บทที่ 281 แค่จากลาเท่านั้น
บางแห่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นราวกับไม่เห็นด้วยที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฆ่าคนอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่อยากออกหน้ามาถกเถียงด้วย
ข้างกายคนที่ถอนหายใจมีเสียงแก่ชราดังขึ้นตามมา “ก็แค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินชิงตูลงมือเพราะมีเหตุผล เจ้าก็อดทนไว้หน่อยเถอะ”
คนที่ถอนหายใจถอนหายใจซ้ำอีกรอบ
เสียงแก่ชราหัวเราะอย่างอ่อนใจ พยายามอธิบายเต็มที่ “อธิบายกฎของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้ากับเฉินชิงตู ก็เหมือนไก่พูดกับเป็ด จะมีความหมายอะไร? อีกอย่างความรู้ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าก็กล่าวไว้ว่าให้ ‘เรียนรู้จากคนใกล้ตัว’ ไม่หวังเป็นศาสดา ไม่หวังเป็นอมตะ มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าไม่สูงและไม่ไกล แล้วจะต้องตำหนิคนอย่างเฉินชิงตูที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบมาตลอดเวลาไปทำไม? ขอแค่เจ้าไม่ใช้มาตรฐานของอริยะไปวัดเฉินชิงตู ทุกอย่างก็ง่ายมากแล้ว”
คนผู้นั้นเอ่ยเสียงเฉยชา “ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่เฉินชิงตูไม่ใช้เหตุผล ผลกระทบที่เขาสร้างขึ้น เกรงว่าต่อให้คนธรรมดาไม่ใช้เหตุผลหนึ่งหมื่นครั้งก็ยังเทียบไม่ได้”
ผู้เฒ่าหัวเราะ “เฉินชิงตูเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าคือปัญญาชนขงจื๊อ เหมือนกันซะที่ไหน”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นเงียบไปนาน สุดท้ายพึมพำเบาๆ ว่า “จอมปราชญ์ขงจื๊อวิ่งเต้นเหนื่อยยากเพื่อสิ่งใด? เดินทางท่องไปทั่วหล้า โลกก็ยังชั่วร้ายและเสื่อมทราม”
ผู้เฒ่าที่โน้มน้าวไม่ได้ผลถอนหายใจหนึ่งที
กลางนครที่อยู่ทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนแผดเสียงดังก้อง “เฉินชิงตู!”
รุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งจากพื้นที่ราบ หอบหุ้มพลังอำนาจรุนแรงอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวางพุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กระโดดลงจากหัวกำแพงเมืองไปแล้วขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กระชากเอาเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงให้มาอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนตัวเขาก็มายืนแทนตำแหน่งที่เฉินผิงอันยืนอยู่ก่อนหน้านี้พอดี ปะทะกับผู้ฝึกกระบี่ที่พุ่งมาอย่างดุดันผู้นั้นซึ่งๆ หน้า ผู้เฒ่าหรี่ตากล่าวว่า “ทำไม ลูกหลานในตระกูลเจ้าเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เผ่าปีศาจ ยังคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอีกรึ?”
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นลอยตัวอยู่ห่างจากนอกหัวกำแพงไปสี่ห้าจั้ง คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่หนวดเคราเป็นสีขาวหิมะ มีบารมีน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดและมีวิชากระบี่สูงที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าท่านนี้ก็ยังไร้ความยำเกรง ซักไซ้เอาความด้วยสีหน้าโกรธเคือง “ตระกูลต่งของข้าย่อมมีกฎบ้าน มีวิธีจัดการกับคนทรยศเป็นของตัวเอง ถอยไปพูดหมื่นก้าว อิ่นกวานยังไม่ได้ตัดสินว่าความผิดของหลานข้าหนักหรือเบา เจ้าเฉินชิงตูมีสิทธิ์อะไรมาจัดการต่งกวานพู่?!”
ผู้เฒ่าที่ตั้งแต่หนวดเคราไปจนถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างก็เป็นสีขาวหิมะมีท่าทีบีบคั้นเอาเรื่อง เขาเพิ่มระดับน้ำเสียงให้สูงขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าต่งซานเกิงตายไปแล้วหรือไง?!”
