บทที่ 404 เยี่ยมเยือน
เฉินผิงอันไปยังเรือนพักที่ชุยตงซานได้ครอบครองเพียงลำพังก่อน ตอนที่อยู่หน้าประตู หลี่เป่าผิงถามว่าตอนกลางคืนให้เผยเฉียนมานอนกับนางได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าขอแค่เผยเฉียนยอมตอบรับก็พอ
หลี่เป่าผิงยังถามอีกว่าสามารถมอบดาบแคบยันต์มงคลและน้ำเต้าเล็กสีเงินให้เผยเฉียน หรือไม่ก็อาจให้เผยเฉียนยืมได้หรือไม่ ตอนที่เผยเฉียนออกมาท่องยุทธภพจะได้มีบารมีน่าเกรงขามสักหน่อย
เฉินผิงอันยิ้มพูดว่า ตอนนี้ยังไม่ต้องมอบของขวัญล้ำค่าขนาดนี้ให้เผยเฉียน สัมภาระที่เผยเฉียนจะพกไปยามออกท่องยุทธภพในวันหน้า ทุกสิ่งที่จำเป็น เขาที่เป็นอาจารย์ล้วนต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่การออกท่องยุทธภพในครั้งแรกไม่ควรให้สะดุดตาเกินไปนัก พาหนะเป็นแค่ลาตัวเล็กก็ดีมากแล้ว ส่วนดาบก็มีดาบที่ลักษณะคล้ายคลึงกับยันต์มงคล ชื่อว่าหยุดหิมะ กระบี่ก็คือกระบี่ชือซิน ซึ่งต่างก็ถือว่าไม่เลว
หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
โบกมือลาอาจารย์อาน้อยแล้วก็สะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กพุ่งทะยานจากไป
ไม่รอให้เฉินผิงอันเคาะประตู เซี่ยเซี่ยก็มาเปิดประตูด้วยตัวเองเบาๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “คงไม่มีอะไรไม่สะดวกกระมัง?”
เซี่ยเซี่ยส่ายหน้า ขยับตัวเบี่ยงหลบให้
สำหรับเฉินผิงอัน นางมีความประทับใจที่ดีกว่าอวี๋ลู่อยู่มาก
อีกอย่างก็เพราะเฉินผิงอันคืออาจารย์ของ ‘คุณชายตนเอง’ เซี่ยเซี่ยไม่กล้าเพิกเฉย ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ต้องลำบากก็ยังคงเป็นนาง
มองประเมินเฉินผิงอันอย่างโจ่งแจ้งอยู่สองสามที เซี่ยเซี่ยก็กล่าวว่า “เคยได้ยินแค่ว่าหญิงสาวเปลี่ยนตอนอายุสิบแปด เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?”
เฉินผิงอันเข้ามาในเรือนพัก เซี่ยเซี่ยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังปิดประตูลง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างที่แทบทนมองไม่ได้ของตนทุกวันนี้ ต่อให้เฉินผิงอันเสียสติกระเดือกได้ลงคอก็ถือว่าเป็นความสามารถของเขาแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นคนแบบใด เซี่ยเซี่ยรู้ชัดเจนดีที่สุด นางไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขาสองฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกัน ยิ่งไม่มีทางเรียกได้ว่าในใจรู้สึกเลื่อมใสสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ก็ไม่รังเกียจ เพียงแค่นี้เท่านั้น
ก็เหมือนกับคนบนโลกมองวิธีการเขียนพู่กัน จะหลงรักตัวอักษรฉ่าวซูที่ปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มคราบ หรือชื่นชอบตัวอักษรข่ายซู่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เป็นแค่ความสนใจของใครของมันเท่านั้น ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
เมื่อเทียบกับอวี๋ลู่ที่ไม่ได้รับความสำคัญแล้ว เซี่ยเซี่ยเกรงใจและใจกว้างกับเฉินผิงอันกว่ามาก นางเป็นฝ่ายชี้ไปที่ระเบียงไม้ไผ่เขียวนอกห้องหลักแห่งนั้นด้วยตัวเองแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องถอดรองเท้า นั่นเป็นไผ่มรกตของตระกูลเซียนที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษที่ชิงเซียวตู้ของต้าสุย ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย เหมาะแก่การให้ผู้ฝึกตนมานั่งเข้าฌาน ก่อนที่คุณชายจะจากไปได้บอกให้ข้านำความไปบอกแก่หลินโส่วอีว่าสามารถมาฝึกวิชาอสนีที่นี่ได้ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าหลินโส่วอีน่าจะไม่ยอมตอบรับ ก็เลยไม่ได้ไปหาเรื่องใส่ตัว”
เฉินผิงอันยังคงถอดรองเท้าหุ้มแข้งที่เผยเฉียนแอบซื้อมาให้จากเมืองหูเอ๋อร์ แล้วสุดท้ายนำมามอบให้เขา
นั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตช่างสบายจริงๆ เฉินผิงอันบิดข้อมือเล็กน้อย หยิบเอาเหล้าเซียนบ่อน้ำไหหนึ่งที่ซื้อจากท่าเรือหางผึ้งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ถามว่า “ดื่มไหม? เป็นแค่เหล้าหมักของพวกชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น”
เซี่ยเซี่ยที่นั่งเอียงๆ อยู่บนบันไดห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันจึงโยนกาเหล้าไปให้นางเบาๆ
เซี่ยเซี่ยรับกาเหล้ามา เปิดออกแล้วดม “ไม่เลวเลยนี่นา ไม่เสียแรงที่เป็นของที่เอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น”
เซี่ยเซี่ยไม่ได้รีบร้อนดื่ม ยิ้มถามว่า “ชุดคลุมบนร่างเจ้าตัวนี้คงเป็นชุดคลุมอาคมกระมัง? เพราะว่าอยู่ในเรือนหลังนี้ ข้าจึงสัมผัสได้ถึงการโคจรของปราณวิญญาณเล็กๆ น้อยๆ จากมัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุดคลุมมีชื่อว่าจินหลี่ ข้าบังเอิญได้มาตอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าร่องเจียวหลงระหว่างเดินทางไปภูเขาห้อยหัว”
เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา มองไปทางประตูเรือนด้วยสีหน้าซับซ้อน พึมพำเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โชคไม่เลวเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก
เซี่ยเซี่ยยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าเป็นแล้วจริงๆ หรือนี่ ออกจากบ้านไปท่องยุทธภพในครั้งนี้นับว่าไม่เสียเที่ยว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นมือออกไปลูบพื้นไม้ไผ่ ปราณวิญญาณเล็กละเอียดไหลริน แม้จะเทียบไม่ได้กับปราณวิญญาณที่มีอยู่ในจวนตระกูลเซียนหรือถ้ำสวรรค์ แต่ก็ถือว่าเปี่ยมล้นยิ่งกว่าห้องระดับเยี่ยมที่สุดในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของราชวงศ์โลกมนุษย์มากแล้ว
รอบด้านเงียบสงบ
เซี่ยเซี่ยพึมพำกับตัวเองว่า “แสงดาวส่องสว่างสี่ทิศ อยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเงิน (เปรียบเปรยถึงทางช้างเผือก) จะดับร้อนได้หรือไม่? กระท่อมตระกูลเซียนช่างเย็นสบาย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เป็นบทกลอนที่กวีท่านใดของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าเขียนไว้หรือ?”
เซี่ยเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ “เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นค่ำคืนหนึ่งที่คล้ายๆ กับคืนนี้นี่แหละ อาจารย์ของข้าท่องประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางบอกว่าถ้อยคำที่ ‘พัฒนามาจากบทกวี’ เป็นแค่วิถีเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการเขียนพู่กันและการเล่นหมากล้อม ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
เฉินผิงอันกล่าว “ตอนที่อยู่เรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัว เดิมทีข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าและหลินโส่วอีคนละชิ้น ของขวัญของเจ้า ตอนนั้นข้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานผุพังที่ไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ชิ้นหนึ่ง จึงซื้อมาในราคาที่ถูกมาก ภายหลังถึงได้รู้ว่ามันคือหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดชิ้นของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก็เลยบอกให้เพื่อนคนหนึ่งช่วยซ่อมให้ เมื่อครั้งที่เจอกับชุยตงซานที่แคว้นชิงหลวน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชุยตงซานบอกว่าไม่ต้องมอบของที่ราคาแพงขนาดนี้ให้เจ้า พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังถูกเจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีเจตนาอย่างอื่นก็เป็นได้ ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลมาก เลยคิดว่าควรจะเก็บเอาไว้ก่อน วันใดที่พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้วค่อยมอบให้เจ้าก็ยังไม่สาย ดังนั้นวันนี้จึงมอบสิ่งนี้ให้เจ้าก่อน รับไป”
เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา ยื่นมือออกมารับหยกมันแพะขนาดเล็กที่สลักกลึงอย่างประณีตและงดงาม นั่นก็คือหยกวัวขาวคาบหลิงจือ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือของรางวัลเล็กๆ ที่ทางเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัวมอบให้ อย่าได้รังเกียจ”
เซี่ยเซี่ยยิ้มรับ “เจ้ากำลังบอกข้าเป็นนัยๆ ว่า ขอแค่กลายเป็นเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอันก็จะได้รับอาวุธสำคัญของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
เซี่ยเซี่ยกำชิ้นหยกที่ให้ความรู้สึกถึงเนื้อวัสดุที่ละเอียดอุ่น เรียบลื่น พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น”
เฉินผิงอันชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง กลั้นยิ้มพูดว่า “ขอบคุณนะ” (ขอบคุณออกเสียงว่าเซี่ยเซี่ย)
เซี่ยเซี่ยชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “โอ้โห จากไปแค่ไม่กี่ปีก็หัดเล่นลิ้นเป็นแล้วหรือ? สมกับคำว่าไม่พบสามวันกลายเป็นอื่นจริงๆ”
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สอดสองมือประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คราวนั้นที่หลี่ไหวถูกคนนอกรังแก เจ้า หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ล้วนมีน้ำใจอย่างมาก ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจมากจริงๆ ดังนั้นพอข้าได้ยินว่าเสื้อเกราะชิ้นนั้นเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดอะไรกับเจ้า แต่เป็นเพราะหวังว่าจะมีวันนั้น วันที่ข้าจะได้กลายเป็นเพื่อนกับเจ้าเซี่ยเซี่ยจริงๆ อันที่จริงข้าเองก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน ต่อให้พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหว กลายเป็นเพื่อนรักของพวกเขา วันหน้าอยู่ในสำนักศึกษาก็ช่วยดูแลพวกเขาให้มากๆ หน่อย”
และยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา
ไม่ว่าจะมีกลอุบายมากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรตอนนี้เฉินผิงอันก็เป็นอาจารย์ของชุยตงซานในนาม เขาจึงอาจจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายได้ไม่ดี
ชุยตงซานรับเซี่ยเซี่ยเป็นสาวใช้ประจำตัว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นการทำร้ายผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่เป็นคนของอดีตราชวงศ์สกุลหลูอย่างเซี่ยเซี่ยผู้นี้
เพียงแต่เรื่องราวในโลกนั้นซับซ้อน หลายครั้งที่ความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมองดูเหมือนเป็นความปรารถนาดี แต่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง
บาดแผลของคนอื่นไม่ไปแตะต้องก็ไม่มีปัญหา
แต่หากเปิดมันออก เลือดสดก็ไหลนอง
เฉินผิงอันนั่งสวมรองเท้าหุ้มแข้งบนขั้นบันไดด้านล่าง
