Skip to content

Sword of Coming 401

บทที่ 401 เดินทางกลับทิศเหนือ

เดิมทีคนทั้งกลุ่มคิดจะพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมตรงตีนเขา คิดไม่ถึงว่าผู้คนที่มากมายจะทำให้โรงเตี๊ยมหลายแห่งเหลือห้องว่างแค่ห้องเดียว เฉินผิงอันไม่วางใจ กังวลว่าสือโหรวคนเดียวจะปกป้องเผยเฉียนไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเรือบินย้อนกลับไปยังเรือข้ามฟากชิงอีที่ลอยอยู่กลางอากาศลำนั้น

จูเหลี่ยนสอบถามว่าควันธูปของศาลขุนเขากลางเป็นอย่างไร เฉินผิงอันบอกว่าไม่ได้เข้าไปจุดธูป แค่เดินวนบนยอดเขาไปรอบหนึ่ง แต่ตลอดทางที่เดินขึ้นเขาได้ผ่านวัดวาอารามหลายแห่ง มองออกว่าเพื่อแย่งชิงตัวผู้แสวงบุญจึงต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ อารามเต๋าเชิญป้ายจารึกของขุนนางระดับสูงขั้นสามของแคว้นเฉิงเทียนมาตั้งวางไว้นอกประตู ทางวัดพุทธก็จะไปเชิญให้นักประพันธ์ผู้มีความสามารถในการเขียนพู่กันมาเขียนกรอบป้ายให้ นอกจากนี้ต่างก็ปูถนนบนภูเขาที่ทอดยาวไปยังวัดวาอารามของตัวเองให้ราบเรียบเดินสะดวก ข้างทางคือร่มต้นไม้เย็นร่มรื่น

ขุนเขาแห่งหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้น การแย่งชิงควันธูปก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สมกับคำว่าทำทุกวิถีทาง หากไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลอย่างแท้จริง องค์เทพของหนึ่งขุนเขามักจะเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาสร้างกระท่อมฝึกตน ต่อให้ตัวคนไม่อยู่ อยู่แค่กระท่อมก็พอ นี่เรียกว่าต่อให้ภูเขาไม่สูง ขอแค่มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ และยังเชิญให้นักประพันธ์ปัญญาชนมาเที่ยวชมทัศนียภาพบนภูเขาตัวเอง ทิ้งบทกวีที่เขียนด้วยลายมือของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นก็บอกให้คนไปช่วยผลักดันคลื่นลมในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ ฯลฯ เรียกได้ว่าใช้สารพัดวิธีจริงๆ ว่ากันว่าขุนเขาใต้ของแคว้นเฉิงเทียนมีขุนนางบุ๋นที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งภายหลังได้ถูกขนานนามให้เป็นบัณฑิตปาเจียว ในขณะที่เขามาหลบฝนอยู่ที่ขุนเขาใต้ได้เขียนบทกวีอันไพเราะที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึงเอาไว้ แม้แต่รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูก็ยังเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ถึงกับนำมารวบรวมเป็นบทรวมกวี อีกทั้งในฐานะผลงานที่สำคัญเป็นลำดับรอง เป็นเหตุให้วันนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี ศาลขุนเขาเหนือก็ยังคงได้รับใบบุญจาก ‘กลิ่นอายบุ๋น’ ขุมนี้

สำหรับกิจการที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลิ่นอายเซียนเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่คิดจะไปขัดขวาง

หากวันหนึ่งจะสร้างสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดของตนจริงๆ ไม่แน่ว่าก็ยังต้องทำตามวิธีเหล่านี้

ก่อนจะโดยสารเรือบินทะยานขึ้นฟ้า จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย ต้องการให้บ่าวเฒ่าแสดงฝีมือสักหน่อยไหม? เผยเฉียนได้ไขหินติดไฟก้อนนั้นมา ย่อมทำให้คนเกิดความละโมบอยากครอบครองอย่างเลี่ยงไม่ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งคือตอนนี้พวกเราไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว สองใช่ว่าเราจะไม่อาจรับมือกับพวกคนที่มีจิตคิดร้าย ไหนเลยจะมีเหตุผลที่คนดีต้องป้องกันขโมย ตีฆ้องร้องป่าวอยู่ทุกค่ำคืน หากมีคนบุกมาเยือนจริงๆ เจ้าจูเหลี่ยนก็แค่ต้องขจัดภัยร้ายเพื่อปวงชน”

สือโหรวเปิดปากพูดเองอย่างที่หาได้ยาก “แต่บนร่างของพวกเรามีสมบัติล้ำค่า นี่ต่างหากที่ทำให้คนเกิดความละโมบ”

เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “เจ้าคิดผิดแล้ว ข้อแรก เห็นทรัพย์สินแล้วเกิดความละโมบจึงคิดจะสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกอยู่แล้ว ข้อสอง มองดูเหมือนพวกเรามีหยกติดตัวจึงมีความผิดก่อน คนนอกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องที่ตามมา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะในใจของคนชั่วร้ายมีความคิดชั่วร้ายก่อน วันนี้เห็นไขหินติดไฟ วันพรุ่งนี้เห็นอาวุธวิเศษสมบัติอาคมอะไร วันมะรืนเห็นคนอื่นได้รับโชควาสนา ก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินทางเสี่ยง ทำผิดกฎหมายได้ทั้งสิ้น”

ลำดับขั้นตอนก่อนหลังถูกยกมาพูดอย่างละเอียด เฉินผิงอันได้นำหลักการเหตุผลข้อนี้มาอธิบายแยกย่อยลงไปอีก สือโหรวจึงพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยุทธภพมีมลพิษและควันสกปรกมากพอแล้ว พวกเราอย่าได้ตำหนิคนดีให้มากเกินไป ในชุนชิว (ชื่อหนังสือ) ตั้งเงื่อนไขด้านคุณธรรมของนักปราชญ์ไว้อย่างเข้มงวด นั่นคือความตั้งใจจริงที่ต้องผ่านความยากลำบากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเราสามารถยกเอามาใช้ได้ทั้งดุ้น”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามเผยเฉียน “ฟังเข้าใจหรือไม่?”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?!”

จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “ในที่สุดเจ้าตัวขาดทุนก็เหยียบโชคดีขี้หมา ได้เงินก้อนใหญ่มาครองอย่างหาได้ยาก เอวคงแข็งยิ่งกว่าไม้เท้าเดินป่าอีกกระมัง”

เรือบินค่อยๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศ

เผยเฉียนนั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ข่มกลั้นรอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก

จูเหลี่ยนถาม “ทำไมไม่ซื้อหินติดไฟหลายๆ ก้อนมาลอง…เดิมพันดู? ยกตัวอย่างเช่นในมือเจ้ายังมีเงินเกล็ดหิมะเหลืออีกสามเหรียญ หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้สือโหรวขายไขหินติดไฟก้อนเล็กนั้น เอาน้อยมาเดิมพันมาก กำไรก็จะได้มากขึ้น กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง เมื่ออยู่ในพื้นที่วิเศษแห่งนี้ เจ้าก็จะไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเลยหรอกหรือ? อย่าว่าแต่ของขวัญวันเกิดที่มอบให้อาจารย์ปีนี้เลย ไม่แน่ว่าปีหน้าก็อาจจะมอบให้ได้อีกก้อนเหมือนกัน…”

เผยเฉียนชูนิ้วสองนิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ไหนลองว่ามาสิ ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”

เผยเฉียนพูดเนิบช้าเลียนแบบเฉินผิงอัน “ข้อแรก ระหว่างทางที่ออกมาจากสวนสิงโต อาจารย์สอนข้าว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกให้สือโหรวขายไขหินติดไฟของนางได้ ข้อสอง ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องหยุดแต่พอสมควร! เรื่องนี้อาจารย์ก็สอนไว้เหมือนกัน”

จูเหลี่ยนประสานสองมือกำเป็นหมัด “ได้รับการสั่งสอนแล้วๆ ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์หญิงเผยอาจารย์เผยจะเปิดโรงเรียนถ่ายทอดวิชาความรู้เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นข้าต้องให้การสนับสนุนแน่นอน”

เผยเฉียนปล่อยหมัดแสร้งทำเป็นขู่ให้จูเหลี่ยนกลัว เห็นว่าพ่อครัวเฒ่านิ่งเฉยไม่ขยับจึงเก็บหมัดกลับมาอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เหตุใดเจ้าถึงได้อ่อนด้อยขนาดนี้นะ?”

