Skip to content

Sword of Coming 402

บทที่ 402 อาจารย์อาน้อยกับแม่นางน้อย

ชายชราลัทธิขงจื๊อยื่นเอกสารผ่านด่านคืนให้กับคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น

อาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้รู้สึกประทับใจในตัวของคนหนุ่มผู้นี้อย่างถึงที่สุด

อาจารย์ผู้เฒ่ามองเฉินผิงอันอีกครั้ง เห็นว่าเขาสะพายกระบี่ยาวและหีบหนังสือก็ยิ่งรู้สึกสบายหูสบายตา

สะพายหีบหนังสือและกระบี่ออกทัศนศึกษาไกลนับหมื่นลี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่บัณฑิตอย่างพวกเราทำเป็น และทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว

เฉินผิงอันถาม “อาจารย์รู้จักแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิงหรือไม่ นางชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด”

อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “ในสำนักศึกษาของพวกเรามีใครที่ไม่รู้จักแม่หนูนี่บางเล่า อย่าว่าแต่ทั้งสำนักศึกษาเลย เกรงว่าแม้แต่เมืองหลวงต้าสุยก็ล้วนถูกแม่นางน้อยเดินจนปรุไปหมดแล้ว นางกระตือรือร้นมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นอยู่ทุกวัน ทำเอาคนแก่ที่ใกล้จะเดินไม่ไหวอย่างพวกเราอิจฉายิ่งนัก วันนี้นางก็โดดเรียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาอีกแล้ว หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วยาม ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกับเป่าผิงน้อยพอดี”

เฉินผิงอันถาม “นางออกไปจากสำนักศึกษาคนเดียวหรือ?”

อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง”

เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเฉินผิงอัน อาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ แม่นางน้อยออกไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเกิดเรื่องเลยสักครั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมืองหลวงต้าสุยของพวกเราสงบสุขปลอดภัยมาโดยตลอด ขนบธรรมเนียมของผู้คนก็เรียบง่าย บวกกับที่เจ้ากรมพิธีการก็คือเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาพอดี เขามักจะมานั่งดื่มชากับเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายบนภูเขาตงซานแห่งนี้ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรหรอก”

เฉินผิงอันถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง

อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “ทำไม ครั้งนี้มาเยือนสำนักศึกษาซานหยาก็เพื่อมาหาเป่าผิงน้อยหรือ? ดูจากสำมะโนครัวของเจ้าบนเอกสารผ่านด่านก็เป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เป็นคนบ้านเดียวกับแม่นางน้อย ยังเป็นญาติกันด้วย?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เป็นแค่คนบ้านเดียวกัน ไม่ใช่ญาติ เมื่อหลายปีก่อนข้ามาเมืองหลวงต้าสุยพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นข้าไม่ได้ขึ้นเขาเข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเขา”

อาจารย์ผู้เฒ่าประหลาดใจเล็กน้อย ปีนั้นที่กลุ่มเด็กของเขตการปกครองหลงเฉวียนเข้ามาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา อันดับแรกก็ส่งกองทหารมากฝีมือไปรับที่ชายแดน จากนั้นก็ยิ่งเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษาด้วยองค์เอง เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก อีกทั้งฮ่องเต้ยังปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ประทานของให้แก่เด็กทุกคนที่มาขอศึกษาต่อ ตามหลักแล้วต่อให้คนหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เข้ามาในสำนักศึกษา ตนก็น่าจะได้เห็นเขาสักแสบสองแวบถึงจะถูก

อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “เจ้าจะรอให้หลี่เป่าผิงกลับมาสำนักศึกษาอยู่ตรงนี้?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

แน่นอนว่าคนแรกที่เขาต้องการพบเจอในสำนักศึกษาซานหยา คือเป่าผิงน้อย

หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เฉินผิงอันต้องไปพบอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลี่ไหวที่อายุน้อยที่สุด

