบี่’ พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ก็แทบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
มากพอจะโจมตีให้เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวลำนั้นจมลง
ทั้งหมดนี้ล้วนเพียงเพื่อให้เซี่ยสือเดินก้าวที่สองได้อย่างสมเหตุสมผล ให้เทียนจวินลัทธิเต๋าจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้ได้ไปเยือนพื้นที่แถบเหนือของสำนักศึกษากวานหู นั่งบัญชาการณ์ที่แห่งนั้นด้วยตัวเอง ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเหนือใต้ของแจกันสมบัติทวีปลงอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้ ‘แนวโน้มของสถานการณ์’ ที่ต้าหลีจะฮุบเอาทิศเหนือทั้งแถบของแจกันสมบัติทวีปเกิดข้อผิดพลาดใดๆ
เซี่ยสือตบไหล่เด็กหนุ่ม “ไปที่แห่งหนึ่งเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เด็กหนุ่มคิ้วยาวติดตามบรรพบุรุษของตัวเองไปที่ร้านตระกูลหยาง ตอนที่เดินออกมาบนร่างของเขาก็มี ‘วัตถุจื่อชื่อ’ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น รวมไปถึงคำสัญญาข้อหนึ่งที่หยางเหล่าโถวมอบให้
และค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย ก็คือคำสัญญาข้อหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันจากเทียนจวินเซี่ยสือ
กลับมาถึงลานบ้านขนาดเล็ก เซี่ยสือก็เล่าให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวฟังเกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุที่เรือคุนเกิดเรื่อง
เด็กหนุ่มเห็นว่าบรรพบุรุษมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงถามด้วยความใคร่รู้ “ท่านบรรพบุรุษ ในเมื่อแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล อีกอย่างท่านบรรพบุรุษเองก็เป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของทวีปที่ใหญ่โตอย่างอุตรกุรุทวีป แล้วยังมีสิ่งใดให้ท่านต้องเป็นกังวลอีก?”
เซี่ยสือส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องทางโลกง่ายเกินไปแล้ว วันหน้าย่อมต้องถูกคนนับไม่ถ้วนตะโกนใส่หน้าว่า ‘กุรุทวีปทำอย่างนี้เพราะคิดรังแกแจกันสมบัติทวีปของเราที่ไม่มีทางสู้หรือ?’ ในบรรดาคนที่พูดแบบนี้ เกินครึ่งดีแต่โบกธงโห่ร้องปลุกระดม ดีแต่นั่งดูไฟชายฝั่ง อีกเกือบครึ่งที่เหลือจะหมายมั่นปั้นมืออยากลงมือกับเจ้า และในบรรดาคนอีกเกือบครึ่งนี้ก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศด้วยเหตุผลและเจตจำนงที่แตกต่างกันออกไป ในคนกลุ่มนี้จะต้องมียอดฝีมือที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ ยอดฝีมืออย่าง…คนแบบเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ อีกทั้งคนเหล่านี้ เมื่อถึงท้ายที่สุดจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้เจ้าแค่รอดูอย่างเดียวก็พอ สรุปก็คือไม่ว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปในทิศทางใด ก่อนหน้าที่เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนก็อย่าได้ยื่นมือเข้าแทรก แค่ติดตามอยู่ข้างกายหร่วนฉง ฝึกวิชากระบี่ให้สบายใจไปก่อน”
เด็กหนุ่มคิดหนักเหมือนมีเรื่องมากมายให้กังวลใจ เซี่ยสือเห็นเข้าก็หลุดหัวเราะ “ต่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ไม่มีทางปรากฏภายในปีครึ่งปีนี้ เจ้าจะเป็นกังวลไปทำไม?”
