Skip to content

Sword of Coming 375

บทที่ 375 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน

หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เดินทางผ่านท่าเรือตระกูลเซียน นอกจากการซื้อขายที่หอชิงฝูของท่าเรือที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีครั้งนั้นแล้ว ครั้งอื่นๆ หากเฉินผิงอันไม่เดินทางอย่างรีบร้อนก็แค่เดินดู ไม่ได้ซื้อ วันนี้เขาจึงถือโอกาสพาพวกเผยเฉียนเดินเล่นที่ท่าเรือแห่งนี้ให้ดีสักครั้ง เฉินผิงอันมอบเงินให้สี่คนในภาพวาดคนละหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ให้พวกเขาได้ซื้อของที่ตัวเองต้องการ เงินเทพเซียนบนภูเขามีคำกล่าวว่า ‘พันร้อยสิบ’ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญมีมูลค่าสองพันเงินตำลึงขาวของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็เท่ากับเงินขาวหนึ่งแสนตำลึง คิดจะซื้ออาวุธวิเศษหรือสมบัติอาคมนั้นไม่ต้องคาดหวัง แต่หากจะซื้อของใช้บางอย่างบนภูเขาที่ฝีมือประณีตหายาก เวลาปกติเอาออกมาชื่นชมให้เพลิดเพลินก็สามารถซื้อมาเก็บไว้ได้หลายชิ้น ไม่ใช่เรื่องยาก

นัดหมายกับคนทั้งสี่ในภาพวาดไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกหนึ่งชั่วยามไปเจอกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าเรือ เฉินผิงอันจะพาเผยเฉียนไปเดินเล่นเอง ซื้อของที่ท่าเรือ สถานที่ที่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์อย่างหอชิงฝูนั้น ความเป็นไปได้ที่จะเก็บได้ของดีนั้นมีน้อยมาก อีกทั้งราคายังแพงลิบลิ่ว พวกคนที่สะพายผ้าห่อบุญเอาของมาขายไม่มีร้านเป็นหลักเป็นแหล่งเสียอีกที่ทำให้คนได้เสี่ยงโชค ทดสอบสายตาในการดูของได้ดีที่สุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีสี่สมุทรเป็นบ้าน ชอบซื้อของราคาต่ำมาจากลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่ตกต่ำ หรือไม่ก็บอกว่าบรรพบุรุษหรือบรรพาจารย์ในสำนักของตนเคยมีเซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดมาก่อน แนวทางการขายของของพวกเขาก็จะเป็นทำนองนี้ คนซื้อไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมาก ปีนั้นเฉินผิงอันเดินทางพร้อมกับสวีหย่วนเสียจอมยุทธ์ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว จึงได้เรียนรู้เคล็ดลับมาไม่น้อย ภายหลังการอธิบายคำว่า ‘จับคู่ในกรง’ ของเหยาจิ้นจือ อันที่จริงก็หมายถึงอาชีพนี้

เผยเฉียนมีประสบการณ์น้อยนิด สำหรับภาพวาดตัวอักษรเทพเซียน อาวุธวิเศษ ภูตประหลาดที่ไม่ว่าจะพิสดารแค่ไหนก็มีอยู่ทั่วทุกร้าน นางล้วนจับจ้องมองตาไม่กะพริบ เผยเฉียนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นางถูกจูเหลี่ยนเหน็บแนมว่าเป็นเถาเถี่ย (หมายถึงตัวตะกละ) น้อย ชอบรับของเอาไว้ ไม่ว่าใครให้อะไรก็ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ชอบจ่ายเงิน แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่หลุดไปจากมือของนาง ดังนั้นต่อให้จะเป็นของที่อยากได้แค่ไหน นางก็แค่เหลือบมองบ่อยครั้งหน่อย ไม่มีทางเปิดถุงหอมใบเล็กที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ แต่นางกลับเอามาใช้เป็นถุงเงินใบนั้นอย่างแน่นอน หากชอบมากจริงๆ ก็จ้องเป๋งตาไม่กระพริบ มองแล้วก็จะคิดว่าเป็นของของตัวเอง แค่นางฝากเก็บไว้ในร้านชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนมือเติบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเดินเล่นกับเผยเฉียนอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม แวะเวียนเข้าไปสิบกว่าร้านแล้ว แต่กลับไม่ควักเงินเหรียญทองแดงจ่ายออกไปแม้แต่เหรียญเดียว

ระหว่างทางเจอคนสะพายผ้าห่อบุญคนหนึ่ง เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนขาพิการที่ท่าทางดูซื่อๆ บอกว่าตัวเองแซ่หลิว สามารถเรียกเขาว่าหลิวกานจื่อ เขาเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดขาว สะพายกระบี่ยาวฝักสีขาวก็เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หน้าตาเป็นคนซื่อ ทว่าปากกลับไม่ทึ่มทื่อ บอกว่าปู่ของเขาคือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเหวินจิ่ง หลังจากที่แคว้นเหวินจิ่งล่มสลาย ฮ่องเต้ก็ตายระหว่างที่หลบหนี ตราลัญจกรชือหู่หนึ่งในสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของตำหนักเจียวไท่ที่หายสาบสูญไปถูกท่านปู่ของเขานำเข้าไปในอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ตอนนี้เซียนซือใหญ่ท่านหนึ่งของแคว้นชิงหลวนสามารถรวบรวมสมบัติสิบหกชิ้นครบแล้ว ขาดแค่ ‘สมบัติวิเศษรวบรวมโชคชะตา’ ชิ้นนี้เท่านั้น ในวงการเก็บสะสมของเก่า ‘สมบูรณ์แบบและครบถ้วน’ คือภารกิจที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นสมบัติสำคัญที่ ‘ไม่แน่ว่าอาจจะซุกซ่อนลมปราณมังกรแห่งชะตาแคว้นเอาไว้’ ชิ้นนี้จึงมีมูลค่าควรเมือง

การที่ชายฉกรรจ์เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หนึ่งเป็นเพราะคนหนุ่มที่แค่มองก็รู้ว่ามีเงินผู้นี้นิสัยดี ไม่ไล่เขา กลับกันยังตั้งใจฟังอย่างมาก อีกอย่างหากชายฉกรรจ์ยังขายของไม่ออกก็ต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงแล้ว บัญชีปลายปีของเมื่อปีก่อนที่กว่าเขาจะตบตาผ่านมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ นั้นเกี่ยวพันกับเงินร้อนน้อยสามเหรียญ สามารถซื้อชีวิตเขาได้หลายชีวิตแล้ว ผ่านปีลำบากยากแค้นที่น่าอกสั่นขวัญผวานี้มาได้ ตามหลักแล้วเมื่อเดือนหนึ่งของปีนี้ผ่านไป หากยังไม่มีคนมือเติบมาติดเบ็ด เขาก็อาจจะต้องเจอกับหายนะจริงๆ แคว้นมีกฎของแคว้น อาชีพมีกฎของอาชีพ คราวนี้เขาคงต้องตายจริงๆ

เพื่อขายของเหล่านี้มาประทังชีวิตก็เรียกได้ว่าชายฉกรรจ์พยายามทุกวิถีทางที่มีแล้ว ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ไม่เพียงแต่ทำหน้าหนาเดินตามมาตลอดทาง ยังเป็นฝ่ายแนะนำทัศนียภาพของท่าเรือแห่งนี้ให้คุณชายท่านนี้ฟัง

ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่บนชายแดนแคว้นชิงหลวนแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือหางผึ้ง ตอนแรกที่ท่าเรือถูกสร้างขึ้นเคยเป็นเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ที่แห่งนี้เคยมีเทพเซียนขอบเขตหยกดิบซึ่งมีต้นกำเนิดต่ำต้อย มีสถานะเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งอาศัยความมานะบากบั่นและโชควาสนาใหญ่จนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ปาฏิหาริย์หลากหลายเรื่องที่เกี่ยวกับเขาล้วนแพร่ไปเกือบครึ่งทวีป ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป เขาเป็นคนมีชื่อเสียงมาก บ้านบรรพบุรุษของคนผู้นี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กที่มีชื่อว่าเจียเฟิง (หนีบผึ้ง) แล้วก็ตั้งอยู่ตำแหน่งสุดตรอกพอดี ภายหลังท่าเรือแห่งนี้จึงมีชื่อว่าหางผึ้ง

เนื่องจากท่าเรือตั้งอยู่ตรงบริเวณที่สามแคว้นเชื่อมต่อกัน และเพื่อช่วงชิงว่าตรอกเส้นนี้และบ้านบรรพบุรุษหลังนี้จะเป็นของใคร หลายร้อยปีที่ผ่านมา สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสองแคว้นใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็ใช้พู่กันและมีดทำสงครามกันบนกระดาษและบนสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าทั้งสามฝ่ายรับรู้ร่วมกันโดยปริยายว่า สงครามที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ลุกลามมาถึงท่าเรือเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้สำนักศึกษากวานหูยังตั้งใจส่งวิญญูชนและนักปราชญ์ให้มาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยอยู่หลายครั้ง

ภายใต้การพยายามแนะนำอย่างสุดความสามารถของบุรุษ เขาบอกว่าท่าเรือมีเหล้าเซียนบ่อน้ำที่มีเฉพาะแค่ที่แห่งนี้ที่เดียวในโลก เงินเหรียญเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อได้หนึ่งกาเล็ก ขุนนางและชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนชอบใช้สิ่งนี้มาโอ้อวดความร่ำรวยมากที่สุด และคุณชายท่านนั้นก็ซื่อเหล้าบ่อน้ำกาหนึ่งที่ร้านตรงหัวมุมจริงๆ เขาขอถ้วยขาวสองใบมาจากเถ้าแก่ พอนั่งลงแล้วกลับคลี่ยิ้มยื่นมือมาบอกเป็นนัยให้ชายฉกรรจ์นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน เดิมทีชายฉกรรจ์คิดจะยืนทำท่าน่าสงสารอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าคุณชายคนนี้อาจเกิดความเห็นอกเห็นใจซื้อสมบัติผุๆ เหล่านั้นของเขาไปจริงๆ แต่เป็นเพราะหนอนขี้เหล้าในท้องออกฤทธิ์ทำให้เขาทนไม่ไหวนั่งลงดื่มเหล้าตามคำเชื้อเชิญ ดื่มแล้วก็บ่นตัวเองที่ควบคุมปากไม่อยู่ไปด้วย ในใจคิดว่าตนดื่มเหล้านี้ไปแล้วคงมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่การค้าครั้งนี้จะล้มเหลว ทันใดนั้นความคิดนับร้อยก็ประดังประเดเข้ามา คิดเสียว่านี่เป็นเหล้าหัวขาดถ้วยหนึ่งก็แล้วกัน

เฉินผิงอันชนถ้วยกับชายฉกรรจ์ ถามด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อหยกชิ้นนี้มีค่า อีกทั้งยังมีเซียนซือที่รอให้มันกลับไปรวมกับสมบัติอีกสิบหกชิ้นของแคว้นเหวินจิ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นเขาเอาไปขายเขาโดยตรงเลยล่ะ?”