ใบหน้าของเฉินชิงตูเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ก่อนหน้าที่ต่งกวานพู่จะตายภายใต้คมกระบี่ของข้า ข้าคิดว่าเจ้าต่งซานเกิงตายไปแล้วจริงๆ เส้นสายของเผ่าปีศาจที่อยู่ในตระกูลให้เห็นทนโท่ ตระกูลต่งของเจ้ายังต้องใช้เวลาตรวจสอบถึงหนึ่งเดือน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเปลี่ยนเป็นสกุลอื่น ยกตัวอย่างเช่นสกุลเฉิน ให้เวลาวันหนึ่งยังรังเกียจว่ามากไปเลย!”
ไฟโทสะของผู้เฒ่าแซ่ต่งที่บุกมาจากในเมืองพุ่งสูงเสียดฟ้า “เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ยินดีจะปรับปรุงตัว ทำความดีไถ่โทษไม่เป็นประโยชน์ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าศพศพหนึ่งหรอกหรือ?”
แม้แต่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เฉินชิงตูยังคร้านจะพูด เขาเพียงหัวเราะหยันกล่าวว่า “ใต้คมกระบี่ของข้ายังจะเหลือศพด้วยรึ? หรือว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยคนนี้แอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าต่งซานเกิงถลึงตาปูดโปน ปณิธานกระบี่ทั่วร่างไหลเชี่ยวกรากประหนึ่งคลื่นลูกยักษ์ที่โถมกระทบกำแพงเมือง ส่งเสียงดังครืนครั่น
เฉินชิงตูเลิกคิ้วสูง “ทำไม จะลงมืองั้นรึ?”
ต่งซานเกิงเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “คนอื่นต่างก็กลัวเจ้าเฉินชิงตู แต่ข้าไม่กลัว! ลงมือก็ลงมือสิ มีอะไรให้ต้องไม่กล้ากัน?!”
น้ำเสียงไร้เดียงสาดังขึ้นมาจากหัวกำแพงที่ห่างไปไกล ถ้อยคำที่กล่าวค่อนไปทางเศร้าสร้อยและน้อยเนื้อต่ำใจ “พอเถอะ ต้องโทษข้า ข้าตัดใจให้ต่งกวานพู่ตายเร็วขนาดนั้นไม่ลง ถึงอย่างไรเสี่ยวต่งก็คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ข้าชอบมากที่สุด ตอนนี้ข้าชอบเฉาสือมากเท่าไหร่ ในอดีตก็ชอบเสี่ยวต่งขี้มูกยืดมากเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้เขาตายไปแล้ว……ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
คนที่ส่งเสียงก็คือแม่นางน้อยผมแกละที่สวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ ใต้เท้าอิ่นกวานในรุ่นนี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
โดยที่ไม่ทันมีใครรู้ตัว บริเวณโดยรอบหัวกำแพงก็มีผู้ฝึกกระบี่ชั้นบนสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านปรากฎตัวอยู่ไกลๆ บ้างก็เป็นเจ้าประมุขตระกูลใหญ่ บ้างก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้เป็นเอก
มีเพียงอริยะสองท่านที่มีคุณสมบัตินั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับเฉินชิงตูเท่านั้นที่ไม่ได้มา
บุรุษหน้าตาหล่อเหลาลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนตวาดกร้าว “ต่งซานเกิง เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูก ผิดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย! ตลอดหลายปีมานี้เจ้าฝากความหวังไว้ที่ต่งกวานพู่มากเกินไป ถึงได้ทำให้จิตแห่งกระบี่ของต่งกวานพู่เปลี่ยนไปเป็นสุดโต่งขนาดนั้น เขาดึงดันจะไปหาประสบการณ์ในใจกลางถิ่นของเผ่าปีศาจเพียงลำพัง ถึงได้ก่อหายนะครั้งนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่งซานเกิง มีอาเหลียงแล้วก็ยังสามารถมีต่งกวานพู่เพิ่มขึ้นมาได้อีกคน ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เขาไม่ฟังก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน แต่เจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่รู้ถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่บ้างเลยหรือ?”
ต่งซานเกิงสีหน้าเย็นชา “ลูกหลานตระกูลต่งของข้าสมควรต้องมีใจทะเยอทะยานอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องห้ามเขาด้วย? ข้าอยากจะให้ลูกหลานตระกูลต่งของข้าทุกคนมีวิถีกระบี่สูงกว่าข้าต่งซานเกิงด้วยซ้ำ!”