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไปส่งแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องหรอก”
เฉินผิงอันจากไปแล้ว เซี่ยเซี่ยก็ปิดปากหัวเราะคิกอย่างไร้สาเหตุ
ไม่รู้ทำไม นางถึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นเหมือนแมวที่แอบดอดมากินของคาว ย่องกลับเข้าบ้านกลางดึกย่อมหนีไม่พ้นจะถูกแม่เสือที่บ้านออกฤทธิ์ออกเดชใส่
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดพิลึกพิลั่นของเซี่ยเซี่ยเท่านั้น
จิตใจของสตรีประหนึ่งเข็มที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร (เปรียบเปรยว่าจิตใจของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงง่าย ยากเกินกว่าจะคาดเดา)
บอกได้แค่ว่าตอนนี้เซี่ยเซี่ยอารมณ์ดีไม่น้อย
เซี่ยเซี่ยยกมือขึ้น ชูหยกวัวขาวคาบหลิงจือชิ้นนั้นขึ้นสูง
สวยจริงๆ
……
เฉินผิงอันออกไปจากพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียวในสำนักศึกษาแห่งนี้ อวี๋ลู่อาศัยอยู่ในหอพักเพียงลำพัง แม้ว่าเวลานี้ในห้องจะดับไฟแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังเคาะประตูอย่างไม่มีความลังเล
เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็ลุกขึ้นเหยียบรองเท้าลวกๆ เดินมาเปิดประตู ยิ้มกล่าวว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”
อวี๋ลู่หันตัวไปจุดตะเกียงก่อน เฉินผิงอันช่วยปิดประตูลงให้ คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
ในห้องของอวี๋ลู่นอกจากสิ่งของที่ทางหอพักจัดเตรียมไว้ให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่มีของอย่างอื่นอีกแม้แต่ชิ้นเดียว
นี่ก็คืออวี๋ลู่
ราวกับว่าในใจไม่เคยห่วงพะวงถึงสิ่งใด
ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์ใหญ่ หลังจากแคว้นล่มสลายแล้ว เขาก็ยังคงไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนบนโลก ต่อให้เผชิญหน้ากับชุยตงซานที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญก็ยังไม่มีความเกลียดแค้นเข้ากระดูกดำอย่างเซี่ยเซี่ย
ในข้อนี้ อวี๋ลู่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคนคลั่งวรยุทธ์จูเหลี่ยนที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชนชั้นสูง
ปีนั้นระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินทางมายังสำนักศึกษาต้าสุย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเขากับอวี๋ลู่สองคนที่ผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืน คนหนึ่งครึ่งคืนแรก อีกคนหนึ่งครึ่งคืนหลัง หากคนที่เฝ้าครึ่งคืนแรกไม่รู้สึกง่วงก็จะมานั่งอยู่ข้างกองไฟ แต่อันที่จริงกลับไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันมากนัก มักจะเป็นเฉินผิงอันที่ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูหรือไม่ก็เดินนิ่งหกก้าว หากเป็นยืนนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะนั่งเหม่ออยู่กับตัวเอง หากเป็นเดินนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะมองอยู่พักหนึ่ง
อวี๋ลู่ไม่ดื่มเหล้า
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า
มอบตำราเทพเซียน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ที่ซื้อจากภูเขาห้อยหัวเช่นเดียวกันให้แก่อวี๋ลู่
อวี๋ลู่กล่าวขอบคุณอย่างเป็นธรรมชาติ บอกว่าเขายากจน ไม่มีของขวัญมอบกลับคืนให้ ได้แต่เดินไปส่งเฉินผิงอันที่หน้าหอพักเท่านั้น
หลังจากเฉินผิงอันจากไป
อวี๋ลู่ก็ปิดประตูลงเบาๆ
เขาหลับตา ‘เดินเตร่’ อยู่ในห้องที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเองต่อไป หมัดสองข้างหนึ่งกำหนึ่งคลาย ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ในขณะที่อวี๋ลู่ฝึกวิชาหมัด เซี่ยเซี่ยที่นั่งอยู่บนระเบียงไผ่มรกตก็กำลังมุมานะฝึกตนเช่นกัน
……
พอหลินโส่วอีได้พบหน้าเฉินผิงอัน เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
อันที่จริงเขารู้มาก่อนแล้วว่าเฉินผิงอันมาที่สำนักศึกษา เพียงแต่หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็ไม่คิดจะไปหาเฉินผิงอันที่หอพัก
เฉินผิงอันมอบตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าฉบับไม่สมบูรณ์ที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือให้หลินโส่วอี ซึ่งตอนนั้นทางเรือนหลิงจือเขียนคำอธิบายเอาไว้ว่า ‘มีเล่มเดียวบนโลก น่าเสียดายที่ขาดไปหลายสิบหน้า หาไม่แล้วมีเงินมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อได้’
หลินโส่วอีไม่ได้ปฏิเสธ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซี่ยเซี่ยฝากข้ามาบอกเจ้าว่า หากไม่ถือสา ขอให้เจ้าไปฝึกตนที่เรือนของนาง”
หลินโส่วอีคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ตกลง ขอแค่ตอนกลางวันข้ามีเวลาว่างก็จะไป”
เฉินผิงอันไม่ได้รั้งรออยู่นาน นั่งก้นยังไม่ทันร้อน อยู่ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เตรียมจะบอกลาจากไป ก่อนจะมาเปิดประตู เห็นได้ชัดว่าหลินโส่วอีกำลังนั่งบนเบาะรองใบหนึ่งเพื่อฝึกวิชาเข้าฌานทำสมาธิ
หลินโส่วอีพลันยิ้มถามว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยอมรับของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้เอาไว้?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันกลับมาถาม “หมายความว่าไง?”