จูเหลี่ยนปล่อยหมัดออกไปบ้าง

ร่างของเผยเฉียนผงะหงายหลังไปในเสี้ยววินาที หลังจากหลบหมัดนั้นมาได้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

จูเหลี่ยนมองสบตากับเฉินผิงอัน

ถึงอย่างไรสือโหรวก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

หลังจากคนทั้งกลุ่มขึ้นมาบนเรือข้ามฟากแล้ว คงเป็นเพราะข่าวลือทำนองว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม’ มีพลังสยบที่รุนแรงมากเกินไป เหนือเกินกว่าพลังล่อลวงของเงินฝนธัญพืชสามเหรียญ ดังนั้นจนกระทั่งเรือข้ามฟากขับออกจากแคว้นเฉิงเทียนก็ยังไม่มีพวกคนคิดไม่ซื่อคนใดกล้าจะลองหยั่งเชิงความสามารถของผู้ฝึกกระบี่

แต่ความช้า เส้นทางที่อ้อมไกลและการเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ในการหาเงินของเรือข้ามฟากลำนี้กลับทำให้เฉินผิงอันนับถืออย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว

วันนี้ตอนที่เรือข้ามฟากจอดลง กระจายเรือบินออกไปยัง ‘สะพานไม้’ ของตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังอดด่าขันๆ ไปประโยคหนึ่งไม่ได้ว่าพวกเราขึ้นมาบนเรือโจรกันจริงๆ

ตระกูลเซียนแห่งนั้นเป็นแค่ตระกูลลำดับสามของแจกันสมบัติทวีป แต่ระหว่างยอดเขาสองลูกได้สร้างสะพานไม้ท่อนเดียวที่ยาวหลายสิบลี้เอาไว้เส้นหนึ่ง สะพานไม้แห่งนี้จะอยู่สูงกว่าทะเลเมฆตลอดทั้งปี ทัศนียภาพไม่เลว เพียงแต่การเก็บเงินก็ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย เดินข้ามหนึ่งรอบต้องจ่ายถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ว่ากันว่าปีนั้นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้งเคยมาเดินสะพานไม้แห่งนี้ แล้วก็ได้เห็นภาพที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออกพอดี พลันบังเกิดแรงบันดาลใจ บรรลุมรรคาฝ่าขอบเขตไปได้ แล้วก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองที่นี่ และก็เพราะก้าวข้ามก้าวนั้นไปถึงสามารถใช้สถานะผู้ฝึกตนอิสระอันต่ำต้อยนำพาให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ได้ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใจอยู่บนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีป

เฉินผิงอันยังคงควักเงินเกล็ดหิมะออกมาสิบสองเหรียญแต่โดยดี

ตอนแรกเผยเฉียนอยากจะวิ่งไปกลับสักเจ็ดแปดรอบ เพียงแต่ว่าสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งที่โชคดีได้ฝึกตนในตระกูลเซียนบนภูเขาได้เอ่ยเตือนทุกคนว่า สะพานไม้แห่งนี้มีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่อาจเดินย้อนกลับมาทางเดิมได้

นี่ทำให้เผยเฉียนโมโหจนถึงกับกระทืบเท้าโดยตรง แบบนี้ก็ขาดทุนแย่น่ะสิ?!

บอกว่าเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว แต่อันที่จริงทางกลับไม่ได้คับแคบจนเดินยาก

แต่สะพานที่ผู้ฝึกตนอิสระท่าเรือหางผึ้งมาเดินในปีนั้นกลับเป็นสะพานที่ผุพังจริงๆ

ภายหลังมีสำนักหนึ่งทุบหม้อขายเหล็ก ซ่อมแซมมันจนมีสภาพอย่างในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่กว้างขวางมั่นคง ยังซ่อมแซมได้ประณีตงดงามอย่างถึงที่สุด

หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็อ้อมผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ไฟสงครามกำลังลุกลาม อ้อมไปเป็นวงใหญ่สมชื่ออย่างแท้จริง

เป็นเหตุให้ใต้ดินของอาณาบริเวณเบื้องใต้เรือข้ามฟากในตอนนี้ก็คือทางเดินมังกรเส้นที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือลงใต้

คราวนั้นเฉินผิงอันจากลากับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย เดินทางลงใต้เพียงลำพัง

คราวนี้ข้างกายมีเผยเฉียน จูเหลี่ยนและสือโหรว

ช่วงเวลาที่อยู่บนเรือข้ามฟากนี้ นอกจากฝึกวิชาหมัดแล้ว เฉินผิงอันยังจำต้องแบ่งเวลาครึ่งหนึ่งมาเข้าฌานมองภายใน ดึงดูดปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยง ‘จวนน้ำ’ แห่งนั้น

ยิ่งเดินบนเส้นทางการฝึกตนนานเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งสัมผัสกับโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากเหยียบลงบนเรือสองลำของทั้งการฝึกลมปราณและการฝึกยุทธ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ อย่างหนึ่ง บนทางเส้นนี้ หลังจากเฉินผิงอันเลื่อนสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว จะเป็นระยะทางที่ราบรื่นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยิ่งขยับไปเบื้องหลัง โดยเฉพาะเมื่อหล่อหลอมสมบัติแห่งชะตาชีวิตเสร็จสิ้น สุดท้ายวันใดวันหนึ่งสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก็จะยิ่งมิอาจผสานปรองดอง เป็นเหตุให้การปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูงของวิถีวรยุทธ์ยิ่งเจอแต่อุปสรรค การเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต

ตอนนั้นหมัดยังต้องปล่อย ปราณวิญญาณฟ้าดินก็ยังต้องพยายามดึงดูดมาและหล่อหลอมอย่างสุดความสามารถ

หลังจากที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นท่าพื้นฐานที่สุดครบหนึ่งล้านครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว จากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีป แล้วก็มาถึงพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อมาก็เป็นนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปที่มีราชวงศ์ต้าเฉวียน ตำหนักพยัคฆ์เขียว จนมาถึงแคว้นชิงหลวนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มุ่งหน้าไปยังต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือ เขาก็ต่อยหมัดไปอีกเกือบสี่แสนหมัด

หลังจากที่เรือข้ามฟากชิงอีจากไปไกล

เป็นช่วงร้อนน้อย แต่กลับมีอากาศร้อนแผดเผาเหมือนร่างถูกต้มและถูกนึ่งอยู่ตลอดเวลา มีผู้เฒ่าสามคนเดินขึ้นเขามาถึงสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนั้น

นักท่องเที่ยวบางตา

นอกจากสตรีของสำนักบนภูเขาที่คอยเก็บเงินอยู่สองฟากฝั่งของสะพานไม้แล้ว บนสะพานไม้ก็แทบมองไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนใด

ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งท่าทางเผด็จการเอาแต่ใจ ตัวเล็กเตี้ยที่สุด แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาตบลงบนไหล่ของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกัน “เจ้าคนแซ่สวิน มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบควักเงินเข้าสิ!”

ผู้เฒ่าแซ่สวินกำลังง่วนอยู่กับการสอบถามดรุณีน้อยว่าทัศนียภาพของที่แห่งนี้มีจุดใดที่เป็นเอกลักษณ์บ้าง พอถูกกดไหล่ก็รีบควักเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญอย่างว่องไว รับหน้าที่เป็นคนจ่ายเงินราวกับเป็นลูกสมุนของอีกฝ่าย

และผู้เฒ่าที่ต้องเป็นคนจ่ายเงินผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสวินที่จูเหลี่ยนชอบเรียก ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เขาเคยมอบนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่ในเรื่องมีฉากเทพเซียนตีกันให้จูเหลี่ยนหลายเล่ม

จูเหลี่ยนนับถือในความรู้ของผู้อาวุโสท่านนี้อย่างมาก เพราะความรู้ของเขาลึกซึ้งถึงแก่นอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นสุยโย่วเปียนก็ไปเยือนสำนักกุยหยกในใบถงทวีปของผู้เฒ่าท่านนี้ หลังจากที่ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงบินทะยานล้มเหลว พลังต้นกำเนิดเสียหายไปมหาศาล ตอนนี้สำนักกุยหยกจึงกลายมาเป็นผู้นำของหนึ่งทวีปที่สมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง

ผู้เฒ่าอีกคนที่หน้าตาธรรมดาสามัญทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมสหายสนิทที่เป็นคนโผงผางผู้นี้สักหน่อยว่า ผู้อาวุโสสวินเขาข้ามทวีปตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ายังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น นี่หมายความว่าอย่างไร? คิดว่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือลูกศิษย์รุ่นหลังของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานของเจ้าจริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากคราวนี้ไม่ได้ผู้อาวุโสสวินลงมือช่วยเหลือ เจ้าจะได้เศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นที่ใหญ่ที่สุดหลังจากร่างของตู้เม่าร่วงลงสู่พื้นพสุธามาครองอย่างราบรื่นได้อย่างไร

ถอยไปพูดหมื่นก้าว ถึงอย่างไรสวินยวนก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป ยิ่งเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก! เจ้าเป็นแค่คนที่ขอบเขตถดถอยกลับมาอยู่ก่อกำเนิด ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาวางอำนาจอวดเบ่งใส่ผู้อาวุโสท่านนี้ทุกวัน?

ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้ง หรือก็คืออาจารย์ของเจียงอวิ้น

ดังนั้นสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนี้ก็คือพื้นที่มงคลที่ปีนั้นทำให้ผู้เฒ่าสร้างโอสถทองได้สำเร็จ

สาวใช้ที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสามคนนั้นมองความตื้นลึกของคนทั้งสามไม่ออก อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักขอบเขตชมมหาสมุทรมายืนอยู่ที่นี่ก็คงมองไม่ออกเช่นกัน

คนหนึ่งคือขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่งขอบเขตก่อกำเนิด

ใครสักคนหนึ่งแค่กระทืบเท้าหนึ่งที เกรงว่าก็คงทำให้ภูเขาลูกนี้ถล่มลงมาได้แล้ว

หลังจากที่สวินยวนจ่ายเงินแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสามคนก็เดินไปบนสะพานไม้อย่างเชื่องช้า

หากนับกันตามอายุและตบะ ล้วนเป็นสวินยวนที่สูงส่งกว่าใคร

ทว่าทวนยาวหนึ่งฉื่อของใบถงทวีปผู้นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยหน้าหยกของแจกันสมบัติทวีปกลับทำตัวแข็งข้อไม่ได้จริงๆ

ครั้งหนึ่งขณะที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกัน หนุ่มน้อยเป็นฝ่ายถามทวนยาวหนึ่งฉื่อด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่าต่อสู้ได้ไหม หากต่อสู้ได้ก็ช่วยอะไรเขาเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย

สวินยวนตบอกรับรองว่าต่อให้สู้ไม่ได้ก็ไม่ถึงขั้นเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน

จากนั้นเจ้าประมุขผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับตั้งชื่อให้พรรคว่าหมัดเทพไร้เทียมทานก็มอบที่อยู่หนึ่งให้สวินยวน นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปพบกันที่นั่น

สวินยวนจึงทะยานลมจากไปทันที เรียกได้ว่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ผลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าของสำนักโองการเทพที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นานผู้นั้นเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการครอบครองเศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นให้จงได้ สถานการณ์จึงชะงักงันไม่อาจเดินหน้าต่อ

หากไม่เกิดข้อผิดพลาด ไม่ว่าผลสรุปสุดท้ายจะเป็นอะไร อย่างน้อยพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานก็ต้องผูกปมแค้นไว้กับสำนักโองการเทพแล้ว

แต่พอสวินยวนปรากฏตัวก็ทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงันนั้นทันที

พอจะถือได้ว่าทุกคนต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบจ่ายเงินซื้อร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้งไปจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าซึ่งในนามคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปได้ยอมถอยให้ก้าวใหญ่ นอกจากจะรับเงินมาแล้ว สวินยวนยังช่วยสำนักโองการเทพพูดคุยกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์นภากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป ขอซากปรักของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลโบราณไร้นามแห่งหนึ่งที่ปริแตกซึ่งร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายใน ให้เทียนจวินฉีเจินได้นำกลับสำนักไปซ่อมแซมแก้ไข หากทำได้ดี มันก็จะกลายมาเป็นพื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งของสำนักโองการเทพที่ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักฝึกตนเหนื่อยยากเพียงครึ่ง แต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจะไม่มีทางเข้าไปในเศษชิ้นส่วนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลง่ายๆ เด็ดขาด เพราะมีแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมาย

แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบรรดาอริยะลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลก็มีอริยะปราชญ์กลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ ‘บุกเบิกที่ดินขยับขยายพื้นที่’ โดยเฉพาะ พวกเขาเหล่านี้จะไปตามหาซากปรักหักพังที่จมอยู่ใต้ก้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว พองมขึ้นมาแล้วก็อาจนำมาทำให้มั่นคงจนกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่ หรือไม่ก็ผสานรวมมันเข้ากับอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล

อริยะลัทธิขงจื๊อในประวัติศาสตร์ที่ต้องตายดับอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาด้วยสาเหตุนี้มีไม่ใช่น้อยๆ คนที่รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหายด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

เพียงแต่ว่าความทุ่มเทและอันตรายที่ต้องเผชิญเหล่านี้

คนบนโลกมิอาจล่วงรู้

……

หลังจากมาเรียนต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย แม้ตอนแรกหลี่ไหวจะถูกคนรังแกจนแทบอยู่ไม่ได้ แต่พอฝนผ่านไปแล้วท้องฟ้าก็สดใส ภายหลังไม่เพียงแต่ไม่มีคนในสำนักศึกษามาหาเรื่องเขา ยังมีเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันอีกสองคน เป็นคนสองคนที่มีวัยเดียวกัน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่พรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่น ชื่อว่าหลิวกวาน

อีกคนหนึ่งคือลูกหลานชนชั้นสูงที่สืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาหลายชั่วอายุคนของต้าสุย ชื่อว่าหม่าเหลียน

หลิวกวานที่มีชาติกำเนิดยากจนใจกล้าเทียมฟ้า มักจะมีความคิดและจินตนาการอันบรรเจิดเลิศล้ำอยู่เสมอ หม่าเหลียนที่ชาติกำเนิดดีที่สุดกลับมีนิสัยขี้ขลาด ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่กล้าปล่อยมือปล่อยเท้าทำอย่างเต็มที่ จึงกลายมาเป็นลูกสมุนของพวกเขาสองคน วันๆ เอาแต่ติดสอยห้อยตามหลิวกวานกับหลี่ไหว เนื่องจากตระกูลของหม่าเหลียนคือชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าสุย อีกทั้งยังเป็นเครือญาติเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับสกุลเกาแห่งเกอหยาง หม่าเหลียนก็ยิ่งเป็นหลานชายคนโต ทว่าตอนนี้กลับมามั่วสุมอยู่กับหลี่ไหวหลิวกวาน ดังนั้นจึงถูกคนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ของสำนักศึกษาต้าสุยขับไล่ไสส่ง ถูกเรียกเหน็บแนมว่าแมลงขี้ประจบและเจ้าถุงเงิน

หลังเข้าสู่ฤดูร้อน เด็กสามคนที่เป็นเพื่อนร่วมวัยร่วมชั้นเรียนร่วมหอนอน แม้ทางสำนักศึกษาจะห้ามออกจากหอนอนยามวิกาล แต่พวกเขาก็ยังแอบออกไปรับลมที่ริมทะเลสาบ หากถูกอาจารย์จับได้จะต้องถูกอบรมสั่งสอน ถูกลงโทษให้คัดตัวอักษร หรือไม่ก็ต้องกินมะเหงก

คืนนี้หลิวกวานเป็นผู้นำ เขาเดินอาดๆ ราวกับอาจารย์ที่ออกตรวจตรายามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น หลี่ไหวเหลียวซ้ายแลขวา ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว หม่าเหลียนหน้าม่อย ไหล่ลู่คอตก เดินตามอยู่ด้านหลังหลี่ไหวอย่างระมัดระวัง

คนทั้งสามมาถึงริมทะเลสาบอย่างราบรื่น หลิวกวานถอดรองเท้าหุ้มแข้ง จุ่มสองเท้าไว้ในน้ำทะเลสาบที่เย็นน้อยๆ รู้สึกว่าในความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กน้อย จึงหันหน้าไปพูดกับสหายที่ทำท่าราวกับยกหินออกจากอกว่า “หม่าเหลียน อากาศร้อนขนาดนี้น่าอึดอัดจะตายไป ตระกูลหม่าของพวกเจ้าถูกเรียกขานว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในด้านการซ่อนพัดของเมืองหลวงไม่ใช่หรือ วันหน้ากลับไปเอามาสักสามด้าม ให้ข้ากับหลี่ไหวคนละด้าม เวลาทำการบ้านจะได้พัดเอาลมเย็นๆ มาให้คลายร้อนได้บ้าง”

หม่าเหลียนหน้าม่อย “พัดที่ล้ำค่าที่สุดของท่านปู่ข้า ทุกด้ามล้วนเป็นของรักของหวงของเขา เขาไม่มีทางให้ข้าหรอก”

หลิวกวานกลอกตามองบน “ถ้าอย่างนั้นก็ขโมยพัดที่ท่านปู่เจ้าไม่ค่อยเอาออกมาถือเล่นสิ หากถูกจับได้จริงๆ เขาจะถึงขั้นตีหลานชายอย่างเจ้าจนตายเลยหรือ?”

หม่าเหลียนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

หลี่ไหวช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ช่างเถอะ หม่าเหลียนขี้ขลาด บนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดเรื่องใดๆ ได้เลย หากให้เขากลับบ้านไปขโมยพัดมาจริงๆ เกรงว่าแค่กลับไปถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่ของเขาจับพิรุธได้แล้ว”

หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง

หลิวกวานถอนหายใจ “ช่างผิดต่อชาติกำเนิดดีๆ ของเจ้าซะจริง นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็ไม่กล้าทำ หม่าเหลียนวันหน้าหากเจ้าเติบใหญ่แล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็ได้แค่กินทุนเก่า เจ้าคิดดูนะ ท่านปู่ของเจ้าคือเจ้ากรมครัวเรือนของต้าสุยเรา ดำรงยศมหาบัณฑิตของตำหนักเหวินอิง พอมาถึงรุ่นบิดาของเจ้า กลับเป็นได้แค่เจ้าเมืองที่ต้องไปรับหน้าที่อยู่นอกเมืองหลวง ท่านอาของเจ้าที่แม้จะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่กลับเป็นแค่ขุนนางฝูเป่าหลางตำแหน่งเล็กจ้อยเท่าเมล็ดงา วันหน้าพอถึงคราวที่เจ้าต้องเป็นขุนนางบ้าง เกรงว่าก็คงเป็นได้แค่นายอำเภอเท่านั้น”

หม่าเหลียนทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่ได้โต้กลับ เพราะไม่มีความกล้าที่จะทะเลาะกับหลิวกวาน ยิ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าหลิวกวานพูดได้ถูกต้องอย่างมาก