ชายฉกรรจ์เตรียมคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ของคนซื้อมานานแล้ว จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เซียนดินก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนั้น มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้า เพียงแต่ว่านิสัย…ข้ากลัวว่าได้เงินมาแล้วจะไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน”

ชายฉกรรจ์กดเสียงลงต่ำ พูดประโยคสุดท้ายอย่างคลุมเครือ

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ คำอธิบายนี้นับว่าฟังขึ้น เทพเซียนบนภูเขาชอบพูดกันว่าฝึกบำเพ็ญตนบนมรรคา ทว่ามรรคาที่ว่านี้มีนอกรีตแปดร้อย มีนอกรอยสามพัน ดังนั้นบนภูเขาก็ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างตู้เม่าอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็ยังมีหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินของทะเลสาบเจี่ยนหูไม่ใช่หรือไร? ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นที่เกิดใจคิดร้ายกับพวกเฉินผิงอันบนถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจี หากไม่เป็นเพราะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายมีจุดจบที่ต้องส่งหัวคนไกลพันลี้ หากล้อมสังหารเขาและลู่ไถได้สำเร็จขึ้นมา วันนี้ก็ต้องร่ำรวยรุ่งเรืองแล้วจริงๆ มีทรัพย์สินในส่วนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาอีกคนสองคนก็เป็นได้

ชายฉกรรจ์คงรู้สึกว่าหากยังไม่เพิ่มยาแรงก็อาจจะต้องพลาดคุณชายต่างถิ่นที่ไม่ขาดเงินคนนี้ไป เขาจึงวางถ้วยเหล้าลง พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงที่ข้าบอกว่าบรรพบุรุษคือแม่ทัพใหญ่แคว้นเหวินจิ่งคือการเลี่ยงเอ่ยถึงผู้สูงศักดิ์ที่ข้าเอามาใช้หลอกคนอื่น แท้จริงแล้วปู่ของข้าคือคนงานในอันเล่อฟางของเมืองหลวงอดีตแคว้นเหวินจิ่ง ช่วงแรกเริ่มสุดอันเล่อฟางคือสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์ใช้เลี้ยงสัตว์หายาก ภายหลังเงินทองมีไม่มากพอจึงถูกทิ้งร้าง เอามาไว้เก็บตัวพวกขันที นางกำนัลที่ทำผิดแล้วถูกขับไล่ออกจากวัง กษัตริย์แคว้นเหวินจิ่งที่ล่มสลายเคยเติบโตขึ้นมาในอันเล่อฟางที่ซุกซ่อนสิ่งสกปรกโสมม ตอนเด็กได้รับการดูแลจากท่านปู่ของข้าเป็นประจำ ภายหลังก้าวหน้ารุ่งเรือง จากบุตรนอกสมรสที่ถูกซ่อนไว้ข้างนอก ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเหตุใดแคว้นถึงล่มสลาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ภายหลังจึงปฏิบัติต่อท่านปู่ของข้าอย่างมีมารยาท สรุปก็คือสุดท้ายเขาได้มอบตราลัญจกรหยกไว้ให้กับท่านปู่ของข้า ก่อนที่ท่านปู่จะจากไป ยังกำชับข้าว่าต้องมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่มือของคนรุ่นหลังแคว้นเหวินจิ่ง ไม่อาจมองเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองได้…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก สีหน้าฉายแววเลื่อนลอย “หลานที่ไม่ได้เรื่องอย่างข้า ผิดต่อคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านปู่ แล้วก็ผิดต่อรัชทายาทแคว้นเหวินจิ่งที่เล่าลือกันว่าเปลี่ยนชื่อแซ่ไปฝึกตนอยู่บนภูเขาผู้นั้นด้วย”

ริมฝีปากชายฉกรรจ์สั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอดวงตา “คุณชาย ท่านช่วยข้าซื้อตราลัญจกรหยกที่เป็นสมบัติสำคัญของแคว้นชิ้นนี้ทีเถอะ วันหน้าข้าจะได้เอาเงินไปซื้อเหล้ามาดื่มให้ตัวเองเลอะเลือน จะได้ไม่ต้องเห็นมันทุกวันแล้วละอายใจไปจนตาย”

เฉินผิงอันรินเหล้าเซียนบ่อน้ำสีอำพันให้ชายฉกรรจ์อีกหนึ่งถ้วย ส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล้า ข้าเลี้ยงเจ้าได้ แต่ของของเจ้า ข้าไม่ซื้อแน่”

ชายฉกรรจ์ยังคงไม่ยอมแพ้ “คุณชายจะไม่ลองดูสักหน่อยหรือ ของนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ดีหรือไม่ดี เชื่อว่าแค่คุณชายมองปราดเดียวก็แยกแยะได้ทันที ถึงเวลานั้นต่อให้คุณชายกดราคาอย่างหนัก ข้าก็ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ข้าคนนี้ไม่มีโชคด้านทรัพย์สมบัติ…เพราะฉะนั้นอย่าเลยดีกว่า เจ้าหาคนซื้อที่ดูของเป็นและมีวาสนากับเจ้าเถอะ อย่ามาเสียเวลากับข้าเลย”

เผยเฉียนกำลังจะอ้าปากพูด แต่เห็นว่าเฉินผิงอันชำเลืองมองมาก็หุบปากทันที

ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าถ้วยที่สองไปแล้วก็บอกลาหนึ่งคำและขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปอย่างหม่นหมอง

เผยเฉียนถึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ “น่าสงสารมากเลย”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า กล่าวว่า “น่าสงสารก็จริง แต่ของใช่ว่าจะเป็นของจริงเสมอไป”

เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เคยเห็นแล้วจะรู้ได้อย่างไร หากมันเป็นของจริงล่ะ? ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รีบเดินทางอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “หากเจ้าของสิ่งนี้หล่นลงมาบนหัวของพวกเราจริงๆ แน่นอนว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองมาพูดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดกันบ้าง”

เผยเฉียนฉงนสนเท่ห์ “ก็แค่เป็นของปลอม ดูผิดไป เจ้าหมอนั่นจึงหลอกเอาเงินเทพเซียนของพวกเราไปได้?”

เผยเฉียนพลันใช้สองมือตบโต๊ะ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เรื่องนี้ทนไม่ได้แล้ว!”

เฉินผิงอันยิ้ม “นี่ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเสียที่ไหน สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือถูกคนเขาใช้แผนเซียนกระโดด (หมายถึงการต้มตุ๋นอย่างหนึ่งโดยที่มีนกต่อมาหลอกล่อ) ไม่เพียงแต่ถูกบังคับซื้อบังคับขาย ไม่แน่ว่าหากพวกเราควักเงินเทพเซียนมาจ่ายได้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะได้คืบแล้วเอาศอก ถือโอกาสฆ่าคนชิงทรัพย์ หากพูดถึงแค่เรื่องของคนปฏิบัติต่อคน ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่สนิทกัน ต่อให้นิสัยเดิมอาจจะไม่ได้เลวร้าย แต่หากเจอกับอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นติดหนี้บานเบอะ นิสัยของคนที่ติดหนี้อ่อนแอ นิสัยของคนที่เป็นเจ้าหนี้อำมหิต ทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน นั่นก็ต้องเรียกว่าคนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่ารังเกียจ ตอนนี้พวกเราสงสารเขา แล้วถึงเวลานั้นใครจะมาสงสารพวกเราล่ะ?”

เผยเฉียนตั้งใจคิด ก่อนจะตอบ “คนของพวกเราก็มีไม่น้อยนี่นา ถึงอย่างไรเราก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ก็ใช้สองหมัดสามหมัดต่อยพวกเขาให้ตายไปสิ?”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก หากอาศัยแค่หมัดมาเป็นเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่คนอย่างตู้เม่าที่มาพบเจอพวกเราได้ แต่พวกเรากลับพบเจอคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “แต่พวกเราเป็นคนดีนี่นา? โจรเฒ่าตู้นั่นไม่ใช่สักหน่อย คนเลวถูกฟ้าผ่า ตายไปแล้วก็ลงกระทะทองแดง ถูกดึงลิ้น ควักหัวใจ กรอกน้ำเหล็กร้อนๆ ใส่ปาก…”

เฉินผิงอันตัดบทคำพูดเหลวไหลของเผยเฉียน “เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างหวั่นกลัวไม่หาย “ครั้งก่อนตอนที่ไปชมโคมไฟเทศกาลหยวนเซียวในนครมังกรเฒ่า มีงานเลี้ยงโคมไฟบุปผาที่เสี่ยวป๋ายบอกว่าเป็นการ ‘ตักเตือนสั่งสอนแก่คนบนโลก ทำดีได้รับการชื่นชม ทำชั่วต้องถูกลงโทษ’ ตอนนั้นข้าเบิกตากว้างมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรในตำราก็บอกไว้ว่า มีข้อผิดพลาดก็แก้เสีย ไม่มีก็ถือเป็นข้อเตือนใจนี่นะ”

ตอนนี้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าดองหลอมระดับเล็กเอาไว้ ไม่อาจบรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำของขึ้นชื่อของท่าเรือแห่งนี้ลงไปได้อีก อีกทั้งยังมีเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกหลายไหที่ตระกูลฟ่านมอบให้เก็บไว้ในแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้ล้วนไม่ขาดสุราดีให้ดื่มคลายอยาก จึงซื้อเหล้าจากที่ร้านมาแค่สองไห คิดว่ากลับไปจะเอาไปเก็บไว้กับเหล้าหมักกุ้ยฮวา พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็เอาไปฝังไว้ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน ทุกสิบปีเอาออกมาหนึ่งไห ก็ถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติอันมากมายของเขาเฉินผิงอันแล้ว