เพียงแต่พวกเขาล้วนเทียบกับแม่นางน้อยที่ชอบสวมผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงฤดูร้อนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่เคยปฏิเสธใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง เขาสนิทสนมใกล้ชิดกับเป่าผิงน้อยมากที่สุด ระหว่างเดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยเป็นเช่นนี้ ภายหลังตอนที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพียงลำพังก็ส่งจดหมายมาให้แค่หลี่เป่าผิงคนเดียว หลังจากนั้นก็ให้แม่นางน้อยที่เป็นผู้รับจดหมายช่วยอาจารย์อาน้อยอย่างเขานำจดหมายไปส่งต่อให้คนอื่นๆ ภาพวาดที่จิตรกรตระกูลฟ่านวาดให้บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาก็ส่งมาให้หลี่เป่าผิงหนึ่งภาพเพียงคนเดียว พวกหลี่ไหวต่างก็ไม่ได้รับ

ความใกล้ชิดห่างเหินที่แตกต่างกันเช่นนี้ หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เคยใส่ใจก็เท่านั้น หลินโส่วอีคือหยกงามในด้านการฝึกตน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์สกุลหลู

ส่วนหลี่ไหวที่เก่งแต่ในผ้าห่มของตัวเองนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังน่าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันก็ดี หรืออาเหลียงก็ช่าง ทุกคนล้วนสนิทสนมกับเขาที่สุด

อาจารย์ผู้เฒ่าโบกมือคลี่ยิ้ม “ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าควรเอาของไปวางไว้ในหอพักแขกของสำนักศึกษาก่อนจะดีกว่า ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงแอบดอดออกไป ต่อให้ไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาเร็วสุดก็ยังต้องเป็นช่วงยามสนธยาแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่เป็นข้อยกเว้น หากเจ้าจะรอนางอยู่ที่หน้าประตูนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสามชั่วยาม ไม่มีความจำเป็นหรอก”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันหน้าไปมองพวกเผยเฉียนสามคน หากมีแค่ตนคนเดียว เขาก็ไม่ถือสาหากต้องรออยู่ที่นี่

เขาหันไปมองสุดปลายทางของถนนใหญ่แวบหนึ่ง

จูเหลี่ยนมองประเมินสิ่งปลูกสร้างของสำนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังประตูภูเขาอยู่ตลอดเวลา สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสร้างขึ้นอิงกับตัวภูเขา แม้ว่าจะเป็นการก่อสร้างใหม่ของกรมโยธาธิการต้าสุย แต่กลับตั้งใจอย่างถึงที่สุด ทำให้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโบราณเรียบง่าย แต่กลับสง่างาม

สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายจากต้าหลีมาอยู่เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาล

นี่คือสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งแรกที่จูเหลี่ยนได้พบเห็นหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว

สถานที่ที่อริยะถ่ายทอดความรู้ เสียงอ่านตำราดังก้องกังวาน ชื่อเสียงระบือดังไปทั่วหล้า

ช่วงแรกเริ่มที่สำนักศึกษาซานหยาถูกสร้างขึ้นที่ต้าหลี เจ้าขุนเขาคนแรกก็เสนอให้ลำดับการศึกษา (คือขั้นตอนการเรียนรู้สี่ขั้นตอนที่จูซีเน้นย้ำ หนึ่งคือต้องมีความรู้กว้างขวาง สองซักถามเมื่อไม่เข้าใจ สามนำมาคิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างละเอียด สี่นำความรู้มาปฏิบัติจริง) เป็นบทอธิบายความหมาย หลักๆ คือการนำความรู้มาแบ่งเป็นสี่ข้อ ซึ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติจริง

ขณะที่จูเหลี่ยนทอดสายตามองประเมินสำนักศึกษา สือโหรวที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าหอบหายใจแรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แม้ว่าสือโหรวจะเข้ามาสิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน สามารถต้านทานปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมไร้รูปลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของภูตผีวัตถุหยินก็ยังทำให้นางหวาดผวาอยู่ในใจไม่คลาย

เผยเฉียนไม่พูดไม่จา ดูเหมือนจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าสือโหรวเสียอีก

ตอนลงจากเรือที่นครมังกรเฒ่า เผยเฉียนที่ยังตะโกนก้องอยู่ในใจว่าจะต้องไปเจอหลี่เป่าผิงดูสักหน่อย พอมาถึงประตูใหญ่เมืองหลวงต้าสุย นางกลับเริ่มใจฝ่อ

พอมาถึงหน้าประตูภูเขาของสำนักศึกษาซานหยา นางก็ยิ่งกลัดกลุ้ม

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ขอถามท่านอาจารย์ หากเข้าไปในหอพักแขกของสำนักศึกษาแล้ว พวกเราอยากจะพบเจ้าขุนเขาเหมา จะต้องให้คนไปแจ้งข่าวก่อนแล้วรอคำตอบหรือไม่?”