กล่าวถึงตรงนี้ต่งซานเกิงก็หลุดหัวเราะพรืด “ถึงอย่างไรตระกูลต่งของพวกเราก็ไม่ได้เป็นอย่างตระกูลเฉิน ฉี และตระกูลน่า ไม่ได้มีแผนการในใจที่แยบยลมากมายขนาดนั้น”
ไม้นี้ที่ชายชราผู้กำเริบเสิบสานฟาดออกไป เรียกได้ว่าตีหน้าคนเกือบครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่
บุรุษหล่อเหลาผู้นั้นแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าแซ่ฉีก็รวมอยู่ในคนเหล่านี้ด้วย เวลานี้เขาเปิดปากพูดเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังทำอะไรได้อีก? ศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า พวกเรายังจะขัดแย้งกันเองภายในอีกรึ?”
ผู้เฒ่าแบกกระบี่ใบหน้าแห้งตอบสวมคลุมตัวยาวคนหนึ่งพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก็คือรับมือกับการโจมตีจากเผ่าปีศาจเสียก่อน จะมาทะเลาะกันเองไม่ได้ จะทำให้พวกเดรัจฉานที่อยู่ทางทิศใต้พวกนั้นได้เปรียบซะเปล่าๆ”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าไม่สนใจทั้งสองท่านที่หวังดีทำตัวเป็นกาวประสานใจ ยิ่งไม่มีท่าทีจะไกลี่เกลี่ยปัญหายุติความขัดแย้ง เขาจ้องต่งซานเกิงเขม็งพลางยิ้มพูดว่า “หากสร้างความชอบสามารถไถ่โทษได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าต่งซานเกิง จากนั้นให้อิ่นกวานฉีกหน้าบันทึกคุณความชอบไม่กี่หน้าของเจ้าทิ้ง ก็เท่ากับว่าจบเรื่องกันแล้วใช่ไหม?”
ต่งซานเกิงพูดไม่ออกทันที
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วน แข็งค้างและหนักอึ้ง
เฉินผิงอันที่มองเห็นภาพนี้จากด้านหลังเซียนกระบี่ผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าหลังจากคนเหล่านี้ปรากฏตัว ปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็เริ่มหนักมากขึ้น กดทับจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ต่งซานเกิงพลันหันหน้าไปมองรอบด้านแล้วตวาดว่า “มาดูเรื่องสนุกหามารดาเจ้า มาร่วมความครึกครื้นหามารดาเจ้ารึ ไสหัวไป!”
เสาหลักของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านรู้ว่าผู้เฒ่าต่งกำลังหาบันไดลงให้กับตัวเอง วันนี้เขาที่หวังว่าจะมาชวนทะเลาะลงไม้ลงมือก็คงไม่ได้ทำอย่างใจหวังแล้ว ทุกคนจึงพากันหายตัวไป กลับไปยังนครทางทิศเหนือ
เมื่อทุกคนพากันกลับไป เฉินผิงอันถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนิงเหยาก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย นางขี่กระบี่ขยับเข้าใกล้หัวกำแพงช้าๆ ต่งซานเกิงชำเลืองตามองแม่นางน้อยแล้วพูดเสียงขุ่น “นังหนูหนิง อย่าได้ทำตัวเหมือนพ่อแม่ที่ไร้ค่าของเจ้า ข้ายังคงชอบเจ้ามาก”
หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์
ต่งซานเกิงก็ไม่ถือสา หมุนตัวก้าวยาวๆ เหยียบลมกลับเมืองไป
ใต้เท้าอิ่นกวานที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงคือคนที่ไม่สนใจใยดีอะไรมากที่สุด เพราะเอาแต่แอบหาวอยู่ตลอดเวลา เวลานี้นางพลันขมวดคิ้ว ทำท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อ้าปากกว้าง ยื่นนิ้วโป้งไปดันฟันซี่ที่อยู่ไม่เป็นสุขแล้วโยกเบาๆ สุดท้ายก็ยังตัดใจดึงมันออกมาไม่ได้จึงหุบปาก หมุนตัวกลับแล้วเดินพึมพำจากไปไกล
ดูเหมือนเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินชิงตูจะเคยชินกับเหตุการณ์อย่างค่ำคืนนี้มานานแล้ว จึงหันไปส่งยิ้มให้หนิงเหยา แล้วกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินไปยังกระท่อมของตัวเอง
เฉินผิงอันกระโดดกลับขึ้นไปหัวกำแพง ไปยืนเคียงไหล่กับหนิงเหยา
หนิงเหยาไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหรนัก “กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ยังดีที่กฎข้อที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เฉินผิงอันหันมามองหนิงเหยาด้วยความใคร่รู้