หลินโส่วอีที่ไม่เคยรั้งใครไว้ในหอพักของตัวเองเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาสองถ้วยรับรองแขกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เฉินผิงอันจึงหันตัวกลับมานั่งลงอีกครั้ง
หลินโส่วอีที่กลายเป็นคุณชายหนุ่มผู้สง่างามเงียบงันไปครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าในภายภาคหน้าตัวเองต้องตอบแทนเจ้ากลับคืนด้วยของที่ล้ำค่ายิ่งกว่าได้แน่นอน”
เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ
ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ เจ้าหมอนี่ยังคงมีนิสัยเย็นชาอยู่เช่นเดิม
หลินโส่วอีหันไปมองหีบไม้ไผ่แวบหนึ่ง ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อีกอย่างก็คือ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้ามาก เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นเรื่องอะไร”
เจ้าทำท่าทางถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องเดาอะไรอีก เฉินผิงอันตอบอย่างระอาใจ “ก็เรื่องที่มอบหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งให้เจ้าไม่ใช่หรือ แม้ว่าปีนั้นข้าจะใช้ไม้ไผ่ที่เติบโตหลังถูกย้ายจากภูเขาชิงเสินมาปลูกบนภูเขาฉีตุนมาทำหีบไม้ไผ่ แต่บอกตามตรงว่ามันเทียบกับตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าเล่มนี้ไม่ได้แน่นอน”
หลินโส่วอีส่ายหน้าพร้อมอมยิ้มบางๆ “เดาใหม่”
เฉินผิงอันย้อนนึกถึงความทรงจำในการเดินทางครั้งนั้นแล้วถามหยั่งเชิง “เมื่อครั้งที่ไปพักในโรงเตี๊ยม?”
หลินโส่วอียังคงส่ายหน้า หัวเราะร่าเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเป็นการไล่คน พูดหยอกล้อว่า “อย่าอาศัยว่าเอาของขวัญมามอบให้ข้าแล้วจะถ่วงเวลาการฝึกตนของข้าได้”
เฉินผิงอันเดินออกมาจากหอพักของอีกฝ่ายด้วยความมึนงง
ได้พบกับคนทั้งสามแล้ว เขาก็ยังไม่ได้เดินย้อนกลับไปทางเดิม
การส่งมอบของขวัญเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันเดินอ้อมไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อย เดินไปตามมุมที่เงียบสงบของสำนักศึกษา
ตอนที่เดินผ่านหอพัก เฉินผิงอันก็เห็นว่าหลี่ไหววิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงลำพัง
เห็นหน้าเฉินผิงอันแล้ว หลี่ไหวก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า พูดอย่างเร่งร้อนว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะมาถามคำถามเจ้าข้อหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้านอนไม่หลับแน่”
หลี่ไหวพูดเสียงเบา “ตอนแรกข้ารู้สึกว่าเผยเฉียนแค่คุยโว แต่ข้ายิ่งฟังกลับยิ่งรู้สึกว่าเผยเฉียนร้ายกาจมาก เฉินผิงอัน เจ้าช่วยบอกความจริงแบบที่ควักใจมาพูดกับข้าสักคำ เผยเฉียนเป็นองค์หญิงที่พลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านจริงหรือ?”
เฉินผิงอันจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เผยเฉียนพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้ นางต้องตีหน้าเคร่ง แต่ในใจแอบหัวเราะสนุกสนาน ไม่แน่ว่าอาจจะหัวเราะเยาะหลี่ไหวสามคนที่ยอมเชื่อนางว่าเป็นคนโง่อีกด้วย
อย่าว่าแต่หลี่ไหวเลย ตอนนั้นแม้แต่มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนต้าเฉวียนที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังถูกเผยเฉียนที่พูดจาส่งเดชหลอกให้ตกอกตกใจ หลี่ไหว หลิวกวาน หม่าเหลียนสามคนเป็นแค่เด็กตัวสูงเท่าก้น ไม่หลงกลนางสิถึงจะแปลก
เพียงแต่การเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาระหว่างเด็กๆ เช่นนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะขัดอารมณ์ ไม่มีทางเปิดโปงคำคุยโวของเผยเฉียนต่อหน้าหลี่ไหว
เฉินผิงอันตบไหล่หลี่ไหว “ไปเดาเอาเองสิ”
หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างคนกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าเข้าใจอะไร?”