จากนั้นก็ไปเจอกับพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนที่ทยอยกันมาถึงปากตรอกหางผึ้ง

การเดินทางในท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ ตัวเฉินผิงอันเองไม่เจอสิ่งของใดที่ถูกใจเป็นพิเศษ แค่ซื้อตำราอริยะปราชญ์ที่มีทั้งภาพและตัวอักษรครบครันให้เผยเฉียนเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม ทุกตัวอักษรเขียนเป็นระเบียบสบายตา

และในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากท่าเรือ ในตรอกก็มีคนหนุ่มผู้หนึ่งหิ้วกาเหล้าเดินออกมา เรือนกายของเขากำยำล่ำสัน ตรงเอวรัดสายรัดเอวเส้นหนึ่งลักษณะคล้ายโซ่เหล็ก

เฉินผิงอันหรี่ตาลงทันใด เพียงแต่ไม่นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง คิดว่ามีเรื่องมากขึ้นไม่สู้มีเรื่องให้น้อยลง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา

คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นก็มองเห็นเฉินผิงอัน เขาเดินเร็วๆ มาหยุดตรงหน้าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วออกมาชี้ น่าจะเพราะจำหน้าเฉินผิงอันได้ แต่นึกชื่อแซ่ของเขาไม่ออก สีหน้าจึงดูร้อนใจเล็กน้อย

เป็นโชคหรือเป็นภัยล้วนหลบไม่พ้น เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มเป็นการทักทายแล้วพูดด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “ที่หน้าประตูเมืองเล็ก พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้ากับคนเฝ้าประตูอยู่ข้างใน เจ้ายืนอยู่นอกรั้วไม้ ความทรงจำของเจ้าดีมาก ผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังจำข้าได้”

ชายร่างกำยำพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “ใช่ เจ้านี่เอง นอกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้นแล้ว เจ้าก็คือคนในท้องที่ของเมืองเล็กที่ข้าได้พบเป็นคนแรก นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเจ้าอยู่ที่นี่ ตอนแรกข้ายังไม่กล้ามาทักเจ้า เพราะเจ้าเปลี่ยนไปมาก เจ้าบอกว่าข้าความจำดี ข้ารู้สึกว่าความจำเจ้าเองก็ไม่แย่เหมือนกัน แถมยังน่าจะดีกว่าข้าเล็กน้อยด้วย”

เห็นในมือเฉินผิงอันหิ้วเหล้าเซียนบ่อน้ำไว้สองไห ชายฉกรรจ์ที่ตรงคางเต็มไปด้วยตอหนวดเขียวครึ้มก็ยิ้มพูดว่า “เหล้าบ่อน้ำไหนี้ของเจ้าถูกหลอกให้ซื้อแล้ว เหล้าเซียนของแท้ต้องเป็นเหล้าที่หมักด้วยน้ำสามหยดจากบ่อที่เก่าแก่ที่สุด และเหล้าสองไหนี้ของเจ้ามาจากบ่อน้ำใหม่สิบกว่าคำที่ร้านพ่อค้าหัวหมอไร้มโนธรรมสร้างขึ้นมาเป็นการส่วนตัว รสชาติไม่ถูกต้อง ไปๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเหล้าบ่อน้ำเก่าของแท้ ไม่อย่างนั้นการมาเยือนท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ของเจ้าก็เสียเที่ยวแล้ว”

เขาเพิ่งจะเดินออกมาหนึ่งก้าวก็หัวเราะฮ่าๆ “ช่างเถิด ยุทธภพอันตราย พวกเราสองคนก็อย่าใกล้ชิดสนิทสนมกันนักเลย”

ชายร่างกำยำบอกที่ตั้งร้านเหล้าสองร้านให้แก่เฉินผิงอัน “หากยินดีก็ไปเอง ข้าจะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าทำดีหวังผล เจ้าและข้าจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทั้งสองฝ่าย”

เขากุมหมัดบอกลาเฉินผิงอันแล้วก้าวยาวๆ จากไป

เป็นคนรวดเร็วตรงไปตรงมา

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ

โซ่เหล็กที่ถูกชายร่างกำยำนำมาทำเป็นสายรัดเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นโซ่เหล็กเส้นหนาใหญ่ของบ่อโซ่เหล็กก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกแล้วร่วงลงมา ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้ยินมาแล้วว่าคนผู้นี้ได้โชควาสนาครั้งใหญ่ไปครอง นอกจากวัตถุห้าธาตุแล้ว ในบรรดาสมบัติอาคมมากมายที่ซ่อนอยู่ตามกลุ่มชาวบ้านของถ้ำสวรรค์หลีจูเวลานั้น ก็มีของชิ้นนี้กับน้ำเต้ามรกต กาซานเซียวของซ่งจี๋ซิน รวมถึงกระจกสยบมารอีกบานหนึ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด ซึ่งโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้มีมูลค่าควรเมืองมากที่สุด เคยเป็นเชือกพันธนาการหนึ่งเส้นที่สามารถพันธนาการมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายได้สำเร็จ ระดับขั้นของมันจะสูงแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะจินตนาการได้

ตอนนี้ได้ถูกคนผู้นี้หล่อหลอมให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จแล้ว การที่เขากล้าเอามาใส่โอ้อวดคนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คาดว่าหากไม่มีฝีมือและความกล้าหาญก็คงต้องมีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่มากพอ หรือไม่ก็มีครบทั้งสองอย่าง

ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับฟ้าดินข้างนอกอย่างแท้จริง

วานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ซวี่ซื่อแห่งนครลมเย็น ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า

นั่นคือสถานการณ์แห่งความเป็นความตายที่เกิดขึ้นติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน ความรู้สึกไร้ที่พึ่งเช่นนั้นมากมหาศาลยิ่งกว่าในอนาคตตอนที่เฉินผิงอันเผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง มากกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับตู้เม่าบินทะยานในนครมังกรเฒ่าเสียอีก

เพียงแต่ว่าก็เหมือนครั้งนั้นที่พูดความในใจกับหลูป๋ายเซี่ยง บนเส้นทางของชีวิตคน ขอแค่ได้เห็นดอกไม้สักดอกท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า ทุกอย่างก็ต่างออกไปจากเดิมแล้ว

เฉินผิงอันได้เจอกับแม่นางที่ดีคนหนึ่ง ยามนางคลี่ยิ้ม เฉินผิงอันจะต้องรู้สึกว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้า

จะไม่ชอบได้อย่างไร จะตัดใจไม่วางนางไว้บนหัวใจได้อย่างไร

ดื่มเหล้าบนหลังคาร้านยาครั้งสุดท้ายกับฟ่านเอ้อร์ในนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันบอกว่า “แม่นางที่ข้าชอบ นางงดงามที่สุดแล้ว แต่ว่าเวลาที่นางซึ่งงดงามที่สุดงดงามยิ่งกว่าเดิมก็คือ เวลาที่ข้ากำลังมองนาง แล้วนางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าขนตาของนางที่ข้าเห็นจากใบหน้าด้านข้างกลับสั่นไหวเบาๆ”

ตอนนั้นฟ่านเอ้อร์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ถามเขาว่า มารดามันเถอะ นี่เจ้าเฉินผิงอันชอบแม่นางคนนั้นมากขนาดไหนกันแน่!

ตอนนั้นเฉินผิงอันดื่มจนเริ่มเมากรึ่มๆ แล้ว จึงจับประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ด้วยสองมือแล้วหัวเราะอย่างโง่งม

……

ในขณะที่เฉินผิงอันเดินไปตามหาสุราบ่อน้ำเก่าแก่ที่แท้จริง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่อยากจะไปเจอกับคนหนุ่มที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นี้อีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นำมาซึ่งการคาดเดา เขาจึงจงใจเลือกร้านเหล้าแห่งอื่น ระหว่างทางผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เก็บอำพรางลมปราณไว้อย่างมิดชิดพลันปรากฎตัวกะทันหัน มาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่ม เล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้ฟัง

ชายหนุ่มโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “คนกลุ่มนี้น้ำเข้าสมองแล้วหรือไง คิดแต่จะเอาเงินไม่เอาชีวิตกันจริงๆ เจ้านำความไปบอกผู้ดูแล ให้พวกเขาหยุดมือ อย่าได้ไปเซ่นฟันให้คนอื่นอีกเลย” (เซ่นฟันในอดีตหมายถึงการได้กินเนื้อมื้อหนึ่งของทุกๆ ต้นเดือนหรือกลางเดือน แต่ภายหลังหมายถึงการได้กินอย่างอิ่มหมีพีมันในบางมื้ออาหาร)

เดิมทีเขายังอยากจะพูดอะไรอีก คิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดการกับประเพณีนิยมที่ไม่ถูกต้องของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ เพียงแต่พอคิดว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ชายฉกรรจ์ก็ส่ายหน้า “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องจงใจไปกระทบกระเทียบพวกเขา ล้วนเป็นโชควาสนาของใครของมัน แต่คนต่างถิ่นเมื่อครู่ที่ข้าเจอโดยบังเอิญ ห้ามคนใดก็ตามของท่าเรือหางผึ้งไปหาเรื่องเขาเด็ดขาด อีกอย่างอาศัยโอกาสครั้งนี้ เจ้าไปใช้หนี้ก้อนนั้นของเหล่าหลิวให้หมด ทำตามกฎ กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็จ่ายไปเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าค่อยหาโอกาสไปข่มขู่เหล่าหลิวสักครั้ง อย่าให้เขาเป็นผีพนันที่ลงเดิมพันมั่วซั่วแบบนี้อีก ทรัพย์สินน้อยนิดแค่นั้นของเขา หากเขาคิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “หากวันหน้าหลิวกานจื่อยั้งมือตัวเองไม่อยู่ไปเล่นพนันอีกล่ะ?”