เด็กหนุ่มที่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์หมุนกายเดินไปทางประตูเรือน “ท่านบรรพบุรุษ ข้าไปฝึกวิชากระบี่ก่อนล่ะ”
เซี่ยสือนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินเพียงลำพัง หลับตาลงคำนวณแนวโน้มของสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปเงียบๆ
เท้าของเซี่ยสือและเด็กหนุ่มคิ้วยาวก้าวออกจากร้านตระกูลหยางได้ไม่นานเท่าไหร่ เฉาซีก็เดินเข้ามาที่ร้านยา ลูกจ้างในร้านไม่ได้แปลกใจนัก ตอนนี้เมืองเล็กเจริญรุ่งเรือง คนมีเงินมีให้เห็นมากมาย เพิ่มเจ้าอ้วนคนนี้มาสักคนก็ไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิม
เฉาซีสอบถามด้วยรอยยิ้มว่าผู้อาวุโสหยางเหล่าอยู่ที่เรือนหลังหรือไม่ ลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังชั่งน้ำหนักตัวยาอยู่ตรงชั้นวางยาชำเลืองตามามองเศรษฐีร่างอ้วนฉุคนนี้ แล้วพยักเพยิดคางไปยังประตูหลังของห้องโถงใหญ่ที่มีม่านไม้ไผ่ห้อยแขวนอยู่เพราะคร้านจะพูดให้มากความ เฉาซีเอ่ยขอบคุณแล้วเดินไปทางนั้นช้าๆ เลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเพดานเปิดอ้ารูปทรงสี่เหลี่ยม รวมถึงระเบียงสี่เส้นที่อยู่ใต้ชายคา เมื่อเทียบกับบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาแล้วดูทันสมัยและงดงามมากกว่าเล็กน้อย
ในระเบียงทางเดินที่อยู่ตรงข้ามกับห้องหลักของเรือนด้านหลังมีม้านั่งยาวตัวหนึ่งวางอยู่ ราวกับว่าเตรียมไว้ให้แขกอย่างเฉาซีโดยเฉพาะ
นอกห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หยางเหล่าโถวกำลังนั่งสูบยาอยู่บนม้านั่ง กระบอกไม้ไผ่สีเขียวถูกกาลเวลาขัดเกลาให้กลายเป็นสีออกเหลืองนานแล้ว มองผ่านม่านควันยาสูบออกไป ผู้เฒ่ามองเห็นเซียนกระบี่ที่เดินทางข้ามทวีปมาจากทักษินาตยทวีปผู้นั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้จักกัน ตอนที่เฉาซีไปจากเมืองเล็ก เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเฉาซีกลับมีความทรงจำต่อหยางเหล่าโถวที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังร้านยา นั่งก้นบ่อมองท้องฟ้าปีแล้วปีเล่าผู้นี้เจือจางมาก แต่เชื่อว่าหยางเหล่าโถวต้องไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าปีนั้นที่เขาเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูไปได้สำเร็จ ก็อาจเป็นฝีมือของผู้เฒ่าคนนี้ที่จัดการอยู่เบื้องหลัง
เฉาซีมาที่นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ว่าบุญคุณน้ำหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุหนึ่งสายอยู่แล้ว ต่อให้หยางเหล่าโถวไปหาถึงที่ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉาซีจะเต็มใจให้ความสนใจ หยางเหล่าโถวที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นแก่หน้าของเขาอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเฉาซีทำการค้าครั้งนี้สำเร็จก็จะหวนกลับนาตยทวีป ทำหน้าหนาไปขอค่าตอบแทนจากบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอิน ต่อให้ฐานะของหยางเหล่าโถวจะลึกลับสักแค่ไหน ในอนาคตเขาที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจะร้ายกาจสักเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเฉาซี
ส่วนสกุลเฉาที่เป็นนายพลเอกเสาหลักค้ำราชวงศ์ต้าหลี ในอนาคตจะโชคดีหรือโชคร้ายก็อยู่ที่บุพเพวาสนาของพวกเขาเอง อย่างมากก่อนจะจากไปเฉาซีก็แค่ช่วยเหลือพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจะรับน้ำใจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เฉาซีมีลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนไม่ได้ฝึกเพื่อให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง คำกล่าวที่ว่าไก่และหมาพากันได้ขึ้นสวรรค์ (มาจากสำนวนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ ไก่และหมาพากันขึ้นสวรรค์ เปรียบเปรยว่าเมื่อคนหนึ่งได้ดี ลูกหลานบริวารก็ได้ดีตามไปด้วย) ก็เป็นแค่ของรางวัลที่ได้มาเพิ่มพิเศษเท่านั้น
คำถามแรกของเฉาซีก็คือ “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานหลายพันปี ในถ้ำสวรรค์หลีจูที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดาถ้ำสวรรค์ทั้งหลายของใต้หล้าแห่งนี้ คนที่เดินออกไปภายใต้เปลือกตาของเจ้า ใครที่ประสบความสำเร็จสูงสุด?”
หยางเหล่าโถวถามกลับ “เจ้านับเป็นต้นหอมต้นไหน?” (เป็นคำดูหมิ่น คล้ายประโยคว่า คิดว่าตัวเองเป็นใคร?)
เฉาซีชูข้อมือ เผยให้เห็นข้อมือขาวอวบท่อนหนึ่ง ด้านบนรัดเชือกสีเขียวมรกตไว้หนึ่งเส้น พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ในนี้มี ‘หอมต้นหนึ่ง’ อยู่จริงๆ”
หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีลมก็รีบผาย”
เฉาซีลดมือลง รีบเปลี่ยนสีหน้าเสียใหม่ กล่าวด้วยน้ำเสียงประจบว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เลิศล้ำ ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าวิญญาณของมารดาข้าอยู่ที่ไหน? สลายไปท่ามกลางฟ้าดิน หรือว่าไปเกิดใหม่แล้ว? หรือว่า…ถูกท่านผู้อาวุโสแอบเก็บเอาไว้ เพื่อรอให้ราคาสูงแล้วค่อยขาย?!”