หนิงเหยาจึงตอบช้าๆ ว่า “ปลายกระบี่ชี้ไปทางใต้”
คำง่ายๆ แค่สี่คำก็ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันเริ่มแกว่งไกว สั่นสะเทือนไม่หยุด
เฉินผิงอันอดหันหน้าไปมองทางทิศใต้ไม่ได้
หนิงเหยาเอื้อมมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันมาด้วยตัวเองแล้วเริ่มดื่มเหล้า
เฉินผิงอันถอนสายตากลับ ถามเบาๆ ว่า “ต่งกวานพู่ที่เป็นคนทรยศ ใช่คนประเภทเดียวกับที่เจ้าพูดถึงไหม? คนที่เคยเป็นวีรบุรุษในสนามรบ แต่พออยู่ในเมืองกลับไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ท่านปู่เสี่ยวต่งเป็นคนที่ไม่เลวเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาที่อยู่อาศัยทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะเก็บตัวสันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร บางครั้งที่ข้าเจอเขาตอนยังเป็นเด็ก ท่านปู่เสี่ยวต่งจะเป็นคนที่มีมารยาทมาก แม้ว่าจะไม่ชอบพูด แต่ทุกครั้งจะต้องส่งยิ้มให้ข้าราวกับเป็นผู้อาวุโสในตระกูล”
หนิงเหยานั่งขัดสมาธิ กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่มีใครรู้ว่าทำไมท่านปู่เสี่ยวต่งถึงได้ไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจ อาจเป็นเพราะปีนั้นตอนที่ไปหาประสบการณ์พาตัวไปเสี่ยงอันตราย ได้เกิดปัญหาใหญ่กับตัวเขากระมัง อันที่จริงเซียนกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อไปขัดเกลาวิถีกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพังมีมากมาย เพราะปีศาจห้าขอบเขตกลางของที่นั่นชอบเห็นว่าการฝึกตนจนมีร่างเป็นมนุษย์คือเกียรติยศอย่างหนึ่ง เวลาปกติหน้าตาของพวกมันจึงไม่ต่างอะไรจากพวกเรา มีเพียงเจอกับอันตรายคับขันบนสนามรบเท่านั้นถึงจะเผยร่างจริง อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งแต่กำเนิดมาต้านทานกระบี่บิน ดังนั้นขอแค่เซียนกระบี่อำพรางตัวเองอย่างระมัดระวังก็ไม่ง่ายนักที่จะถูกจับได้”
การที่มนุษย์คือผู้นำแห่งหมื่นสรรพสิ่งก็เพราะว่า เดิมทีช่องโพรงลมปราณในร่างมนุษย์ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก ดังนั้นเผ่าปีศาจถึงพยายามฝึกตนให้ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเมื่อทำสำเร็จ การฝึกตนหลังจากนั้นจะเหนื่อยแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลประโยชน์เป็นเท่าตัว เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นเช่นนี้
หนิงเหยากล่าวต่อว่า “แน่นอนบุคคลพิเศษบางส่วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกปีศาจใหญ่ระดับสูงสุดแอบจดจำไว้และนำไปลงบันทึกด้วยวิธีการลับ จึงยากที่บุคคลพิเศษเหล่านั้นจะสามารถไปท่องอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ แต่ได้ยินมาว่ารายชื่อที่เขียนลงไปในสมุดบันทึกนั้นมีจำกัด เซียนกระบี่ที่ถูกเขียนชื่อลงไปมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักจะให้เซียนกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้ารบตายไปก่อน แล้วค่อยเพิ่มเข้าไปอีกคน ตามหลักแล้วตอนที่ท่านปู่เสี่ยวต่งออกจากบ้านเดินทางไกลก็เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดธรรมดาเท่านั้น ไม่ควรจะถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนั้น อีกอย่างตระกูลต่งก็มีรากฐานลึกล้ำ พวกเขาจึงมีวิชาลับเฉพาะที่ช่วยอำพรางลมปราณ ยากมากที่จะถูกจับได้”
หนิงเหยาไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งว่า
นางคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่ออยู่ในสมุดประหลาดเล่มนั้น อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
ก่อนจะสิบขวบ ชื่อของหนิงเหยาก็ถูกบันทึกลงไปแล้ว