ชายร่างกำยำเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปตายถากรรมเถอะ ข้าช่วยเขาได้หนึ่งครั้ง แต่ไม่อาจช่วยไปได้ตลอดชีวิต”

ผู้เฒ่าทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดชะงักไป

ชายร่างกำยำส่ายหน้า “หยกลัญจกรชิ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นของแท้แน่นอน ทว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่อาจแตะต้องได้ อาจารย์เคยบอกว่า อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว โชคดีและหายนะที่อยู่ในเรื่องนี้มีมากมาย ถึงอย่างไรสกุลเจี่ยงของแคว้นเหวินจิ่งก็ยังเหลือองค์รัชทายาท ตอนนี้ยังฝึกตนอยู่บนภูเขาอยู่เลย ส่วนเจ้าคนที่ใจคิดแต่จะรวบรวมสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของแคว้นเหวินจิ่งให้ครบผู้นั้น เดินไปบนเส้นทางแห่งการประคองมังกร นับว่าเหมาะกับเขา แต่พวกเราทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้ หากควบคุมความละโมบไม่ได้ก็จะกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเหล่าหลิว ไม่แน่ว่าอาจจะแย่ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราฝึกตนหวังชีวิตเป็นอมตะ เดิมทีก็ไม่ใช่ฝ่ายที่มีเหตุผลอยู่แล้ว ยังจะวางเดิมพันกับสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”

ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วจากไป

ข้ารับใช้เฒ่าที่แอบอำพรางตัวอยู่ในท่าเรือหางผึ้งผู้นี้ก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองที่ก่อนหน้านี้มอง ‘พลังอำนาจ’ ของเฉินผิงอันออกในปราดเดียว

ชายหนุ่มร่างกำยำเดินทอดถอนใจไปตลอดทาง จนกระทั่งซื้อเหล้ามาได้หนึ่งกา ดื่มเหล้าเซียนที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดแล้ว อารมณ์ถึงได้ดีขึ้น

ตอนที่เขายังเด็กได้ถูกยอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาทางชายทะเลเห็นเข้า แล้วบอกกับคนในตระกูลว่าฐานกระดูกของเขาดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด คิดจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ พ่อแม่ดีใจจึงตอบตกลงทันที เพราะแรกเริ่มประมุขตระกูลมั่นใจมากว่าเขาไม่เหมาะกับการฝึกตน นั่นทำให้เขาถูกคนวัยเดียวกันในตระกูลที่รู้สันดานกันมานานแล้วมองเป็นเศษสวะ ถูกคนนับไม่ถ้วนดูแคลน ภายหลังเขาก็ออกจากตระกูลแห่งนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกท่านอาจารย์ผู้อาวุโสพามาที่ท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็พักอาศัยอยู่ในบ้านเก่าผุพังที่ตั้งอยู่สุดตรอกเล็กเจียเฟิงแห่งนั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ตบะของเขาไต่ทะยานรวดเร็วมาก โชควาสนาก็คว้ามาได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะสวมอาภรณ์แพรกลับบ้านเกิด กลับคืนสู่ตระกูลที่สูงส่ง กฎระเบียบเข้มงวดอย่างคนที่ลืมตาอ้าปากได้ คิดแค่ว่าจะแอบกลับบ้านไปพบพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณที่พวกเขาเลี้ยงดูมาเท่านั้น แต่กลับเป็นพี่สาวสายตรงสายของเจ้าประมุขที่ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอยู่ตลอดเวลา พระคุณหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุ คนบนภูเขาชอบพูดกันอย่างนี้ แต่ในใจกลับไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ ทว่าเขากลับเต็มใจจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นต่อให้อาจารย์จะเสียดายแค่ไหน ตนก็ยังยืนกรานจะมอบของชิ้นเล็กที่ได้มาโดยบังเอิญให้เป็นหนึ่งในสินเดิมของนาง ว่ากันว่าตอนนั้นครึกโครมกันไปทั้งตระกูล ใครก็ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น

เป็นคนไม่ติดเงินใคร ไม่ละอายต่อใจตัวเอง

เขารู้สึกว่าแบบนี้ดีมากแล้ว

ขณะที่กำลังดื่มเหล้าก็มองสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยะของร้านเหล้าไปด้วย นางเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เฝ้ารักษาบ่อน้ำโบราณและสืบทอดฝีมือของบรรพบุรุษเอาไว้ ทำการค้าไม่ค่อยเป็นนัก การค้าที่เดิมทีควรได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันกลับถูกนางทำให้กลายเป็นเพียงการค้าเล็กๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เห็นกับตาตัวเองว่าพี่สาวใหญ่คนข้างบ้านที่ในอดีตมีนิสัยอ่อนโยนอบอุ่นได้แต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่น มีอาชีพขายเหล้าปีแล้วปีเล่า บางครั้งเจอกับนักดื่มที่พูดจาเกี้ยวพาราสีก็ยังหน้าแดง ยังเขินอาย ยังขุ่นเคือง แต่หางตาของนางเริ่มเกิดริ้วรอยยาวๆ แล้ว พอเห็นเช่นนี้ ชายร่างกำยำก็ให้รู้สึกดีใจที่ตัวเองได้พบเจอกับอาจารย์ ไม่แน่ว่าวันใดหลานชายของเถ้าแก่เนี้ยะแก่แล้ว เขาก็ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม

แม้ว่าท่าเรือหางผึ้งจะเป็นท่าเรือตระกูลเซียน แต่พวกชาวบ้านที่ไม่อาจหลีกหนีสัจธรรมเกิดแก่เจ็บตายกลับมีอยู่ไม่น้อย

อาจารย์มักจะบอกว่าคนล่างภูเขาที่อายุหกสิบก็เส้นผมขาวโพลน เจ็ดสิบก็แก่หง่อมเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานของผู้ฝึกตนกลุ่มเล็กๆ บนภูเขาอย่างแท้จริง

ไม่มีพวกเขา คำว่าการฝึกตนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศเท่านั้น

สำหรับเรื่องนี้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่คิดอะไรมากนัก เพราะขี้เกียจจะคิด ถึงอย่างไรในด้านของการฝึกตน เขาก็ชอบปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ไม่เป็นฝ่ายไปทำร้ายใคร ถูกใครทำร้ายก็ไม่ใจอ่อน ดังนั้นอาจารย์จึงโน้มน้าวให้เขาเลือกฮ่องเต้คนใดคนหนึ่งจากสกุลถังแคว้นชิงหลวน สกุลเหยียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซาน จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่ ไปขัดเกลาจิตใจอยู่ในราชสำนัก ให้ยาถูกกับโรคในเร็ววันเพื่อสลายมารในใจทิ้ง ในอนาคตวันใดที่เลื่อนสู่ก่อกำเนิดจะได้ไม่ต้องภาวนาขอพรพระในช่วงจวนเจียน เพียงแต่ว่าเขาปฏิเสธมาตลอด ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องคอยคบค้าสมาคมอยู่กับพวกฮ่องเต้ พวกเสนาบดี จะมีความหมายอะไร? ฮ่องเต้สกุลถังฟุ่มเฟือยอย่างไร้ขีดจำกัด ตายก็ต้องรักษาหน้าตา ชอบแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับพวกเทพเซียนบนภูเขา ฮ่องเต้สกุลเหอแคว้นชิ่งซานมีนิสัยประหลาด วังหลังมี ‘ห้าสะคราญ’ ที่น่าตื่นตะลึง ตลอดทั้งราชสำนักมีแต่กลิ่นอายสกปรก ฮ่องเต้สกุลเหยียนเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน ทำงานหนักเพื่อบ้านเมือง แต่จิตใจกลับอำมหิต ชอบดีดลูกคิดวางแผนยิ่งกว่าลูกหลานตระกูลพ่อค้าเสียอีก ว่ากันว่าเขายังเขียนตำรา ‘เฉียนเปิ่นฉ่าว’ ซึ่งเป็นที่นิยมเล่มนั้นด้วยตัวเอง บอกว่า ‘เงิน รสหอมหวาน ร้อนระอุ เป็นทั้งพิษเป็นทั้งยา สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถจ้างผีให้โม่แป้ง’ คำพูดประโยคเดียวที่แทงใจดำเหล่าพ่อค้าได้มากมาย

เขาดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้วก็เรียกเถ้าแก่เนี้ยะมาคิดเงิน บรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำหลายสิบจินจนเต็มกาเหล้า ผูกไว้ข้างเอว และยังขอสุรารสเลิศมาเพิ่มอีกสองไหเล็ก ใช้นิ้วหนีบกาเหล้าสองไหเอาไว้ สำหรับเรื่องนี้สตรีแต่งงานแล้วเห็นจนชินตา ตลอดทั้งท่าเรือหางผึ้งต่างก็รู้ว่าสถานะของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา ใครก็ไม่กล้าไปมีเรื่องด้วย เขาที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังท้ายสุดของตรอกเล็กเจียเฟิงตั้งแต่ยังเด็กก็ไม่เคยไปหาเรื่องใคร ว่ากันว่าเขาแค่ทำหน้าที่เก็บเงินค่าเช่า คอยดูแลพื้นที่ครึ่งตรอกแทนใครบางคนเท่านั้น คนที่สามารถเช่าบ้านหลังหนึ่งในตรอกเจียเฟิงได้ หากไม่ใช่เซียนซือผู้ฝึกตนอิสระที่ถุงเงินตุงแน่น ก็ต้องเป็นขุนนางชั้นสูงของสามแคว้นที่มีรสนิยม ส่วนนอกจากนั้นก็เป็นกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ที่ซื้อบ้านในตรอกนี้ไปโดยตรง

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดินกลับเข้าไปในตรอก ค่อยๆ เดินเข้าไปยังจุดลึกของตรอก ในตำแหน่งตรงกลางของตรอกที่อยู่ห่างจากด้านหลังเขาไปห้าสิบก้าว มีบ้านหลังใหญ่ว่างเปล่าสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน บนประตูใหญ่แปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสที่ไม่เคยเปลี่ยนมาหลายร้อยปี แต่กลับยังคงใหม่เอี่ยม ฝั่งซ้ายมือคือเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นสองภาพ ฝั่งขวามือของประตูบ้านคือเทพทวารบาลฝ่ายบู๊สององค์ ตอนที่คนหนุ่มเดินผ่านบ้านทั้งสองหลังก็ใช้มือข้างหนึ่งโยนกาเหล้าออกไป เทพทวารบาลสี่ภาพบนประตูบ้านฝั่งซ้ายขวาพลันเกิดส่องแสงเรืองรอง แต่ละตนต่างยื่นแขนสีทองข้างหนึ่งออกมารับกาเหล้าไป เก็บเข้าไป ‘ในประตู’ จากนั้นบนมือของเทพทวารบาลบุ๋นบู๊ทั้งสองฝั่งต่างก็มีกาเหล้าที่ถูกวาดลงบนกระดาษปรากฏเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากดื่มเหล้าแล้วก็ยื่นกาเหล้าส่งให้กับสหายที่อยู่ใกล้เคียง พอดื่มเสร็จ เทพทวารบาลสี่ท่านก็กลับคืนมาเป็นปกติ เพียงแต่ว่าบนกระดาษตำแหน่งหนวดของเทพทวารบาลฝ่ายบู๊ท่านหนึ่งคล้ายจะเปียกชื้น ทว่าไม่นานก็แห้งสนิท