หยางเหล่าโถวไม่สนใจคำพูดช่วงท้ายที่ซ่อนนัยยะทิ่มแทงของเซียนกระบี่พสุธาผู้นั้น เขากล่าวเข้าประเด็นทันทีว่า “เจ้าเฉาซีคิดจะจ่ายเงินซื้อ? ขอแค่เจ้าให้ราคาที่สูงมากพอ อย่าว่าแต่แม่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพ่อเจ้าก็ยังไม่มีปัญหา”
เฉาซีหัวเราะเสียงดัง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงอยู่อีกฟากหนึ่ง “ผู้อาวุโสหยางเหล่าเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ดีๆๆ ! ครั้งนี้นับว่าไม่มาเสียเที่ยว! หึหึ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีวิตของท่านผู้อาวุโสมีค่ามากเท่าไหร่?”
หยางเหล่าโถวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คิดจะทำการค้าก็ยินดีต้อนรับ แต่เมื่อมาเยือนถึงบ้าน ได้พบหน้ากันแล้ว ไม่ยอมควักเงิน ก็รีบไสหัวไปให้ไกล”
เฉาซีได้ยินแล้วก็หรี่ตาลง ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันเบาๆ ทั้งสองมือ ท่าทางของเขาจึงดูน่าขันอย่างถึงที่สุด
แต่ปราณสังหารกลับแผ่ออกมาเด่นชัด
หยางเหล่าโถวไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แล้วจู่ๆ เฉาซีก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “การค้าย่อมทำได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าเฉาซีชอบทำการค้ากับคนอื่นมากที่สุด เพียงแต่หวังว่าราคาของท่านผู้อาวุโสจะไม่สูงมากเกินไป เพราะข้าคงไม่ซื้อแน่ๆ ข้าเป็นคนอย่างไร ผู้อาวุโสหยางเหล่าอาจจะยังไม่แน่ใจนัก เพื่อการฝึกตนแล้ว บุตรชายและหลานชายแท้ๆ ก็ยังขายแลกเงินได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้รวยแล้ว เจริญรุ่งเรืองแล้ว สวมผ้าแพรกลับบ้านเกิด เห็นสิ่งของก็ให้คิดถึงคน ถึงได้เกิดความอาลัยอาวรณ์เล็กๆ น้อยๆ นั่นขึ้นมา”
หยางเหล่าโถวเอ่ยเนิบช้า “มีเด็กคนหนึ่ง ชื่อหลี่หลิ่ว ติดตามพ่อแม่ของนางไปที่กุรุทวีป ดวงวิญญาณของพ่อแม่เจ้าตอนนี้ล้วนอยู่กับนาง หากเจ้าคิดจะทำการค้าอย่างยุติธรรม ข้าก็จะทำกับเจ้า รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ถึงเวลานั้นจะมอบคืนให้เจ้าครบทั้งหัวทั้งหาง แน่นอนว่าหากเจ้ากลับคำ คิดจะบังคับแย่งชิงไปก็ได้ ตอนนี้เจ้าสามารถหมุนตัวเดินจากไปได้เลย หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็รอรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”
เฉาซีหน้ามุ่ย “ครบทั้งหัวทั้งหาง…ผู้อาวุโสหยางเหล่าท่านพูดไม่น่าฟังเอาซะเลย เอาเถอะ ท่านเปิดราคามาได้เลย”
หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบชี้ไปที่ข้อมือของเฉาซี
เฉาซีพลันเดือดดาลอย่างรุนแรง “หมายความว่าไง? จะให้ข้าผู้อาวุโสมอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ให้กับเด็กหลี่หลิ่วนั่น?! หยางเหล่าโถว เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามามอง ก่อนพูดต่อว่า “กระบี่บินเล่มที่เจ้าได้ครอบครองก่อนจะหลอมแม่น้ำสายใหญ่สายนี้ได้ คงยังเก็บเอาไว้ตลอดกระมัง เจ้าสามารถมอบมันให้กับหลี่หลิ่ว จำไว้ว่าแม้แต่คาถากระบี่เจ้าก็ต้องถ่ายทอดให้นางไปพร้อมกันด้วย”
สีหน้าของเฉาซีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
หยางเหล่าโถวแค่นเสียงเย็น “อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่เคยได้รับลูกศิษย์ดีๆ สักคน นี่เท่ากับข้าช่วยหาให้เจ้าคนหนึ่งโดยไม่คิดค่าตอบแทน ไม่แน่ว่าในอนาคตเมื่อทุกคนพูดถึงเจ้าเฉาซี อาจจะกล่าวว่า ‘เฉาซีน่ะหรือ เขาก็คืออาจารย์ของหลี่หลิ่ว’ ก็เป็นได้”
เฉาซีรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถูมือจุ๊ปากพูด “นังหนูนั่นร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หยางเหล่าโถวกระตุกมุมปาก “ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปหานางด้วยตัวเอง ตอนที่มอบกระบี่บินเล่มนั้นให้นาง เชื่อว่าเจ้าจะยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง”
“การค้าครั้งนี้ ข้าผู้อาวุโสตกลงทำ! จะเดิมพันก็ต้องเดิมพันให้ใหญ่ นี่ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับฐานะเซียนกระบี่ของข้าผู้แซ่เฉา!”