หลี่ไหวยกสองแขนกอดอก ใช้มือหนึ่งลูบคลำปลายคาง “มิน่าเล่าเจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ถึงทำสีหน้ารังเกียจตอนมองหุ่นไม้หลากสีของข้า ไม่ได้การ พรุ่งนี้ข้าต้องเอาทรัพย์สมบัติมาประชันกับนางสักหน่อย การประมือระหว่างยอดฝีมือ ชนะกันที่พลังอำนาจอันน่าเกรงขาม! ถึงเวลานั้นมาดูกันว่าใครจะมีสมบัติมากกว่ากัน! เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร ก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งไม่ใช่หรือ จะร้ายกาจสักแค่ไหนกันเชียว จุ๊ๆ อายุน้อยๆ แค่นี้ก็หัดห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่แล้ว คิดจะขู่ใครกัน…ใช่แล้ว เฉินผิงอัน องค์หญิงชอบกินอะไร?”
เฉินผิงอันเอามือกดศีรษะหลี่ไหวแล้วจับเขาหมุนตัวหันไปทางหอพักเบาๆ “รีบกลับไปนอนได้แล้ว”
หลี่ไหวได้ถามคำถามแล้วก็ให้พึงพอใจจึงหมุนตัววิ่งกลับไปที่หอพักของตัวเอง
ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงตวาดอย่างขุ่นเคืองก็ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องถูกอาจารย์ที่ออกมาลาดตระเวนยามค่ำคืนจับได้แน่นอน
เฉินผิงอันกำลังจะไปช่วยหลี่ไหว แต่ไม่นานก็เห็นว่าหลี่ไหวเดินอาดๆ มาพร้อมกับจูเหลี่ยนที่อยู่ข้างกาย
ที่แท้จูเหลี่ยนได้หาข้ออ้าง บอกว่าเป็นญาติห่างๆ กับหลี่ไหว ดึกมากแล้วเขาไม่รู้ทาง จึงขอให้หลี่ไหวช่วยพากลับไปที่หอพัก
หลี่ไหวยกนิ้วโป้ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “พี่ใหญ่จูท่านนี้มีน้ำใจจริงๆ ! เฉินผิงอัน เจ้ามีพ่อบ้านแบบนี้ก็ช่างโชคดีนัก”
จากนั้นหลี่ไหวก็หันมายิ้มให้ผู้เฒ่าหลังค่อม “พี่ใหญ่จู วันหน้าหากเฉินผิงอันปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีก็มาหาข้าหลี่ไหว ข้าหลี่ไหวจะช่วยทวงความยุติธรรมคืนให้เจ้าเอง”
ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือมองขวา จูเหลี่ยนก็รู้สึกว่าเจ้าหนูที่ชื่อหลี่ไหวท่าทางแข็งแรงน่าเอ็นดูผู้นี้ไม่เหมือนคนที่จะเรียนหนังสือเก่งเลยจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิง หลี่เอ้อร์ หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง
คือบุคคลจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ใช่พวกพิลึกพิลั่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต้องทะนุถนอมช่วงเวลานี้ไว้ให้มาก ดังนั้นจึงพลันรู้สึกถูกชะตากับเจ้าหลี่ไหวตัวน้อยผู้นี้ขึ้นมา สีหน้าของเขาจึงยิ่งเมตตาปราณี
เดี๋ยวนะ ทำไมหลี่ไหวผู้นี้ถึงหน้าตาคล้ายคลึงกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบที่มาเยือนนครมังกรเฒ่าผู้นั้นนักนะ หลี่ไหว หลี่เอ้อร์ แซ่หลี่เหมือนกัน คงไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันหรอกกระมัง?
มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างตนเท่านั้นถึงจะรู้ได้ถึงความน่ากลัวของปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งได้ดีที่สุด
ต่อให้จูเหลี่ยนจะภาคภูมิใจในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของตัวเองมากแค่ไหนก็ยังกล้าพูดแค่ว่า หากตนเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาล ภายใต้สถานการณ์ที่พรสวรรค์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ในช่วงที่มีชีวิตอยู่หากคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาขอบเขตที่เก้านั้นไม่ยาก แต่ขอบเขตสิบกลับไม่มีหวัง
จูเหลี่ยนหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
จูเหลี่ยนโมโหเกือบตาย ยกเท้าถีบก้นหลี่ไหวเบาๆ “ดึกดื่นค่ำคืนยังมาเดินเตร็ดเตร่เหมือนผีเร่ร่อนอยู่ได้ รีบไสหัวกลับไปเลย”
หลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง พอวิ่งไปแล้วถึงได้ชี้หน้าจูเหลี่ยนจากที่ไกลๆ “ช่วยข้าครั้งหนึ่ง เตะข้าหนึ่งครั้ง บุญคุณความแค้นของพวกเรานับว่าหายกันแล้ว พรุ่งนี้หากยังมาพบเจอกันบนทางแคบในสำนักศึกษาอีก ใครวิ่งได้เร็วคนนั้นก็เป็นนายท่านใหญ่!”
จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้าขึ้นถีบ
เพียงไม่นานหลี่ไหวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
ทางฝั่งหอพักของหลี่เป่าผิง
หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนนั่งคัดตัวอักษรบนโต๊ะเดียวกันโดยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
คนหนึ่งตวัดพู่กันเร็วราวกับบิน
อีกคนหนึ่งเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน
ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงคัดเสร็จหนึ่งแผ่นก็จะตะโกนว่า ‘เจ้าไปได้’ จากนั้นก็วางพู่กันลง บิดข้อมือ ขยับมามองทางฝั่งของเผยเฉียน
เผยเฉียนเงียบงันไม่พูดไม่จา เหงื่อแตกท่วมเต็มศีรษะ
……
ในเขตการปกครองหลิวโจวซึ่งตั้งอยู่ติดกับเมืองหลวงต้าสุย จวนตระกูลไช่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานมีแขกสูงศักดิ์ที่ ‘วัยวุฒิสูงอย่างที่สุด’ ท่านหนึ่งมาเยือน
เขาก็คือชุยตงซานที่ช่วงชิงฉายา ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ มาให้กับตนโดยอาศัยสมบัติอาคมที่มีมากมายดารดาษในวัตถุจื่อชื่อจากศึกในสำนักศึกษาซานหยา
ดึกดื่นค่ำคืน เด็กหนุ่มชุดขาวมาทุบประตูจวนตระกูลไช่อย่างแรง ปากก็ตะโกนก้องเสียงดังว่า “ไช่เอ๋อร์น้อย ไช่เอ๋อร์น้อย รีบมาเปิดประตูเร็วเข้า!”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วยังมีชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกำยำติดตามมาด้านหลัง ข้างกายชายฉกรรจ์ยังมีวัวสีเหลืองอีกหนึ่งตัว
เทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถวายการรับใช้ต้าสุยซึ่งเคยไปปักหลักอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาเดินหน้าเขียวออกมาจากห้องลับ ทะยานตัวขึ้นจากลานบ้านพรวดเดียวก็มาอยู่บนถนนด้านนอกประตูใหญ่จวนตัวเอง “เจ้าคนแซ่ชุย เจ้ามาทำอะไร?!”
ปีนั้นกลางอากาศเหนือ ‘ภูเขาตงซานน้อย’ ที่ชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุยเรียกกันติดปาก ชุยตงซานกับไช่จิงเสินเคยมีการประมือระหว่างเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
ชุยตงซานที่คว้าชัยชนะจนมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนจัดงานเลี้ยงฉลองดอกไม้ไฟโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้กับชาวบ้านครั้งใหญ่ คืนนั้นไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ในเมืองหลวงที่เงยหน้ามองไปทางภูเขาตงหัวของสำนักศึกษาด้วยอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์
เนื่องจากตระกูลไช่มีบรรพบุรุษเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทร เดิมทีจึงเปี่ยมไปด้วยบารมีอำนาจในเมืองหลวง แต่ผลกลับกลายเป็นว่าต้องย้ายออกจากเมืองไป ทิ้งไว้เพียงลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงให้เฝ้าบ้านที่มีขนาดใหญ่ไม่แพ้จวนของอ๋องหรือโหว
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “จิงเสิน เกรงใจกันขนาดนี้เชียว ถึงขนาดออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยหรือ? ไปๆๆ รีบเข้าไปนั่งในบ้านของพวกเรากันเถอะ เข้าเมืองมาค่อนข้างดึก แถมยังเป็นช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบไปสั่งให้คนทำอาหารมื้อดึกมาให้ข้าที พวกเราปู่หลานจะได้พูดคุยกันดีๆ”
ไช่จิงเสินหน้าดำทะมึน “ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”
ชุยตงซานพลันเต้นผาง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าไช่จิงเสินพลางผรุสวาท “เจ้าหลานเต่าไม่รู้จักบรรพบุรุษ ให้หน้าเจ้าแต่เจ้าไม่ยอมรับใช่ไหม? มาๆๆ พวกเรามาสู้กันอีกสักที คราวนี้หากเจ้าสามารถต้านรับสมบัติอาคมห้าสิบชิ้นของข้าได้ ก็เปลี่ยนมาเป็นข้าที่ต้องเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษ หากเจ้าต้านทานไม่ไหว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ต้องขี่ม้าไปบนถนน ตะโกนบอกว่าตัวเองคือหลานคนดีของข้าชุยตงซานหนึ่งพันรอบ!”
ไช่จิงเสินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ หากคืนนี้เจ้าไม่สังหารข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้เหยียบเข้ามาในบ้านตระกูลไช่ของข้าแม้แต่ครึ่งก้าว!”
ร่างของชุยตงซานพุ่งวูบออกไป ใช้วิชาย่อพื้นที่ให้เล็กลง มองดูเหมือนวิชาย่อพื้นที่ทั่วไป แต่อันที่จริงกลับแตกต่างจากสายของลัทธิเต๋าทั่วไปอยู่มาก ชุยตงซานพุ่งตัววูบกลับมาอีกครั้ง กลับมายืนอยู่ที่เดิม “ว่าไง? เจ้าจะปาดคอตัวเองฆ่าตัวตายไหม? เจ้าที่เป็นหลานไม่กตัญญู ข้าที่เป็นบรรพบุรุษจะไม่ยอมรับเจ้าเป็นหลานก็ไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติอาคมที่คมกริบหลายๆ ชิ้น เจ้าจะได้ไม่ต้องพูดว่าไม่มีอาวุธที่เหมาะมือในการฆ่าตัวตาย…”
เจ้าหมอนี่พูดจ้อไม่จบไม่สิ้นสักที
ผู้เฒ่าร่างกำยำโมโหจนลมปราณในจุดตันเถียนถาโถมเป็นลูกคลื่นซัดตลบอบอวล ดั่งลมพัดกระพือไฟให้โหมแรง พลังอำนาจพลันทะยานเพิ่มพูน
ชุยตงซานหุบยิ้มฉับ หรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า “เจ้าตะพาบน้อย เจ้าคงรู้สึกว่าศึกบนภูเขาตงหัว ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษได้เปรียบด้านชัยภูมิเพราะอยู่ในสำนักศึกษา ดังนั้นเจ้าเลยแพ้อย่างไม่เป็นธรรม ใช่ไหม?”
