บทที่ 262 มีกระบี่พุ่งมาจากทะเลเมฆ
เจิ้งต้าเฟิงแหงนหน้ามองทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่า แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “ทำไมถึงไม่สวมกระโปรงนะ”
เทพหยินที่มาจากศาลเล็กตนนั้นค่อยๆ ปรากฏตัวด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เจิ้งต้าเฟิงดึงสายตากลับมา ถามยิ้มๆ ว่า “เหล่าจ้าว ไม่ว่าข้าจะถามอะไร เจ้าก็จะไม่ตอบใช่หรือไม่?”
เทพหยินส่ายหน้า “เกี่ยวกับฟ่านจวิ้นเม่าผู้นี้ ข้าไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเจ้า แต่ว่าตอนนั้นที่อยู่ในศาลเล็ก ได้ยินเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ตายไปแล้วท่านหนึ่งเคยพูดถึงข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องจริง”
เจิ้งต้าเฟิงพลันบังเกิดความสนใจ “ไหนลองเล่ามาสิ ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว…”
เทพหยินหัวเราะเสียงหยัน “เจ้าน่ะไม่มีอะไรทำ แต่ข้ายุ่งนักล่ะ งานสนเข็มร้อยด้าย (เปรียบเปรยถึงการเป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานงาน) ไม่ได้เบาไปกว่าการรบราฆ่าฟันเลย อ้อ ไม่ถูกสิ ทุกวันนี้เจ้ายุ่งมาก ยุ่งอยู่กับการพูดจาแทะโลมพวกหญิงชาวบ้านร้านตลาด วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ อันที่จริงเจ้าควรไปที่สำนักศึกษากวานหูได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ “เหล่าจ้าวเอ๋ย คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนฟังพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ พวกเราสองคนได้มาร่วมมือกัน ถือเป็นบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่เชียวนะ”
เทพหยินเถียงกลับ “เป็นกรรมสัมพันธ์มากกว่า”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า ยื่นนิ้วชี้ไปที่ทะเลเมฆ “นางกับข้าต่างหากที่เป็นกรรมสัมพันธ์ พวกเราสองคนนี่เรียกว่าบุญสัมพันธ์”
ก่อนหน้าที่ฟ่านจวิ้นเม่าจะเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็ถอยไปเองก่อนแล้ว นี่เป็นทั้งมารยาทอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง แต่ก็มองออกว่าทั้งสองคงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก อีกทั้งการเลื่อนขั้นอย่างรุดหน้าของบุตรีสายตรงตระกูลฟ่านผู้นั้น นับตั้งแต่ขอบเขตถ้ำสถิตตอนที่ฟ่านเจิ้งสองคนได้พบกันครั้งแรก ไปจนถึงการเดินทางกลับจากต้าหลีมายังนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านยาขนาดเล็ก นางก็เป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว ความเร็วในการไต่ทะยานแบบนี้ไม่ใช่แค่คำว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนจะอธิบายได้ นี่มันน่าตะลึงเกินไป เทพหยินแซ่จ้าวอดนึกถึงเด็กสาวบางคนที่เติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ พรสวรรค์ในการฝึกตนบนภูเขาที่ทำให้คนริษยา บางทีอาจสู้สี่คำที่บางเบาล่องลอยว่า ‘เกิดมาก็เข้าใจ’ ไม่ได้
แม้แต่เทพเซียนก็ยังต้องตกตะลึงใช่ไหมล่ะ?
เทพหยินท่านนี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจหนึ่งที
ยังดีที่คนประเภทนี้ ต่อให้นับรวมทั่วห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทรและเก้าทวีปใหญ่แล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้
เจิ้งต้าเฟิงส่งเสียงเตือน “เฮ้ๆๆ เหล่าจ้าว ตื่นๆๆ มัวเหม่ออะไรอยู่ เล่าเรื่องเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ต้องมาตายอนาถอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูคนนั้นต่อสิ เกี่ยวกับทะเลเมฆวัตถุกึ่งเซียนชิ้นนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไงกันแน่?”
เทพหยินกล่าว “ไม่อยากเล่า ข้ายังมีธุระต้องทำ”
แล้วเขาก็หายตัวไปทั้งอย่างนั้น
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าอึ้งค้าง จากนั้นก็พูดเสียงขุ่น “ทวดเจ้าสิ!”
เสียแรงที่ข้าเห็นดีในตัวจ้าวเหยาที่แซ่จ้าวเหมือนเจ้า
ม่านไม้ไผ่ถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าแฉล้มงดงามของเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็คือเด็กสาวที่ชอบนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงนั่นเอง นางยิ้มตาหยีพูดว่า “เถ้าแก่ ท่านจะนับข้าเป็นผู้อาวุโสของท่านหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเก็บกระบอกสูบยาอันเก่า ลุกขึ้นยืนถูมือแล้ววิ่งไปหาเด็กสาว “เป็นผู้อาวุโสอะไรกัน แบบนั้นมันห่างเหินกันเกินไป”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ “เป็นญาติแล้วยังจะห่างเหินอีกหรือ ถ้างั้นต้องเป็นอะไรถึงจะไม่ห่างเหิน?”
เจิ้งต้าเฟิงทำท่าจะโอบไหล่เด็กสาว เด็กสาวค้อมตัวลงถอยหลังไปสองก้าว หัวเราะจนตาหยี “ทำไม จะสู่ขอข้างั้นหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง “เป็นพี่ชายน้องสาว พี่ชายน้องสาว สามีภรรยาต้องเคารพกันเหมือนแขก ก็ยังห่างเหินอยู่ดี”
ชายฉกรรจ์ไปนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน มองหญิงสาวที่มีความงามหลากหลายซึ่งอยู่กันเต็มร้าน “ทัศนียภาพฤดูใบไม้ผลิที่เบ่งบานอยู่เต็มสวนต้องปกปิดเอาไว้ให้ดีจริงๆ”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็พูดยิ้มๆ ว่า “มอบทองพันชั่ง ไม่สู้สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง ไม่สู้มอบชื่อที่ดีให้ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้ พี่สาวน้องสาวทั้งหลายเคยได้ยินหรือไม่?”