เฉาซีตบเข่าฉาด ลดระดับน้ำเสียงลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ล่ะ? เจ้าและข้ายังมีการค้าอะไรที่ทำด้วยกันได้อีกไหม?”
น้ำเสียงของหยางเหล่าโถวราบเรียบ “ดวงวิญญาณของพ่อเจ้า”
เฉาซีตะลึง จากนั้นก็ค้อนตาคว่ำ “เลิกพูดๆ ให้เปล่าข้ายังไม่ต้องการเลย”
หยางเหล่าโถวเริ่มพ่นควันโขมงอีกครั้ง “ในเมื่อไม่เอาก็เปลี่ยนเป็นอันใหม่ เจ้าไปหาหม่าขู่เสวียนที่ภูเขาเจินอู่ ไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาของเขา ภายในยี่สิบปีนี้ ไม่ต้องคอยจับตามองเขาตลอดเวลา นับรวมๆ กันแล้วแค่เจ้าเฉาซีทำให้ได้ครบสิบปีก็พอ”
เฉาซีหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “เซียนกระบี่คนหนึ่งที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสอง ต้องไปเป็นผู้ปกป้องมหามรรคาให้เด็กคนหนึ่ง?! ข้าเฉาซีช่างไม่รักศักดิ์ศรี ไม่รักหน้าตาเอาซะเลย แม้ว่าอยู่ที่นาตยทวีปจะมีชื่อเสียงด้านความหน้าด้านไร้ยางอาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้างสิ!”
หยางเหล่าโถวพูดเสียงหนัก “บอกให้เฉาจวิ้นไปเข้าร่วมกองทัพต้าหลี ฝึกขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ที่แตกพังอยู่ในสนามรบ ข้าสามารถให้คนแอบปกป้องเขาอย่างลับๆ ยี่สิบปี จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่ของเขาถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์แบบ”
สีหน้าของเฉาซีเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “ได้ผลประโยชน์ไปแล้วก็อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสา ศักดิ์ศรีน้อยนิดของเจ้าเฉาซี กับเซียนกระบี่พสุธาที่จะเพิ่มมาในตระกูลอีกคนหนึ่ง อะไรที่มีค่ามากกว่ากัน?”
เฉาซีทำสีหน้าลำบากใจ “เจ้าเด็กเฉาจวิ้นผู้นั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนเนรคุณ ปล่อยให้เขาได้กลายเป็นเทพเซียนพสุธา เขาจะไม่ก่อกบฏเลยหรือ? ตระกูลเฉาร้ายกาจแล้ว ตระกูลเดียวมีเซียนกระบี่ตั้งสองคน ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็สามารถเป็นคนยืนยืดเอวได้ตรง อ้อไม่ถูกสิ ต้องเป็นเทพเซียน แต่บรรพบุรุษอย่างข้าไม่แน่ว่าอาจจะถูกเจ้าเด็กนั่นคิดบัญชีย้อนหลัง…”
หยางเหล่าโถวไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขาเรื่องนี้ พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “หลังจากเฉาจวิ้นกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาแล้ว จำเป็นต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง วางใจเถอะ ไม่ได้ให้เขาไปตายหรอก และสำหรับเฉาจวิ้นในเวลานั้นแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากสักเท่าไหร่”
เฉาซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามว่า “ผู้อาวุโสหยางเหล่า ทำไมเจ้าถึงไม่ไปหาเฉาจวิ้นโดยตรง? ระหว่างนี้คงไม่ได้มีแผนเล่นงานอะไรหรอกนะ? จะอย่างไรพวกเราสองคนก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว คนบ้านเดียวกันเจอคนบ้านเดียวกันก็ไม่ควรซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอหรอกหรือ ไม่ควรจะทำร้ายคนบ้านเดียวกันหรอกกระมัง?”
หยางเหล่าโถวตัดบทตอบตามตรง “ตอนนี้เฉาจวิ้นยังไม่มีคุณสมบัติจะมาคุยเรื่องค้าขายกับข้า แต่เจ้าเฉาซีมี”
เฉาซีพูดไม่ออกเป็นนาน
สุดท้ายตอนที่เดินออกมาจากร้านตระกูลหยาง เฉาซีมายืนอยู่บนถนนเส้นใหญ่ หันหลังกลับไปมองร้านยาแวบหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “เรื่องพวกนี้ คงไม่ได้เป็นแผนการของตาเฒ่าเฉินฉุนอันด้วยหรอกนะ?”