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงการไปแจ้งข่าวนั้นมีความหมายไม่มาก หลักๆ แล้วเป็นเพราะเจ้าขุนเขาเหมาของพวกเราไม่ชอบรับแขก หลายปีมานี้แทบจะปฏิเสธแขกและงานเลี้ยงรับรองทั้งหมด ต่อให้ใต้เท้าเจ้ากรมมาที่สำนักศึกษาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้พบเจ้าขุนเขาเหมา แต่คุณชายเฉินเดินทางมาไกล อีกทั้งยังเป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียน คาดว่าแค่ทักทายกันก็คงได้ แม้เจ้าขุนเขาเหมาจะเข้มงวดในด้านการศึกษา แต่อันที่จริงกลับเป็นคนพูดง่าย เพียงแต่ว่าเหล่าคนมีชื่อเสียงของต้าสุยที่เดินทางมาที่นี่มักจะชอบพูดคุยเรื่องลี้ลับ ถึงได้คุยกับเจ้าขุนเขาเหมาไม่รู้เรื่อง”

เฉินผิงอันยังคงไม่ได้เดินเข้าไปในสำนักศึกษาทันที เขาถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องความเป็นระเบียบและรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงต้าสุยคือที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบ?”

อาจารย์ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ดูท่าจะยังเป็นห่วงหลี่เป่าผิง เขาจึงยิ้มตอบว่า “เป็นเช่นนี้จริง อีกทั้งบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าขุนนางในที่ว่าการแห่งนั้น ตอนนี้ก็มาศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาด้วย”

เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง

เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับหลี่เป่าผิงอีกเล็กน้อยถึงได้บอกลาอาจารย์ผู้เฒ่า เดินเข้าไปในสำนักศึกษา

เผยเฉียนเดินด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง โดยเฉพาะเมื่อเดินผ่านประตูมาแล้ว ระยะทางภูเขาช่วงหนึ่งเป็นเนินราบเรียบ ทำให้เวลาเดินแทบไม่ต่างจากการเดินลุยน้ำหรือลุยกองหิมะ

สำนักศึกษามีหอพักแขกที่เอาไว้รับรองญาติและผู้ปกครองของลูกศิษย์โดยเฉพาะ ปีนั้นสองสามีภรรยาหลี่เอ้อร์และบุตรสาวหลี่หลิ่วก็พักอยู่ที่เรือนพักแขกนี้

ทางสำนักศึกษาเก็บเงินเหรียญทองแดงแค่พอเป็นพิธี หอพักแขกทุกหลังเก็บเงินแค่วันละสิบเหรียญทองแดงเท่านั้น เมื่อรู้ว่าตอนนี้คนที่เข้าพักในหอมีไม่มาก เฉินผิงอันจึงจองห้องพักติดกันสี่ห้องรวด

ต่างคนต่างไปเก็บสัมภาระไว้ในห้อง แล้วเผยเฉียนก็มาคัดหนังสือที่ห้องของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง แม้แต่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวก็ปลดลงมาพร้อมกันด้วย

จูเหลี่ยนมาถามว่าจะออกไปเดินดูสำนักศึกษาด้วยกันหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่ายังไม่ไป เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่มีทางสนใจจูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนจึงไปเคาะห้องของสือโหรว สือโหรวที่ครั่นเนื้อครั่นตัวอารมณ์ไม่ใคร่จะดี จูเหลี่ยนยังมาพูดจาประหลาดที่ในความสุภาพแฝงไว้ด้วยความหยาบโลนอยู่นอกห้อง นางก็เลยตบรางวัลให้จูเหลี่ยนด้วยคำว่าไสหัวไป

จูเหลี่ยนจึงได้แต่ไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพัง

……

หลี่เป่าผิงอาจจะกลายเป็นคนที่เข้าใจเมืองหลวงแห่งนี้ได้ดียิ่งกว่าชาวบ้านที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวงเสียอีก

นางเคยไปเยือนประตูเทียนฉางทางทิศใต้ที่ถูกชาวบ้านเรียกเล่นๆ ว่าประตูธัญพืช ธัญพืชที่ส่งมาทางน้ำล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากขุนนางกรมครัวเรือนของที่นั่นก่อนแล้วค่อยถูกเก็บเข้าคลังเสบียง เป็นสถานที่รวบรวมธัญพืชจากทั่วสารทิศ นางเคยนั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนั้นเกือบครึ่งวัน มองดูพวกขุนนางและเหล่าเสมียนทำงานกันง่วน รวมไปถึงคนแบกหามที่เหงื่อแตกท่วมตัว นางยังรู้ว่าที่นั่นมีศาลเทพจิ้งจอกที่ควันธูปโชติช่วงอยู่แห่งหนึ่ง แม้ไม่ใช่ศาลที่มาจากการสืบทอดดั้งเดิมซึ่งได้รับการยอมรับจากกรมพิธีการของทางราชสำนัก แต่ก็ไม่ใช่ศาลเถื่อน ความเป็นมาแปลกประหลาด ด้านในตั้งบูชาหางจิ้งจอกที่มีแสงแวววาวเหมือนใหม่ไว้หางหนึ่ง มีหญิงชราที่สติไม่สมประกอบคอยขายยันต์น้ำด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ และยังเคยได้ยินเรื่องของอาจารย์จับกระดูกที่มาจากด่านชายแดนตะวันตกของต้าสุย ผู้เฒ่าและหญิงชรามักจะทะเลาะกันเป็นประจำ

นางเคยไปงานวัดของวัดฉางฝู ที่นั่นมีผู้คนคลาคล่ำ นางอยากได้งูกระบอกชนิดหนึ่งที่ทำมาจากเขาวัวมาก คนมีเงินที่มาที่นี่มีเยอะ แม้แต่ข้ารับใช้ที่ติดตามเหล่าลูกหลานชนชั้นสูงซึ่งมองดูแล้วเย่อหยิ่งกว่าเจ้านายก็ยังชอบสวมเสื้อหนังชวนสู่ (หนูชนิดหนึ่ง) ย้อมดำ สวมรอยเป็นว่าสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกหนังเสือดาว

หลี่เป่าผิงยังเคยไปเตร่แถววังหลวง แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่นั่นนานถึงครึ่งวันบ่าย ถึงได้รู้ว่าที่แท้มีคนหามเกี้ยวและหญิงทอผ้าจำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่ใช่คนในวัง แต่ก็สามารถเข้าออกวังหลวงได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องมีป้ายพกไว้ที่เอว ในบรรดานั้นก็มีช่างทำกระดาษมือจำนวนไม่น้อยที่หอวัฒนธรรมซึ่งเป็นผู้รวบรวม แก้ไขซ่อมแซมหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัยจ้างมา

จากนั้นนางก็วนไปยังประตูหลังของวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นเรียกว่าประตูตี้จิ่ว จำนวนครั้งที่หลี่เป่าผิงไปเยือนที่นั่นจะมากกว่า เพราะที่นั่นคึกคักมากกว่า เคยไปที่ร้านขายเครื่องเงินเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง แล้วก็เคยได้เห็นคลื่นมรสุมครั้งหนึ่ง เป็นเหตุการณ์มือปราบจับโจรอย่างดุดัน เสียงดังเอะอะเรียกสายตาผู้คน ภายหลังนางถามจากเถ้าแก่ร้านที่อยู่ใกล้กันถึงได้รู้ว่าที่แท้ร้านที่ทำการค้าสกปรก แต่กลับมีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนั้นคือรังที่รับซื้อของโจร ของที่ขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นของในวังที่คนในวังหลวงต้าสุยขโมยออกมาโดยการซ่อนไว้ในพวกถุงหอม แม้แต่แผ่นดีบุกที่ใช้ซ่อมแซมร่องน้ำของตำหนักก็ยังถูกขโมยมา เศษวัสดุที่เหลือจากการซ่อมแซมพระราชวังประจำปีก็ถูกพวกพ่อค้านอกวังจับจ้องตาเป็นมันเช่นกัน การรายงานของเสียหายของสูญหายจำนวนมากของฝ่ายก่อสร้างก็ยิ่งทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะฝ่ายทำเครื่องทองเครื่องหยกและฝ่ายติดประดับที่เอาของแทรกปะปนออกมานอกวัง แล้วนำมาแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้อย่างง่ายดาย