มีเพียงเด็กสาวที่ถูกเจิ้งต้าเฟิงขโมยหนังสือไปเท่านั้นที่อ่านหนังสือออก แต่นางไม่อยากสนใจเจิ้งต้าเฟิง และตอนหลังเถ้าแก่หน้าด้านก็ยังมายืมหนังสือเล่มนั้นไปจากนางอีก แถมยืมไปแล้วยังไม่คิดจะเอามาคืน เป็นถึงเถ้าแก่ร้านยา มาหลอกเอาเงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะจากลูกจ้างร้าน ไม่รู้จักอายเสียบ้าง ล่าสุดชายฉกรรจ์บอกว่าทำหายไปแล้ว ทำเอานางโมโหหยิบไม้กวาดขึ้นทุบตีอีกฝ่าย ชายฉกรรจ์จึงได้แต่บอกว่าเดี๋ยวจะคิดเงินค่าหนังสือรวมกับเงินเดือนของนางในเดือนถัดไป คำนวณตามเงินหนึ่งร้อยอีแปะ เด็กสาวถึงได้ยอมเลิกรา ถึงอย่างไรหนังสือเล่มนั้นนางก็อ่านจบแล้ว อยู่ในบ้านก็ถูกวางไว้เฉยๆ แล้วถ้าพ่อแม่ที่ลำเอียงรักแต่น้องชายมาเห็นเข้า ไม่แน่ว่าอาจด่าที่นางเอาเงินไปล้างผลาญก็เป็นได้
ชายฉกรรจ์เห็นว่าไม่มีคนส่งเสียงตอบรับจึงได้แต่ปล่อยท่าไม้ตาย “พวกเจ้าอยากรู้ไหมว่าเจ้าเด็กตระกูลฟ่านที่มาร้านพวกเราบ่อยๆ ชื่ออะไร?”
ผู้หญิงทุกคนพากันหันมามองชายฉกรรจ์
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชื่อว่าฟ่านเอ้อร์ เอ้อร์จากอีเอ้อร์ซาน หนึ่งสองสามไงล่ะ ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเด็กนั่นมากเลยใช่ไหม?”
ไม่มีใครคิดจะเชื่อ ได้แต่คิดว่าเถ้าแก่จงใจปั่นหัวพวกนาง
เจิ้งต้าเฟิงไม่พูดถึงฟ่านเอ้อร์อีก พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กตระกูลฟ่านเรียนวรยุทธ์ วันหน้ายังต้องใช้สถานะของบุตรอนุภรรยาสืบทอดกิจการของวงศ์ตระกูล ส่วนพี่สาวของเขา ชื่อของผู้หญิงคนนี้ตั้งได้ไม่เลว หยั่งรากลึกล้ำ ร่มใบรกครึ้ม ตระกูลฟ่าน…ค่อนข้างจะพิถีพิถันไม่น้อย”
เจิ้งต้าเฟิงแนบซีกหน้าข้างหนึ่งไว้บนผิวโต๊ะ มองไม่ยังตรอกเล็กนอกร้านยา อีกไม่นานลมมรสุมก็คงจะพัดมาสินะ
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินกำลังจะแต่งเข้าตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า
สินสอดมากมายเกินกว่าใครจะคาดการณ์ได้ถึง
แค่ไม่รู้ว่าตระกูลฝูจะใช้ข้ออ้างอะไรมาเปิดฉากลมคาวฝนเลือดในครั้งนี้ สุดท้ายจะฮุบกลืนนครมังกรเฒ่าเพียงลำพัง หรือจะเป็นสองตระกูลที่ได้ครอบครอง
เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้ม เรื่องสกปรกพวกนี้เกี่ยวอะไรกับข้าผู้อาวุโสด้วย
เขาชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่ง ในใจคิดว่าหรือตนควรจะควักเงินเล็กๆ น้อยๆ ซื้อชุดกระโปรงที่ทั้งดูแพงและแนบเนื้อมามอบให้พวกนางสักหน่อย? ช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนขนาดนี้ แค่เหงื่อออกเล็กน้อยก็เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัดแล้ว คงจะงดงามเพลินตาไม่หยอก เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะคิกๆ พลางยกมือปาดน้ำลาย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตของเทพเซียน
แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่ถูกหนึ่งกระบี่ปักตรึงตายอยู่บนเสาประตูสวรรค์อะไร เสื้อเกราะน้ำแข็งหิมะเปล่งประกายแวววาวอะไร ฟ่านจวิ้นเม่าที่มองเห็นเจตนารมสวรรค์อะไร…ถึงเวลารอให้เกิดเรื่องค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย
……
ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมการป้องกันมาก่อน ปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งที่ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งวิถีกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองโจมตีจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
ต่อให้หม่าจื้อจะรู้ว่ารากฐานขอบเขตสามของเฉินผิงอันปูมาดีมาก แต่ก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีเซกันบ้างกระมัง?
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าการ ‘ลอบโจมตี’ ของเทพเซียนผู้เฒ่าที่อายุมากเกือบสามร้อยปีครั้งนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายออมมือให้ จึงพูดยิ้มๆ ว่า “อาจารย์หม่า ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของขอบเขตสามเคยเผชิญกับความยากลำบากมาไม่น้อย ถือว่าพอจะทนรับกับความเจ็บปวดได้ ขอแค่ปราณกระบี่ไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานวรยุทธ์ข้าก็พอ อาจารย์หม่าลงมือได้เต็มที่เลย”
“ระวังด้วยล่ะ” หม่าจื้อพยักหน้ารับ เขาใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็ยื่นมือมาข้างหนึ่ง สองนิ้วคีบดึงปราณกระบี่สามกลุ่มออกมาจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างเหลียงอิน จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ ขนาดเท่าไข่มุกสามลูก ประกายแสงเยียบเย็นสีเขียวเข้มกระเพื่อมบนไข่มุกเป็นระลอก ราวกับดึงมาจากใบไม้ที่ให้ร่มเงาจริงๆ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ สามที ตอนที่ไข่มุกปราณกระบี่เหลียงอินซึ่งเกิดจากการปราณกระบี่สามกลุ่มพุ่งเข้าหาร่างของเฉินผิงอันก็เกิดเสียงเคร้งเบาๆ สามครั้ง คือเสียงที่แยกกันไปชนไถกวาง ซ่วงหลิงและโยวจิง
คราวนี้เฉินผิงอันเตรียมตัวรอมาไว้ก่อนแล้ว เขาตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หน้าประตูหัวใจเหมือนมีเสียงแขกมาเคาะประตูบ้านสามครั้ง แล้วใช้อาวุธแหลมคมแทงทะลุประตูบ้านของหัวใจเข้ามา เย็นเยียบเสียดลึก ปักตรึงเข้าไปถึงวิญญาณ ทำให้คนตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เฉินผิงอันยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาย่อมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เป็นเหมือนมังกรเพลิงเส้นนั้นพุ่งพรวดมาจากตำแหน่งอื่น พริบตาเดียวก็ลูบแอ่งเว้าที่เกิดจากการรวมตัวของปณิธานกระบี่สามขุมเย็นเยียบให้ราบเรียบ
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หม่า ปล่อยมาอีกได้เลย”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ในใจกลับพึมพำไม่หยุด เขาเอาสองนิ้วประกบกัน ปาดลงไปบนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเบาๆ หนึ่งที ครั้งนี้ไม่ได้ใช้วิชาของเทพเซียนมารวมปราณกระบี่ให้เป็นไข่มุกอีกแล้ว แต่ปาดเอาปราณกระบี่ทั้งเส้นออกมาจากเหลียงอินโดยตรง มันไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน แต่กระเพื่อมไหวเบาๆ แผ่ไอเย็นออกมา ทำให้เรือนเล็กกุยม่ายที่แต่เดิมเย็นสบายเปลี่ยนจากฤดูร้อนกลายไปเป็นอากาศหนาวของต้นฤดูใบไม้ผลิในฉับพลัน
ปราณกระบี่เส้นนั้นตั้งค่าพร้อมโจมตีอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
หม่าจื้อเอ่ยเนิบช้าว่า “ไถกวางคือสิ่งที่บ่มเพาะก่อเกิดมาจากวิญญาณต้นกำเนิดของคน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ในโลกมักจะใช้สิ่งนี้มาเป็นเตากระบี่ก่อนกำเนิด พอกระบี่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็จะใช้มันเป็นฝักกระบี่ หรือก็คือสถานที่หล่อเลี้ยงกระบี่ สามหุนล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่ในร่างของคน งูมีเส้นทางของงู หนูมีเส้นทางของหนู สามหุนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พวกมันต่างก็มีเส้นทางวิญญาณคร่าวๆ กันคนละเส้น ก่อนหน้านี้ข้าใช้ไข่มุกปราณกระบี่เคาะประตูหัวใจของเจ้าเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยสามจานเล็กเท่านั้น ตอนนี้ต่างหากถึงจะเป็นอาหารจานหลัก จะเพิ่มแรงและกำลังอีกเล็กน้อย น้ำหนักของปณิธานกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในจะหนักกว่าเดิมไม่น้อย เฉินผิงอัน เตรียมรับให้ดีล่ะ!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตามจิตใต้สำนึก
และในขณะที่เฉินผิงอันทำท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ ผู้เฒ่าก็กระตุกมุมปาก ปราณกระบี่กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ซึ่งพุ่งเข้าไปในร่างกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันอย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในอนาคตเมื่อต้องรับมือกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ศึกตัดสินเป็นตาย อย่าได้วอกแวกแบบนี้…”
เดิมทีผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็คือกลุ่มคนที่เลือกเดินทางที่สุดโต่งที่สุดในใต้หล้าอยู่แล้ว สามการหล่อหลอมก่อนหลังแบ่งเป็นทั้งหมดเก้าขอบเขต หลอมร่างกาย หลอมลมปราณ หลอมจิตวิญญาณ จากนอกสู่ใน ขยับไปทีละชั้น อีกทั้งยังสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ร่างกายและจิตวิญญาณแข็งแกร่ง แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณแล้วย่อมโดดเด่นกว่ามาก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา พวกเขาไม่ได้แสวงหามหามรรคา แต่แสวงหาตัวตนที่แข็งแกร่ง และในความเป็นจริงแล้วอายุขัยของผู้ฝึกยุทธ์นั้นสั้นมาก สามร้อยปีก็ถือว่าบรรลุสู่จุดสูงสุดแล้ว ซึ่งข้อนี้เทียบกับผู้ฝึกลมปราณไม่ติดเลย
เมื่อเทียบกับการฝึกควบคู่ทั้งนอกและในของผู้ฝึกลมปราณแล้ว เนื้อหนังมังสาของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมี ‘น้ำหนักมากเกินไป’ กลับจะยิ่งกลายมาเป็นภาระอย่างหนึ่ง และยิ่งวิถีวรยุทธ์ต่ำเกินไป อีกทั้งผู้ฝึกยุทธ์ยังถือทิฐิดึงดันมากเกิน สำหรับการปูรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณยังพึ่งลำแข้งของตัวเอง ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียว ใช้แค่ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกนั้น
หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ไม่ขอยืมใช้พลังจากฟ้าดิน
ไม่เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมา เหมือนถ้ำสวรรค์สองแห่งที่เชื่อมโยงเข้ากับนอกและใน ใช้ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ในฟ้าดินมาราดรดหล่อหลอมจิตวิญญาณของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กในร่างคน เมื่อฟ้าดินร่วมใจกัน แน่นอนว่าย่อมต้องมีอายุขัยยืนยาว
เวลานี้ในจิตวิญญาณของเฉินผิงอันบังเกิดความเจ็บปวดเป็นระลอกเหมือนตอนที่ลงมือชักดึงเส้นเอ็นด้วยตัวเอง
น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันยังคงตั้งท่าเจี้ยนหลู ยืนนิ่งไม่ขยับ
หม่าจื้อเลิกคิ้วสูง
แม้ว่าเขาจะออมมือให้มากก็จริง แต่สายตาของขอบเขตโอสถทองวางอยู่ตรงนั้น ข้อบกพร่องขั้นสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ เมื่อมาอยู่ในสายตาของหม่าจื้อจึงใหญ่เหมือนกระด้ง มีน้ำรั่วซึมไปทั่วทิศ ไม่ว่าตรงไหนก็มีรูโหว่เต็มไปหมด ดังนั้นการพยักหน้ารับของเฉินผิงอันจึงเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง ทว่าขนาดหม่าจื้อประเมินรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไว้สูงมากแล้วกลับยังไม่มากพอ และอยู่ไกลเกินกว่าจะพอ ตอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเฉินผิงอันถูกทุบตี เรือนกายหนังเนื้อต้อง ‘เสพสุข’ กับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของผู้เฒ่าแซ่ชุยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ สามหุนเจ็ดพั่วก็ยิ่งต้องแบกรับกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่และกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ ซึ่งล้วนเป็นแก่นของวิถีวรยุทธ์ที่ผู้เฒ่าเรียนรู้มาทั้งชีวิต เป็นกระบวนท่าที่ต่อให้เขาเดินไปสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบแล้วก็ยังภาคภูมิใจในตัวพวกมัน
ตอนนั้นเพื่อให้สามารถแบกรับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าได้มากกว่าเดิม การหายใจทุกครั้งของเฉินผิงอันจึงผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดอย่างเป็นธรรมชาติมานานแล้ว ภายหลังเขายังต้องดึงเส้นเอ็นถลกหนังของตัวเอง ทนรับความเจ็บปวดดุจหัวใจถูกคว้านนับครั้งไม่ถ้วน แม้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะนับได้ว่าเป็นร่างทองไร้ช่องโหว่ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด แต่ปราณกระบี่ที่เบาบางเส้นนั้นของหม่าจื้อก็ยังไม่สามารถจับข้อบกพร่องของเฉินผิงอันได้อย่างแท้จริง เว้นเสียจากว่าจะใช้กำลังของคนคนเดียวที่มากพอจะล้มคนสิบคน ถึงจะฝืนทลายไปได้
ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแฝงเร้นไว้ด้วยน้ำหนักที่ล้ำค่าดุจน้ำหนักทองคำ
เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ถ่ายทอดวิชาหมัดคร้านจะอธิบายก็เท่านั้น
หม่าจื้อเกิดใจอยากเอาชนะ ดึงปราณกระบี่ออกมาจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามกลุ่ม จำแลงให้กลายเป็นภาพมายาที่ผสานรวมเข้าไปในร่าง คราวนี้กระบี่สามเล่มพุ่งโจมตีพร้อมกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าเส้นทางสามหุนของเฉินผิงอันจะแข็งแกร่งจนมิอาจโจมตีจริงๆ
เฉินผิงอันเพียงแค่ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เขาขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดไป คราวนี้เขาไม่กล้าเป็นฝ่ายขอให้เซียนกระบี่เฒ่าเพิ่มพละกำลังอีกแล้ว เพราะนั่นอาจทำให้ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่เหมาะสมเกินไป แต่ถึงแม้ว่าปราณกระบี่ทั้งสามจะคมกริบและหนักอึ้ง เหมือนคราดที่ไถพลิกดินในผืนนา ใช้ปราณกระบี่แหวกไถให้เกิดร่องลึกสามเส้นบนทางเดินม้าสามสายที่จับต้องไม่ได้ในร่างกาย แผ่ไอเยียบเย็นเหมือนมีธารน้ำสามเส้นของฤดูหนาวไหลรินผ่านหัวใจ แต่ความเจ็บปวดระดับนี้ สำหรับเฉินผิงอันที่เคยผ่านประสบการณ์บนเรือนไม้ไผ่มาก่อนถือว่าเป็นแค่ ‘อาหารจานเล็กเรียกน้ำย่อย’ เท่านั้น
หม่าจื้อเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จำต้องยกระดับความสูงของขอบเขตสี่เฉินผิงอันอีกครั้ง เขาชำเลืองตามองเหลียงอินกระบี่บินที่อยู่ตรงหน้าซึ่งสั่นสะท้านเบาๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “เฉินผิงอัน อันดับต่อไปข้าจะให้เหลียงอินกลายเป็นภาพมายาพยายามเบียดแทรกเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าต้องเตรียมรับความเจ็บปวดราวหัวใจถูกเฉือนนี้ไว้ให้ดี หากยืนหยัดไม่ไหวต้องเปิดปากบอกข้า เพราะถึงแม้เหลียงอินจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้า มีจิตที่เชื่อมโยงเข้ากับข้า แต่ถึงอย่างไรการทำเช่นนี้ก็เหมือนมันบุกรุกเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบ้านคนอื่น ถูกจิตวิญญาณของเจ้าบดบัง จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งผลกระทบต่อการเชื่อมโยงระหว่างข้ากับเหลียงอิน หากสังหารศัตรูทั่วไป จะไม่ต้องสนใจก็ได้ ปล่อยให้มันพลิกฟ้าพลิกดินไปตามใจชอบก็พอ แต่ระหว่างเจ้ากับข้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าฝืนอวดเก่งเด็ดขาด”
เฉินผิงอันเลิกทำท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ตั้งท่าหมัดโบราณ มือหนึ่งกำเป็นหมัดแนบไว้ตรงหัวใจ อีกหมัดหนึ่งชูสูงเหนือศีรษะ
หากยกเท้าขึ้นอีกจะเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์องค์หนึ่งในวัดของศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่าเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ความหมายไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่ หมัดนี้ก็คือกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ต่อยให้เจียวหลงสีทองของทะเลเมฆที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนถอยกลับขึ้นไปบนฟ้าสองครั้ง
เมื่อเฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่าเจี้ยนหลูของหมัดเขย่าขุนเขามาเป็นท่านี้ พลังอำนาจทั่วร่างของเขาก็เปลี่ยนไป
ในสายตาของหม่าจื้อ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้สดใสที่พูดคุยยิ้มแย้มกับเด็กหนุ่มฟ่านเอ้อร์อีกต่อไป ไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้สุขุมที่ตอนฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งล้วนเก็บพลังทั้งหมดไว้ภายใน
แต่เหมือนปรมาจารย์แห่งวิถีวรยุทธ์ที่ยืนอยู่บนสุดเหนือกลุ่มเขา
และเขายังไม่ได้ปล่อยหมัดออกมา
ยังเป็นแค่การตั้งท่าหมัดเท่านั้น
ช่างห้าวหาญยิ่งนัก! หากเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดทั้งหลาย หรือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดที่ซ่อนเร้นตัวอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานาน เพราะผ่านการหล่อหลอมมานับร้อยนับพันรอบนานหลายสิบปีหรืออาจถึงหลายร้อยปี ผ่านศึกสุดยอดที่เจ้าไม่ตายข้าก็ม้วยมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้มีท่วงท่าน่าตะลึงเช่นนี้ก็คงว่าไปอย่าง แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้อายุเท่าไหร่กันเชียว?
หม่าจื้อไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเองตกตะลึงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับสิ่งที่เผชิญอยู่อย่างเต็มที่ เบื้องหน้าไม่มีกระบี่บินเหลียงอิน ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองอะไรอยู่อีกแล้ว
มีเพียงผู้เฒ่าเปลือยเท้าในเรือนไม้ไผ่ที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างเหี้ยมอำมหิต กลิ่นอายแห่งความเป็นวีรบุรุษแผ่พลุ่งพล่านไปทั่ว ต่อยให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ด่าเขาว่าเป็นสตรีไม่ได้เรื่อง แถมยังสอดแทรกคำพูดจากใจที่ผู้เฒ่าไม่ได้พูดให้เขาเฉินผิงอันฟัง แต่พูดให้ฟ้าดินฟังอยู่เป็นระยะ
หมัดนี้ปล่อยออกไปเพื่อต่อยให้เทพที่เยื้องกรายลงมาอวดอ้างบารมีฟ้ากลับสวรรค์!
จะต่อยให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง จนต้องใช้หมัดของข้ามาค้ำฟ้ายันดิน!
เฉินผิงอันหลุดปากพูดไปว่า “เชิญออกกระบี่!”
ได้ยินคำพูดที่ฟังเหมือนท้าทายจากเด็กรุ่นหลังอย่างเด็กหนุ่ม ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไร้สีหน้าไม่สบอารมณ์ พอจิตของเขาขยับ กระบี่บินเหลียงอินก็เปลี่ยนจากของจริงมาเป็นภาพมายา ประหนึ่งทหารม้าที่บุกขึ้นหน้าบุกเบิกที่ดินให้กับกษัตริย์
เฉินผิงอันหน้าซีดขาวเล็กน้อย กำมือสองข้างเป็นหมัดแน่น ท่าหมัดเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย กระทืบเท้าหนักๆ ออกมาหนึ่งครั้ง
พื้นดินในลานบ้านสั่นไหวเล็กน้อย ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนขุนเขาสูงตระหง่านที่ฝังรากหยั่งลึกลงไปในพื้นดิน
หม่าจื้อขมวดคิ้วน้อยๆ สองนิ้วของผู้เฒ่าประกบกันแล้ววาดลงไปบนร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ประหนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้กระบี่เล่มยาวตั้งท่าจะแหวกหน้าอกผ่าท้องของศัตรู
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กัดฟันแน่นจนแก้มพองโป่ง ท่าหมัดเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยังคงเป็นกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ เพียงแต่ว่าเริ่มขยับตัวหดเข้ามา เท้าทั้งสองข้างห่างจากกันแค่เพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันปณิธานกระบี่ทั้งหมดที่ไหลออกไปข้างนอกร่างก็หดกลับเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งสองมือที่ยกขึ้นพนมประกบกันตบแมลงวันตัวหนึ่งให้ตาย
“ประมาทเช่นนี้ ไม่ฉลาดเลยนะ”
หม่าจื้อหัวเราะเสียงเย็น ตวัดสองนิ้วที่ประกบกันขึ้นด้านบน แอบเพิ่มน้ำหนักปณิธานกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้มากขึ้น
ไหล่ของเฉินผิงอันส่ายไหวเล็กน้อย ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างว่องไว ปณิธานหมัดไหลเชี่ยวกรากพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ต่อยให้ร่มเงาของต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่มาปกคลุมปรากฎการณ์ในเรือนเล็กเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ที่แท้มันเป็นเหมือนม่านน้ำที่มาห่มคลุมอยู่กลางอากาศเหนือเรือนกุยม่าย พอถูกพายุหมัดพุ่งกระแทกดังครืนครั่นก็เกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก เป็นเหตุให้ภาพด้านนอกของเรือนเล็กเริ่มพร่าเลือนตามไปด้วย
ผู้เฒ่าสบถในใจอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่ยิ่งใหญ่อย่างข้าจะสอนผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้!”
ผู้เฒ่าถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าจริงจัง เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งทำมุทรากระบี่ พูดเสียงเฉียบขาด “เฉินผิงอัน การประลองกระบี่ที่แท้จริงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! ระหว่างที่กระบี่บินอินเหลียงเปลี่ยนจากมายาเป็นของจริงจะทุบตีหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าไปพร้อมกันด้วย จงตั้งใจรับมือกับศัตรูให้ดี!”
เด็กหนุ่มสีหน้าเด็ดเดี่ยว เขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่เก็บท่าหมัดโบราณนั้นลง ก้าวถอยไปด้านหลังช้าๆ ทุกการกระทำคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติดุจเมฆเคลื่อนคล้อยน้ำไหลริน มองแล้วเพลินตา
ผู้ฝึกกระบี่ในโลกมีปณิธานกระบี่นับพันนับหมื่น รูปแบบสารพัดหลากหลาย
สัจธรรมปณิธานกระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อบรรลุมาคือกระบี่เหลียงอิน ต่อให้บนโลกใบนี้จะร้อนระอุแผดเผาแค่ไหน ที่ใดที่กระบี่บินเหลียงอินผ่านไป ที่นั้นก็เย็นฉ่ำ
……
เรือนธรรมดาที่อยู่ห่างจากเรือนเล็กกุยม่ายไปไม่ไกล จินซู่แม่นางกุ้ยฮวากำลังกินแตงหวานชิ้นหนึ่ง บนเกาะมีน้ำพุธรรมชาติ ผลไม้รสเย็นจึงมีรสชาติยอดเยี่ยมที่สุด น้ากุ้ยสตรีวัยแต่งงานแล้วซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของจินซู่หมดความสนใจต่ออาหารเลิศรสในโลกมานานมากแล้ว นางกำลังมองดวงหน้าที่เย็นชางดงามของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอยู่ข้างๆ ขนาดในเวลาที่นางกินอาหารซึ่งเป็นท่าทางปกติทั่วไปก็ยังเผยความงามพิสุทธิ์ตามธรรมชาติออกมา ในใจคิดว่ามิน่าเล่าปีนั้นทั้งซุนเจียซู่และฝูหนันหัว คนหนุ่มสองคนที่โดดเด่นที่สุดของนครมังกรเฒ่าก็ยังอดหวั่นไหวต่อสตรีคนเดียวกันไม่ได้
ซุนเจียซู่ชอบจินซู่หรือไม่ แน่นอนว่าต้องชอบ เพียงแต่สตรีแต่งงานแล้วไม่อยากเปิดเผยความลับสวรรค์ เพราะนางไม่รู้สึกว่าจินซู่และซุนเจียซู่จะกลายมาเป็นคู่รักเทพเซียนที่ดีได้ ในบรรดาตัวเลือกของผู้ที่จะมาเป็นสามีของจินซู่ สตรีแต่งงานแล้วคิดว่าซุนเจียซู่ที่ความสามารถมากล้น อยู่เบื้องหน้าสุดของเวทีคือตัวเลือกท้ายสุด ฝูหนันหัวดีขึ้นมาหน่อย ที่ดีที่สุดยังคงเป็นฟ่านเอ้อร์
น่าเสียดายก็แต่ความรักระหว่างชายหญิงบนโลกนี้ไม่อาจใช้ข้อที่ว่าบุรุษดีหรือเลว สองฝ่ายเหมาะสมกันหรือไม่มาตัดสินได้เสมอไป
นี่จะโทษใครได้?
น้ากุ้ยรู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย เพราะนางรู้จริงๆ ว่าช่วงแรกเริ่มสุดควรจะโทษใคร เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
นางส่งเสียงร้องอุทานตกใจออกมาเบาๆ อดหันไปมองทางเรือนเล็กกุยม่ายไม่ได้
จินซู่ถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ มีอะไรหรือ?”
น้ากุ้ยพูดยิ้มๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนั้นต่ำไป”
จินซู่หยิบแตงหวานเย็นฉ่ำดับร้อนอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ต่อให้เขาจะสูงส่งยิ่งกว่าฟากฟ้า ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ดูเหมือนน้ากุ้ยจะได้ยินเสียงในใจบางอย่าง จึงพยักหน้ารับแล้วพูดกับจินซู่ว่า “เจ้ามีงานต้องทำแล้ว ไปเอาตัวยาที่ร้านตรงตีนเขากลับมาก่อน ท่านปู่หม่าของเจ้าคุยกับคนที่นั่นไว้แล้ว พวกเขาน่าจะจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเจ้ากลับมา รอให้ปู่หม่าเปิดปากเสียก่อน แล้วเจ้าค่อยเตรียมถังน้ำใบใหญ่ไปให้ที่เรือนเล็กกุยม่าย”
จินซู่มึนงง “ทำไมล่ะ เด็กหนุ่มคนนั้นจะแช่ตัวในน้ำยาเพื่อบำรุงร่างกายงั้นหรือ? นี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมร่างกายจำเป็นต้องทำบ่อยๆ ใช่ไหม?”
หญิงสาวไม่ค่อยจะเต็มใจนัก “ต้องมาทำเรื่องแบบนี้ให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง อาจารย์ ข้ารู้สึกแปลกๆ พิกล นี่ไม่ใช่ว่าข้าคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูที่มีชะตากรรมเป็นสาวใช้อะไรหรอกนะ ปกติเวลาให้ต้มชา ดีดพิณ ปัดกวาดที่พักให้พวกแขก ให้เล่นหมากล้อม แต่งกลอน ร้องเพลงกับพวกเขา ข้าเองก็ตั้งใจทำสุดความสามารถ แต่จะให้ข้าไปเตรียมน้ำอาบ ข้า…”
สตรีแต่งงานแล้วพูดยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นให้อาจารย์ไปทำเอง?”
จินซู่ถอนหายใจ ตั้งใจเช็ดมืออย่างละเอียด “ข้าไปเองก็ได้”
หลังจากจินซู่ออกไปจากเรือนเล็กได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว นางพาแขกจากต่างทวีปกลุ่มหนึ่งที่ดูมีอำนาจน่าเกรงขามมาด้วย เดิมทีนางยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงยืนกรานอยากจะมาเยี่ยมเยียน ‘น้ากุ้ย’ แต่พอนางเห็นว่าอาจารย์มายืนรออยู่ที่หน้าประตูเรือน นางก็วางใจลงได้ทันที ส่วนลึกในใจของจินซู่คิดว่าไม่มีอะไรที่อาจารย์ของตนทำไม่ได้ อีกฝ่ายต้องไม่ใช่แค่เค่อชิงธรรมดาคนหนึ่งของตระกูล แม้ว่าอาจารย์จะเก็บเรื่องวิชาการสืบทอดและประสบการณ์ในการฝึกตนของตัวเองเป็นความลับมาโดยตลอด แต่มีเรื่องหนึ่งที่จินซู่มั่นใจได้ นั่นคือด้วยสายตาและคำพูดคำจาของอาจารย์ ต่อให้ไม่ใช่เซียนพสุธาก่อกำเนิด อย่างน้อยก็ควรจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนี้ ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากทุกหกลำไปกลับนครมังกรเฒ่าและภูเขาห้อยหัวจำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองอย่างน้อยคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ สำหรับคนนอก น้ากุ้ยเป็นเพียงหนึ่งในผู้ดูแล เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น ทว่าอันที่จริงตอนนี้หากรวมท่านปู่หม่าเข้าไปอีกคน บนเกาะกุ้ยฮวาก็มีขอบเขตโอสถทองอยู่ถึงสามคนแล้ว
จินซู่ไม่เชื่อหรอกว่าฟ้าจะยังถล่มลงมาได้จริงๆ
คนกลุ่มนั้นนับรวมกันแล้วได้หกคน มีทั้งหญิงชายเด็กและคนชรา ทุกคนล้วนมาจากอาคเนย์ใบถงทวีป คือคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านในครั้งนี้ ห้องใต้ดินและคลังลับเกือบครึ่งหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาล้วนถูกพวกเขาเหมาเอาไว้ ส่วนของที่ผลิตเฉพาะในอาคเนย์ใบถงทวีป จินซู่เป็นแค่แม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางรู้ได้ นางแค่เคยได้ยินมาว่าพวกเขาคือบุคคลยิ่งใหญ่จากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ในชื่อมีคำว่าสำนักของอาคเนย์ใบถงทวีป
ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่ออาจารย์ออกหน้าเองแล้ว จินซู่ก็สามารถไปเอาตัวยาจากตีนเขาเกาะกุ้ยฮวามาได้อย่างสบายใจแล้ว
ตอนที่นางจากไปยังอดหันกลับมามองด้านหลังแวบหนึ่งไม่ได้ นางมองผู้เฒ่าร่างกายผอมสูงคนหนึ่งซึ่งเมื่อเทียบกับบุรุษของนครมังกรเฒ่าแล้วยังสูงกว่าเกินหนึ่งช่วงศีรษะ ผมขาวหน้าแดงปลั่ง เด่นสะดุดตาที่สุด เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำเข้มเหมือนสีหมึก สะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นเกาะ ย่อมต้องเป็นชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง
ผู้เฒ่าเป็นองค์รักษ์ประจำตัวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดา คิ้วบางมาก แต่กลับมีดวงตาคู่หนึ่งที่เรียวยาวอย่างถึงที่สุด เวลาที่เขาหรี่ตามองคน ต่อให้เป็นจินซู่ที่มีขอบเขตถ้ำสถิตก็ยังรู้สึกขนลุกขนชัน ไม่กล้ามองสบตาเขาตรงๆ
น้ากุ้ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ทราบว่าทุกท่านตั้งใจมาหาข้า มีธุระอันใด?”
บุรุษหรี่ตาลงจ้องมองสตรีแต่งงานแล้วตรงหน้า เอ่ยด้วยถ้อยคำที่ไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย “เจ้าก็คือกุ้ยฮูหยิน?”
น้ากุ้ยตอบรับด้วยสีหน้าเฉยชา “ถูกต้อง”
สายตาของบุรุษฉายประกายร้อนแรงขึ้นมา “ขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าชื่อเจียงเป่ยไห่ มาจากสำนักกุยหย ตอนนี้สำนักของพวกเรากำลังขาดเรือข้ามฟากลำหนึ่งพอดี ไม่ทราบว่ากุ้ยฮูหยินสนใจจะเข้าร่วมกับสำนักกุยหยกของเราหรือไม่?”
น้ากุ้ยนิ่งเงียบ
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ความเสียหายทั้งหมดของตระกูลฟ่าน รายรับทั้งหมดของเกาะกุ้ยฮวา คิดคำนวณเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ข้าจะมอบให้โดยไม่ขาดสักอีแปะเดียว จะชดเชยให้ตระกูลฟ่านทั้งหมด! เชื่อว่าตระกูลฟ่านคงไม่กล้า ไม่เต็มใจและไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอแนะของข้า กุ้ยฮูหยิน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
บุรพแจกันสมบัติทวีปคือทวีปที่เล็กที่สุดในเก้าทวีปใหญ่ ทว่าใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บริเวณใกล้เคียงกันกลับไม่เล็ก เมื่อเทียบกับทวีปฝูเหยาแล้วยังถือว่าใหญ่กว่ามาก อีกอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของใบถงทวีปก็ถือว่ามีจำนวนมากสุดในเก้าทวีปใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดานั้นมีพื้นที่มงคลสองแห่งที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด ดีเยี่ยมจนผู้ฝึกตนมากมายจากนาตยทวีปและกุรุทวีปล้วนเต็มใจเดินทางไกลหลายหมื่นลี้ไปเยือนใบถงทวีป ต่างคนต่างก็มีความปรารถนาเป็นของตัวเอง สุดท้ายผู้ฝึกตนทั้งหลายที่ใช้สถานะ ‘เจ๋อเซียน’ เยื้องกรายไปเยือนพื้นที่มงคลเหล่านี้ก็ได้ผลประโยชน์มหาศาล เหนือเกินกว่าเวลาไปเยือนพื้นที่มงคลแห่งอื่น
และบนอาณาเขตพื้นที่ของใบถงทวีป สำนักใบถงและสำนักกุยหยกหนึ่งอยู่เหนือหนึ่งอยู่ใต้ เป็นดั่งยอดเขาสองแห่งที่คุมเชิงกันอยู่
คนหนุ่มของใบถงทวีปที่ช่วยให้ตระกูลติงรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้ก็มาจากสำนักใบถง สำนักหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งทวีป ตั้งตระหง่านมาหลายพันปีก็ไม่เคยล้มลง เดิมทีนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าเกรงขามที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทว่ากลับกล้าแย่งอักษรคำว่าอุตรไปจากธวัลทวีป เรียกตัวเองว่าอุตรกุรุทวีปแทนอยู่หลายส่วน
สตรีโตเต็มวัยสวมชุดชาววังคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเจียง ตอนอยู่ในสำนักท่านเก็บตัวสันโดษ อีกอย่างสำนักกุยหยกของพวกเราก็จิตใจดีงามพร้อมช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เหมือนกับสำนักใบถงที่ชอบโอ้อวดตัวเอง คิดดูแล้วกุ้ยฮูหยินคงไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกเราสักเท่าไหร่”
น้ากุ้ยส่ายหน้า “ชื่อเสียงของสำนักกุยหยกประดุจฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู ตระกูลเจียงในสำนักกุยหยกที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา รวมไปถึงเรื่องที่หลายสิบปีที่ผ่านมาสกุลเจียงล้วนมีบุตรชายคนเดียวเป็นผู้สืบทอด ข้าก็ล้วนเคยได้ยินมาก่อน”
บุรุษแซ่เจียงคลี่ยิ้ม “ในเมื่อกุ้ยฮูหยินรู้หมดแล้ว แต่ยังมีท่าทางไม่ร้อนไม่หนาวแบบนี้ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะรู้สึกว่าสำนักกุยหยกกับตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่าอยู่กันคนละทวีป อีกทั้งยังมีสำนักใบถงกั้นขวางอยู่ แส้ยาวของพวกเราคงเอื้อมมาไม่ถึงสินะ?”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย บุรุษแซ่เจียงแสร้งทำเป็นโค้งตัวขออภัย แต่บนใบหน้ากลับแต้มยิ้มเย็นชา “เสียมารยาทแล้วๆ พูดจาไม่เหมาะสม ขอกุ้ยฮูหยินอย่าได้ถือสา”
น้ากุ้ยยังคงมีท่วงท่าเรียบง่ายผ่อนคลายดังเดิม นางเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อเกี่ยวข้องกับคำมั่นสัญญาแห่งมหามรรคา เกี่ยวพันกับจิตดั้งเดิมในการฝึกตน ย่อมไม่สามารถละเมิดกฎได้ง่ายๆ ความปรารถนาดีของคุณชายเจียง ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว”
บุรุษยืดตัวขึ้นตรง “อ้อ?”
จู่ๆ น้ากุ้ยก็คลี่ยิ้ม “สัญญาครั้งนั้นยังเหลือเวลาอีกหกสิบปี หากคุณชายเจียงมีความจริงใจ ไม่สู้รออีกสักหน่อย?”
บุรุษหนุ่มพลันหัวเราะเสียงดังก้อง “เชื้อเชิญกุ้ยฮูหยินให้เข้ามาอยู่ในสำนักกุยหยกไม่ถือว่าเป็นความจริงใจของข้าเจียงเป่ยไห่ ขอแค่กุ้ยฮูหยินเต็มใจ จะแต่งเข้าบ้านข้าก็ยังได้”
จากนั้นเขาก็โบกมือทั้งๆ ที่ยังหัวเราะเสียงดัง “แค่พูดเล่น อย่าคิดจริงจังเลย แล้วกุ้ยฮูหยินก็วางใจได้ เจ้าสำนักกุยหยกและเจ้าประมุขตระกูลเจียงของข้าต่างก็เลื่อมใสชื่นชมกุ้ยฮูหยินมานานมากแล้ว จะปล่อยให้ข้าเจียงเป่ยไห่ทำตามใจปรารถนาแล้วเป็นการล่วงเกินฮูหยินได้อย่างไร”
น้ากุ้ยยังคงคลี่ยิ้มกลับคืนอย่างมีมารยาท หาข้อตำหนิไม่ได้แม้แต่น้อย
ระดับความงามของสตรีใช่ว่าจะตัดสินทุกอย่างได้เสมอไป
แววตาของผู้เฒ่าร่างผอมสูงฉายแววชื่นชม เพียงแต่เขาเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมยที่เป็นมาตั้งแต่เกิด “กุ้ยฮูหยินมีน้ำใจและจิตใจอันดีงาม อย่างที่คุณชายของข้ากล่าวไป สำนักกุยหยกยินดีเชื้อเชิญเจ้าด้วยความจริงใจ ขอฮูหยินโปรดพิจารณาอย่างจริงจัง หวังว่าหกสิบปีให้หลังจะได้ดื่มสุรากุ้ยจื่อที่กุ้ยฮูหยินหมักเองกับมือในสำนักกุยหยกสักจอก”
น้ากุ้ยพยักหน้ารับเบาๆ
ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากันไป
นางเดินกลับเข้าไปในลานเล็กช้าๆ เงยหน้ามองไปยังทิศทางของนครมังกรเฒ่าด้วยความจนใจแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ ถึงได้ดูเหมือนว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้กำลังน้อยเนื้อต่ำใจนิดๆ
บนทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า สตรีที่สวมชุดเขียวคนหนึ่งทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ หาวหวอดหนึ่งครั้งแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “คนที่รนหาที่ตาย เหตุใดถึงได้มากนัก น่าเบื่อๆ ดื่มเหล้าๆ …”
นางหยิบกาเหล้าธรรมดาใบนั้นมา ยกกระดกขึ้นดื่ม แต่กลับพบว่าไม่มีเหล้าเหลือสักหยด นี่ทำให้หญิงสาวนึกถึงตอนที่อยู่ในทางเดินมังกรใต้ดินแล้วตนหยอกล้อผีขี้เหล้าน้อยที่แหงนหน้าดื่มเหล้าจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อะไรกัน กรรมตามสนองเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? พอคิดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็ยิ่งโมโห ลุกขึ้นยืนด้วยท่าปลาหลีหงายท้อง (ท่าดีดตัวขึ้นจากท่านอนหงาย) เอื้อมมือไปหยิบก้อนเมฆขนาดเล็กที่อมน้ำฝนขึ้นมาขยำยัดใส่ปาก กลืนมันลงไปแทนเหล้า เคี้ยว ‘เหล้าเมฆา’ ที่ไร้รสชาติแรงๆ อารมณ์ของนางเวลานี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด
นางมองไปทางเกาะกุ้ยฮวาที่อยู่บนทะเลด้วยสายตาเย็นชา กระโดดก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่องเหมือนเด็กชาวบ้านที่เล่นกระโดดข้ามช่อง ขยับจากทะเลเมฆทางใต้สุดไปถึงทะเลเมฆทางเหนือสุด พอยืนได้มั่นคงแล้วก็เริ่มพุ่งกระโจนไปข้างหน้า เชิดศีรษะขึ้นสูง ตั้งท่าเหมือนคนที่กำลังจะขว้างทวนในมือออกไป แต่แล้วก็หยุดกึกพร้อมตะโกนก้อง “ไป!”
ทะเลเมฆพลันซัดตลบดุจน้ำร้อนที่เดือดพล่าน
เมื่อหญิงสาวทำท่าขว้างนี้ กระบี่สีขาวหิมะยาวสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งที่ถูกนางกระชากออกจากมาจากทะเลเมฆก็พุ่งวาบผ่านอากาศเหนือนครมังกรเฒ่าไป
บนมหาสมุทร เรือข้ามฟากกุ้ยฮวาที่อยู่ห่างไกลจากนครมังกรเฒ่ามากแล้ว
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงจากสำนักกุยหยกผู้นั้นพลันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบให้ลูกหลานสายตรงตระกูลเจียงที่อยู่ข้างกายกระเด็นออกไป
ตัวเขาเองที่ยืนอยู่ที่เดิมแทนเจียงเป่ยไห่ยกสองแขนขึ้นบังเหนือศีรษะ เสื้อคลุมอาคมชุดนั้นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ในชายแขนเสื้อสองข้างมีประกายสายฟ้าเปล่งวูบวาบ
ตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาโยกคลอนอย่างหนัก กระเทือนส่ายไหวไม่หยุดจนคลื่นลูกยักษ์โถมตัว
เจียงเป่ยไห่หันกลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าเหม่อลอย ชุดคลุมอาคมของผู้เฒ่าก่อกำเนิดท่านนั้นสลายหายไปเกินครึ่ง โชคดีที่ยังพอมีโอกาสซ่อมแซมได้ แต่เนื้อบนแขนสองข้างของเขาล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว เห็นเป็นเพียงกระดูกขาวโพลน
ผู้เฒ่ากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จ้องเขม็งไปบนท้องฟ้าเหนือนครมังกรเฒ่า ยื่นแขนข้างหนึ่งที่สภาพเละเทะอเนจอนาถออกมาพลางพูดเสียงทุ้มหนักว่า “นายน้อย รออยู่ที่เดิมอย่าขยับ อย่าเข้ามาใกล้ข้า แต่อย่าเดินไปไหนมั่วซั่ว”
กระบี่บินชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งเฉินผิงอันผูกไว้ตรงเอวส่งเสียงอื้ออึงอย่างลิงโลด ราวกับได้พบเจอสหายเก่า
พอเห็นท่าทางที่ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา หญิงสาวที่เดิมทีคิดจะหยุดแล้วก็พูดว่า “โอ๊ะโอ นี่หมายความว่าอยากจะขออีกหนึ่งกระบี่สินะ?”
หญิงสาวชุดเขียวที่มีนามว่าฟ่านจวิ้นเม่าคนนี้หงายตัวไปด้านหลัง แตะปลายเท้าเล็กน้อยแล้วถอยร่นไปเรื่อยๆ จากนั้นนางก็ทำท่าเดิมซ้ำอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะขว้างกระบี่ออกไปยังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เอาไป!”
แล้วนางก็ยกสองแขนขึ้นกอดอก หันไปมองทางเกาะกุ้ยฮวายิ้มๆ จุ๊ปากพูด “ต่อให้ผ่านไปอีกพันปี ข้าก็ยังชอบชายชาตรีวีรบุรุษผู้กล้าหาญเช่นนี้อยู่เสมอ ดูเหมือนวันๆ พวกเขาจะชอบยืดคอออกมาพลางร้องตะโกนบอกว่า มาฟันคอข้าให้ตาย มาฟันคอข้าให้ตายสิ…”
บนเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันกดมือลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างเงียบเชียบ ครั้งก่อนหน้านี้ฉุกละหุกเกินไป ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนเขาจะจับเบาะแสอะไรบางอย่างได้
ในขณะที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งแค่ดวงจิตส่ายไหวเล็กน้อย
เฉินผิงอันกลับหลับตาลง ใช้ใจรับสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของกระบี่เมื่อครู่นี้