ตรอกหนีผิง
ยามดึก เด็กหนุ่มสวมชุดแพรที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความร่ำรวยนั่งเหม่ออยู่ในลานบ้าน
ก่อนหน้าที่ผู้ฝึกลมปราณใหญ่จากสำนักหยินหยางจะถูกซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขาสังหาร อีกฝ่ายเคยมาหาเขาเป็นการส่วนตัว และได้พูดคุยเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดร่วมกันครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าถึงขั้นเปิดเผยแผนการชั่วร้ายใหญ่เทียมฟ้าที่มีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของต้าหลีออกมา การที่เขาบอกให้ฮ่องเต้ฝึกบำเพ็ญตนโดยพลการ ผิดต่อกฎที่อริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ ไม่เพียงแต่ใช้สถานะของฮ่องเต้แอบเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง ยังถึงขั้นฝ่าไปถึงขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ด้วย
ฮ่องเต้ทำไปก็เพราะหวังได้เห็นราชวงศ์ต้าหลีฮุบกลืนทั้งทวีป ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ลัทธิหยินหยางทำไปก็เพื่อหวังว่าจะชักใยฮ่องเต้ต้าหลี หรือก็คือบิดาของซ่งจี๋ซินให้เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง เพราะเมื่อใดที่ฮ่องเต้ต้าหลีปิดด่านเพื่อข้ามธรณีประตูของห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการ ก็คือช่วงเวลาที่เขาจะเสียสติและตกเป็นหุ่นเชิดอย่างสิ้นเชิง
การมาถึงของอาเหลียง การที่เขาทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฮ่องเต้ต้าหลีให้แหลกสลายก็อาจเป็นเพราะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง และก็มีความเป็นไปได้มากว่ากลไกรวมไปถึงปมเงื่อนต่างๆ ที่ถูกผูกซ่อนเอาไว้ในสะพานแห่งนั้นได้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แม้ตอนนั้นฮ่องเต้ที่อยู่บนลานกว้างหน้าหอป๋ายอวี้จะปิดบังอำพรางได้อย่างดีเยี่ยม แต่ฮ่องเต้กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางก็ได้หันมาเล่นตุกติกกับร่างของซ่งจี๋ซินเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หมัดนั้นของอาเหลียงก็สร้างความปั่นป่วนให้กับแผนการอันยาวไกลหลายสิบปีที่รวบรวมทุกวิถีทางซึ่งจะทำให้แผนการสำเร็จของสำนักหยินหยางสายของเขาได้อย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่ว่าทุกอย่างนี้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะสิ้นสุดมากนัก
ซ่งจี๋ซินในเวลานี้ย้อนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นก็ให้หนักใจอย่างถึงที่สุด
สาวใช้จื้อกุยสวมเสื้อคลุมเดินออกมา ถามว่า “คุณชาย มีเรื่องในใจหรือ?”
ซ่งจี๋ซินหันมายิ้มให้ “ก็แค่นอนไม่หลับเท่านั้น”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที แล้วไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างซ่งจี๋ซิน
จู่ๆ ซ่งจี๋ซินก็เสนอความเห็นขึ้นมาว่า “แสงจันทร์บางเบา ทิวทัศน์งดงาม ไม่อย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”
จื้อกุยกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ได้สิ เอาตามที่คุณชายต้องการเลย”
ยังคงเป็นนายบ่าวสองคนที่เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมืองเล็กไปด้วยกัน เมื่อเดินไปถึงโรงเรียนเดิมทีฉีจิ้งชุนเคยสอนหนังสือ ผ่านโต๊ะหินในเรือนหลังที่เคยนั่งเล่นหมากล้อม ซ่งจี๋ซินก็ยื่นมือไปลูบผิวโต๊ะที่เยียบเย็น ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ทางทิศเหนือ จ้าวเหยานั่งอยู่ทางทิศใต้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ฉีถึงทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อน้ำลดหินผุด ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ซ่งจี๋ซินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจ้าวเหยามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง”
มาถึงที่นี่ จื้อกุยพูดน้อยลงกว่าเดิม