และลูกรักแห่งสวรรค์ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ล้วนถูกสังหารบนสมรภูมิรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่ก่อนอายุสามสิบ โดยไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับเรื่องนี้ เผ่าปีศาจไม่เคยเสียดายค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไป
ความเป็นหรือความตายของลูกรักสวรรค์คนหนึ่งมักจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของปีศาจใหญ่และเซียนกระบี่หนึ่งคนหรืออาจถึงหลายคนเสมอ
เพราะเผ่าปีศาจรู้สึกว่าบนหัวกำแพงเมืองมีเฉินชิงตูแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
หากมีหนิงชิงตูหรือเหยาชิงตูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ใช่แค่เรื่องการตายของปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนแค่หนึ่งหรือสองตนอีกต่อไป
สิ่งที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จนใจมากที่สุดก็คือ ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ หากไม่ไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบในเร็ววัน ไม่รีบลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเป็นความตาย แต่ถูกเลี้ยงอยู่แค่ในเมืองทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้มีเซียนกระบี่หลายท่านตั้งใจอบรมสั่งสอน ก็ยังไม่มีความเป็นไปได้สักนิดที่จะเติบโตกลายมาเป็นเฉินชิงตู อาเหลียงหรือต่งซานเกิงคนถัดไป
จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วทำให้เจ้าต้องเสียสมาธิ ถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าใช่ไหม?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับพลางส่งเสียงอืมหนึ่งที ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า “แต่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าดีใจมาก ตอนฝึกตนอยู่ที่แท่นสังหารมังกรในบ้านมักจะอดคิดถึงเจ้าบ่อยๆ ไม่ได้ พอคิดถึงแล้วก็เหม่อลอย เหม่อลอยเสร็จก็จะตรงมาหาเจ้า พอกลับไปถึงบ้านก็รีบร้อนจัดการธุระในตระกูลให้เสร็จสิ้น แล้วก็ดูเหมือนว่าวันหนึ่งจะผ่านไปเช่นนี้ ก่อนเข้านอนก็จะรอคอยให้ได้พบเจ้าในวันพรุ่งนี้”
นี่ก็คือหนิงเหยา
ฉีจิ้งชุนเคยเตือนจ้าวเหยาลูกศิษย์ในโรงเรียนที่หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ชอบหนิงเหยา เพราะนางคือกระบี่คมกริบที่ไร้ฝักเล่มหนึ่ง ง่ายที่จะทำร้ายคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งตัวนางเอง
หนิงเหยามองโลกนี้โดยแบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเย็นชาไร้น้ำใจ
เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากสุดสามวัน ข้าจะไปจากที่นี่ จากนั้นจะไปอุตรกุรุทวีปที่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ทั้งฝึกหมัดและฝึกกระบี่ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อมีคุณสมบัติเข้าร่วมการรบของที่นี่แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่!”
หนิงเหยาเงียบงัน รู้ดีว่าทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด แต่นางก็ยังไม่เต็มใจจะพูดมันออกไป ไม่เต็มใจจะพยักหน้า
กลับกันนางยังอดบ่นเจ้าคนข้างกายผู้นี้ไม่ได้ว่า ทำไมต้องตัดสินใจเร็วขนาดนี้
เฉินผิงอันอยากดื่มเหล้า แต่หนิงเหยากลับกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือแน่น แถมนางยังจงใจเปลี่ยนมือที่ถือน้ำเต้าคล้ายอยากให้มันอยู่ห่างๆ จากเฉินผิงอัน
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ในประวัติศาสตร์การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจจะยาวนานติดต่อกันประมาณยี่สิบสามสิบปี ให้เวลาเจ้าสิบปีในการเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด พอหรือไม่?”