ในบรรดาคนทั้งสาม แม้ว่าอาจารย์จะดุด่าหลิวกวานมากที่สุด แต่ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า อันที่จริงพวกอาจารย์คาดหวังกับหลิวกวานมากที่สุด เขาหม่าเหลียนไม่สูงไม่ต่ำ ดีกว่าหลี่ไหวที่การบ้านอยู่อันดับล่างสุดตลอดหมื่นปีเล็กน้อย

หลี่ไหวตบไหล่หม่าเหลียน พูดปลอบใจว่า “เป็นนายอำเภอก็ร้ายกาจมากแล้ว ที่บ้านเกิดของข้า เมื่อก่อนตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่ที่สุดคือผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ไม่รู้ว่าหมวกขุนนางใหญ่แค่ไหน จนป่านนี้ถึงเพิ่งจะมีนายอำเภอ อีกอย่าง เป็นขุนนางเล็กหรือใหญ่ก็ยังเป็นเพื่อนของข้ากับหลิวกวานอยู่ดีไม่ใช่หรือ หากเป็นขุนนางน้อย ข้ากับหลิวกวานย่อมยังเห็นเจ้าเป็นสหายอย่างแน่นอน แต่หากเจ้าได้เป็นขุนนางใหญ่แล้วก็ห้ามไม่เห็นพวกเราเป็นเพื่อนเด็ดขาดเชียว”

หม่าเหลียนรีบรับรอง “ไม่มีทาง ชั่วชีวิตนี้ข้าจะต้องเห็นพวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอ”

หลิวกวานหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นข้ากับหลี่ไหว ใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเจ้า?”

หม่าเหลียนอึ้งตะลึงไปนาน เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบอย่างไรตนก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตนเลย แม้เขาจะนับถือความฉลาดเฉลียวมีความสามารถ รวมไปถึงข้อที่ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยของหลิวกวาน แต่แท้จริงแล้วลึกๆ ในหัวใจ หม่าเหลียนกลับชอบที่จะอยู่กับหลี่ไหวมากกว่า เพราะหลี่ไหวพูดง่าย ไม่พูดจาเหน็บแนมเขา แล้วก็ไม่ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้

หลี่ไหวยิ้มแล้วทิ้งสองเท้าจุ่มลงในน้ำ แล้วก็ต้องสูดลมหายใจดังเฮือก สะดุ้งโหยง พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเอาที่สองก็แล้วกัน ไม่แย่งที่หนึ่งกับเจ้าหลิวกวานแล้ว ถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องใดเจ้าหลิวกวานก็เป็นที่หนึ่งเสมอ”

หลิวกวานกอดคอหลี่ไหว ยิ้มกล่าว “พูดเหมือนจงใจยอมให้ข้าอย่างนั้นแหละ เจ้าน่ะสู้ข้าได้หรือ”

หลี่ไหวรีบอ้อนวอน “สู้ไม่ได้ๆ หลิวกวานเจ้าจะมาแข่งขันกับคนที่ทำการบ้านได้อันดับล่างสุดไปไย เจ้ารู้สึกดีนักหรือไง?”

หม่าเหลียนแอบหัวเราะ

ถึงอย่างไรเด็กทั้งสามคนก็อยู่ในช่วงวัยที่ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล

ผลคือได้ยินเสียงตวาดของอาจารย์ท่านหนึ่งดังมาแต่ไกล หลิวกวานผลักไหล่หลี่ไหวและหม่าเหลียน “พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะถ่วงเวลาอาจารย์หันขี้เหล้าผู้นั้นเอง!”

หม่าเหลียนไม่พูดไม่จาก็ชักเท้าออกวิ่งทันที แถมยังวิ่งไปเท้าเปล่าด้วย

หลี่ไหวช่วยหยิบรองเท้าหุ้มแข้งของหม่าเหลียนมา ถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”

หลิวกวานถลึงตาใส่ “รีบหนีไปเร็วเข้า พวกเราสามคนถูกจับด้วยกัน พรุ่งนี้มีแต่จะยิ่งอเนจอนาถ จะถูกลงโทษหนักขึ้น!”

หลี่ไหวรีบสวมรองเท้าอย่างเร่งร้อน ท่าวิ่งของเขาหนักแน่นมั่นคงกว่าหม่าเหลียน ถึงอย่างไรก็เคยเดินทางจากเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจนถึงสำนักศึกษาต้าสุย

สุดท้ายหลิวกวานแบกรับไฟโทสะของอาจารย์ผู้เฒ่าที่ผลัดเวรมาเดินตรวจตรายามค่ำคืนเพียงลำพัง หากไม่เป็นพราะอาจารย์สอบถามเนื้อหาของการบ้านแล้วหลิวกวานตอบได้ทุกข้อไม่มีตกหล่น อาจารย์ผู้เฒ่าก็คงลงโทษให้หลิวกวานยืนอยู่ริมทะเลสาบทั้งคืนแล้ว

หลิวกวานกลับมาถึงหอพัก หลี่ไหวเปิดประตูแล้วก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

หลิวกวานยื่นมือขวาออกมาดีดนิ้วหนึ่งที พูดอย่างลำพองใจ “ใต้หล้านี้ไม่มีปัญหาข้อใดที่ข้าหลิวกวานแก้ไขไม่ได้”

หลี่ไหวสังเกตเห็นอย่างเฉียบไว ถามว่า “เจ้าไม่ได้ถนัดซ้ายหรอกหรือ?”

หลิวกวานสบถด่าคำหนึ่งทันใด มานั่งอยู่ข้างโต๊ะ แบฝ่ามือออก ที่แท้ฝ่ามือของมือซ้ายเขาก็บวมฉึ่ง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ผีขี้เหล้าหันต้องมีไฟโทสะเก็บกลั้นไว้ในใจแน่นอน หากไม่เป็นเพราะเหล้าของเมืองหลวงแพงขึ้นก็เป็นเพราะหลานชายที่ไม่เอาถ่านสองคนของเขาก่อเรื่องขึ้นมาอีก เขาเลยจงใจเอาข้ามาระบายอารมณ์ วันนี้ถึงได้ตีมือแรงเป็นพิเศษ”

หลิวกวานเป็นคนใจใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที ในขณะที่หลี่ไหวกับหม่าเหลียนยังเป็นกังวลว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องเจอกับความลำบาก หลิวกวานกลับหลับฝันหวานไปแล้ว

หลิวกวานนอนอยู่บนเตียงปูเสื่อริมนอกสุด ที่นอนของหลี่ไหวติดริมกำแพง หม่าเหลียนนอนอยู่ตรงกลาง

หลี่ไหวยังไม่ง่วง อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องนั่งพิงกำแพง ในมือถือหุ่นไม้หลากสีตัวหนึ่ง ปากพูดพึมพำเบาๆ

หม่าเหลียนถามเสียงค่อย “หลี่ไหว ทำไมช่วงนี้เจ้าถึงไม่ไปเล่นกับหลี่เป่าผิงเลยล่ะ?”

หลี่ไหวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ากลัวนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว อีกอย่าง เอาแต่ไปเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเหมาะสมตรงไหน หากคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าชอบหลี่เป่าผิง ถึงเวลานั้นผู้คนพากันซุบซิบนินทา ข้าต้องถูกหลี่เป่าผิงซ้อมจนเกือบตายแน่ๆ”

หม่าเหลียนอ้อรับหนึ่งที รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้นน่ามองมากจริงๆ

หากวันใดได้เห็นนางในสำนักศึกษาอยู่ไกลๆ เขาก็ดีใจไปได้ทั้งวัน

หม่าเหลียนเงียบไปนาน หลี่ไหวยังคงเอาแต่เขย่าหุ่นไม้หลากสีในมือตัวนั้น แสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพ เล่นสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

หม่าเหลียนรู้ว่าในหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กบรรจุสิ่งของที่หลี่ไหวชื่นชอบมากที่สุดไว้กองใหญ่

หม่าเหลียนพลันถามขึ้นว่า “หลี่ไหว เฉินผิงอันที่เจ้าชอบพูดถึงบ่อยๆ คนนั้น เจ้ามาอยู่สำนักศึกษาเกือบจะสามปีแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยมาหาเจ้าเลยสักครั้ง?”