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็สาวเท้าเดินเล่นไปอย่างไร้จุดหมาย เดินไปตามที่ใจปรารถนา
บ่อโซ่เหล็ก โซ่เหล็กถูกบุรุษต่างถิ่นผู้หนึ่งเอาออกไปแล้ว นี่ก็คือโควาสนาของตระกูลเซียน
แมวดำตัวนั้นของตรอกซิ่งฮวา ดูเหมือนว่าจะออกจากเมืองเล็กไปพร้อมกับหม่าขู่เสวียนคนโง่ที่เงียบขรึมดุจน้ำเต้าตัน
สะพานหินโค้งที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเพราะสะพานแบบคานถูกรื้อถอนทิ้งไป กระบี่โบราณใต้สะพานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ได้ยินว่าอีกไม่นานอริยะหร่วนฉงจะตั้งพรรคเปิดสำนักที่ภูเขาใหญ่บางลูก ถึงเวลานั้นย่อมต้องเป็นเรื่องที่ได้รับความสำคัญมากอย่างแน่นอน กรมพิธีการของต้าหลีมองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งที่ต้องตั้งใจจัดการให้ดีของปีนี้
ร้านยาสุ้ยกับร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันในตรอกฉีหลงต่างก็เปลี่ยนเป็นของคนแซ่เฉิน นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหาได้ยาก เพราะคนแซ่เฉินในเมืองเล็กแทบจะกลายเป็นบ่าวของสี่แซ่สิบตระกูลหมดแล้ว
สองศาลบุ๋นบู๊ที่สร้างขึ้นใหม่ในสุสานเทพเซียนกับภูเขากระเบื้องเคลือบเริ่มทำการก่อสร้างแล้ว แต่ละศาลแยกเป็นสถานที่ตั้งบูชาบรรพบุรุษของตระกูลหยวนและเฉาที่ในอดีตเคยเป็นหยกคู่แห่งราชสำนักต้าหลี ตอนนี้จึงถือว่าพวกเขาคือใบไม้ที่ร่วงกลับสู่ราก
กลอนคู่ที่มาจากลายมือของบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลายแผ่น แม้แต่คนในวงการวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังส่งกลอนคู่ที่เขียนด้วยลายมือตัวเองมาให้ ลายมือที่เขียนมีทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา
ซ่งจี๋ซินยืนอยู่นอกศาลที่ตั้งบูชาอริยะ กระตุกมุมปากขึ้นสูง “เฮอะ ท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา”
สุดท้ายเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ที่เกิดในตระกูลซ่งต้าหลีก็หันไปมองทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกที่อยู่ห่างไปไกล ดูเหมือนจะเป็นทิศที่ตั้งของภูเขาลั่วพั่ว
ที่นั่นมีศาลเทพภูเขาที่ควันธูปน้อยนิดอย่างถึงที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่มองไกลไปยังภูเขาลั่วพั่วสีหน้าหม่นหมอง และเขาเองก็อกสั่นขวัญผวาเช่นกัน (อกสั่นขวัญผวาคือแปลจากภาษาจีนว่าซือหุนลั่วพั่ว ลั่วพั่วซึ่งเป็นคำเดียวกันกับชื่อภูเขาลั่วพั่ว)
……
หากไม่กล่าวถึง ‘ศาลใหญ่’ ที่เป็นของทวยเทพขุนเขาเหนือบนภูเขาพีอวิ๋น ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกยังมีศาลเทพภูเขาทั่วไปอยู่อีกหลายแห่ง ศาลที่ควันธูปรุ่งเรืองมากที่สุดก็คือภูเขาเฟิงเหลียง (ลมเย็น) ที่อยู่ทางทิศเหนือสุด เพราะว่าอยู่ใกล้กับเขตการปกครองหลงเฉวียนมากที่สุด ถนนหนทางถูกบุกเบิกได้อย่างกว้างขวางราบเรียบ ขึ้นเขาสะดวก ระหว่างทางมีร้านน้ำชาและร้านอาหาร รวามไปถึงโรงเตี๊ยมขนาดเล็กใหญ่ที่มีไว้ให้ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาหยุดพักค้างแรมระหว่างทางผุดขึ้นเป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน
ตรงตีนเขามีตลาดอยู่แห่งหนึ่งที่ขายของสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นชา สุรา บะหมี่ ดอกไม้ นก ปลาหรือแม้แต่แมลง เป็นเหตุให้เด็กๆ ของเมืองเล็กที่พอได้ยินว่าพ่อแม่จะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นก็ดีใจกันสุดๆ แทบไม่ต่างจากเวลาฉลองวันปีใหม่ เพราะว่าที่นั่นมีแผ่นแป้งเนื้อย่างที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายวางขาย และยังมีผู้เฒ่าปั้นน้ำตาล เด็กหลายคนที่พอได้เงินอั่งเปามาตอนวันปีใหม่ก็มักจะแอบจับกลุ่มกันไปเล่นสนุกที่นั่น ผลกลับกลายเป็นว่าพอกลับไปถึงบ้าน เด็กส่วนใหญ่ล้วนถูกพ่อแม่จัดการซะอ่วม
เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งก็วางแผงขายเกี๊ยวน้ำอยู่ที่นั่น