ชายหนุ่มร่างกำยำกลับมายังบ้านที่ตัวเองพักอยู่เพียงลำพัง บ้านที่สงบเงียบ เขาใช้ชีวิตแบบนี้มานานหลายปี ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าชอบท่องไปทั่วทิศ เมื่อก่อนทุกครั้งเขาจะต้องสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าครั้งนี้จะต้องหาอาจารย์แม่ที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกกลับมาให้เขาอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ไปตามหาว่าที่อาจารย์แม่ที่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางยังหลับอยู่ในท้องแม่หรือไม่ แต่ไปเพราะธุระสำคัญ บอกว่าต้องการไปตามหาร่างทองแก้วใสของเทพเซียนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่ตายไปในการต่อสู้ มีหลายส่วนที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีป หากแย่งมาได้สักชิ้นก็รวยแล้ว แล้วจะได้มีเงินแต่งเมียสักที ด้วยเหตุนี้อาจารย์ยังไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะสามารถช่วงชิงมาจากพวกตะพาบเฒ่าที่อายุพอๆ กันเหล่านั้นได้ เมื่อมีสหายคนนั้นคอยช่วยเหลือ ความเป็นไปได้ก็จะมากขึ้น

ชายร่างกำยำรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย กังวลว่าในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ เพื่อนคนนั้นจะเกิดใจนึกอยากครอบครองหรือไม่

อาจารย์พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง ทุกคนในแจกันสมบัติทวีปอาจเป็นไปได้ แต่เจ้าเต่าชราที่เรียกตัวเองว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกผู้นี้ไม่มีทางคิดอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่านิสัยของคนผู้นี้จะทั้งแข็งกระด้างทั้งไม่น่าเข้าใกล้ เทียบกับก้อนหินในห้องส้วมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่คนผู้นี้กลับถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ ‘ในใจไร้ผี’ (หากในใจมีผีจะหมายถึงคนที่มีอุบาย คนที่มีความคิดชั่วร้าย) บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ชั่วชีวิตนี้เพื่อคุณธรรมน้ำมิตรที่มีต่อสหาย และเพื่อเกียรติยศของสำนักแล้ว เขาก็ยอมร่วมศึกเป็นตายถึงสองครั้ง หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบสองครั้งก็ถดถอยกลับมาที่ก่อกำเนิดสองครั้ง ความองอาจห้าวหาญดุจดั่งวีรบุรุษเช่นนี้ ต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีได้ หร่วนฉงอาจารย์หลอมกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลลมหิมะ ตอนนี้ได้เป็นอริยะของสำนักการหทารแล้ว ในอดีตก็เคยมีชื่อเสียงเรื่องนิสัยตรงไปตรงมา และเขาก็เคยป่าวประกาศว่า ขอแค่คนผู้นี้ต้องการกระบี่เล่มหนึ่ง เขาหร่วนฉงจะไม่เพียงแต่หลอมกระบี่ให้ทันที ยังจะนำไปส่งถึงภูเขาด้วยตนเองอีกด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่ชายกำยำเห็นอาจารย์มั่นใจขนาดนี้ เขาจึงวางใจลงได้

และนั่นก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าสหายผู้เฒ่าของอาจารย์มีชื่อฉายาค่อนข้าง ‘สง่างามเป็นเอกลักษณ์’ ท่านนั้นจะเป็นคนเช่นไร

หลังจากเฉินผิงอันซื้อเหล้าบ่อน้ำโบราณมาอีกสองไห คนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังจุดชมทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงแห่งสุดท้ายของท่าเรือหางผึ้ง ที่นั่นคือต้นซิ่งโบราณพันปีที่แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมอาณาเขตหลายไร่ ช่วงโคนต้นไม้ที่กลวงโบ๋เป็นโพรงมีเหรียญทองแดงและเหรียญเงินก้อนทองถูกโยนไว้จนเต็ม เกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือผ้าห่อบุญซึ่งเรียกตัวเองว่าหลิวกานจื่อผู้นั้นเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าที่แคว้นชิ่งซานจะลุกผงาดขึ้นมาบนซากปรักของแคว้นเหวินจิ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นซิ่งโบราณต้นนี้แล้ว ในอดีตต้นไม้ต้นนี้ได้ถูกฮ่องเต้สกุลถังผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวนแหกกฎแต่งตั้งให้เป็นไม้แห่งจักรพรรดิ ภายหลังฮ่องเต้แคว้นเหวินจิ่งไม่ยอมตกเป็นรองจึงส่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักท่านหนึ่งให้มาประกาศคำแต่งตั้งที่นี่ แต่ลดระดับขั้นมาหนึ่งระดับ คนในพื้นที่เรียกมันว่าต้นไม้อัครมหาเสนบดี สุดท้ายฮ่องเต้แคว้นอวิ๋นเซียวก็มาร่วมความครึกครื้นด้วย เมื่อสามร้อยปีก่อนก็คือช่วงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แม่ทัพผู้มีคุณูปการท่านหนึ่งขี่ม้ามาถึงที่นี่ ตั้งป้ายศิลาจารึกเอาไว้ ดังนั้นทุกวันนี้ชาวบ้านแคว้นอวิ๋นเซียวจึงเคยชินที่จะเรียกมันว่าซิ่งแม่ทัพ

ไม้จักรพรรดิ ต้นไม้อัครมหาเสนบดี ซิ่งแม่ทัพ ต้นไม้หนึ่งต้นถูกแต่งตั้งถึงสามชื่อ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดไม่น้อย

ใต้ต้นไม้ เผยเฉียนหยิบถุงหอมใบเล็กที่น้ากุ้ยมอบให้ออกมา ตอนนั้นข้างในถุงหอมนอกจากใบกุ้ยเขียวปลั่งราวจะเค้นน้ำหลายใบ อันที่จริงยังมีกิ่งกุ้ยยาวเท่านิ้วมือของนางอีกหนึ่งกิ่ง บนกิ่งเต็มไปด้วยดอกกุ้ย ต่อให้จะถูกหักออกมาจากลำต้น แต่กลิ่นหอมกลับไม่ลดน้อยลงเลยสักเสี้ยว อีกทั้งดอกกุ้ยสีทองอร่ามแต่ละดอกจะไม่มีทางร่วงโรย ทั้งกิ่งกุ้ยและใบกุ้ยต่างก็ถูกเก็บไว้ในกล่องสมบัติ ยึดพื้นที่ช่องหนึ่งของกล่องไปเพียงลำพัง เอาแค่ถุงหอมมาใส่เงินเกล็ดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้นางเป็นเงินยาสุ้ยและเงินเหรียญทองแดงอีกหลายเหรียญที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่สุยโย่วเปียนต่อราคาสิ่งของจากร้านขายสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีนตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ได้ลดหนึ่งครั้ง นางก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนั้นนางได้มารวดเดียวเจ็ดแปดเหรียญจึงเอามาใส่ไว้ในถุงหอมใบนี้ทั้งหมด

เพราะเฉินผิงอันบอกว่าถุงหอมไม่ใช่ของธรรมดา ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่กล้าเอามาผูกไว้ที่เอว เวลาปกติแค่เอามาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตอนนี้นางแอบใช้สองมือประคองเอาไว้เพราะคิดว่าหากได้ใบซิ่งดอกซิ่งมาเพิ่มอีกก็คงจะดี

คนที่มาท่องเที่ยวตรงต้นซิ่งพันปีแห่งนี้มีไม่มาก ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในท่าเรือจะมาโยนเงินขอพรในช่วงปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น ผู้ที่โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหางผึ้งส่วนใหญ่คือเหล่าพ่อค้าบนภูเขาที่มีความคล่องแคล่วคุ้นเคยดี ทั้งยังไม่เชื่อเรื่องนี้ แล้วก็ไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองเงินทอง ดังนั้นเวลานี้จึงมีแค่พวกเฉินผิงอันกับกลุ่มเด็กชาวบ้านที่เล่นขี่ม้าลำไผ่ไล่จับกันอย่างสนุกสนานเท่านั้น ห่างออกไปไกลยิ่งกว่าก็มีกลุ่มเด็กจำนวนบางตากำลังเล่นว่าว บนกิ่งสูงของต้นซิ่งยังมีว่าวกระดาษที่โชคไม่ดีสายป่านขาดแขวนต่องแต่งอยู่หลายอัน

เฉินผิงอันได้เห็นต้นซิ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบางไหลวนแล้วก็คิดจะจากไป แต่กลับสังเกตเห็นว่าคนจิ๋วดอกบัวมุดออกมาจากใต้ดิน มายืนอยู่ตรงกลางโพรงของต้นซิ่งที่ใหญ่ราวกับประตูบานหนึ่ง ยื่นหน้าออกมา

ไม่นานก็มีหัวอีกหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในกองเงิน มองสบตากับคนจิ๋วดอกบัว

ฝ่ายหลังปีนออกมาจากภูเขาเงิน ยืดเอวตั้งตรง สองมือเท้าเอวฉับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดความใคร่รู้และแววลิงโลดในดวงตาของมันไม่อยู่

เจ้าตัวน้อยแต่งกายหรูหราและน่าตลก บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดตัวจิ๋วน่ารัก ตรงเอวห้อยแผ่นหยกงาช้าง และยังห้อยดาบฝักไม้สีแดงอีกเล่มหนึ่ง

เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาให้เผยเฉียน พูดด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องพูดคุยกับเซียนซิ่งตัวจิ๋วอย่างมีมารยาท ห้ามล่วงเกินคนเขา”

เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดออกไป แล้วไปนั่งยองอยู่ตรงหน้า ‘ประตูบานเล็ก’

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็กระโดดโลดเต้นกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่พูดไม่จาก็เขกมะเหงกลงไป