หลี่ไหวหยุดการกระทำในมือลง เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “เขายุ่งน่ะสิ”

หม่าเหลียนสังเกตเห็นว่าเพียงไม่นานหลี่ไหวก็ล้มตัวลงนอนบนเสื่อที่เย็นสบาย วางหุ่นไม้หลากสีไว้ข้างศีรษะ ในอดีตหลี่ไหวสามารถเล่นมันได้นานถึงเกือบครึ่งชั่วยาม วันนี้กลับผิดไปจากทุกที

อันที่จริงหลี่ไหวกำลังลืมตาโตมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง

หีบหนังสือไม้ไผ่เขียว รองเท้าสานหนึ่งคู่ ปิ่นหยกชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่าไหวอิน ทำมาจากหยกสีหมึก

ของสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่หลี่ไหวทะนุถนอมมากที่สุด

ปิ่นหยก หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มีกันคนละหนึ่งชิ้น ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบให้พวกเขาพร้อมกัน เพียงแต่ว่าหลี่ไหวรู้สึกว่าของคนทั้งสองล้วนสู้ของเขาไม่ได้

และยังมีตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อจากเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันก็เป็นคนควักเงินจ่าย

นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นไม้หลากสีตัวนี้ที่หลี่ไหวมักจะเอาออกมาเล่นโอ้อวดคนอื่นเสมอ มันกับกล่องไม้เฉียวหวงเป็นทรัพย์สินที่แบ่งมาจากเว่ยป้อเทพแห่งผืนดินตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน หุ่นไม้ก็คือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของหลี่ไหว

กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรซึ่งปีนั้นอาจารย์ฉีบอกให้พวกเขาลองคัดลอกดู เพียงแต่ว่าบางคนก็ทำหาย บางคนก็เอาเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงเขาหลี่ไหวที่พกติดตัวมาด้วย ตอนนั้นระหว่างที่เดินทางกัน หลี่ไหวอยากจะมอบมันให้แก่เฉินผิงอันที่ดูแลเขามาตลอดทาง แต่เฉินผิงอันไม่ได้รับไว้ บอกแค่ว่าให้เขาหลี่ไหวเก็บไว้ดีๆ

จากนั้นหลี่ไหวจึงสอดมันไว้ในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น

และยังมีตุ๊กตาดินเหนียวที่เหมือนมีชีวิตจริงอีกหนึ่งชุด เป็นเว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะที่มอบให้ พวกมัน ‘สูงใหญ่องอาจ’ ได้ไม่เท่าหุ่นไม้หลากสี ตุ๊กตาดินเหนียวห้าตัวสูงแค่ครึ่งนิ้ว มีทั้งจอมยุทธ์มือกระบี่ มีทั้งนักพรตเต๋าถือไม้ปัดฝุ่น มีแม่ทัพบู๊สวมเกราะ มีหญิงสาวขี่กระเรียน และยังมีชายคนตีฆ้องบอกเวลา หลี่ไหวล้วนตั้งฉายาให้กับพวกมัน และมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับทุกตัว

ตอนนั้นเซียนกระบี่เว่ยที่บินไปบินมายังพูดอะไรบางอย่างที่หลี่ไหวลืมไปนานแล้ว สำนักหยินหยาง เวทหุ่นเชิดสำนักโม่และพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดแปดอะไรนั่น ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่น ไหนเลยจะฟังเรื่องซับซ้อนวุ่นวายพวกนั้นเข้าหู ภายหลังตอนที่แนะนำคนจิ๋วดินเหนียวให้กับเพื่อนๆ ฟัง คิดอยากจะโอ้อวดถึงความล้ำค่ามีราคาของเจ้าตัวน้อยทั้งห้า แต่เค้นสมองคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกคำพูดโอ้อวดออกมาไม่ได้สักคำ ในที่สุดถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่หลี่ไหวก็ไม่ได้ไปถามหลี่เป่าผิงหรือหลินโส่วอีที่ความจำดี คิดว่าถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมพวกเขาที่สำนักศึกษา รอให้เขามาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน อย่างไรซะเฉินผิงอันก็จำทุกอย่างได้อยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะลืมพวกเขาไปแล้ว

ตอนแรกยังเขียนจดหมาย ส่งภาพวาดมาให้หลี่เป่าผิง แต่ตอนหลังดูเหมือนว่าแม้แต่จดหมายก็ไม่เคยส่งมา

……

เมื่อเทียบกับหลี่ไหวและเด็กรุ่นเดียวกันสองคนที่ชอบก่อเรื่องและเอาแต่เล่นสนุกแล้ว

หลินโส่วอีได้กลายเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่คนของสำนักศึกษาซานหยาให้การยอมรับโดยทั่วกัน

ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการฝึกตนก็ล้วนไม่มีข้อบกพร่อง ได้รับความสำคัญจากพวกอาจารย์มากมายของสำนักศึกษา

เคยได้ติดตามเซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทอสนีอย่างลึกซึ้งเดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาและแม่น้ำของต้าสุย ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในสำนักศึกษาและอยู่ข้างนอกแทบจะแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง

คนก่อนหน้านี้ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูที่หนุ่มที่สุดของต้าสุย อีกทั้งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูยังเคยบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นวิญญูชน

เมื่ออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลินโส่วอีก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสะโอดสะองมาเป็นคุณชายผู้สง่างาม สตรีทั้งในและนอกสำนักศึกษาที่ชื่นชมหลินโส่วอีมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดรุณีน้อยหลายคนที่มาจากตระกูลลำดับต้นๆ ของเมืองหลวงต้าสุยมาเยือนสำนักศึกษาที่สร้างอยู่บนภูเขาตงซานเล็กๆ แห่งนี้ก็เพื่อได้มองหลินโส่วอีไกลๆ สักครั้ง

บนร่างของหลินโส่วอีเริ่มค่อยๆ บ่มเพาะบุคลิกสูงส่งที่นานวันก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากโลกีย์ไปทุกที

เมื่อชื่อเสียงของหลินโส่วอีโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นดั่งหยกขาวที่ไร้ตำหนิ เป็นเหตุให้จำนวนครั้งที่คนมีอำนาจหลายคนในตระกูลชั้นสูงของเมืองหลวงต้าสุยได้ยินชื่อเสียงของหลินโส่วอีระหว่างที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ และทุกคนต่างก็เริ่มย้ายสายตาไปให้ความสนใจบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่มากก็น้อย

สำหรับสายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงความเกี่ยวพันมากมายในชีวิตประจำวันเหล่านี้

หลินโส่วอีที่มีชาติกำเนิดเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางชั้นผู้น้อยในที่ว่าการทั้งไม่ได้รู้สึกภาคภูมิพึงพอใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายรังเกียจ

ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจก็คือการฝึกตน

หากเมื่อวานและวันนี้ยอมเผชิญกับความยากลำบากในการขัดเกลาจิตใจมากเท่าไหร่ วันพรุ่งนี้และอนาคตก็ยิ่งมีข้อบกพร่องน้อยเท่านั้น

สำหรับคลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ต้าสุย เนื่องจากได้มีประสบการณ์ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หลินโส่วอีจึงได้พบเห็นและได้ยินมามาก ราชวงศ์ที่เดิมทีมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมมากที่สุดทางทิศเหนือของทวีป เวลานี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเศร้าโศกทุกข์ตรม

แต่หลินโส่วอีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

แม้แต่เรื่องที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของบ้านเกิดกรีฑาทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่บุกไปทางใดทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน

นอกจากมีอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของสำนักศึกษาที่ถ่ายทอดเวทอสนีให้แล้ว หลินโส่วอีเองก็ยังมุมานะตั้งใจศึกษาตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่ได้มาจากภูเขาฉีตุน

ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ผู้เฒ่าไปที่ขุนเขาเหนือทางชายแดนของต้าสุย และยังได้ไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาเสินเซียว ใช้เวลานานถึงสามเดือน หลินโส่วอีเพิ่งเคยนั่งเรือบินตระกูลเซียนเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นก็เพื่อไปดูเมฆสายฟ้าแห่งหนึ่งในระยะประชิด ภาพเหตุการณ์นั้นยิ่งใหญ่งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจ อาจารย์ผู้เฒ่าทะยานลมเดินทาง ออกจากเรือบินที่ส่ายโอนเอนเพื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารจับสายฟ้า รวบรวมพวกมันมาไว้ในขวดกระเบื้องตระกูลเซียนใบหนึ่งที่เอาไว้ใช้บรรจุสายฟ้าโดยเฉพาะ มีชื่อว่าขวดฟ้าร้องตีท้อง อาจารย์ผู้เฒ่ามอบให้หลินโส่วอีเป็นของขวัญ เพื่อสะดวกให้หลินโส่วอีนำไปเก็บปราณวิญญาณหลังจากกลับไปถึงสำนักศึกษาแล้ว

คืนนี้หลินโส่วอีเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังหอเก็บตำราเพื่ออ่านหนังสือ อาจารย์ที่อยู่เวรผลัดดึกย่อมไม่ขัดขวาง แม้ว่ากฎของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะค่อนข้างเข้มงวด แต่กลับไม่ได้ตายตัว

ขึ้นไปบนหอตำรา จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง

หลังจากที่หลินโส่วอีกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ขอแค่บำรุงลมปราณและจิตใจได้อย่างเหมาะสม แม้จะอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือ เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า

หลินโส่วอีวางตำรากลับไปที่เดิม เดินมาที่หน้าต่าง เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณขุ่นมัวท่ามกลางฟ้าดินลดลงต่ำ ลมปราณสะอาดสดชื่นกำลังลอยขึ้นบน

โลกในสายตาของผู้ฝึกลมปราณไม่เหมือนกับในสายตาของคนธรรมดา

ดวงตาของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นปราณวิญญาณไหลเวียน มองไม่เห็นปราณชั่วร้ายลอยกรุ่น หรือการรวมตัวกันของปราณหยาง การกระจายตัวของปราณหยิน

เพียงแต่ว่าแม้การที่ประตูใหญ่ของถ้ำโพรงในร่างคนธรรมดาจะปิดสนิท ไม่อาจรับเอาปราณวิญญาณมาหล่อหลอม ต่ออายุขัยให้ยืนยาว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องแบกรับพายุลมกรดประเภทต่างๆ ในโลก เกิดแก่เจ็บตายล้วนให้สวรรค์เป็นผู้กำหนด