ไส้กุ้ง หน่อไม้ เต้าหู้ ล้วนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ สุดท้ายโรยต้นหอมซอยลงไปหนึ่งกำมือ กินคู่กับน้ำพริกจานเล็กๆ ที่เด็กหนุ่มทำเอง รสชาตินั้นเรียกได้ว่าล้ำเลิศ
เดิมทีเด็กหนุ่มเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งลำธารหลงเหว่ยสร้างขึ้นใหม่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ต่อให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เด็กหนุ่มก็ยังออกมาจากโรงเรียน เขาขายบ้านเก่าในเมืองเล็กหนึ่งหลังจากที่มีอยู่สองหลัง ซื้อบ้านหลังใหม่เอี่ยมที่เขตการปกครองแห่งใหม่ อยู่ห่างจากภูเขาเฟิงเหลียงไปแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
ร้านเกี๊ยวน้ำเปิดตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามสนธยา ไม่มีเวลาที่แน่นอน ขอแค่ยังมีลูกค้า ต่อให้ฟ้าจะมืดแค่ไหน เด็กหนุ่มก็จะรอจนกว่าลูกค้าจะค่อยๆ กินเสร็จ ถึงจะเก็บร้าน แล้วเข็นรถกลับบ้านไป ตอนนี้เขตการปกครองยังไม่มีเวลาห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ทั่วทุกหนแห่งล้วนมีแต่ภาพบรรยากาศของความคึกคักที่ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว หากยืนมองภาพบรรยากาศของเมืองยามค่ำคืนมาจากศาลเทพภูเขาบนยอดเขาเฟิงเหลียง จะเห็นเป็นเหมือนโคมไฟดวงใหญ่ดวงหนึ่งที่ถูกวางไว้บนพื้นดิน
ม่านรัตติกาลของคืนนี้เยื้องกรายมาถึง ต่งสุ่ยจิ่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เริ่มเก็บร้านเกี๊ยวน้ำ เตรียมกลับบ้านของตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษท่าทางประหลาดคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เขาทั้งไม่ห้อยกระบี่แล้วก็ไม่สะพายกระบี่ แต่วางพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลังตัวเอง พอเดินมาถึงข้างแผงก็ถามยิ้มๆ ว่า “พ่อค้า ยังขายเกี๊ยวน้ำอยู่ไหม?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกว้าง “ขายสิ! ทำไมจะไม่ขายล่ะ! แค่ต้องต้มน้ำ ลูกค้าโปรดรอสักครู่”
บุรุษคลี่ยิ้มทรุดตัวนั่งลงข้างโต๊ะที่ถูกเช็ดจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบมันหรือคราบสกปรกแม้แต่น้อย บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง ด้านในเสียบตะเกียบไม้ไผ่สีเขียวเรียวยาวไว้จนเต็มแน่น เถ้าแก่น้อยคนนี้ช่างประดิษฐ์ประดอยไม่เบา
บุรุษรอจนได้รับเกี๊ยวน้ำชามโตที่ไอร้อนลอยกรุ่น หอมซอยที่ลอยอยู่เหนือน้ำต้มสีแดงเข้มข้นมองดูน่ารับประทาน ต่งสุ่ยจิ่งถามเขาว่ากินเผ็ดได้หรือไม่ บุรุษบอกว่ายิ่งเผ็ดก็ยิ่งดี เด็กหนุ่มจึงส่งน้ำพริกหนึ่งจานเต็มไปให้เขา บุรุษหยิบตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง ไม่รีบร้อนกิน เขาก้มหน้าลง หลับตาลงดมกลิ่นหอม แล้วจุ๊ปากชื่นชม “กลิ่นนี้ ถูกใจ!”
บุรุษถามชวนคุย “รู้จักสำนักโม่หรือไม่?”
ต่งสุ่ยจิงที่นั่งห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ “แน่นอน เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกว่าสำนักโม่เคยเป็นหนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ความรู้ที่พวกเขาสรรเสริญนั้นร้ายกาจอย่างมาก เป็นความรู้ประเภทที่รู้หลักการได้ง่าย แต่ลงมือปฏิบัติจริงกลับยากมาก ชอบทดสอบจิตใจของลูกศิษย์ในพรรค นอกจากนี้คือค่อนข้างจะเคร่งครัดตายตัว อาจารย์บอกว่าค่อนข้างจะ…น่ารัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่งสุ่ยจิ่งก็ยกมือเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนพูด”
บุรุษเคี้ยวเกี๊ยวชิ้นหนึ่งพลางพยักหน้ารับแรงๆ “พูดได้ดีจริงๆ”
เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อคนเชื่อดาบในบรรดาจอมยุทธ์พเนจรของสำนักโม่หรือไม่? เชื่อจากเชื่อหนี้ ดาบก็คือดาบที่เป็นอาวุธ”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เรื่องนี้อาจารย์ฉีไม่เคยพูดถึงมาก่อนจริงๆ
บุรุษวางตะเกียบลง ตบหน้าท้อง ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งทีอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากเป็นคนเชื่อดาบหรือไม่?”