ตอนนั้นหลี่เป่าผิงไม่ค่อยเข้าใจนัก อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้ขนาดนี้ยังมีคนกล้าขโมยของของเชื้อพระวงศ์ออกมาได้อย่างไร เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่สนิทสนมกับนางจึงยิ้มอธิบายว่า นี่เรียกว่าการค้าตัดหัวมีคนทำ การค้าขาดทุนไม่มีคนทำ

หลี่เป่าผิงยังไปที่สะพานซิ่วอีซึ่งห่างจากประตูตี้จิ่วไม่ไกล ที่นั่นมีทะเลสาบใหญ่ เพียงแต่ว่าถูกพวกกำแพงสูงของจวนอ๋อง จวนขุนนางชั้นสูงขวางกั้นเอาไว้ ที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบก็ตั้งอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเตียวเม่า หลี่เป่าผิงกินขนมพลางเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายเที่ยว เพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นางไม่ค่อยชอบมักคุยโวว่าบิดาเขาที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการสวมหมวกขุนนางใหญ่ที่สุด ต่อให้เขาปีนขึ้นไปบนตัวสิงโตหินของที่นั่นแล้วฉี่รดมันก็ยังไม่มีใครกล้ามายุ่ง

หลี่เป่าผิงยังไปที่ตรอกจงกวานที่อยู่ทางใต้ของเมือง คือสถานที่ที่ขันทีวัยชราและนางกำนัลผมขาวของวังหลวงมาอยู่อาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตหลังออกจากวัง ที่นั่นมีวัดวาอารามเยอะมาก เพียงแต่ขนาดไม่ใหญ่ พวกขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นล้วนพากันไปทำบุญโดยไม่เสียดายเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไม่มากของตัวเอง อีกทั้งยังมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด

ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงมักจะเห็นคนแก่หลังค่อมมีข้ารับใช้คอยประคอง หรือไม่ก็คนแก่ถือไม้เท้าเดินเพียงลำพังไปจุดธูปที่วัดวาอารามเหล่านั้น

เดินเตร็ดเตร่อยู่หลายครั้ง หลี่เป่าผิงจึงรู้ว่าที่แท้นางกำนัลที่มีประสบการณ์มากที่สุดจะถูกเรียกขานว่าเหล่าเลาฝ่ายใน คือนางกำนัลอายุมากที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ฮองเฮา นางกำนัลวัยชราที่ทุกวันมีหน้าที่หวีพระเกศาให้กับฮ่องเต้จะมีตำแหน่งสูงศักดิ์ที่สุด และยังมีบางคนที่ได้รับยศเป็น ‘ฟูเหริน’

ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดของต้าสุย ร้านค้าเยอะที่สุด รถม้าสัญจรขวักไขว่ ผู้คนเนืองแน่น เงินก็ไหลสะพัด หนึ่งในนั้นก็มีร้านหนังสือร้านหนึ่งที่หลี่เป่าผิงชอบไปเยือนที่สุด พวกเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ใจกล้าหน่อยยังแอบขายหนังสือบางส่วนที่หากอิงตามกฎหมายของต้าสุยแล้วจะไม่สามารถนำออกไปจากอาณาเขตของแคว้นได้ พวกทูตของแคว้นใต้อาณัติมักจะส่งข้ารับใช้มาซื้อตำราเหล่านี้เป็นการส่วนตัว แต่หากโชคไม่ดีถูกมือปราบที่ลาดตระเวนของทางตลาดจับได้ก็จะถูกหิ้วตัวไปกินข้าวแดงที่ที่ว่าการ

ในสามปีมานี้ แม่นางน้อยที่ไม่ว่าจะสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมหรือชุดอาภรณ์ธรรมดาก็ล้วนเป็นสีแดงสดเคยช่วยเหลือผู้คนอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะประคองผู้เฒ่าขากะเผลกไปจุดธูปไหว้พระ ช่วยปีนต้นไม้ไปเก็บว่าวมาให้เด็กที่ร้องไห้จ้าอยู่ใต้ต้นไม้