ชุยตงซานเคยท่องกลอนบทหนึ่ง

ลมสูงคลื่นเร็ว ขี่หลังคางคกเดินทางไกลหมื่นลี้ ร่างท่องอยู่ในสรวงสวรรค์ ก้มมองลมปราณขมุกขมัว เซียนผู้เมามายเขย่าต้นกุ้ย แปรเปลี่ยนเป็นลมเย็นสดชื่นในโลกมนุษย์

พอเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา ได้เปิดอ่านตำราเก่าคร่ำคร่าเหล่านั้น รู้ว่าเซียนบรรพกาลในตำนานสามารถไปเยือนวังตะวันวังจันทราเพื่อดื่มสุราเซียนร่วมกับทวยเทพ สามารถเมามายไปได้นับร้อยนับพันปี

หลินโส่วอีวาดฝันกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

จู่ๆ เขาก็พลันถอนหายใจ

หากมีวันนั้นจริงๆ เขาหวังว่าสตรีที่เขาอาลัยอาวรณ์มิอาจตัดใจผู้นั้นจะมาอยู่ข้างกายของตน

พอนึกถึงนาง หลินโส่วอีก็อดคลี่ยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

หากสตรีของเมืองหลวงแคว้นต้าสุยมาเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจิตใจคงสะท้านหวั่นไหว

หลายปีมานี้บางครั้งหลินโส่วอีก็หวนนึกถึงการเดินทางในยามเป็นเด็กหนุ่มยังไม่รู้ประสา การเดินทางที่แม้จะน่าตกใจแต่ไร้อันตราย ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่ ได้เห็นภูตประหลาดแห่งภูเขาและหนองน้ำเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพแห่งผืนดินเป็นครั้งแรก ได้รับโชควาสนาในการฝึกตนเป็นครั้งแรก เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนล้อมเวียนวนเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพทวารบาลที่ร่างสูงใหญ่เท่ากับตัวคนเป็นครั้งแรก ได้หีบหนังสือใบเล็กและปิ่นหยกมาเป็นครั้งแรก ได้มาอยู่ในสำนักศึกษาต้าสุยที่แปลกที่แปลกทางเป็นครั้งแรก เดินทางผ่านด่านที่ยากลำบากร่วมกับเหล่าสหายที่มีศัตรูคู่แค้นร่วมกันจนมาถึงที่นี่

หลินโส่วอีรู้สึกเสียดายขึ้นมากะทันหัน

ดูเหมือนว่าหลังจากคนผู้นั้นจากไป ทุกคนก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไป ต่อให้ยังอยู่ในสำนักศึกษาแห่งเดียวกัน มักจะพบหน้ากันบ่อยๆ แต่จิตใจคนห่างเหินกันไปแล้ว

น้ำที่มาจากต้นน้ำอันตื้นเขินและใสสะอาดเริ่มแยกแตกสาขาออกไป บ้างมุ่งไปตะวันออก บ้างมุ่งไปตะวันตก แม้ว่าดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กลายมาเป็นดั่งลำธารที่ร่าเริงอย่างหลี่ไหว เป็นดั่งแม่น้ำลำคลองที่เริ่มยิ่งใหญ่อย่างตน หรือเป็นดั่งทะเลสาบที่เลือกจะหยุดนิ่งรอคอยอย่างหลี่เป่าผิง หรือเป็นบ่อลึก สายน้ำไหลใต้ดินอย่างอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ย แต่เมื่อย้อนกลับมามองอีกครั้ง ช่วงเวลาแรกเริ่มสุดในอดีต การทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระทั่ง เท้าของทุกคนเปรอะเปื้อนได้ด้วยดินโคลน สวมรองเท้าสาน สะพายหีบไม้ไผ่ นอนกลางดินกินกลางทราย มีคนคอยเฝ้ายามตอนกลางคืน…

หลินโส่วอีถอนหายใจหนึ่งที

ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว

……

ตอนแรกในหอพักของอวี๋ลู่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นมาอยู่อาศัยด้วย ภายหลังองค์ชายเกาเซวียนย้ายเข้ามา คนทั้งสองตัวติดกันดั่งเงา ความสัมพันธ์สนิทสนมแนบแน่น

เพียงแต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้อวี๋ลู่ได้กลายมาเป็น ‘คนโดดเดี่ยว’ อีกครั้ง เพราะเกาเซวียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาต้าสุยเงียบๆ เพื่อไปอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นของเขตการปกครองหลงเฉวียน บอกว่าไปขอศึกษาต่อ แต่ความจริงเป็นเช่นไร คนที่เข้าใจสถานการณ์ล้วนมองออก หนีไม่พ้นไปเป็นตัวประกันก็เท่านั้น หลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาร่วมกัน นอกจากเกาเซวียนแล้ว อันที่จริงยังมีคนเฝ้าพิทักษ์ประตูของสกุลเกาเมืองหลวงต้าสุยขอบเขตสิบเอ็ด และเจียวเฒ่าของแคว้นหวงถิงที่เดิมทีลาออกจากราชการไปเก็บตัวอย่างสันโดษที่ได้กลายไปเป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่ต้าหลีสร้างขึ้นมาใหม่

ตอนนั้นอวี๋ลู่ไปส่งเกาเซวียนที่ตีนเขาของสำนักศึกษาเท่านั้น

เช้าตรู่วันนี้อวี๋ลู่ไปเคาะประตูเรือนพักเดี่ยวขนาดเล็กแห่งหนึ่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

คนที่มาเปิดประตูคือเซี่ยเซี่ย

อวี๋ลู่มองเซี่ยเซี่ยที่ในมือถือด้ามไม้กวาด

ต่อให้ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ดูท่านางน่าจะยังคงทำหน้าที่เป็นสาวใช้อย่างขยันหมั่นเพียรอยู่ทุกวัน

เซี่ยเซี่ยถามหน้าเคร่ง “เจ้ามาทำไม?”

อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบหน้ากันมานานมากแล้ว ก็เลยแวะมาหา”

เซี่ยเซี่ยถาม “ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แล้วไง?”

อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “เข้าไปดื่มชาสักถ้วยคงไม่มากเกินไปกระมัง?”

เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังบอกให้อวี๋ลู่ชายหนุ่มที่เดิมทีนางควรเรียกด้วยความเคารพว่ารัชทายาทผู้นี้เข้ามาในเรือน

เรือนแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่ ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน หากถึงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้ร่วงได้ง่าย หรือเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีเศษเกสรปลิวว่อนได้ง่ายก็น่าจะค่อนข้างลำบาก

เซี่ยเซี่ยชี้ไปทางห้องหลัก ประตูห้องนั้นปิดสนิท พื้นระเบียงใต้ชายคาปูด้วยเสื่อที่ถักจากไม้ไผ่จึงเหมือนเตียงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง อวี๋ลู่ถึงขั้นจินตนาการภาพออกเลยว่ายามค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำดุจสายน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนนั้นจะต้องมานอนตะแคงดูดาวอยู่ตรงนี้อย่างเกียจคร้าน

เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “ก่อนจะเดินขึ้นบันไดต้องถอดรองเท้าก่อน ไม่อย่างนั้นข้ายังต้องเช็ดพื้นตามหลังเจ้าอีกรอบ”

อวี๋ลู่จึงถอดรองเท้า นั่งลงบนพื้นไผ่เขียว น่าจะเป็นไผ่เขียวที่ผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรมของตระกูลเซียนบางแห่งในอาณาเขตของต้าสุยเป็นผู้ปลูก หากชนชั้นสูงทั่วไปของต้าสุยนำมาทำเป็นกระบอกใส่พู่กันก็ถือว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว หากปัญญาชนมอบให้กันจะเหมาะสมอย่างมาก หากมีเตียงหลบร้อนหรือเก้าอี้ไม้ไผ่รับลมเย็นสักตัวก็ยิ่งแสดงให้รู้ว่ามีควันธูปและทรัพย์สมบัติที่มากมหาศาล เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในเรือนหลังนี้กลับเป็นได้แค่นี้

เซี่ยเซี่ยง่วนทำงานของตัวเองต่อไป ไม่ได้รินชาอะไรให้อวี๋ลู่ เช้าตรู่ขนาดนี้จะดื่มชาอะไร คิดว่าตนเองยังเป็นรัชทายาทสกุลหลูอยู่จริงๆ หรือ? เจ้าอวี๋ลู่ยังเทียบกับเกาเซวียนในทุกวันนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วสกุลเกาเกอหยางของพวกเขาก็รักษาโชคชะตาแคว้นต้าสุยเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับชาวบ้านสกุลหลูที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานใช้แรงงานในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน ต้องตากแดดตากลม ตากฝนตากหิมะตลอดทั้งปี เดี๋ยวๆ ก็ถูกแส้โบยตี หากไม่กลายเป็นดั่งสิ่งของก็ต้องถูกภูเขาแต่ละแห่งที่สร้างจวนขึ้นใหม่ซื้อตัวไปเป็นคนงานสาวใช้แล้ว สองฝ่ายก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

อวี๋ลู่ทิ้งตัวนอนหงาย ถามว่า “เซี่ยเซี่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าในอนาคตอยากจะมีชีวิตอย่างไร?”

เซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน “ไม่เคยคิด”

อวี๋ลู่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาวางสองมือทาบไว้บนหน้าท้อง “ก่อนที่คุณชายของเจ้าจะออกไปจากสำนักศึกษาได้ซ้อมข้าไปรอบหนึ่ง”

เซี่ยเซี่ยเอ่ยเย้ยหยัน “ทำไม เอาชนะเขาชุยตงซานไม่ได้ก็เลยคิดจะเอาข้ามาเป็นที่ระบายอารมณ์? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นเอาไว้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้เสมอไป?”

หลังจากที่นางถูกต้าหลีจับตัวมา ถูกเหนียงเนียงในวังผู้นั้นสั่งให้ฝึกกระบี่ผู้ถวายงานคนหนึ่งตรอกตรึงตะปูกักมังกรหลายตัวไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของนางหลายแห่ง เป็นวิธีการที่อำมหิตอย่างถึงที่สุด

ภายหลังชุยตงซานช่วยดึงตะปูกักมังกรออกให้ครึ่งหนึ่ง ตบะกลับคืนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต ก่อนหน้าที่ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาก็ได้ดึงออกให้อีกหลายตัว ในร่างของเซี่ยเซี่ยจึงเหลือแค่ตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายที่ตรึงอยู่หน้าประตูใหญ่ของช่องโพรงอันเป็นที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้ย้อนกลับมาสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรอีกครั้ง บวกกับเวทลับมากมายที่ชุยตงซานร่ายไว้ในเรือนเล็กแห่งนี้ ซึ่งการควบคุมใจกลางของค่ายกลส่วนใหญ่ เขาล้วนถ่ายทอดวิธีการเปิด ขับไล่และปิดให้แก่เซี่ยเซี่ย ด้วยเหตุนี้ขอแค่เซี่ยเซี่ยอยู่ในเรือนขนาดเล็กแห่งนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายเหมาเสี่ยวตงที่เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษาซานหยา

อวี๋ลู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากจะต้องประมือกันจริงๆ เจ้าก็ยังต้องแพ้อยู่ดี”

เซี่ยเซี่ยร้องอ้อหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ เป็นข้าที่มองผิดไป ต้องให้ข้าเอ่ยขอโทษเจ้าด้วยหรือไม่?”

อวี๋ลู่ล้มตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง ใช้สองมือต่างหมอน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้านี่นะ”

แม้ว่าจะเป็นเศษเดนของราชวงศ์สกุลหลูเหมือนกัน เดิมทีควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ประคับประคองช่วยเหลือกันถึงจะถูก แต่ส่วนลึกในใจของเซี่ยเซี่ยกลับรังเกียจอวี๋ลู่ที่รู้จักพอในทุกสถานการณ์ผู้นี้มากที่สุด อีกทั้งนางยังไม่เคยปกปิดความรู้สึกนี้ไว้แม้แต่น้อย

อวี๋ลู่หลับตาลง “นอนที่นี่สบายดีจัง ขอข้างีบสักพัก”

เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไล่เขาไป

อันที่จริงนางสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย เหตุใดอวี๋ลู่ถึงไม่ได้ติดตามเกาเซวียนไปสำนักศึกษาหลินลู่

อวี๋ลู่ไปอยู่ต้าหลี อย่างน้อยที่สุดก็สามารถดูแลชาวเมืองสกุลหลูที่ประหนึ่งตกอยู่ในน้ำลึกถูกแผดเผาอยู่ท่ามกลางกองไฟได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อันที่จริงตอนนี้ก็มีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ของสกุลหลูไม่น้อยที่แม้จะพึ่งพาต้าหลี แต่ก็ยังถือว่าพอจะเชื่อใจได้ แม่ทัพบู๊หลายคนก็ยิ่งติดตามกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ว่ากันว่าพวกเขาสร้างคุณความชอบได้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด จนเริ่มกลมกลืนเข้ากับกองทัพต้าหลีได้แล้ว

ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนนี้อวี๋ลู่ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยในสำมะโนครัวของต้าหลีแล้ว

พูดออกไปก็ทำให้คนตกใจตายได้

ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แต่มีข้อหนึ่งที่เซี่ยเซี่ยจำเป็นต้องยอมรับ นั่นคือเขาไม่ขาดความใจกว้าง

ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็เป็นเช่นนี้

ไม่ว่าจะมองอย่างไร อวี๋ลู่ก็ควรไปสำนักศึกษาหลินลู่

ทว่าอวี๋ลู่กลับเลือกจะอยู่ต่อในสำนักศึกษาซานหยา

ในบรรดาคนต่างถิ่นอย่างพวกเขาที่เข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกันปีนั้น นอกเหนือจากในสายตาของราชสำนักต้าสุยและบุคคลระดับสูงสุดของสำนักศึกษาแล้ว ยังคงเป็นหลินโส่วอีที่เป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่โดดเด่นเจิดจรัสมาโดยตลอด ความสำเร็จในอนาคตก็จะสูงที่สุด หลี่เป่าผิงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงน่าสนใจที่สุด ไม่ว่าใครก็รังเกียจไม่ลง เซี่ยเซี่ยเป็นคนที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งสุด พรสวรรค์ในด้านการเรียนรู้ของหลี่ไหวธรรมดาสามัญที่สุด แต่กลับไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ส่วนอวี๋ลู่นั้น เป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุดมาโดยตลอด ง่ายที่จะถูกคนลืมเลือน ต่อให้หลังจากมีองค์ชายเกาเซวียนเป็นสหายก็ยังไม่มีใครรู้สึกว่าคนหนุ่มอวี๋ลู่มีค่าพอให้จับตามอง กลับกันยิ่งทำให้คนดูแคลน มองว่าเป็นคนหนุ่มที่ชอบฉกฉวยโอกาส ดีแต่เกาะขาป่ายปีนชนชั้นสูงเท่านั้น

อวี๋ลู่พลันลืมตาโพลง “คุณชายของเจ้าบอกว่า เฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว พลังในการต่อสู้ที่แท้จริงมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น”

เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ทำไม เจ้ากลัวว่าจะถูกตามทันงั้นหรือ?”

อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ต้องถูกตามทันอยู่แล้ว”

เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้ว “เร็วมาก?”

อวี๋ลู่พยักหน้ารับ “เร็วจนเจ้าคาดไม่ถึงเลยล่ะ”

เซี่ยเซี่ยถามอีก “ผลจากบุญคุณแห่งโชคชะตาบู๊?”

อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ก็เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึก…กลุ้มเล็กน้อย”

เซี่ยเซี่ยไร้คำพูดตอบโต้

ไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่พบกัน เฉินผิงอันจะเป็นอย่างไร

เซี่ยเซี่ยนึกภาพไม่ออก

คงจะยังสะพายหีบไม้ไผ่ สวมรองเท้าสาน ทว่าตัวสูงขึ้นเล็กน้อยกระมัง?

……

หลี่เป่าผิงเองก็พักอยู่ในหอเพียงลำพัง

นี่คือเรื่องเดียวที่ศัตรูคู่แค้นสองคนอย่างชุยตงซานกับเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ทะเลาะถกเถียงกัน

เพราะในหอพักมีที่นอนของคนสี่คน ตามหลักแล้วแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพักอยู่เพียงลำพัง ในหอพักก็ควรจะว่างเปล่า

แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเตียงนอนของนาง เตียงที่เหลืออีกสามหลังล้วนเต็มแน่น กระดาษกองกันเป็นพะเนิน แต่ละปึกถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

ด้วยเรื่องนี้อาจารย์สอนหนังสือยังอดไปบ่นกับเจ้าขุนเขาทั้งหลายไม่ได้ แม่นางน้อยคัดหนังสือที่มากพอสำหรับการถูกลงโทษร้อยกว่าครั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้จะยังลงโทษนางอย่างไร?

พวกอาจารย์ที่ลาดตระเวนยามค่ำคืนก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แทบทุกคนล้วนได้เห็นภาพที่แม่นางน้อยจุดตะเกียงคัดหนังสือทุกคืน นางตวัดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน ออกจะขยันเกินเหตุไปบ้าง

ตอนแรกยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าบางส่วนรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนแม่นางน้อย เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อยอคติกับนางเกินไป เข้มงวดกับนางมากไป พวกเขายังเคยแอบมานินทากันเป็นการส่วนตัว ผลกลับกลายเป็นว่าคำตอบทำให้คนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อาจารย์เหล่านั้นบอกว่านี่ก็คืองานอดิเรกของแม่นางน้อย ไม่จำเป็นต้องให้นางคัดลอกบทความอริยะปราชญ์มากมายถึงเพียงนั้น มีบางครั้งที่หลี่เป่าผิงขาดเรียนไปนั่งเหม่ออยู่บนยอดเขาตงซาน หรือไม่ก็ออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่น หลังจากนั้นต้องถูกลงโทษให้คัดหนังสือตามกฎของสำนักศึกษาก็จริง แต่ต้องคัดมากขนาดนี้เสียที่ไหน ปัญหาก็คือแม่นางน้อยชอบคัดหนังสือ พวกเขาจะห้ามได้อย่างไร? ลูกศิษย์คนอื่นของสำนักศึกษา โดยเฉพาะพวกคนวัยเดียวกันที่นิสัยร่าเริงซุกซน พวกอาจารย์ต้องใช้ไม้บรรทัดและไม้เรียวบีบให้พวกเขาคัดตำรา แต่แม่นางน้อยกลับดีนัก นางคัดจนได้ภูเขาหนังสือลูกหนึ่งแล้ว