ทะเลสาบหัวใจของไช่จิงเสินสั่นสะเทือนไม่หยุด และในเสี้ยวนาทีที่ศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกำลังจะปะทุขึ้นนั้น เขาพลันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าในดวงตาคู่นั้นของชุยตงซาน ตาดำของเขาเป็นแนวตั้ง อีกทั้งยังเปล่งประกายแสงสีทองบาดตา
ไช่จิงเสินเหมือนถูกเจียวหลงบรรพกาลที่ชอบก่อลมสร้างมรสุมจับจ้อง
เย็นวาบไปทั้งสันหลัง
ไช่จิงเสินรีบเก็บท่าทางดุดันน่าเกรงขามทั้งหมดลงไปทันที ผายฝ่ามือข้างหนึ่ง พูดเสียงหนัก “เชิญ!”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูที่แอบมองลอดร่องประตู จากตอนแรกที่ยังงัวเงีย มาจนถึงมือเย็นเท้าเย็นเฉียบ แล้วก็จนบัดนี้ที่รู้สึกเหมือนสูญเสียบิดารีบเปิดประตูด้วยอาการตัวสั่นงันงก
ชุยตงซานเดินอาดๆ ก้าวข้ามธรณีประตูไปก่อน
ไช่จิงเสินตามมาด้านหลังติดๆ
เว่ยเซี่ยนและวัวเหลืองตัวนั้นก็เดินตามเข้ามาในจวนของตระกูลไช่
พอคนเฝ้าประตูปิดประตูบ้านลงแล้ว ในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด กว่าจะหลบพ้นมารแห่งหายนะผู้นี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านบรรพบุรุษแสดงฝีมืออันน่ายำเกรง ช่วยให้ใต้เท้าผู้ว่าฯ ปราบปรามปีศาจลำคลองเจ้าเล่ห์ที่ออกอาละวาดตัวหนึ่งได้ ถึงกอบกู้บารมีมาให้กับตระกูลไช่ได้ใหม่อีกครั้ง แต่นี่เพิ่งจะอยู่อย่างสงบสุขได้แค่ไม่กี่วันก็เอาอีกแล้ว สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือนจริงๆ หวังเพียงว่าหลังจากนี้จะเป็นการปรองดองที่ก่อให้เกิดโชคลาภ อย่าได้มีเรื่องมีราวอะไรอีกเลย
ชุยตงซานพร่ำพูดว่าต้องการอาหารมื้อดึก จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ไช่จิงเสินก็ทน บอกให้นำสุราที่แพงที่สุดของเขตการปกครองมาให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแซ่เว่ยผู้นั้นไหหนึ่ง ก็ยังทน แม้แต่ปีศาจวัวเหลืองตัวเล็กๆ ที่เป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรก็ยังต้องการเรือนพักส่วนตัวแห่งหนึ่งในจวนตระกูลไช่แห่งนี้ ไช่จิงเสินไม่ไหวจะทน…แต่ก็ต้องทน
ไช่จิงเสินโบกมือไล่สาวใช้สองคนของจวนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงเปิดปากถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? รีบๆ พูดมาเถอะ!”
ชุยตงซานยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งจ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน ทั้งดื่มสุราและสวาปามอาหารเลิศรสไปพร้อมกันโดยไม่ให้เสียเวลา พูดเสียงอู้อี้ตอบว่า “จะดีจะชั่วเจ้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยก็เป็นงูเจ้าถิ่นมาร้อยกว่าปี ไหนลองบอกข้ามาหน่อยสิ เจ้าคนโง่ที่วางแผนลอบสังหารครั้งนั้น ใครมันอยู่เบื้องหลังกันแน่ ถังจวงซานแม่ทัพทหารม้าจู่โจม เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิว คนพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็รู้ แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พวกผู้อาวุโสใหญ่ในราชสำนักและบนภูเขาของต้าสุยที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนเรื่องนี้อย่างแท้จริง เจ้ารู้จักกี่คนก็บอกมาให้หมด ลองพูดมาสิ”
หนังตาไช่จิงเสินกระตุกเบาๆ
ชุยตงซานโยนน่องเป็ดที่หมักด้วยน้ำจิ้มสูตรพิเศษจนมีรสชาติอร่อยอย่างถึงที่สุดชิ้นหนึ่งทิ้ง เลียนิ้วตัวเอง ชำเลืองตามองไช่จิงเสิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เจ้าพูดชื่อคนเบื้องหลังที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้หนึ่งคน ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดชื่อของคนคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยมาเพิ่มอีกคน จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตบนภูเขาที่มีความแค้นต่อกันมานาน หรือจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์สกุลเกาที่เจ้าแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาก็ได้”
ชุยตงซานเรอดังเอิ้ก “ก่อนที่ข้าจะกินอาหารมื้อดึกมื้อนี้อิ่ม วิธีการนี้จะยังใช้ได้ผล แต่หากกินอิ่มแล้ว ตระกูลไช่ของพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสนี้อีก เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า ลูกหลานสกุลไช่ที่เจ้าทิ้งไว้ในเมืองหลวงผู้นั้น อืม หรือก็คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตตระกูลไช่ที่ทำงานอยู่ในกั๋วจื่อเจียน เขาก็เป็นแค่หนึ่งในพลทหารเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นบัณฑิตนี่นะ ไม่อยากจะมองเห็นต้าสุยต้องตกต่ำคาตาตัวเอง จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับคนเถื่อนต้าหลี เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ สกุลเกาเลี้ยงดูคนมีความสามารถมานานหลายร้อยปี แค่คนคนเดียวต้องตายเพื่อตอบแทนบ้านเมืองก็ไม่น่าเสียดาย และข้าก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ว่าความเข้าใจและการชื่นชมไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้ เพราะฉะนั้นไช่จิงเสิน เจ้าคิดดูเอาเองแล้วกันว่าต้องทำอย่างไร”
แล้วชุยตงซานก็เริ่มก้มหน้าก้มตาสวาปามอีกครั้ง
ไช่จิงเสินถามเสียงทุ้มหนัก “ข้าต้องการรู้เรื่องหนึ่งก่อน ไช่เฟิงมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงหรือไม่?!”
ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “มาดแห่งนักประพันธ์และปณิธานอันยิ่งใหญ่ของไช่เฟิง ยังต้องให้ข้ามาพูดให้เปลืองน้ำลายอีกหรือ? คิดว่าข้าผู้อาวุโสเป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่เจ้าจริงๆ หรือไง?”
สีหน้าของไช่จิงเสินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
อย่าเห็นว่าเขาคือเซียนดินก่อกำเนิดที่มีคุณสมบัติมากพอจะมองอ๋องและโหวด้วยสายตาดูแคลน คือผู้ถวายการรับใช้ใหญ่ของตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
แต่การปกป้องคุ้มครองตระกูลคือเรื่องที่คนเป็นบรรพบุรุษต้องทำซึ่งถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ บรรพบุรุษที่ตายไปได้แต่อาศัยผลบุญในปรโลกที่ลี้ลับมหัศจรรย์ คนที่ฝึกตนอย่างไช่จิงเสินนี้ แน่นอนว่าต้องกะประมาณให้พอเหมาะพอดี ทั้งไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของตัวเอง แล้วก็ต้องประคับประคองสนับสนุนเหล่าต้นกล้าที่ดีที่มีโอกาสว่าจะย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงดูแลวงศ์ตระกูลด้วย ส่วนข้อที่ว่าพวกลูกหลานคนรุ่นหลังจะเดินไปบนเส้นทางบุ๋นบู๊อันยิ่งใหญ่หรือเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน การสร้างเกียรติยศและชื่อเสียง นำพาความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูลก็ล้วนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
ในช่วงระยะเวลาร้อยกว่าปีมานี้ ตระกูลไช่มีผู้ฝึกลมปราณที่ตบะไม่สูงไม่ต่ำปรากฏขึ้นคนเดียว ต่อให้ได้รับคำชี้แนะไขข้อข้องใจจากไช่จิงเสินรวมไปถึงมีเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ใช้ไม่ขาด แต่ตอนนี้ก็ยังหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตถ้ำสถิต อีกทั้งเส้นทางในอนาคตมีจำกัดจำเขี่ยนัก
ดังนั้นไช่จิงเสินจึงฝากความหวังไว้ที่ไช่เฟิงซึ่งสอบติดเป็นปั้งเหยี่ยนมากกว่า ถึงขั้นที่ว่าการเลื่อนขั้นในวงการขุนนางของไช่เฟิงในอีกห้าหกปีให้หลัง คำยกย่องสรรเสริญว่าเหวินเจิน (เป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด หมายถึงผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมและซื่อสัตย์จงรักภักดี) ที่ฮ่องเต้จะประทานให้หลังจากเขาตายไป จากนั้นจิตหยินของเขาก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ต่อมาก็ถูกราชสำนักต้าสุยแต่งตั้งให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเทพอภิบาลเมืองในอำเภอ และเมื่อผ่านการดำเนินการไปอีกร้อยกว่าปีก็ค่อยๆ ได้ยกระดับขึ้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครอง ไช่จิงเสินล้วนเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ไช่เฟิงทำตามขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็จะสามารถเดินไปถึงตำแหน่งสูงอย่างการเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง และนี่ก็สุดความสามารถที่เซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่งจะทำได้แล้ว หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องให้ตัวไช่เฟิงไปช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาที่มากกว่านั้นด้วยตัวเอง
ลมและน้ำ (หรือก็คือฮวงจุ้ย) หมุนเวียนผลัดเปลี่ยน สามสิบปีก่อนอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีหลังอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ คนธรรมดายากที่จะคว้าจับเอาไว้ได้ หากพลาดไปครั้งหนึ่งก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกตลอดชีวิต แต่ผู้ฝึกลมปราณนั้นไม่เหมือนกัน ขอแค่มีชีวิตอยู่ได้นานมากพอ สักวันหนึ่งลมและน้ำต้องไหลเข้าหาบ้านของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถใช้วิชาลับตระกูลเซียนพยายามกักเก็บมันไว้ในบ้านของตน สั่งสมรากฐานไว้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่คนธรรมดาสั่งสมแก้วแหวนเงินทองเป็นทรัพย์สมบัติ และนั่นก็จะทำให้มีคนจิ๋วควันธูปคนแล้วคนเล่าก่อกำเนิดขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรไช่จิงเสินก็คิดไม่ถึงเลยว่าไช่เฟิงผู้นี้จะไม่ต้องการอนาคตที่ยาวไกล ดันเลือกจะเข้ามามีส่วนร่วมกับแผนการนี้ลับหลังตนและคนทั้งตระกูลราวกับน้ำเข้าสมองอย่างไรอย่างนั้น
ชุยตงซานวางตะเกียบลงเบาๆ