ช่วยผู้เฒ่าสวมชุดเก่าปอนเข็นรถเทียมวัวบรรจุถ่านไม้ที่ล้อจมอยู่ท่ามกลางดินหรือไม่ก็หิมะ ดูผู้เฒ่าเล่นหมากล้อมตรงหัวมุมถนน เขย่งปลายเท้าถามราคาของตกแต่งห้องหนังสือในร้านขายของโบราณหลายแห่ง นั่งบนขั้นบันไดด้านล่างสะพาน ฟังพวกคนเล่านิทานเล่าเรื่องราวต่างๆ เดินสวนไหล่กับเหล่าพ่อค้าหาบเร่ที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยช่วยแยกพวกเด็กๆ ที่ต่อยตีกันมะรุมมะตุ้ม…

แม่นางน้อยเคยได้ยินเสียงนกหวีดนกพิราบ (คือนกหวีดชนิดหนึ่งที่ผูกไว้ตรงหางนกพิราบ เวลาที่นกพิราบบินจะเกิดเสียงดัง) ที่ดังผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง แม่นางน้อยเคยเห็นว่าวกระดาษงดงามที่ไหวโยน แม่นางน้อยเคยกินเกี๊ยวน้ำที่อร่อยที่สุดในใต้หล้า แม่นางน้อยเคยหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เคยหลบแดดร้อนแรงอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เคยเป่าลมใส่มือถูเข้าหากันเพื่อให้ร่างกายอุ่นขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางลมหิมะ…

วันนี้หลี่เป่าผิงไปที่ร้านหนังสืออีกครั้ง ระหว่างทางไปร้านนางแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อาหารอร่อยและราคาถูก ขากลับก็เปลี่ยนมากินร้านบะหมี่ในตรอกเล็กที่สูตรการทำถ่ายทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะต่างก็คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี มักจะบอกว่าจะคิดเงินราคาถูก หรือไม่ก็ไม่คิดเงินเลย แต่หลี่เป่าผิงกลับไม่ยอม บอกว่าเอาไว้คราวหน้าค่อยลดให้ก็ได้ แต่ว่าคราวหน้าในอีกๆ หลายครั้งต่อจากนั้น ร้านอาหารทั้งสองต่างก็ไม่เคยได้รับโอกาสนี้ นานวันเข้าจึงคิดแค่ว่าแม่นางน้อยแค่พูดไปตามมารยาท ไม่อยากให้กิจการเล็กๆ ที่เดิมทีก็ได้เงินน้อยของพวกเขาขาดเงินไม่กี่เหรียญนั้นไป แต่อันที่จริงพวกเขาอยากหัวเราะมาก มาเจอกับลูกค้าที่ทั้งน่ารักและรู้ความเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาจะหาเงินได้ยากขนาดไหนก็ไม่มีทางถือสากับเงินเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้น

ท่ามกลางแสงสายัณห์

เงาร่างที่พุ่งฉิวของหลี่เป่าผิงมาปรากฏตัวอยู่บนถนนใหญ่เส้นที่อยู่นอกประตูของสำนักศึกษาซานหยา

แม่นางน้อยรู้สึกว่าที่ในตำรากล่าวไว้ว่ากาลเวลาผ่านไปเร็วดุจกระสวย ดุจควบม้าขาวผ่านร่องแคบ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่ ทำไมพอมาเกิดกับนาง เวลาถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก ทำให้คนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว?

แม่นางน้อยผู้สวมชุดกระโปรงสีแดงที่ดวงตามองไปแต่ทิศไกลเอ่ยทักทายอาจารย์ผู้เฒ่าที่เฝ้าประตูอย่างรวดเร็วแล้วก็พุ่งตัวผ่านไป

อาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังงีบหลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันไปตะโกนกับแผ่นหลังนั้น “เป่าผิงน้อย เจ้ากลับมานี่!”

หลี่เป่าผิงหยุดชะงัก นางเหวี่ยงมือสองข้าง เท้าหนึ่งก้าวออกไป เท้าหนึ่งปักตรึงอยู่ที่เดิม หันหน้ากลับมามองอาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังกวักมือเรียกตนแล้วก็วิ่งถอยหลัง แถมนางยังวิ่งได้เร็วมากอีกด้วย…

หลี่เป่าผิงวิ่งกลับมาที่หน้าประตู ยืนนิ่งแล้วก็ถามว่า “อาจารย์เหลียง มีธุระอะไรหรือ?”