สีหน้าของต่งสุ่ยจิ่งนิ่งขรึม แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ขายเกี๊ยวน้ำก็ดีมากแล้ว ได้เงินแถมยังมีชีวิตที่สงบสุขด้วย”
ตอนแรกเขา หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี หลี่ไหว สือชุนเจีย นักเรียนห้าคนในโรงเรียนช่วยกันหลอกสารถีซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือนักรบเดนตายของต้าหลีจนหัวหมุน แม้ว่าคนที่วางแผนและคอยแก้ไขช่องโหว่คือหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่ขอแค่เผยพิรุธออกมา ทุกสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า ดังนั้นสุดท้ายแล้วเด็กห้าคนที่ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนอย่างเป็นทางการ ล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
ก็เหมือนต่งสุ่ยจิ่ง อายุเพียงแค่นี้ก็รู้จักไปหาแม่นางหร่วนซิ่ว ให้นางช่วยขายบ้านเก่าในเมืองเล็กราคาสูงเทียมฟ้าให้ จากนั้นก็ไปซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เขตการปกครองอย่างรวดเร็ว แถมไม่ได้ซื้อแค่หลังเดียว แต่ซื้อทั้งถนน!
เงินก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าก็มีวิธีใช้เงินของมัน เงินสามารถต่อเงินได้
เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่พอให้ประทังชีวิตก็ควรจะมีวิธีหามา ไม่ใช้เงินก็เท่ากับกำลังหาเงิน สองอย่างนี้ไม่ขัดแย้งกันเอง
“ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า”
บุรุษโบกมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเลือกเจ้า ต่งสุ่ยจิ่ง ข้าสังเกตเจ้ามานานมากแล้ว ทุกด้านของเจ้า อาจพูดไม่ได้ว่าล้วนดีที่สุด แต่ที่แน่นอนเลยก็คือไม่มีปัญหาสักด้าน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าคือ?”
บุรุษกล่าวตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง “ข้าชื่อสวี่รั่ว ลูกศิษย์สำนักโม่ มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบ แต่ข้ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง ก่อนตายเขาขอให้ข้ารับปากว่าจะช่วยเขาหาลูกศิษย์ที่เหมาะสมซึ่งจะมาเป็นผู้สืบทอดของเขา เขาคืออาจารย์ปู่ของคนเชื่อดาบรุ่นก่อนของสำนักโม่ เป็นคนที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง เคยดื่มเหล้ากับอาเหลียงมาหลายครั้ง เขาล้วนเป็นคนออกเงินค่าเหล้า ตอนที่อาเหลียงเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ติดหนี้คนเขาไปทั่ว และเขาก็เป็นคนจ่ายหนี้ให้ทั้งหมด”
“แล้วอาเหลียงคือใคร?”
“บุตรชายของศัตรูคู่แค้นของอาจารย์ของอาจารย์เจ้า”
“อะไรนะ?!”
ต่งสุ่ยจิ่งมึนงงไปหมดแล้ว คืออะไรของใครของใครนะ?
บุรุษลุกขึ้นยืน “ครั้งหน้าข้าจะมาใหม่ เจ้าใคร่ครวญดูให้ดี”
ต่งสุ่ยจิ่งพลันตะโกนเรียก “รอเดี๋ยว!”
บุรุษยิ้มบางๆ “เงินค่าเกี๊ยวน้ำชามนี้ติดไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้ารับปากจะเป็นคนเชื่อดาบ…”
ต่งสุ่ยจิ่งยืนกราน “แบบนี้ได้ที่ไหน ขอแค่ทำการค้า ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
บุรุษพยักหน้า ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมา “ฮ่าๆ มีมาดเหมือนคนเชื่อดาบจริงๆ”
ภายใต้แสงสนธยา สวี่รั่วจากไปอย่างสง่างาม
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งอยู่ที่เดิม มองส่งจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่จากไป ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
การที่เขาปลุกความกล้าทวงเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้น ไม่ใช่เพราะเขาต่งสุ่ยจิ่งดื้อด้านหัวแข็ง เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นเพราะเขาอยากจะลองใจคนด้วยวิธีบ้านๆ
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งเหม่อเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ไม่มีอารมณ์ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งที่มีขนมเปี๊ยะชิ้นโตหล่นลงมาจากฟ้า กลับกันคือค่อนข้างจะมึนงงด้วยซ้ำ
อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้
เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่มีใจทะเยอทะยานเท่าไหร่นัก แค่คิดว่าวันหน้าจะทำงานหาเงิน มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน ขอแค่บ้านที่เขาพักอาศัยอยู่ตอนนี้มีบ่อน้ำบ่อหนึ่งที่มีน้ำให้ตัก ข้างบ่อน้ำปลูกต้นหลิ่ว (หรือต้นหลิว) ไว้หนึ่งต้น ฤดูใบไม้ผลิของทุกๆ ปีมียอดอ่อนแตกหน่อขึ้นมา เมื่อลมโชยผ่าน กิ่งหลิ่วก็ส่ายไหวไปตามสายลม น่ารัก…อย่างมาก