แล้วหนิงเหยาก็พูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “แค่สิบปี จะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
เฉินผิงอันขยับก้น หันหน้าเข้าหาหนิงเหยา พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลง แต่เจ้าก็ต้องรอข้าด้วยนะ”
หนิงเหยาเองก็เบี่ยงตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาเขา ยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เขาแล้วถึงได้พยักหน้ารับ “ตกลง”
เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วก็แหงนหน้าดื่มเหล้า
หนิงเหยาพูดเบาๆ “ข้ามีข้อเสียมากมาย”
เฉินผิงอันยิ้มบาง “ไม่เป็นไร ข้าชอบเจ้า”
หนิงเหยาน้ำตาคลอ
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาน้อยๆ ไปวางประคองลงบนแก้มนางเบาๆ
หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ปฏิเสธ นางแค่หลับตา เพราะไม่กล้ามองสบตาเขา
และในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเงียบสงัดราวกับว่าบนโลกนี้เหลือแค่คนทั้งสองนั้นเอง เสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่ถูกเวลา
เฉินผิงอันรีบหดมือกลับ ดื่มเหล้าปกปิดความกระอักกระอ่วนของตัวเอง ส่วนหนิงเหยาหันหน้าไปมอง บนคิ้วที่แคบยาวอัดแน่นไปด้วยปราณสังหาร แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นก็คือปู่เฉินเซียนกระบี่เฒ่า เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสองนัก พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กลัวว่าเดี๋ยวจะลืม เลยต้องรีบมาพูดกับเฉินผิงอัน”
“พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ”
หนิงเหยารับกาเหล้ามาแล้วก็ขยับตัวหันหน้าไปทางเมือง หันหลังให้เซียนกระบี่เฒ่า
เฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพง เอ่ยถาม “ท่านปู่เฉิน มีเรื่องอะไรหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ทางทิศใต้มีภาพวาดของผู้เฒ่าตาบอดที่สวยงาม ทางทิศตะวันตกมีน้ำแกงไก่ของลาหัวโล้นเฒ่าที่อร่อย ภาคกลางมีตัวอักษรของบัณฑิตที่สง่างาม ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสนใจมาก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือตาแก่พวกนี้ แต่ละคนหนังเหนียวกันทั้งนั้น”
หนิงเหยาหันหน้ามาอย่างอดไม่อยู่ “ท่านปู่เฉิน ตามคำพูดของท่านก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าทะเลบูรพายังมีนักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอยู่อีกคนหรอกหรือ?”
เซียนกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “ก็เพราะว่าคิดถึงเจ้าหมอนั่นถึงได้มาพูดกับเฉินผิงอันอย่างไรล่ะ”
หนิงเหยาฉงนสนเท่ห์
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่เฉินผิงอัน “จะซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้มีความหมายมากนัก ไม่สู้เลือกใช้วิธีอื่น ดังนั้นจึงต้องไปหานักพรตคนนี้ ทว่าก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าจะถูกปฏิเสธ แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อเจ้าสามารถเดินมาถึงที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นข้อยกเว้น”
หัวใจของเฉินผิงอันบีบรัดตัว เอ่ยถามว่า “ท่านปู่เฉิน ควรจะไปหายอดฝีมือท่านนี้ที่ไหน ไปที่ทะเลบูรพาอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราก็ตั้งอยู่บนทะเลบูรพาอยู่แล้วนะ”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไปที่อาคเนย์ใบถงทวีป ไปหาอารามกวานเต๋าแห่งหนึ่ง”
เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาลังเลเล็กน้อย นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับความตั้งใจเดิมของเขาสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเซียนกระบี่ผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีความนัยที่ลึกซึ้งอย่างอื่นแน่นอน แต่เฉินผิงอันก็ยังกังวลใจกับคำสัญญาสิบปีนั้น ความยากลำบากในการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของตนทำให้เฉินผิงอันไม่กล้ามองโลกในแง่ดีต่อการเลื่อนขอบเขตอีกสามลำดับอย่างห้าหกเจ็ดเท่าใดนัก
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “กล่องกระบี่ไม้ไหวของเจ้ามีที่มาไม่ธรรมดา ไม่สู้ให้ข้ายืมสักสิบปี ข้าสามารถเอากระบี่อีกเล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้า สิบปีให้หลังค่อยมาแลกกลับคืนไป และเมื่อเจ้าไปถึงใบถงทวีปแล้ว กระบี่เล่มนี้จะช่วยชี้ทางให้เจ้าคร่าวๆ ช่วยให้เจ้าตามหานักพรตเฒ่าแห่งทะเลบูรพาผู้นั้น ส่วนข้อที่ว่าหลังจากเจ้าโชคดีตามหาเขาเจอแล้ว เขาจะยินดีช่วยเหลือเจ้าหรือไม่ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าเฉินผิงอันเองแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง!”