อาจารย์แซ่เหลียงถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าไม่ได้เจอคนรู้จักระหว่างทางหรือ?”

หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง ส่ายหน้าพูด “ไม่เจอ”

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าไม่ได้เลี้ยวมาทางถนนป๋ายเหมาสินะ?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ทำไมหรือ?”

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถาม “เป่าผิง ก่อนจะตอบคำถามของเจ้า เจ้าตอบคำถามของข้าก่อน เจ้าคิดว่าความรู้ของข้ายิ่งใหญ่หรือไม่?”

หลี่เป่าผิงครุ่นคิด “น้อยกว่าเจ้าขุนเขาเหมาเล็กน้อย”

อาจารย์ผู้เฒ่าพลันสะอึกอึ้งไปกับคำตอบที่จริงใจของแม่นางน้อย

แต่หากเปลี่ยนมุมมองความคิดเสียใหม่ แม่นางน้อยเอาตนไปเปรียบเทียบกับอริยะลัทธิขงจื๊อ นี่ก็ถือว่าเป็นประโยคน่าฟังไม่ใช่หรือ?

ดังนั้นอารมณ์ของอาจารย์ผู้เฒ่าจึงไม่เลว บอกกับหลี่เป่าผิงว่ามีคนหนุ่มคนหนึ่งมาหานางที่สำนักศึกษา ก่อนหน้านี้มายืนอยู่หน้าประตูนานมาก ภายหลังเอาสัมภาระไปเก็บไว้ในหอพักแขก แล้วก็มาที่นี่อีกสองรอบ รอบสุดท้ายคือเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มาแล้วก็ไม่จากไปอีก

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มพูด “ข้าเลยโน้มน้าวเขาว่าไม่ต้องร้อนใจไป เป่าผิงน้อยของพวกเราคุ้นเคยกับเมืองหลวงไม่ต่างจากบ้านของตัวเอง ไม่มีทางหลงทางได้แน่ แต่คนผู้นั้นก็ยังเดินกลับไปกลับมาอยู่บนถนนเส้นนี้ ภายหลังข้าก็ร้อนใจแทนเขาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงบอกเขาว่าโดยทั่วไปแล้วเจ้าจะเลี้ยวเข้ามาทางตรอกป๋ายเหมา คาดว่าเขาน่าจะรอเจ้าอยู่ที่ตรอกนั่น พอไม่เห็นเจ้าก็เลยเดินขยับไปข้างหน้าอีกหน่อย คงคิดอยากจะพบเจ้าให้เร็วขึ้นกระมัง ดังนั้นพวกเจ้าสองคนถึงได้คลาดกัน ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ รับรองว่าอีกไม่นานเขาก็กลับมาแล้ว”

หลี่เป่าผิงพลันหันขวับแล้ววิ่งตะบึงจากไป

อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวอย่างร้อนใจ “เป่าผิงน้อย เจ้าจะไปหาเขาที่ถนนป๋ายเหมาหรือ? ระวังว่าเพื่อตามหาเจ้า เขาจะออกห่างจากถนนป๋ายเหมาไปไกลแล้ว แล้วถ้าเขาไม่ได้ย้อนกลับมาที่เดิม พวกเจ้าจะไม่คลาดกันอีกหรือ? ทำไม พวกเจ้าคิดจะเล่นซ่อนหากันหรือไง?”

หลี่เป่าผิงร้อนใจเหมือนมดในกระทะร้อน เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม

นี่เป็นภาพที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่แล้วหลี่เป่าผิงที่น้ำตาคลอเจียนจะหยดก็พลันตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”

เงาร่างสวมชุดขาวของคนผู้หนึ่งประหนึ่งรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งที่เลี้ยวจากถนนป๋ายเหมาเข้ามาในคลองจักษุ จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมพุ่งทะยานมาถึงในเสี้ยววินาที

หลังจากที่เรือนกายที่ล่องลอยของคนหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนนิ่งแล้ว ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างของเขายังคงโบกสะบัดประหนึ่งเจ๋อเซียนผู้สง่างาม

เขามายืนอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อยชุดแดง คลี่ยิ้มกว้างสดใส พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์อาน้อยมาแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version