ยังดีที่แม่นางน้อยที่อาจารย์ของสำนักศึกษาทุกคนต่างรู้จักผู้นี้ นอกจากจะทำให้อาจารย์มีโทสะยามที่นางโดดเรียนแล้ว ยังมีจุดที่ทำให้คนรู้สึกว่าหาได้ยาก แน่นอนว่าไม่นับรวมคำถามประหลาดพิลึกทั้งหลายที่มักจะทำให้เหล่าอาจารย์หัวโต ในหัวสมองเล็กๆ นั่น เหตุใดถึงได้บรรจุความคิดที่น่าเหลือเชื่อไว้มากมายปานนั้น เหตุใดแม่น้ำลำคลองในใต้หล้าถึงชอบบิดไปบิดมา ท่านอาจารย์ท่านรู้คำตอบไหม? เวลาฝนตกหนัก ยุงที่อยู่นอกหอพักจะถูกเม็ดฝนกระแทกจนตายหรือไม่ ท่านอาจารย์ท่านรู้หรือไม่? แต่พอท้องฟ้าสดใสแล้วข้าออกไปหาดูบนพื้นอยู่ตั้งนานกลับหาศพของยุงไม่เจอเลยสักตัว ทำไมพวกปลาในทะเลสาบดื่มน้ำไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วยังไม่ท้องแตกตาย ท่านอาจารย์ท่านคงไม่รู้อีกแล้วสินะ ในตำรามีบอกไว้ไหม ข้าไปเปิดอ่านเองก็ได้…

และนอกเหนือจากที่อาจารย์ทั้งหลายซึ่งสอนหนังสือให้กับแม่นางน้อยจะปวดหัวแล้ว พวกเขายังพูดคุยสัพยอกกันเองว่า คงต้องหาเวลามารวบรวมคำถามของหลี่เป่าผิงไว้สักบทแล้วกระมัง

……

วันนี้หลี่ไหวเหมือนผีดลใจจึงไม่ได้ติดตามหลิวกวานกับหม่าเหลียนไป บอกพวกเขาว่าจะไปห้องส้วม แต่กลับไปที่ยอดเขาตงซานเพียงลำพัง

บังเอิญมาก เขาได้พบหลี่เป่าผิงที่สวมชุดกระโปรงสีแดงนั่งอยู่บนกิ่งไม้จริงดังคาด

หลี่ไหวไม่กล้าเอ่ยทักทาย เขาทำเพียงแค่ฟุบตัวลงบนโต๊ะหินของยอดเขา มองแม่นางน้อยคนนั้นที่มักจะมาปีนต้นไม้ของที่นี่บ่อยๆ อยู่ไกลๆ

หลังจากหลี่เป่าผิงเหม่อลอยเสร็จก็กอดลำต้นของต้นไม้แล้วกลิ้งตัวลงมาบนพื้นอย่างคล่องแคล่ว ชักเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที

นางเองก็มองเห็นหลี่ไหวที่ชูมือขึ้นสูงอยู่ตรงนั้นแต่กลับพูดไม่ออกเหมือนกัน

หลี่เป่าผิงแค่ชำเลืองตามองหลี่ไหวแล้วหันหน้ากลับ วิ่งลงไปยังด้านล่างภูเขาประหนึ่งใต้ฝ่าเท้ามีสายลม

หลี่ไหวรู้สึกน้อยใจและขุ่นเคืองเล็กน้อย จึงหากิ่งไม้มาจากบนพื้นกิ่งหนึ่ง นั่งยองลงบนพื้นแล้วขีดๆ เขียนๆ

หลี่ไหวตาเป็นประกาย นึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนตนเขียนชื่อของพ่อแม่ แล้วพวกเขาก็มาพบตนที่สำนักศึกษาจริงๆ

ถ้าอย่างนั้นหากตนเขียนชื่อของเฉินผิงอัน ก็จะได้ผลเหมือนกันมั้ย?

หลี่ไหวยิ้มกว้าง เริ่มเขียนตัวอักษรสามตัวเป็นชื่อของเฉินผิงอัน

ไม่รอให้เขาเขียนจบก็มีมือหนึ่งยื่นมาลบตัวอักษรที่อีกขีดเดียวก็จะเขียนเสร็จของเขาทิ้งไป

หลี่ไหวมึนงง มองเห็นหลี่เป่าผิงที่ไม่รู้ว่าย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่

หลี่ไหวเขียนตัวอักษรเฉินอย่างดื้อดึงอีกครั้ง หลี่เป่าผิงก็ยื่นมือมาลบมันทิ้งอีก

หากเป็นเมื่อก่อน หลี่ไหวอาจจะยอมถอยให้แล้ว แต่วันนี้เหมือนเขากินดีหมีหัวใจเสือ ต่อให้ต้องฝืนใจก็ต้องเริ่มเขียนอีกครั้ง

หลี่เป่าผิงเองก็ไม่พูดไม่จา หลี่ไหวใช้กิ่งไม้เขียน นางก็ยื่นมือออกไปลบทิ้ง

ผลคือรอจนหลี่ไหวเขียนจนกิ่งไม้กิ่งนั้นหัก แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนอักษรตัวเฉินที่สมบูรณ์ลงบนพื้นได้สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคำว่าผิงอันที่อยู่ด้านหลังเลย

หลี่ไหวโยนกิ่งไม้ที่หักแล้วทิ้งไป เริ่มร้องไห้โฮ

หลี่เป่าผิงไม่สนใจหลี่ไหว หยิบกิ่งไม้นั้นมา ยังคงนั่งยองต่อไป วางคางที่เริ่มแหลมเล็กลงบนแขนตัวเอง เริ่มเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อย พอเขียนเสร็จก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลี่ไหวเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ สูดจมูกพูดว่า “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังกล้ารังแกข้าแบบนี้อีก เฉินผิงอันมาเมื่อไหร่ ข้าจะฟ้องเขา! ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เต็มใจเป็นอาจารย์อาน้อยของเจ้าแล้วก็ได้!”

หลี่เป่าผิงยังคงเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อยต่อ แต่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบตัวอักษรอย่างใหม่ รวบรวมสมาธิจ้องพื้น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำข่มขู่ของหลี่ไหว

หลี่ไหวพลันเค้นรอยยิ้มออกมา ถามอย่างระมัดระวังว่า “หลี่เป่าผิง เจ้าให้ข้าเขียนสักสามตัวสิ? ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันอาจมาถึงสำนักศึกษาของพวกเราแล้วก็ได้ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ คราวก่อนข้าคิดถึงพ่อแม่ก็เขียนแบบนี้แหละ พวกเขาสามคนล้วนมากันครบเลย เจ้าเองก็รู้นี่นา”

หลี่เป่าผิงไม่เงยหน้า แค่ยื่นกิ่งไม้ส่งให้

หลี่ไหวดีใจสุดขีด เพียงแต่ว่ากิ่งไม้บนมือเพิ่งจะขีดลงบนพื้น หลี่เป่าผิงก็ขมวดคิ้วฉับ “เขียนดีๆ !”

หลี่ไหวตกใจมือสั่น ขีดอักษรนั้นจึงบิดเบี้ยวจนแทบทนมองไม่ได้ เขาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าทำอะไรน่ะ?!”

หลี่เป่าผิงช่วยลบตัวอักษรนั้นทิ้งไปให้

หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำตา เริ่มเขียนตัวอักษรเฉินอย่างตั้งใจ

หลังจากเขียนเสร็จ

หลี่เป่าผิงก็กวาดตามองรอบด้าน “คนล่ะ?”

หลี่ไหวหน้ามุ่ย “เร็วขนาดนั้นซะเมื่อไหร่”

หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดไปที่ต้นไม้ใหญ่ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ทอดสายตามองไปไกล

หลี่ไหวกลอกตา ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงโยนกิ่งไม้ทิ้งแล้วเริ่มวิ่งหนี

เพียงแต่เขาหรือจะวิ่งได้เร็วเท่าหลี่เป่าผิง เพียงไม่นานหลี่เป่าผิงก็วิ่งตามมาทัน หลี่ไหวตกใจรีบทรุดตัวนั่งยองยกมือกุมหัว

เพียงแต่ว่าคราวนี้หลี่เป่าผิงไม่ได้ตีเขาอย่างที่หาได้ยาก นางวิ่งไปบนถนนภูเขาจนกระทั่งไปถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ไปเดินเล่นอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต้าสุย

ในขณะที่หลี่เป่าผิงท่องเที่ยวอยู่ตามถนนซอกซอยของเมืองหลวงอย่างกระตือรือร้น ส่วนหลี่ไหวที่หลังจากพ้นหายนะมาได้ก็ย้อนกลับไปที่หอพัก

ตรงประตูใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย

มีคนสี่คนที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่กำลังยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้กับชายชราลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าอยู่ตรงประตู

ชายชราลัทธิขงจื๊อมองอยู่นาน บนเอกสารผ่านด่านมีตราประทับของแคว้นต่างๆ ในสองทวีป ตราประทับเบียดกันแน่นขนัด ในใจของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาเงยหน้ายิ้มถาม “คุณชายเฉินท่องเที่ยวไปหลายสถานที่ขนาดนี้เชียวหรือ?”

คนหนุ่มที่มาเยือนสำนักศึกษาผงกศีรษะรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version