เพียงแต่ว่าคราวนี้คนจิ๋วดอกบัวกลับยืนอยู่ข้างเดียวกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก มันโบกมือวุ่นวาย ร้องอือๆ อาๆ พยายามอธิบาย

เผยเฉียนร้อนตัวเล็กน้อยจึงหมุนตัวกลับไปแต่โดยดี คิดจะเอาดินและหน่ออ่อนต้นกล้าที่หอบไว้ในมือไปคืนให้ภูตต้นซิ่งตนนั้น น่าเสียดายยิ่งนัก นางต้องควักเงินเกล็ดหิมะตั้งสองเหรียญเพราะสิ่งนี้ การค้าครั้งนี้นับว่าขาดทุนแล้ว

คนจิ๋วดอกบัวค่อนข้างโง่เขลา แม้แต่พูดก็พูดไม่เป็น ทว่าเจ้าตัวน้อยที่แต่งตัวฉูดฉาดกลับค่อนข้างฉลาด พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้คล่องยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก เจ้าตัวน้อยพูดคุยหงุงหงิงกับคนจิ๋วดอกบัวอยู่เป็นนาน ตอนนั้นเผยเฉียนฟังไม่รู้เรื่อง แต่จากนั้นคนจิ๋วดอกบัวก็ใช้นิ้วเคาะลงบนรองเท้าหุ้มแข้งของเผยเฉียน ยื่นนิ้วชี้ไปที่เงินเกล็ดหิมะซึ่งเผยเฉียนกำไว้ในมือ ไปๆ มาๆ เผยเฉียนก็เริ่มต่อรองราคากับปีศาจน้อยต้นซิ่งตนนั้น แล้วก็ถือโอกาสคุยโม้ให้มันฟังอีกคำรบหนึ่ง บอกว่าในบ้านเกิดของตนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าที่แห่งนี้ หนาข้นราวกับน้ำ แค่ดื่มหนึ่งคำก็อิ่มท้องได้ สุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็ร่ายต้นกล้าต้นหนึ่งออกมาบนพื้นดินตรงหน้าเผยเฉียนด้วยท่าทางโอ้อวด บอกว่าให้เผยเฉียนเอากลับไปที่บ้านเกิด หาสถานที่แห่งหนึ่งปลูกมันลงไป ห้ามปฏิบัติกับมันแย่ๆ เด็ดขาด จะต้องให้มันได้กินปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนน้ำจนอิ่มหนำทุกวัน แม้ปากของเผยเฉียนจะตกปากรับคำ ตบอกรับรองเสียงดังสนั่น แต่อันที่จริงแล้วกลับเตรียมพร้อมสำหรับการกินมะเหงกจนอิ่มไว้แล้ว

เฉินผิงอันเข้าใจต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้วก็รับดินและต้นอ่อนในมือของเผยเฉียนมา เดินมานั่งยองลงตรงข้างต้นไม้

เจ้าตัวน้อยที่สวมชุดคลุมมังกร ห้อยแผ่นหยกและดาบยืนอยู่ในกองเงิน สายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวังภัย

หลังจากสอบถามกันอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ความจริง ที่แท้มันใกล้จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณไม่เพียงพอ หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือมันไม่กล้าดึงเอาปราณวิญญาณมามากเกินไป ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็มีมากมาย คือท่าเรือตระกูลเซียน มันสามารถลงหลักปักฐานฝึกตนอยู่ที่นี่ได้ก็แค่อาศัยบรรดาศักดิ์ที่ไม่ถือว่าถูกต้องเหมาะสมสามอย่างนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วราชสำนักของทั้งสามแคว้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลังท่าเรือแห่งนี้ ปราณวิญญาณลดน้อยลงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาตระกูลเซียน ก็เหมือนอย่างที่ตู้เม่าบังคับดึงเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงออกมาใช้ แม้จะบอกว่ามีใจที่เห็นแก่ตัวมากกว่า เพื่อให้ตัวเองได้บินทะยานไปยังที่แห่งอื่น แต่แท้จริงแล้วหากเขาบินทะยานได้สำเร็จ ตามกฎที่หลี่เซิ่งของใต้หล้าไพศาลตั้งเอาไว้ สำนักใบถงก็ถือว่ามีคุณความชอบติดตัว สถานศึกษาและสำนักศึกษาจะปกป้องคำว่า ‘สำนัก’ นั้นอย่างน้อยก็หนึ่งพันปีโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ตู้เม่ากล้าเสี่ยงบินทะยาน ไม่อย่างนั้นแค่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปตลอดก็พอ จั่วโย่วทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำได้ แต่ไม่มีทางทำลายตราผนึกของถ้ำสวรรค์ได้แน่นอน

และเมื่อตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ลูกศิษย์แทบทุกคนของสำนักใบถงก็เปลี่ยนจากความเคารพยำเกรง ความรักความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาเป็นเคียดแค้นสุดขีด ใช้คำว่าแค้นเข้ากระดูกดำมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาเป็นคนที่ทำผิดมีโทษมหันต์ของสำนักใบถง บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ผายลมสุนัขอะไรกัน ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษผู้สร้างความพินาศวอดวายเผาผลาญรากฐานของบรรพบุรุษถึงจะถูก เจตนาเดิมเล็กๆ ของตู้เม่าที่คิดจะพาตัวไปอยู่ในกรงขังใหญ่แห่งอื่นเพื่อหาทางรอดอีกทางให้แก่สำนักใบถงกลับมีคนน้อยมากที่จะคิดถึง ส่วนเจ้าประมุขสำนักใบถงเซียนกระบี่ชุดม่วงผู้นั้น รวมไปถึงผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบผู้ดูแลทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพชน ไม่รู้ว่าคิดพิจารณาเช่นไร ถึงได้ไม่ห้ามปราม ชี้นำและคลี่คลายอารมณ์โกรธแค้นของทุกคนในสำนัก เป็นเหตุให้สายของตู้เม่า ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสายตรงอย่างตู้เหยี่ยน ไม่เพียงแต่สูญเสียข้ารับใช้ก่อกำเนิดคนหนึ่งไป ยังถูกซักไซ้เอาความผิด ครอบครัวตระกูลตู้เกือบจะถูกพลิกค้นจนเกลี้ยงเพื่อเอามาจ่ายให้สำนัก ชดเชยส่วนที่ขาดหายไป

ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ดำก็เป็นขาว

สองปลายฝั่งของไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องผลประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเอง ดูเหมือนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นอารมณ์ทั่วไปของมนุษย์

เฉินผิงอันหวังว่าหลังจากนี้ หากมีวันนั้นที่ตนก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาจริงๆ เขายินดีให้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันคืออริยะผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมไร้ข้อบกพร่องมาตั้งแต่ต้นเลยจะดีกว่า เมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ จะได้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์ที่ทำความผิดมหันต์จนมิอาจให้อภัยได้ ต่อให้ผู้คนเอาใจออกห่างก็ต้องพยายามให้เป็นการพบและพรากจากด้วยดีให้จงได้ พยายามจะทำดีให้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น ก้มหน้าลงมองภูตต้นซิ่งโบราณตนนั้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ลองปรึกษากับเทพเซียนของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ดูล่ะ ว่าจะทำหน้าที่เป็นพวกผู้ถวายงานข้ารับใช้ หาห้าขุนเขามาแล้วลงนามสัญญาเป็นพันธมิตรกัน มีราชาใหญ่แห่งขุนเขาที่หนีไม่พ้นห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน พวกเขาน่าจะยินดีกระมัง?”

เจ้าตัวน้อยนั่งแปะลงไปบนยอดของภูเขาเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ข้าก็อยากอยู่เหมือนกัน แต่พวกคนที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเงินเหล่านั้นเชื่อใจข้าได้ แต่ข้าเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ นี่คือสถานที่ที่มีปัญหามาก ท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ติดกับสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว มีกลุ่มขั้วอิทธิพลสลับซับซ้อน ใครก็ไม่ยอมลงให้ใคร เพื่อเงินแล้ว ทุกคนต่างก็พยายามคิดหาวิธีตีหัวอีกฝ่ายให้สมองไหล พันธมิตรขุนเขา เจ้าคิดว่าข้าควรจะเลือกห้าขุนเขาของแคว้นใด? ต่อให้ข้าเลือกแคว้นหนึ่งได้จริงๆ อีกสองแคว้นที่เหลือจะไม่เกลียดข้าตายหรอกหรือ? ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะแอบสั่งให้คนมาฟันร่างจริงของข้าเอาไปทำเป็นฟืนเผาไฟก็ได้ แม้ว่าตอนนี้ควันธูปจะบางเบา กินอิ่มหนึ่งมื้อหิวสามมื้อ แต่จะดีจะชั่วก็ยังไม่ตาย ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเจ้าชอบพูดว่าตายดีไม่สู้มีชีวิตอย่างไร้ค่าหรอกหรือ อืม และยังมีประโยคที่บอกว่าคนอื่นตายดีกว่าตัวเองตายอีกด้วย”

ประโยคสุดท้ายเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สำหรับความกลัดกลุ้มของเจ้าตัวน้อยนี้ เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในฐานะภูตต้นซิ่งที่ไร้ที่พึ่งพา คิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็จำเป็นต้องลงนามในสัญญาพันธมิตรขุนเขากับผู้ฝึกลมปราณ ทว่าท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ในจุดเชื่อมต่อระหว่างสามชายแดน ไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ไม่เล็กอย่างแท้จริง หากท่าเรือหางผึ้งเป็นของกลุ่มอิทธิพลใดกลับจะพูดง่ายกว่ามาก

เฉินผิงอันอยากช่วยแต่ไร้ความสามารถ

เจ้าตัวน้อยพูดอย่างน่าสงสาร “ได้ยินเด็กขี้เหร่ตัวดำบอกว่า ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอันเป็นบ้านของเซียนซือสามารถดึงดูดปราณวิญญาณได้ดั่งคนดื่มน้ำ ไม่สู้ช่วยข้าสักหน่อย พาต้นกล้านี้กลับไป หากทำสำเร็จก็สามารถช่วยให้เซียนซือควบคุมปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้อย่างมั่นคง นี่เป็นเรื่องดีที่ล้วนมีประโยชน์ต่อพวกเราทั้งสองฝ่าย ผู้ฝึกลมปราณธรรมดาทั่วไป ไม่พูดถึงสำนักการค้าที่ในสายตามีแต่เงิน พูดถึงแค่สำนักกสิกรรมกับสำนักโอสถ ใครบ้างที่ไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องดีดุจโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า เซียนซือที่ผ่านทางมาท่านนี้ เจ้าต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก!”

เฉินผิงอันวางดินและต้นกล้าลงบนพื้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจะต้องพูดประโยคว่า ‘สวรรค์มอบให้ไม่รับไว้ กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษแทน’ ด้วยหรือเปล่า?”

เจ้าตัวน้อยหน้าม่อยคอตก ยกมือเกาแก้มพลางพูดว่า “เจ้าตัวน้อยสองคนหลอกง่าย แต่ตัวใหญ่อย่างเจ้า มีประสบการณ์ในยุทธภพมาอย่างโชกโชน หลอกไม่ง่ายเลยจริงๆ”

หากเฉินผิงอันปลูกต้นกล้านี้ลงไปบนภูเขาของตัวเอง ฝ่ายหลังสามารถช่วยทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำมั่นคงได้ก็จริง แต่ก็มีขีดจำกัดอย่างถึงที่สุด ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการขโมยปราณวิญญาณมาให้ต้นบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่องเสียมากกว่า แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการค้าที่ได้ไม่คุ้มเสีย

เกี่ยวกับเรื่องวงในของภูตต้นไม้เหล่านี้ เนื่องจากตอนนั้นอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา และเพราะที่เมืองเล็กบ้านเกิดมีต้นไหวโบราณอยู่ เขาเคยคุยเล่นกับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ของตระกูลฟ่านมาก่อน จึงพอจะรู้อยู่บ้าง

หลังจากเฉินผิงอันคืนดินและต้นกล้าเรียบร้อยแล้ว ภูตดอกซิ่งถือว่าพอจะตามีแววอยู่บ้างจึงคืนเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญให้เผยเฉียน

คนจิ๋วดอกบัวทำท่าหงอยเหงา เผยเฉียนเองก็ไหล่ลู่คอตก เจ้าตัวน้อยทั้งสองต่างก็รู้สึกผิดต่อเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันจับคนตัวจิ๋วมาวางไว้บนไหล่ตัวเอง จูงมือเผยเฉียน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าจะรู้สึกผิดไปไย คนที่ควรจะรู้สึกผิดต้องเป็นมันถึงจะถูก”

ใน ‘ประตูใหญ่’ ด้านใต้ต้นซิ่ง ภูตน้อยนอนอยู่บนกองเงิน อ้าปากหาวหวอด “ได้แต่รอให้คนโง่คนต่อไปมาติดเบ็ดแล้ว”

สะลึมสะลือหลับไป มันก็เริ่มฝันหวาน ถึงกับฝันเห็นว่าตัวเองเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่บนภูเขาสูงใหญ่เสียดแทงเมฆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า ใบซิ่งทุกใบล้วนมีประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองแผ่ล้น กิ่งไม้ทุกกิ่งต่างก็ถูกกลิ่นหอมและสีทองอร่ามรมจนบริสุทธิ์เกินจะเปรียบ มันกลายเป็นภูตแห่งต้นไม้ดอกไม้ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป…บนกิ่งสูงเหนือร่างของมันมีเงาร่างที่พร่าเลือนของคนสองคนกำลังมองทะเลเมฆ คนหนึ่งแหงนหน้าดื่มเหล้า อีกคนหนึ่งตรงเอวห้อยดาบและกระบี่ไว้สลับกัน…

หลังจากที่เจ้าตัวน้อยตื่นจากฝัน มันก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะเป็นแค่ความฝันก็มากพอให้มันอารมณ์ดีไปได้หลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอเอื้อมมือมาเช็ดหน้า ใบหน้ากลับมีแต่คราบน้ำตา

มันนอนเหม่ออยู่ในกองเงิน ครุ่นคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกคล้ายจะผิดหวังเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป

คนสี่คนในภาพวาดที่ได้รับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญไป ต่างคนต่างก็ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา จูเหลี่ยนที่เดิมทีตัวเปล่า ตอนออกจากนครมังกรเฒ่า บนไหล่กลับมีห่อสัมภาระเพิ่มมาหนึ่งห่อ ครั้งนี้ออกจากท่าเรือหางผึ้ง ห่อสัมภาระก็หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้จูเหลี่ยนภาคภูมิใจในการเป็นคนอ่านหนังสือของตัวเองมาก ดังนั้นนี่จึงเป็นการแบกหีบหนังสือทัศนาจรสำหรับเขา

คนทั้งสี่ยังคงเดินเท้าไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน สามแคว้นโดยรอบท่าเรือหางผึ้ง เมื่อปีก่อนแคว้นชิงหลวนได้จัดงานสัมมนามหายานอันเป็นพิธีทางศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ไปครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้สกุลถังเป็นคนจัดขึ้นด้วยตัวเอง ปีที่สองแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานที่ราวกับรับคำท้าต่างก็พากันจัดพิธีหลัวเทียน (พิธีขนาดใหญ่ที่นักพรตเต๋าจัดขึ้นเพื่อขจัดพิบัติภัย) ขึ้นมาแทบจะเวลาเดียวกัน แบ่งเทพเซียนลัทธิเต๋าของฝ่ายต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ทำเอาแคว้นชิงหลวนตั้งตัวไม่ทัน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ยอมแพ้ ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้นเขาก็จัดงานโต้วาทีระหว่างพุทธและเต๋าขึ้นมา ต้องการเลือกระหว่างลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธให้มาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน สถานะสูงกว่าลัทธิขงจื๊อเสียอีก แน่นอนว่าฝ่ายที่แพ้ย่อมกลายมาเป็นฐานให้อีกฝ่ายเหยียบยืน

ดังนั้นเฉินผิงอันเชื่อว่าอย่างน้อยปีนี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียจะต้องยังอยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน

คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับท่าเรือหางผึ้ง รวมไปถึงในเขตปกครองมีวัดวาอารามและทัศนียภาพงดงามมากมาย สามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นชิงหลวนเองต่างก็ไม่ถือว่าเป็น ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ปราณวิญญาณบางเบาจนขาดแคลน เทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านในปีนั้นแล้ว ปราณวิญญาณมีแต่จะมากกว่า ตอนนั้นเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก แค่เป็นความรู้สึกคร่าวๆ เท่านั้น ตอนนี้ได้หลอมตราประทับอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว สามารถดูดซับเอาปราณวิญญาณมาได้ช้าๆ เมื่อเปรียบเทียบกันจึงค้นพบความมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ดีกว่าเดิม

ในแคว้นต่างๆ ทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่าน ยังคงเป็นแคว้นไฉ่อีที่ปราณวิญญาณมากกว่าที่อื่นเล็กน้อย

เกี่ยวกับแคว้นไฉ่อี ตอนนี้ในยันต์ที่เก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นของเฉินผิงอันยังมีผีงามโครงกระดูกที่ลงนามทำสัญญากับเขาอยู่ตนหนึ่ง

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบนาง หลังออกมาจากเกาะกุ้ยฮวาก็ไม่เคยให้นางออกจากยันต์ประหลาดอันเป็นที่พักพิงของนางมาก่อน

แต่วันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ค่อยปล่อยนางออกมา มีเทพภูเขาเฝ้าบัญชาการณ์คอยหลุบตามองภูเขาโดยรอบ เชื่อว่าสำหรับผีสาวตนนั้นแล้วนี่ต้องเป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่ง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำระบบสืบทอดที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหลีไม่ใช่สิ่งที่ราชวงศ์ใดๆ ในแจกันสมบัติทวีปจะทัดเทียมได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีจะมีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้า…พื้นที่ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของในกระเป๋าของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ขาดแค่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาบางแห่งของลัทธิขงจื๊อในแผ่นดินกลางเท่านั้น ดังนั้นในอนาคตเกรงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแจกันสมบัติทวีปก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่

ตอนที่ออกจากพื้นที่ชายแดนท่าเรือหางผึ้ง พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางจากข้างนอกเข้าไปข้างใน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกลมปราณก็ล้วนจำเป็นต้องถือยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งที่ซื้อจากประตูทางเข้าท่าเรือ พอเข้าประตูมาแล้วก็จะปรากฎประตูใหญ่ที่เป็นริ้วกระเพื่อมบานหนึ่ง เมื่อคนผ่านเข้าไป ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นจึงคล้ายคลึงกับเอกสารผ่านทางของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เฉินผิงอันเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ท่าเรือแห่งอื่นๆ ล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเช่นนี้ แต่หากจะออกจากท่าเรือหางผึ้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์ผ่านทางแผ่นนั้นแล้ว หลังเดินออกจากประตูใหญ่ เฉินผิงอันก็ไปถามคนเฝ้าประตูที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าคนหนึ่งเพื่อขอความรู้จากใจจริง คนผู้นั้นเห็นว่าบุคลิกท่าทางของเฉินผิงอันล้วนไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเดินออกมาจากท่าเรือหางผึ้งจึงยิ้มพลางไขข้อสงสัยให้กับเฉินผิงอัน ที่แท้ท่าเรือหางผึ้งมีค่ายกลภูเขาแม่น้ำแห่งหนึ่งที่สำนักหยินหยางและอาจารย์ด้านกลไกร่วมมือกันสร้างขึ้น เซียนดินโอสถทองสามารถเดินผ่านเข้าไปได้โดยตรง ต่ำกว่าโอสถทองลงมาก็จำเป็นต้องซื้อยันต์ผ่านด่านมูลค่าห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะหนึ่งแผ่น หากฝ่าฝืนบุกเข้าไป พวกคนที่ลาดตระเวนอยู่บนท่าเรือหางผึ้งก็จะพากันกรูเข้ามา ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็คือสาขาแยกของยันต์ทำลายค่ายกล ซึ่งท่าเรือหางผึ้งก็ขอร้องให้เซียนซือพรรคมหายันต์สร้างขึ้นมาโดยวัดประเมินจากค่ายกลแห่งนี้

เมื่อเฉินผิงอันถามว่าเหตุใดท่าเรือแห่งอื่นถึงไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เปิดทาง ผู้ฝึกลมปราณก็คลี่ยิ้มคลุมเครือ ใช้เท้าเหยียบลงบนพื้นเบาๆ ถามว่าที่นี่คือถิ่นของใคร

ตำแหน่งที่ตั้งของประตูใหญ่แห่งนี้มุ่งหน้าไปในอาณาเขตของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันย่อมต้องตอบว่าสกุลถังชิงหลวน ไม่รอให้ผู้ฝึกลมปราณอธิบายอย่างละเอียด เฉินผิงอันก็พลันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน แล้วก็ต้องทอดถอนใจให้กับความฉลาดในการหาเงินของฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้น

เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนห่างจากท่าเรือหางผึ้งไปหนึ่งพันหกร้อยลี้ และอยู่ห่างจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงฝนธัญชาติ (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญชาติที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19, 20 หรือ 21 เมษายน) อีกประมาณสองเดือนกว่า ดังนั้นเดินเท้าไปที่นั่นจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ

การเดินทางหลังจากนั้นพวกเขาก็เจอวัดวาอารามน้อยใหญ่ไปตลอดทาง คนทั้งกลุ่มต่างก็ไม่ได้ศรัทธาในศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋าสักเท่าไหร่ หากเข้าไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมาก่อน เฉินผิงอันกับเผยเฉียนก็แค่จุดธูปสามดอกเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อมเท่านั้น เว่ยเซี่ยนไม่เชื่อเรื่องนี้จึงไม่เข้าไป จะรออยู่ตรงหน้าประตู จูเหลี่ยนก็ไม่เชื่อ แต่ก็เดินเข้าไปเป็นเพื่อนเฉินผิงอันกับเผยเฉียน หลูป๋ายเซี่ยงจะเข้าแค่วัดเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ด้วยความจริงใจเท่านั้น ส่วนสุยโย่วเปียนจะเข้าแค่อารามเต๋าซึ่งก็มีความจริงใจมากเช่นกัน

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเผยเฉียนว่า จุดธูปกราบไหว้นั้นได้ แต่ไม่ควรขอพรส่งเดช ยิ่งไม่ควรเห็นเหล่าเทพเซียนเหล่าพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ตามในวัดวาอารามแล้วไล่โขกหัวขอพรไปเสียทั้งหมด

แต่ก็บอกเผยเฉียนว่า หากวันใดเกิดความรู้สึกอยากจะขอพรจริงๆ ก็ต้องทำอย่างตั้งใจ ต้องจำเนื้อหาของพรที่ขอให้ได้ รวมถึงจำว่าไปจุดธูปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดที่วัดหรืออารามแห่งใด หากความปรารถนาเป็นจริงแล้ว วันหน้าไม่ว่าหนทางจะไกลแค่ไหนก็ต้องกลับมาทำตามที่สัญญาเอาไว้ให้ได้

เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนไม่กล้าขอพรใดๆ แค่จุดธูปกราบไหว้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพอคิดว่าหากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วยังต้องกลับมาทำตามสัญญาที่แคว้นชิงหลวน นางก็รู้สึกว่าหากตนไม่เหนื่อยตายก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว ร้องไห้จะเป็นจะตายระหว่างที่เดินทางมาแน่นอน

อีกทั้งตอนที่เข้าไปจุดธูปกราบไหว้ เฉินผิงอันยังมีกฎอีกข้อหนึ่ง บอกว่าเงิน ‘เชิญธูป’ จะขอยืมจากคนอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องให้นางเผยเฉียนออกเอง

ยังดีที่ตลอดทางมานี้ เฉินผิงอันใช้งานเผยเฉียนอยู่หลายครั้ง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเก็บเงินได้หลายตำลึง พอเอามาแลกเป็นเหรียญทองแดงแล้ว คิดจะเชิญธูปในวัดและอารามก็ถือว่าเพียงพอ

เผยเฉียนไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันขี้งกเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนี้

ยิ่งนานวันนางก็ยิ่งรู้สึกว่า เฉินผิงอันใจกว้างกับนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขามากกว่าพวกเหล่าเว่ยสี่คนมากนัก

นี่ทำให้เผยเฉียนดีใจอย่างมาก

ช่วงแมลงตื่นจากการจำศีล ในผืนป่ารกร้างของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งแคว้นชิงหลวน ต่อให้อยู่ห่างจากที่นี่ไปร้อยกว่าลี้ พวกเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ว่าแผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน ห่างออกไปไกลมีฝุ่นตลบมืดฟ้ามัวดิน มีปีศาจใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งที่เห็นเพียงเค้าโครงรูปร่างอย่างพร่าเลือนคล้ายจะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน มันแหงนหน้าร้องคำราม ทำเอานกจำนวนนับไม่ถ้วนในผืนป่ากระพือปีกบินแตกฮือ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกให้เว่ยเซี่ยนกับสุยโย่วเปียนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดูว่ามีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเดือดร้อนหรือไม่

ตอนนี้บาดแผลของตัวเขาเองยังไม่หายดี อีกทั้งยังต้องปรับสมดุลระหว่างทะเลสาบช่องโพรงที่กักเก็บปราณวิญญาณกับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นดั่งน้ำกับไฟ แม้จะบอกว่าคอขวดขอบเขตห้าของวิถีวรยุทธ์ยังคงอยู่ แต่ศักยภาพที่แท้จริงกลับเป็นแค่มาตรฐานของขอบเขตสี่เท่านั้น

ในมือเว่ยเซี่ยนกุมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ สุยโย่วเปียนสะพายกระบี่ชือซินไว้ด้านหลัง คนทั้งคู่มีทั้งความสามารถในการโจมตีและการตั้งรับ ต่อให้พบเจออันตรายระหว่างทาง แต่หากร่วมมือกัน คิดจะถอยกลับมาอย่างเต็มตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น รอจนสุยโย่วเปียนกับเว่ยเซี่ยนกลับมาก็บอกว่าทางฝั่งนั้นเกิดวัวดินพลิกตัว คือผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้ว่าไปเจอวัวดินซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินแห่งนี้มาหลายร้อยปีได้อย่างไร พวกเขาคิดจะล้อมสังหารมัน หวังเอาวัตถุวิเศษที่มีอยู่ทั่วเรือนกายของวัวดินมาครอง แต่ถูกคนสองคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นขัดขวาง คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่มที่ใช้กระบี่ไม้ท้อ อีกคนหนึ่งคือชายฉกรรจ์เคราดกพกดาบ ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้พูดคุยกันก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ฝ่ายที่ล้อมสังหารย่อมได้เปรียบ เพราะในกลุ่มของพวกเขามีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งเป็นคนควบคุมสถานการณ์ จุดจบไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ทะยานตัวขึ้นสูง กระบี่บินชูอีสืออู่พากันพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเฉินผิงอันก็เดินไปทีละก้าวบนกระบี่บินที่พุ่งมารองรับ ประหนึ่งเซียนทะยานลมจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

คนในภาพวาดทั้งสี่หันมามองหน้ากันเอง

เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ มองซ้ายมองขวา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

สุยโย่วเปียนพุ่งวูบหายตัวไป

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็ทะยานตัววูบตามไปติดๆ “จะได้ตีกันอีกแล้ว สะใจ!”

เว่ยเซี่ยนแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง

หลูป๋ายเซี่ยงติดตามไปเงียบๆ

ค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเสียกิริยาขนาดนี้?

หรือว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นั่น?

แต่เฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้เป็นคนรู้จักก็ไม่ควรเป็นพวกคนอย่างเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า หลี่เอ้อร์ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสิบ เฉาซีเซียนกระบี่ หรือเทียนจวินเซี่ยสือหรอกหรือ?

บ้านเกิดของเฉินผิงอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบจนแทบจะไร้เหตุผลเลยนี่นา

ต่อให้วันใดมีผู้เฒ่าประหลาดขอบเขตบินทะยานโผล่มากะทันหัน ตอนนี้พวกคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างหลูป๋ายเซี่ยงก็ไม่ตกใจมากจนเกินไปแล้ว แต่หากจู่ๆ มี ‘คนบทบาทเล็กๆ’ อย่างพวกห้าขอบเขตกลางอะไรโผล่มาบอกว่าตัวเองคือเพื่อนของเฉินผิงอัน พวกเขาสี่คนกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่

ต่อให้จะมีกระบี่บินสองเล่มคอยช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบาดแผลติดตัว อีกทั้งปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นก็เหมือนจะถูกขัดขวางเล็กน้อย ดังนั้นความเร็วจึงยังคงพอๆ กับพวกสุยโย่วเปียนที่อยู่บนพื้น

ในเทือกเขาขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งมีเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วน วัวดินสีเหลืองที่บาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงนอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด ด้านหน้าของมันคือนักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกที่สภาพสะบักสะบอม คนทั้งสองหันหลังชนกัน ผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคนที่อยู่รอบด้านประหนึ่งฝูงหมาป่าที่รุมล้อมพวกเขา

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน เรือนกายล่องลอยของคนหนุ่มชุดขาวที่ไม่รู้ว่าทะยานลมหรือขี่กระบี่ปรากฎขึ้นประดุจเทพเซียนแท้จริงซึ่งอยู่เหนือโลกีย์ทั้งมวล

เห็นเพียงว่าเซียนซือชุดขาวผู้นั้นลดตัวลงต่ำอย่างเร่งร้อน พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็เดินก้าวมาเบาๆ ข้างหน้าห้าหกก้าว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง คลี่ยิ้มพลางชูฝ่ามือสองข้างให้กับพวกเขา

นักพรตหนุ่มและมือดาบเคราดกอึ้งตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นักพรตหนุ่มถึงกับขยี้ตา จากนั้นรอยยิ้มก็แผ่กระเพื่อมอยู่เต็มดวงตาคู่ที่ใสกระจ่างของนักพรต

นักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกต่างก็ยื่นฝ่ามือกันออกมาคนละข้าง ตีมือกับเซียนซือหนุ่มผู้นั้นหนักๆ ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวอีกต่อไป คนทั้งสองพลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาสดใส อารมณ์เบิกบานสุดขีด

เฉินผิงอันมองคนทั้งสอง สายตาของเขาในเวลานี้สว่างไสวยิ่งกว่าดวงตาของเผยเฉียนที่มีดวงตะวันและจันทราเสียอีก เขาจับมือของสหายทั้งสอง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! ใต้หล้านี้มีเพียงสหายสองคนนั้นของข้าอย่างจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเท่านั้นที่ถึงจะยินดีทำเรื่องเปลืองแรงแต่ไม่ได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version