เฉินผิงอันปลดกล่องกระบี่ ดึงกระบี่ไม้ไหวปราบมารออกมา หนิงเหยาถามว่า “ทิ้งกระบี่ไม้ไหวไว้ให้ข้าได้ไหม? ข้าเองก็จะเอากระบี่เล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเกาหัว “กระบี่ไม้ไหวเป็นของที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้า ไม่สามารถส่งต่อให้เจ้าได้ แต่หากเจ้าอยากเก็บไว้ข้างตัวก็ไม่มีปัญหา อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องมอบกระบี่ให้ข้าหรอก กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดแคลนกระบี่ขนาดนี้ แถมข้าเองก็ยังไม่ได้ใช้”
หนิงเหยากวักมือ เฉินผิงอันจึงโยนกระบี่ไม้ไหวไปให้นางเบาๆ จากนั้นก็ส่งกล่องกระบี่ไปให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่า
ยันต์แผ่นที่เดิมทีเอาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ไม้ได้ถูกเฉินผิงอันเก็บใส่กระบี่บินสืออู่ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว หาไม่แล้วเกรงว่าผีสาวโครงกระดูกก็คงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ที่นี่ไปนานแล้ว
วินาทีที่มือของผู้เฒ่าสัมผัสกับกล่องกระบี่ไม้ไหว มันก็หายไปท่ามกลางความว่างเปล่า
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วแล้วปาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ระหว่างผู้เฒ่าและเฉินผิงอันมีกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใช้สายตาบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันรับไป
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมา กระบี่ยาวหล่นลง เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะสามารถรับกระบี่เล่มนี้ไว้ได้ง่ายๆ ผลกลายเป็นว่าเขาเซถอยหลังเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้า
เซียนกระบี่ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “กระบี่ชื่อว่าปราณยาว ฝักและตัวกระบี่หนักแค่เจ็ดจินเท่านั้น (ประมาณสามกิโลครึ่ง) ทว่าปราณกระบี่กลับหนักถึงแปดสิบจิน (สี่สิบกิโล) ผู้ที่แบกกระบี่ไว้ด้านหลังจะสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ทั้งวันทั้งคืน”
เฉินผิงอันไม่มีกล่องกระบี่แล้วจึงไม่สามารถนำ ‘ปราณยาว’ เล่มนี้มาสะพายไว้ด้านหลังได้ ได้แต่ยืนกอดกระบี่ด้วยสองมือเท่านั้น
เซียนกระบี่ผู้เฒ่ามองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ในที่สุดก็มีท่าทางของเซียนกระบี่สักที”
หนิงเหยาพลันหันขวับไปมองทางทิศใต้
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงมารบกวนพวกเจ้าสองคน”
สายตาของหนิงเหยาเฉียบกร้าว ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศในทันที
ผู้เฒ่าหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “รีบบอกลากับแม่หนูหนิงซะ ข้าจะส่งเจ้ากลับภูเขาห้อยหัว”
เฉินผิงอันยืนกอดกระบี่ แหงนหน้ามองหนิงเหยา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หนิงเหยาเองก็ก้มหน้าลงมา นางรีบโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “ความรักของหนุ่มสาวมากล้นไม่แพ้ปราณกระบี่เลย ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ความรักความอาลัยที่อัดแน่นเต็มอก เก็บไว้ค่อยมาพูดกันคราวหน้าเถอะ”
ผู้เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลันถอยกรูดไปด้านหลัง
นาทีถัดมา รอจนเฉินผิงอันยืนได้มั่นคงแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนหัวกำแพง แต่มาอยู่ตรงลานกว้างตีนเขาภูเขาเดียวดาย
ที่นี่มีเพียงดวงตะวันที่ส่องแสงแรงกล้า ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่พระจันทร์ลอยพร้อมกันสามดวงอย่างใต้หล้าแห่งนั้น
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามองเด็กหนุ่มถือกระบี่หิ้วน้ำเต้าที่ยืนเซ่อ
ก็แค่จากลาเท่านั้น
แต่กลับทำให้เฉินผิงอันถึงขนาดลืมไปว่าตัวเองมีสุราให้ดับทุกข์
บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งนั่งอยู่ริมขอบกำแพง สองขาแกว่งไกว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าอยากเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เวลาดีใจก็ผลิดอกเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วง เวลาเสียใจก็ปลิดใบร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ”