Skip to content

Sword of Coming 405

บทที่ 405 จิตใจใฝ่หา

ชุยตงซานวางตะเกียบคู่นั้นลงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มหน้าจัดวางตะเกียบทั้งสองให้เป็นระเบียบ เงยหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าคงมั่นใจแล้วว่าข้าไม่มีทางเปิดฉากสังหารเจ้าที่นี่?”

ชุยตงซานตบมือหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนช้าๆ “เจ้าเดิมพันถูกแล้ว ข้าไม่มีทางสังหารคนพร่ำเพื่อตามแต่ใจตัวเอง ถึงอย่างไรข้าก็ยังต้องกลับไปที่สำนักศึกษา ช่างเถิด ลูกหลานก็มีโชคของลูกหลาน ข้าที่เป็นบรรพบุรุษคงช่วยพวกเจ้าได้แค่นี้”

ไช่จิงเสินกลับผายมือบอกเป็นนัยให้ชุยตงซานนั่งกลับลงไป ถามว่า “เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าคำพูดของตัวเองจะใช้ได้ผล ใช้ได้ผลในราชสำนักต้าสุยก็จะใช้ได้ผลในราชสำนักต้าหลีเหมือนกัน?”

ชุยตงซานเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยื่นมือมาลูบและหมุนจอนผมตัวเองเล่น “พิสูจน์ได้ยาก”

ไช่จิงเสินจึงได้แต่ถอยให้อีกก้าว พูดเสียงหนักอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะดึงไช่เฟิงออกมาอย่างไร อีกทั้งต้องไม่ทิ้งโรคร้ายไว้ภายหลัง ไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาในภายภาคหน้าด้วย? ข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้าข้อหนึ่ง ห้ามไม่ให้ไช่เฟิงหันอาวุธเข้าห้ำหั่นพวกกันเองเด็ดขาด ขายเพื่อนเพื่อหวังความก้าวหน้าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางปิดตายเส้นทางแห่งการถูกแต่งตั้งเป็นเทพที่ถูกต้องของไช่เฟิง ในอนาคตอีกร้อยปีพันปี ไช่เฟิงจะต้องผูกติดอยู่กับโชคชะตาบุ๋น ฮวงจุ้ยและชะตาของแคว้นต้าสุย ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ได้รับเกียรติยศตอนมีชีวิตอยู่นั้นไม่ยาก แต่ตายไปแล้วกลับจะถูกควันธูปของต้าสุยผลักไส”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมต้องมีแผนการอันมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง วางใจเถอะ ข้ารับรองว่าในขณะที่ไช่เฟิงยังมีชีวิตอยู่จะมีตำแหน่งขุนนางสูงถึงเจ้ากรมของหกกรม เว้นจากกรมพิธีการ ตำแหน่งนี้สำคัญเกินไป ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ฮ่องเต้ต้าหลี และพอตายไปแล้ว ในร้อยปีเขาจะได้เป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองใหญ่แห่งหนึ่ง เว้นจากสถานที่มังกรผงาดอย่างเกอหยางของสกุลเกา ตกลงไหม?”

ไช่จิงเสินถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นทางเลือกและชื่อเสียงของตระกูลไช่ข้าล่ะ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าและตระกูลไช่ร่วมมือแสดงแผนทรมานตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าไช่จิงเสิน ในหนังสือประวัติศาสตร์ของรุ่นหลังก็จะมีแต่ชื่อเสียงที่ดีงาม”

ไช่จิงเสินทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “จะให้ข้าลงนามสัญญาภูเขาแม่น้ำของพวกเซียนดินกับเจ้า? ไช่จิงเสิน ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำเรื่องที่เกินความจำเป็นจะดีกว่า”

ไช่จิงเสินนึกถึงภาพดวงตาสีทองตั้งตรงคู่นั้น ในใจก็พลันหวาดผวา แม้การที่ตนกับตระกูลไช่ต้องตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นจะทำให้ในใจรู้สึกอัดอั้นคับแค้น แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายจนมิอาจรับได้ไหว เนื่องจากไช่เฟิงคนเดียวกระชากคนทั้งตระกูลให้ร่วงลงไปในหุบเหวลึกหมื่นจั้ง หรืออาจถึงขั้นเดือดร้อนการฝึกตนของบรรพบุรุษอย่างเขา ความอัดอั้นตันใจเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ไม่ได้เกินจะทนสักเท่าไหร่

ในเมื่อกลายมาเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว

ไช่จิงเสินจึงคิดจะแสดงความจริงใจของตัวเองออกมาบ้าง “ปีนั้นท่านชุยอยู่ในสำนักศึกษาแล้วถูกคนใช้ด้ายสีทองลอบสังหาร ก่อนจะใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนหนีพ้นหายนะไปได้ ท่านชุยไม่อยากรู้เลยหรือว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง? หรือจะบอกว่าเจ้าคิดว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน?”

ชุยตงซานชำเลืองตามองไช่จิงเสิน

ไช่จิงเสินถูกอีกฝ่ายมองจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หิ้วเหล้าหมักที่เก็บซ่อนไว้ใต้ดินมานานซึ่งยังไม่เปิดผนึกกานั้นขึ้นมา “ปีนั้นข้าอยู่ในสำนักศึกษารู้สึกอุดอู้จนแทบจะไปแขวนคอตายอยู่บนยอดเขาแล้ว กว่าจะรอคอยให้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากนั้นข้าทำอย่างไร? รออยู่นานแล้ว ไม่เห็นพวกเขาแอบมาลอบสังหารต่อสักที ข้าก็ได้แต่เป็นฝ่ายวิ่งไปยืดคอให้อีกฝ่ายตัดที่ชิงเซียวตู้ ผลกลับกลายเป็นว่าก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือ ข้าเลยได้แต่ขนเอาไม้ไผ่มรกตของชิงเซียวตู้หลายคันรถมาปูพื้นที่สำนักศึกษา เป็นเงินเท่าไหร่ ข้าก็จ่ายไปเท่านั้น ทำไมต้องทำอย่างนั้น? ก็ข้าซาบซึ้งใจที่พวกเขามาช่วยแก้เบื่อให้ข้า เพื่อรับมือกับการลอบสังหารครั้งที่สอง ข้าต้องวางแผนหาทางหนีทีไล่ไว้ตั้งมากมาย แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้นำออกมาใช้ แต่ระหว่างที่ต้องใช้สมองคิดแผนการก็ช่วยฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไปได้บ้าง”

ชุยตงซานเดินวนอ้อมโต๊ะมาตบไหล่ไช่จิงเสิน “เสี่ยวไช่ เจ้ายังอายุน้อยเกินไป ไม่รู้จักนิสัยของข้า วันหน้าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า เจ้าก็จะค้นพบเองว่าตัวเองมีบรรพบุรุษที่ดี มีเวลาว่างก็ลองไปดูที่หลุมศพบรรพบุรุษของตระกูลเจ้าดูสิ รับรองว่าต้องมีควันเขียวลอยขึ้นมาแน่นอน หากช่วงนี้บรรพบุรุษตระกูลไช่มาเข้าฝันเจ้า น้ำตานองหน้าด้วยความซาบซึ้งใจในบุญคุณของข้า เจ้าก็บอกพวกเขาไปว่าไม่ต้องขอบคุณข้า ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเป็นรากฐานในการศึกษาหาความรู้ของข้าคนนี้มาโดยตลอด”

ไช่จิงเสินตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน

ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นไปพักผ่อนที่ ‘คอกวัว’ นานแล้ว

แต่เว่ยเซี่ยนกลับนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกับชุยตงซานและไช่จิงเสินตลอดเวลา ไม่พูดคำใด เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

เว่ยเซี่ยนเดินตามชุยตงซานกลับไปยังที่พัก

คนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชุยตงซานก็ใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดบ่อสายฟ้าสกัดกั้นการลอบสังเกตการณ์ของไช่จิงเสิน

ชุยตงซานเตะรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ยิ้มถามว่า “เจ้าช่วยใช้สองสามประโยคมาเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่ข้าที”

เว่ยเซี่ยนเอ่ยเนิบช้า “นกบินสูงตายเพราะอาหาร ปลาในน้ำลึกตายเพราะเหยื่อล่อ”

ในสายตาของเว่ยเซี่ยน พวกคนอย่างไช่จิงเสินเป็นพวกลังเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ดุจน้ำป่าไหลซัดสาดถาโถม ต่อให้เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ยังไม่ต่างจากตั๊กแตนที่พยายามขวางหน้ารถอยู่ดี

ก่อนจะเข้ามาในเขตการปกครอง ชุยตงซานได้ให้เว่ยเซี่ยนอ่านรายงานลับเรื่องวงในเกี่ยวกับต้าสุยจำนวนมาก เรื่องแผนการลับของไช่เฟิงในเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับความลับที่ไช่ชิงเสินผู้ถวายงานรับใช้สกุลเกาซุกซ่อนเอาไว้แล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น

ปีนั้นสกุลเกาต้าสุยสามารถร่วมมือกับราชวงศ์สกุลหลูกดข่มการลุกผงาดของต้าหลีที่มีทั้งราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาเอาไว้ได้นานหลายสิบปี

ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่ว่าฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเป็นคนมองการณ์ไกลเท่านั้น

ตอนนั้นต้าหลีมียอดฝีมือสายหนึ่งของลัทธิเต๋าและสกุลลู่สำนักหยินหยางช่วยกันสร้างหอที่เลียนแบบป๋ายอวี้จิง ปีนั้นต้าสุยและสกุลหลูก็มีเงาของผู้ฝึกตนใหญ่จากเมธีร้อยสำนักหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคอยให้คำชี้แนะ

ไช่จิงเสินก็คือหมากตัวหนึ่งที่ฝังไว้ค่อนข้างลึก และขณะเดียวกันก็เป็นหมากที่ค่อนข้างสำคัญ

อย่าเห็นว่าคืนนี้ไช่จิงเสินมีท่าทางขลาดกลัว สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของชุยตงซาน ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่การ ‘ลาออกจากตำแหน่งด้วยความไม่พอใจ’ ย้ายบ้านออกจากเมืองหลวงเพราะดูเหมือนไม่อาจยอมรับความอัปยศของไช่จิงเสินก่อนหน้านี้ ก็น่าจะมียอดฝีมือคอยให้คำแนะนำอยู่เช่นกัน

ตอนนี้ต้าหลีกับต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่มีระดับขั้นสูงสุด ฝั่งหนึ่งใช้ภูเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยา จุดศูนย์รวมของเส้นทางมังกรกลิ่นอายราชัน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ใช้ภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาเหนือแห่งใหม่ล่าสุดของราชวงศ์เป็นสถานที่ลงนามสัญญาป่าวประกาศแก่ฟ้าดิน มองดูเหมือนทุกคนต่างปิติยินดี ต้าสุยไม่ต้องปะทะกับกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีจังๆ ช่วงชิงช่วงเวลาอันดีที่สามารถหยุดพักรักษาตัวได้นานร้อยกว่าปี ก็แค่ต้องยกแคว้นใต้อาณัติอย่างพวกแคว้นหวงถิงให้แก่ต้าหลี ส่วนต้าหลีก็สามารถรักษากำลังเอาไว้บุกลงใต้ได้อย่างเต็มที่ เข่นฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าให้พังราบเป็นหน้ากลองไปจนถึงชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง

แต่เบื้องหลังความเงียบสงบปลอดภัยนั้น สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยย่อมต้องมีความคิดแตกต่างกันไป

โดยเฉพาะหลังจากที่ซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลีตายไปแล้ว ต่อให้ทางศูนย์กลางของต้าหลียังเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายออกมา แต่เชื่อว่าทางฝั่งของต้าสุยนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพอสัมผัสได้ ถึงได้ทำท่าเหมือนอยากจะลงมือเต็มแก่

แม้ว่าตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปเอาไว้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่มั่นคงนัก หากเรือนหลังของต้าหลีและต้าสุยเกิดไฟไหม้ขึ้นมาพร้อมกัน บวกกับที่สำนักศึกษากวานหูและทางฝั่งของราชวงศ์จูอิ๋งออกฤทธิ์ออกเดชกะทันหัน สถานการณ์หมากล้อมที่มองดูเหมือนดำเนินไปในทิศทางที่ดีของต้าหลีก็จะถูกสังหารมังกรใหญ่ (ศัพท์ทางหมากล้อม หมายถึงหมากถูกกินไปแถบใหญ่) ในชั่วพริบตา เมื่อถึงเวลานั้นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำอาณาเขตแถบทิศเหนือจนพังราบ แต่ในสายตาของยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังซึ่งถอยออกมาดูสถานการณ์แล้วค่อยจู่โจมจนกระทั่งได้รับชัยชนะ ทุกจุดล้วนเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ที่สามารถส่งเข้าปากได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ชุยตงซานบอกกับเว่ยเซี่ยนอย่างตรงไปตรงมาว่าการลงมือของเขาไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา จะเรียกหามา จะสยบสังหาร หรือจะนำมาทำเป็นเหยื่อล่อก็อยู่แค่ว่าไช่จิงเสินจะรับมืออย่างไร

เว่ยเซี่ยนไม่กล้าพูดว่าชุยตงซานต้องเอาชนะบุคคลบนยอดเขาที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นได้แน่นอน

แต่ไช่จิงเสินคนเดียวย่อมไม่คนามือ มีแต่จะถูกชุยตงซานเอามากุมเล่นในฝ่ามือเท่านั้น

ดังนั้นเว่ยเซี่ยนถึงได้กล่าวว่านกและปลาตายเพราะละโมบในอาหาร

ชุยตงซานส่ายหน้า เขายื่นสองนิ้วออกมาประกบกันแล้วเขียนคำหกคำอยู่กลางอากาศ

พยัคฆ์ย่อตัวหมอบเพื่อโจมตี แมวเสือดาวห่อตัวเพื่อล่าเหยื่อ (เปรียบเปรยว่าคนใจกว้างและมีปณิธานยอมข่มกลั้นความอัปยศชั่วคราวก็เพื่อสั่งสมกำลังไว้รอแสดงความมุ่งมาดปรารถนาออกมาในอนาคต)

เว่ยเซี่ยนขมวดคิ้ว “ต้าสุยคิดจะทำลายสัญญาพันธมิตรแล้วยอมทุ่มหมดหน้าตักก็เพราะคิดอยากจะเข้ามาแทนที่ต้าหลีน่ะหรือ?”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ แล้วชี้ไปที่ตัวเอง

เว่ยเซี่ยนอึ้งตะลึง ก่อนกุมหมัดคารวะ “ราชครูมองการณ์ไกลล้ำลึก หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้”

ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจนิดๆ “วันหน้าเจ้าเรียกข้าว่าท่านชุยก็แล้วกัน เรียกว่าราชครูอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกเหมือนเจ้าที่เป็นฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนกำลังเอาเปรียบข้าอย่างนั้นแหละ”

เว่ยเซี่ยนทอดถอนใจ “แคว้นหนันเยวี่ยนเล็กๆ ก็เทียบได้แค่เขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งของต้าหลีเท่านั้น ตอนนั้นก็เคยมีเจ๋อเซียนปรากฎตัวแล้วทิ้งถ้อยคำบางอย่างเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นข้าถึงได้สั่งให้คนของแคว้นหนันเยวี่ยนไปซ่อนตัวอยู่ตามหุบเขา ไม่ก็ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน แต่พอได้มาเยือนใต้หล้าไพศาลอย่างแท้จริงกลับยังคงจินตนาการความยิ่งใหญ่ของฟ้าดินแห่งนี้ไม่ออกเลย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีบัณฑิตคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า ยัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในแผ่นดินก็พอดี (มาจากประโยคเดิมว่ายัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในเขาพระสุเมรก็พอดี เปรียบเปรยถึงพระธรรมที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด และยังสามารถบรรยายได้ถึงกวีนิพนธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความคิดอันโดดเด่น) วันหน้าหากมีโอกาสจะพาเจ้าไปพบเขา ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยทอดถอนใจในความเป็นกบใต้บ่อของตัวเองก็จะเหมาะสมกับกาลเทศะพอดี”

ชุยตงซานเอาสองมือจับที่วางแขนของเก้าอี้แล้วโยกตัว เก้าอี้จึงเริ่ม ‘ออกเดิน’ มองเหมือนว่าชุยตงซานกำลังขี่ม้าที่กระเด้งกระดอน เป็นภาพที่ชวนขบขันอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมาเว่ยเซี่ยนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซานจึงเคยชินเสียแล้ว สำหรับในเรื่องเช่นนี้ เว่ยเซี่ยนและอวี๋ลู่ต่างก็ปรับตัวได้เร็วกว่าเซี่ยเซี่ยมากนัก

นี่คงเป็นจิตใจที่กว้างขวางของคนเป็นกษัตริย์และรัชทายาทกระมัง

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “เคยบอกคำตอบแก่เจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรคนที่อยู่เบื้องหลังต้าสุยกับต้าหลีต่างก็กำลังแข่งขันกันเรื่องแผนรับมือในภายหลัง ทหารตัวเล็กๆ อย่างไช่เฟิงจะเป็นหรือตาย รวมไปถึงพวกคนอย่างไช่จิงเสินจะยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ ล้วนไม่อาจก่อคลื่นลมอะไรได้ และการที่ข้ารั้งรออยู่ในเขตการปกครอง ไม่ได้กลับสำนักศึกษาที่เมืองหลวง อันที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด อาจารย์ของข้าเอ็นดูเป่าผิงน้อยที่สุด เหมาเสี่ยวตงเป็นพวกเก็บคำพูดไม่อยู่ จะต้องบอกเขาถึงแผนการลับที่ไม่มีเกียรตินี้ของต้าสุยอย่างแน่นอน หากเวลานี้ข้าทะเล่อทะล่าโผล่ไป ย่อมต้องถูกอาจารย์พาลโมโหใส่ ด่าว่าข้าไม่รู้จักทำเรื่องที่ถูกที่ควรเป็นแน่”

“และหากข้าพูดเรื่องงานใหญ่ของแผ่นดินกับอาจารย์ก็จะยิ่งถูกเขาเกลียดขี้หน้า ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอีกเลย แต่งานก็ยังต้องทำ จะให้ข้าเอาแต่พูดว่าอาจารย์ท่านโปรดวางใจ เด็กๆ กลุ่มของหลี่เป่าผิงหลี่ไหวนี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่ ความรู้ของอาจารย์ในทุกวันนี้ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ จากลำดับขั้นตอนในช่วงแรกเริ่มสุด มาถึงดีเลวอันเป็นจุดหมายในช่วงท้ายสุด รวมไปถึงการเลือกเส้นทางเดินระหว่างนั้น ล้วนมีเค้าโครงให้เห็นคร่าวๆ แล้ว หากข้าเอาถ้อยคำเรื่องความดีความชอบที่ฟังเหมือนคำพูดของพ่อค้าหน้าเลือดมาใช้รับมือกับเขา จะต้องเปลืองแรงอย่างมาก”

“ดังนั้นจึงไม่สู้มาหลบอยู่ที่นี่ ทำความดีลบล้างความผิด เอาผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงออกมาให้เห็น ช่วยตัดขาดความเชื่อมโยงบางอย่าง แล้วค่อยไปรับผิดที่สำนักศึกษา อย่างมากก็แค่ถูกซ้อมรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้อาจารย์เกิดปมในใจ แบบนั้นข้าต้องจบเห่แน่ หากถูกเขาหมายหัวว่าข้ามีจิตคิดไม่ซื่อ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะออกหน้าช่วยขอร้องให้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผล”

เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง

ชุยตงซานที่พาเก้าอี้เดินไปถึงหน้าต่างแล้วโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้เว่ยเซี่ยน “ตอนนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนยังไม่มีคุณสมบัติจะถกเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างข้ากับอาจารย์ ดังนั้นจงดูให้มาก พูดให้น้อย”

ชุยตงซานพึมพำเบาๆ “อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง หลิ่วชิงเฟิงแห่งแคว้นชิงหลวน เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ และยังมีเจ้าเว่ยเซี่ยน ล้วนเป็น…ต้นกล้าที่ดีที่พวกเราหมายตา ซึ่งเจ้าและเหวยเลี่ยงมีจุดเริ่มต้นสูงที่สุด แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังต้องอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องไปพูดถึงเหวยเลี่ยง เขาเหมือนนกกระเรียนป่าที่บินอยู่บนท้องนภาอย่างเดียวดาย ไม่ถือว่าเป็นหมากตามความหมายที่แท้จริง เป็นแค่การช่วยเหลือกันและกันบนมหามรรคา แต่อู๋ยวนกับหลิ่วชิงเฟิงคือคนที่ข้าปลูกฝังอบรมมาอย่างตั้งใจ ส่วนเจ้ากับเว่ยหลี่คือคนที่ข้าเลือก วันหน้าพวกเจ้าสี่คนจะต้องขึ้นไปต่อสู้บนเวทีให้กับพวกเรา”

คำพูดของเขาค่อนข้างจะคลุมเครือชวนให้สับสน เว่ยเซี่ยนได้แต่จดจำไว้ในใจเงียบๆ

ชุยตงซานพลันยกมือตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “สือโหรวโง่เง่าผู้นั้น เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าถ้อยคำในกระดาษที่ยัดไว้ในถุงผ้าแพรเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงของข้า แต่ละคำดุจกลั่นออกมาจากหยาดเลือดและน้ำตา คือประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุดของคนผู้หนึ่งที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ครั้งหน้าที่พบกันในสำนักศึกษา หากนางยังไม่รู้จักพัฒนาตัวเองก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! หึ คราบร่างเซียนตู้เม่าร่างนั้นไม่ต้องกินถ่ายหรือหลับนอน นางถึงได้ข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนในใจเอาไว้ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะบอกให้นางทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งถ่ายทั้งอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้ครบหลายๆ รอบ! ต้องให้นางรู้ซะบ้างว่าแบบไหนจึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง!”

เว่ยเซี่ยนบอกลาจากไป

ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกบ่อสายฟ้าที่เป็นวงแสงสีทองวงนั้นออก

เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพเลื่อมใสและยำเกรงคนผู้นี้จากใจจริง

เลื่อมใสเพราะไม่ถึงร้อยปีต้าหลีก็สามารถเปลี่ยนจากแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ แห่งหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูมามีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ได้ นั่นล้วนเป็นเพราะอาศัยสี่คำว่าปั้นน้ำเป็นตัว

แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มากพอให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพยำเกรงราชครูท่านนั้น ในขณะที่คนผู้นี้ต่อสู้รวบรวมแผ่นดินก็ได้ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพิทักษ์แผ่นดิน

เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นการประลองหมากล้อมที่แท้จริง

หลังจากเว่ยเซี่ยนจากไปแล้ว ชุยตงซานก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งบังคับคว้าเหล้ากาที่อยู่บนโต๊ะมากระดกดื่มคำเล็กๆ

ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวที่ลุ่มๆ ดอนๆ เขาได้พบเห็นผู้คนและเรื่องราวมามากมาย อ่านตำรามากกว่าเดิม ได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน

ในศึกตรีจตุที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงของปีนั้น เคยมีขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่สะดุดตาใคร เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่เกรงว่าคงไม่มีใครเก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้ชุยตงซานรู้สึกประทับใจและจดจำได้จนถึงทุกวันนี้

‘ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด มีเกิดก็ต้องมีตาย พืชหญ้าใบไม้ร่วงใบไม้ผลิ มีรุ่งโรจน์ก็ต้องมีโรยรา นี่ก็คือสัจธรรมแห่งธรรมชาติ! ผู้ฝึกลมปราณที่ละเมิดกฎเกณฑ์ เหยียบย่ำชีวิตผู้คน เทพเซียนบนภูเขาที่มองชาวบ้านเป็นดั่งมดตัวเล็กอย่างพวกเจ้า จะแตกต่างจากเผ่าปีศาจตรงไหน?!’

ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบกาเหล้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปากก็พึมพำไปด้วย เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ดังขาดๆ หายๆ “ข้าเคยเป็นเจ๋อเซียน ดื่มน้ำพุเหล้าหมักของสรวงสวรรค์ เล่นหมากล้อมอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว…ข้าเห็นทัศนียภาพสองฝากฝั่งกลางลำน้ำที่คลื่นซัดสาดรุนแรง มิอาจสบอารมณ์…ไร้เงินติดกาย นอนกลางดินกินกลางทราย กินลมเย็นจนอิ่มท้อง จุดตะเกียงดื่มสุรา ต้านลมพายุต้านสายฟ้า…อาจารย์เมามายศีรษะส่ายโคลงเคลง ชูจอกขึ้นสูง ถามสวรรค์ใจคนอะไรที่มาก่อน เด็กรับใช้มิได้ตอบกลับ ก้มหน้าหลับไป ได้ยินเพียงเสียงแมลงรอบกำแพงดังระงม ประหนึ่งทอดถอนใจไปพร้อมข้า…อาจารย์ถอดเสื้อคลุมให้เด็กรับใช้ แต่กลับสะดุดล้มลงในห้องเก่าโทรม ทอดกายบนพื้น เสียงกรนดั่งเสียงฟ้าผ่า หลับฝันนิทราไป…”

ชุยตงซานพลันยื่นมือมาเกาแก้ม “น่าเบื่อจริง เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นอะไรดีล่ะ? อืม รู้แล้ว!”

แล้วเขาก็เริ่มคลอเพลงพื้นบ้านไม่รู้ชื่อขึ้นมา “คางคกตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง คางคกสองตัวมีสี่ขา กระโดดลงน้ำดังจ๋อม คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ…”

……

จวนตระกูลไช่ที่เมืองหลวง

รถม้านำพาเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีความสามารถมารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ

ไช่เฟิงที่ตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางปั้งเหยี่ยนของกั๋วจื่อเจียนถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นมากแล้ว

คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ ในบรรดาคนเจ็ดแปดคนที่มารวมตัวกัน ไช่เฟิงจะเป็นเพียงแค่คนที่มีตำแหน่งขุนนางต่ำที่สุด

กัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวผู้สร้างคุณความชอบในการบุกเบิกแคว้น รองผู้บัญชาการณ์ซ่งซ่านแห่งที่ว่าการพลทหารราบผู้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง…

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเมืองหลวงต้าสุย อายุไม่มาก คนที่อายุมากอย่างเถาจิ้วก็ยังแค่สี่สิบห้าปีเท่านั้น

ไช่เฟิงคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีเรือนกายสูงใหญ่ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ต่อให้เผชิญหน้ากับขุนนางชั้นสูงก็ยังมีมาดน่าเกรงขามไม่เป็นรองใคร

นี่มาจากทั้งความภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถของตัวเอง แล้วก็เกี่ยวพันกับแซ่วงศ์ตระกูลของเขาด้วย ต่อให้ไช่จิงเสินผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นถึงเทพเซียนก่อกำเนิดที่ปกป้องคุ้มครองเมืองหลวงต้าสุยมานานหลายปี

ทุกคนบ้างดื่มชา บ้างดื่มสุรา แผนการถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอนาคตของต้าสุย หรือแม้แต่สถานการณ์ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปในอนาคตก็ล้วนถูกตัดสินที่จวนไช่ในคืนนี้แล้ว

ห้าวันต่อจากนี้จะเป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองเชียนโซ่วเหยียน (หรืองานเลี้ยงผู้เฒ่านับพัน คืองานเลี้ยงที่เชิญคนชรานับพันมาร่วมงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ผู้ริเริ่มคือคังซีฮ่องเต้) ก่อนหรือหลังงานเลี้ยงนี้ล้วนลงมือได้ทั้งสิ้น!

ไช่เฟิงลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังกังวาน “ตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ พิทักษ์แผ่นดิน ไม่ให้ชาวประชาถูกรังแก ปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ถูกคนต่างถิ่นรุกรานดูหมิ่น บัณฑิตอย่างเรายอมสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้!”

จ้วงหยวนคนใหม่ที่ยังอยู่ในสำนักฮั่นหลินลุกพรวดขึ้นยืน ขว้างจอกเหล้าในมือลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บุตรไม่มีบิดาสองคน ขุนนางไม่มีกษัตริย์สองพระองค์ ยินดีเป็นหยกแตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! สามสิบหกแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าสุยของพวกเรา เกินครึ่งล้วนมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิขงจื๊อ!”

อารมณ์ทุกคนพลุ่งพล่าน ฮึกเหิมห้าวหาญถึงขีดสุด

บางคนชูแขนร้องตะโกน “ขอสาบานว่าต้องสังหารปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้จงได้!”

บางคนหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าอาดูร ยกฝ่ามือตบที่เท้าแขนเก้าอี้หนักๆ อยู่หลายครั้ง “ต้าสุยของพวกเราจะยอมคุกเข่าก้มหัวให้คนป่าเถื่อนสกุลซ่งได้อย่างไร ยกอาณาเขตให้เพื่อขอปรองดอง พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!”

ทุกคนทยอยกันแยกย้ายจากไป

ไช่เฟิงไม่ได้ไปส่งใคร ไม่อย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป

แม้จะบอกว่าซ่งซ่านจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับตระกูลไช่ที่ใช้กฎห้ามเข้าออกยามวิกาลถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม มีแต่ทหารคนสนิทของรองผู้บัญชาการที่ว่าการพลทหารราบท่านนี้เฝ้าเอาไว้ แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี

ไช่เฟิงนั่งอยู่ในห้องโถงเลี้ยงรับรองที่เงียบเหงาเพียงลำพัง ในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา

สายตาของไช่เฟิงฉายประกายร้อนแรง

กอบกู้คลื่นยักษ์ที่ทรุดตัวลงแล้วให้กลับคืนมาผงาดอีกครั้ง นอกจากข้าไช่เฟิงแล้วยังจะมีใครทำได้อีก?!

เหมียวเริ่นและจางไต้จ้วงหยวนคนใหม่นั่งรถม้าคันเดียวกันจากไป

เหมียวเริ่นมองคนหนุ่มที่มีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ในใจก็ให้ดูแคลนตัวเอง ตนถึงขนาดสุขุมได้ไม่เท่าเด็กรุ่นหลังที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ ไม่เสียแรงที่อีกฝ่ายถูกเรียกขานว่าคนหนุ่มผู้มีคุณสมบัติจะเป็นเสนาบดี เขา หลี่ฉางอิงว่าที่วิญญูชนของสำนักศึกษาซานหยาในอนาคต ฉู่ต้งแห่งหนานซี บวกกับไช่เฟิงอีกคน ถูกขนานนามให้เป็นสี่จิตวิญญาณแห่งเมืองหลวง คือรุ่นคนหนุ่มที่มีความสามารถของต้าสุย นอกจากนี้ยังมีสี่ผู้นำซึ่งมีพานหยวนฉุนที่เป็นบุตรชายของพานเม่าเจินแม่ทัพใหญ่ผู้ล่วงลับรวมอยู่ด้วย แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ลูกหลานของขุนพล หลังจากที่พานหยวนฉุนที่มีอายุน้อยสุดออกจากสำนักศึกษาไปเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน สี่ผู้นำก็ล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมด

สี่จิตวิญญาณสี่ผู้นำนี้ รวมกันทั้งสิ้นแปดคน ผู้ที่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงหรือขุนนางผู้มีคุณูปการก็ได้แก่ฉู่ต้ง พานหยวนฉุน มีทั้งหมดสี่คน ส่วนผู้ที่เป็นลูกหลานตระกูลคนยากจนก็มีสี่คนเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นจางไต้ที่อยู่ตรงหน้าและหลี่ฉางอิง

เหมียวเริ่นรู้ว่าลำพังแค่คนหนุ่มที่มีเส้นทางอนาคตยาวไกลราบรื่นราวกับปูด้วยผ้าแพรซึ่งถูกลากเข้ามามีส่วนกับแผนการครั้งนี้ก็มีมากถึงสามคนแล้ว

ด้วยเหตุนี้เหมียวเริ่นจึงรู้สึกว่าสิ่งศักดิ์ทั้งหมดในต้าสุยจะต้องปกป้องให้พวกเขาทำเรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จ

เหมียวเริ่นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง สีท้องฟ้าดำมืดมากแล้ว ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่ฟ้าจะสว่าง

……

ระหว่างที่เดินทางกลับ เฉินผิงอันยังคงครุ่นคิดเรื่องที่หลินโส่วอีพูดถึง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรที่มีค่ามากพอจะทำให้หลินโส่วอีซาบซึ้งใจ

หากจะบอกว่าเป็นหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวที่คิดถึงเขาตลอดเวลา เฉินผิงอันจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ก็ทั้งสองยังเป็นเด็กนี่นะ

แต่หลินโส่วอีกลับไม่เหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะเขามีความรู้สึกที่ค่อนข้างเฉียบไว เป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนและมีความคิดเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง อีกทั้งปณิธานยังสูงส่งยาวไกล ดังนั้นระหว่างทางที่เดินทางมาขอศึกษาต่อถึงได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก่อนใคร เรื่องนี้เฉินผิงอันไม่รู้สึกประหลาดใจ

จูเหลี่ยนอาศัยลางสังหรณ์ของตัวเอง ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่หอพักของตัวเอง แต่ตามเฉินผิงอันเข้ามาในห้องแล้วถามเบาๆ ว่า “มีเรื่องหรือ?”

นายบ่าวในนามสองคนนี้เคยร่วมศึกใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายกันมาหลายครั้ง ความรู้ใจจึงถูกบ่มเพาะขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังจูเหลี่ยน หลังจากรินเหล้าสองถ้วยแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าขุนเขาเหมาบอกข้าว่าช่วงนี้มีคนในเมืองหลวงต้าสุยคิดเล่นงานสำนักศึกษา หวังจะอาศัยช่วงเวลาสำคัญที่ฮ่องเต้ต้าสุยจะจัดงานเลี้ยงเชียนโซ่วเหยียน มีทูตของต้าหลีเข้าร่วมงานเลี้ยง หากเกิดปัญหาขึ้นที่สำนักศึกษาก็สามารถยุยงให้ชาวบ้านของสองแคว้นเกิดความเดือดดาล จากนั้นก็ทำลายของสมดุลของทั้งสองฝ่ายลง ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสงครามใหญ่ที่ชายแดน สองปีมานี้เดิมทีคนทั่วทั้งราชสำนักต้าสุยก็สะกดกลั้นไฟแค้นที่ฮ่องเต้สกุลเกาเป็นฝ่ายก้มหัวให้กับต้าหลีซึ่งพวกเขามองว่าเป็นคนเถื่อนก่อนอยู่แล้ว จากขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่รู้สึกได้รับความอัปยศเป็นเท่าตัว ไปจนถึงวงการวรรณกรรมที่แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม กระทั่งพวกชาวบ้านที่งุนงงสงสัยไม่เข้าใจ ขอแค่มีโอกาสปรากฏขึ้นมาก็ต้อง…”

จูเหลี่ยนรับคำพูดต่อ “ประกายไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนไม่อาจยับยั้งได้ทัน ต้าสุยจะไม่มีทางให้เดินย้อนกลับ ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาก็ต้องถูกบีบให้ทำลายพันธมิตรแห่งขุนเขาลง”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเฉยเมย “เรื่องใหญ่ในราชสำนักประเภทนี้ ขอแค่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็ไม่มีอะไรให้ต้องขุ่นเคืองใจ ข้าเข้าใจดี ดังนั้นข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่อยู่ในตำแหน่งก็ไม่เข้าใจงานในหน้าที่ หลักการเดียวกับที่พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพแล้วต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อเกี่ยวพันมาถึงพวกเป่าผิง…”

เฉินผิงอันกระดกเหล้าในถ้วยดื่มรวดเดียวหมด แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

จูเหลี่ยนตกตะลึงเล็กน้อย

ช่างเป็นปราณสังหารที่รุนแรงนัก

ในทะเลสาบหัวใจพลันมีคลื่นแห่งความอำมหิตโถมตัว

จูเหลี่ยนขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้”

เฉินผิงอันรินสุราอีกถ้วย “ยิ่งฝึกวิชากระบี่ก็ยิ่งได้รับอิทธิพลจากภาพในปีนั้นที่เว่ยจิ้นใช้หนึ่งกระบี่ฟันม่านราตรีให้ปริแตก และภาพที่จั่วโย่วเปิดฉากสังหารสี่ทิศในร่องเจียวหลง ข้าคนนี้เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากที่สุด แต่ภายหลังถูกเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุท้อง ต่อมาก็ยังได้เจอกับศัตรูคู่อาฆาตอย่างหลี่เป่าเจิน ยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งเข้าใจว่า สภาพจิตใจของตัวเองเกิดปัญหาแล้ว ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าถูกทุบแตกตอนยังเป็นเด็ก สรุปก็คือนี่เป็นปัญหาอย่างมาก”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างเป็นกังวล “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยจะจัดการอย่างไร? ดูเหมือนว่านี่จะเกี่ยวพันไปถึงปมในใจ…หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจิตมารของผู้ฝึกตน?”

เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับของจูเหลี่ยน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อ่านตำราให้มาก”

เห็นจูเหลี่ยนมีสีหน้าเหลือเชื่อ เฉินผิงอันก็ยิ้มฝืด “ไม่ได้ล้อเจ้าเล่นหรอกนะ”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก โคลงศีรษะไปมา

หากนี่ไม่ได้เรียกว่าล้อเล่น ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องล้อเล่นอีกหรือ?

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ก่อนที่ข้าจะมาถึงสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวแห่งนี้ อันที่จริงก็ได้เริ่มลองอ่านตำราอริยะปราชญ์ที่มีความลึกซึ้งแล้ว ตอนอยู่แคว้นชิงหลวน ทำไมข้าถึงต้องอ่านตำราของสำนักนิติธรรม? นั่นก็เพราะข้าค้นพบว่าหากอ่านแค่ตำราลัทธิขงจื๊ออย่างเดียวก็คล้ายว่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกของข้า ได้ผลไม่มากพอ พอชุยตงซานแนะนำ ข้าถึงได้คิดจะนำบทความของลัทธิขงจื๊อมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับความรู้อันเป็นพื้นฐานของสำนักนิติธรรม ภายหลังมาลองย้อนนึกดูก็เห็นว่ามีส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ รอจนมาถึงสำนักศึกษา เห็นตัวอักษรที่สลักไว้บนไม้บรรทัดที่เจ้าขุนเขาเหมาห้อยไว้ตรงเอว สติปัญญาของข้าถึงพลันเปิดโล่ง รู้สึกว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกมึนงง ได้แต่เดินไปโดยอาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง ทว่าจะต้องเดินไปทางไหน ในใจกลับไม่มีความมั่นใจเลย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า สิ่งที่ข้าเฉินผิงอันกลัวมากที่สุดก็คือการที่…”

เฉินผิงอันเริ่มใคร่ครวญหาคำพูด

จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ชักกระบี่มองรอบกายใจเลื่อนลอย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความหมายนี้อยู่เล็กน้อย ขอแค่ข้ามองเห็นว่า…มีคนยืนอยู่ห่างไปไกล หรือยืนอยู่ในจุดสูง ต่อให้จะสูงหรือไกลแค่ไหน ข้าก็ไม่กลัว”

เฉินผิงอันใช้ปลายนิ้วเขียนตัวอักษรลงบนโต๊ะเบาๆ พูดเนิบช้าว่า “อริยะกล่าวว่า ทำตามใจปรารถนา ไม่ก้าวล้ำกฎเกณฑ์ นี่ก็คือการให้ยาที่ถูกกับโรค”

จูเหลี่ยนถือถ้วยเหล้าค้างไว้ รู้สึกว่าจะดื่มก็ไม่ใช่ ไม่ดื่มก็ไม่ควร

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “ดื่มเหล้ายังต้องการเหตุผลอีกหรือ? มา!”

คนทั้งสองดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด

เฉินผิงอันคิดว่าในเมื่อการฝึกประสบการณ์ การผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ์สามารถบำรุงตบะได้ดีที่สุด ถ้าเช่นนั้นการที่ตนเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาจิตใจของตัวเอง หาความสุขในความทุกข์ มองมันเป็นแท่นสังหารมังกรในด้านการฝึกตน ทำไมจะทำไม่ได้?

ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อยู่บนเรือบินข้ามฟากเหนือขุนเขากลางแคว้นเฉิงเทียนแล้วจูเหลี่ยนปล่อยหมัดใส่เผยเฉียน แต่เผยเฉียนหลบพ้นไปได้

สือโหรวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ว่าการที่เผยเฉียนอาศัย ‘สัญชาตญาณ’ หลบพ้นหมัดของขอบเขตสี่มาได้นั้นมหัศจรรย์ที่ตรงใด

จูเหลี่ยนเองก็เนื่องจากไม่ใช่ผู้ฝึกตน จึงไม่เข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของการที่พวกเซียนดินมองจิตมารเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาต ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าขอบเขตที่เฉินผิงอันแสวงหานั้นสูงมากเท่าไหร่

ดื่มเหล้ากันไปแล้ว

จูเหลี่ยนก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ด้วยความเคยชิน “ได้ยินสือโหรวบอกว่า คราวก่อนตอนอยู่บนหัวกำแพงของสวนสิงโต นายน้อยเกือบจะต่อสู้กับหลิ่วป๋อฉีสตรีจากเรือนซือเตาผู้นั้นแล้ว เกือบจะชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่สือโหรวที่อยู่ด้านหลังท่าน เห็นว่าต่อให้นายน้อยจะแค่กุมด้ามกระบี่ แต่ฝ่ามือกลับถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ? สุดท้ายจึงได้แต่หดมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลิ่วป๋อฉีค้นพบความจริง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วยไม่ได้ อาวุธกึ่งเซียนก็ปรนนิบัติยากเช่นนี้แหละ”

ใบหน้าของจูเหลี่ยนเผยความคลางแคลงใจ

เฉินผิงอันเคยเล่าศึกระหว่างเขากับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ฟังอย่างละเอียด ถือเป็นการทบทวนกระดานหมากล้อมระหว่างนายบ่าวสองคน

เฉินผิงอันจึงต้องอธิบาย “กระบี่ ‘ปราณยาว’ ที่เคยเล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่า แต่กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าท่านนั้นทำลายตราผนึกส่วนมากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายข้าก็ชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้ ส่วนกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามอบให้เป็นของชดใช้เล่มนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะพวกเขาอยากจะรอชมเรื่องสนุก รู้ดีว่าเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้จะเป็นได้เพียงซี่โครงไก่ อีกอย่างก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พวกเขาช่วยคลายตราผนึกทั้งหมดให้แล้วก็หมายความว่ากระบี่เจี้ยนเซียนเล่มนี้เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีกุญแจไขประตูใหญ่ เมื่อมาอยู่ในมือของข้าเฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้ได้ แต่หากไม่ทันระวังปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของคนอื่น คนผู้นั้นก็สามารถเข้าออกเรือนแห่งนี้ได้โดยอิสระเช่นกัน สรุปก็คือนี่เป็นการกระทำที่แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย”

เฉินผิงอันยื่นมือออกมาคว้าจับ บังคับกระบี่เซียนที่วางอยู่บนเตียงให้เข้ามาอยู่ในมือ “ข้าใช้วิธีหลอมเล็กสืบเสาะสาวเส้นใยตราผนึกเวทลับพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า คงต้องรอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์เสียก่อนถึงจะสามารถทำลายตราผนึกทุกอย่างแล้วนำมาใช้ได้อย่างคล่องมือเหมือนมันเป็นแขนของตัวเอง ตอนนี้หากชักกระบี่ออกจากฝัก สังหารศัตรูพันคนตัวเองเสียหายแปดร้อย หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรใช้มัน”

จูเหลี่ยนพลันกระจ่างแจ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งคำ จากนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนทั้งห้าล้วนมาจากต้าหลี ลอบฆ่าอวี๋ลู่มีความหมายไม่มากนัก เซี่ยเซี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่านางเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ของสกุลหลู แม้ว่าจะเคยเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนในตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของสกุลหลู แต่สถานะนี้ของนางก็ได้ตัดสินแล้วว่าน้ำหนักของเซี่ยเซี่ยไม่มากพอ ส่วนสามคนแรกล้วนมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ในอดีตอาจารย์ฉีเคยตั้งใจอบรมสั่งสอน ซึ่งเป่าผิงน้อยกับหลี่ไหวมีสถานะดีที่สุด คนหนึ่งบรรพบุรุษในตระกูลคือก่อกำเนิดที่ได้เป็นผู้ถวายงานรับใช้ต้าหลีแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งบิดาก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทาง ไม่ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับใคร ต้าหลีย่อมไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่ คนหนึ่งคือไม่ยอม อีกคนหนึ่งคือไม่กล้า”

เฉินผิงอันไม่ได้บอกกับจูเหลี่ยนเรื่องหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงมอบคำว่า ‘ไม่กล้า’ ให้แก่หลี่ไหวที่บิดาคือหลี่เอ้อร์

ปีนั้นตอนที่หลี่ซีเซิ่งอยู่ในตรอกหนีผิงได้ใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด เขาสามารถป้องกันได้อย่างรัดกุมรอบคอบ ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นก็วาดยันต์บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว อักษรแต่ละตัวหนักนับพันชั่ง ถึงขนาดทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงต่ำ

อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว

ความปลอดภัยของหลี่เป่าผิงสำคัญที่สุด

เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนอีกหนึ่งถ้วย “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าติดตามข้าก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขเลยสักวัน?”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วยิ้มพูดว่า “นายน้อยหากท่านได้เข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวเร็วสักหน่อย ได้เจอกับบ่าวเฒ่าในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดจะไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน เป็นๆ ตายๆ ล้วนเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเสมอ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนั้นที่ข้าเอาชนะติงอิงได้ก็เป็นเพราะว่าตัวเขาประมาทเองด้วย หากเจอกับปรมาจารย์ที่ไม่มีความพิถีพิถันอย่างเจ้า เกรงว่าคนที่ตายคงต้องเป็นข้า”

จูเหลี่ยนรีบดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยให้หมด แล้วยื่นถ้วยเหล้าออกมาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “อาศัยคำพูดประโยคนี้ของนายน้อย บ่าวเฒ่าก็จะดื่มลงโทษตัวเองอีกหนึ่งถ้วย”

เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนถ้วยหนึ่งจริงๆ เขากล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าเจ้าและข้าสองคน ไม่ว่าจะเป็นสิบปีหรือร้อยปีให้หลังก็จะยังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันเช่นนี้”

จูเหลี่ยนยิ้มกว้าง “เรื่องนี้จะยากตรงไหน?”

คืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไม่น้อย ถือว่าเยอะกว่าเวลาปกติมากแล้ว

หลังจากคนทั้งสองแยกย้ายกัน เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง พูดคุยเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ต่อให้พูดคุยละเอียดยิบแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป

ท่ามกลางม่านราตรี

เฉินผิงอันเดินอยู่เพียงลำพัง

……

ก่อนที่จะดับตะเกียงในห้อง

เผยเฉียนพูดอย่างเขินอายว่า “พี่หญิงเป่าผิง ข้านอนไม่ค่อยนิ่งนะ”

หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็เดินตรงไปยังภูเขาตำราลูกเล็กที่ยึดครองพื้นที่ของเตียงหลังหนึ่ง แล้วย้ายพวกมันไปวางไว้บนภูเขาตำราอีกลูกหนึ่ง

คนทั้งสองนอนในผ้าห่มของใครของมัน หลี่เป่าผิงนอนตัวตรง หลังพูดสองคำว่า ‘นอนเถอะ’ พริบตาเดียวก็หลับไป

เผยเฉียนพลิกตัวไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง ดึกมากแล้วกว่าจะสะลึมสะลือหลับไป

ตอนตื่นมาเช้าวันที่สองนางก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่มที่เก็บชายเรียบร้อยจนอบอุ่นเหมือนบะจ่างลูกหนึ่ง เผยเฉียนหันหน้าไปมอง เตียงของหลี่เป่าผิงถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนดูเกินจริง เหมือนก้อนเต้าหู้ที่ถูกมีดตัดอย่างไรอย่างนั้น พอเผยเฉียนนึกถึงทุกครั้งที่ตัวเองเก็บเตียงอย่างลวกๆ ก็ให้ละอายใจนิดๆ แต่จากนั้นก็นอนหลับต่ออย่างสุขสบาย ต้องเก็บแรงไว้ให้ดี วันนี้ถึงจะได้ไปหลอกเจ้าหลี่ไหวคนทึ่ม และเจ้าสองคนนั้นที่ซื่อบื้อยิ่งกว่าหลี่ไหว

ส่วนเรื่องที่คิดจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงนั้น เผยเฉียนคิดว่ารอให้เมื่อไหร่ที่ตัวเองโตเท่าหลี่เป่าผิงแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรตนก็อายุยังน้อย แพ้ให้หลี่เป่าผิงก็ไม่น่าอาย

ปีหน้าตนก็จะอายุสิบสองปีแล้ว หลี่เป่าผิงอายุสิบสาม ก็ยังแก่กว่านางหนึ่งปี เผยเฉียนไม่สนใจแล้ว ปีหน้าปีแล้วปีเหล่า ปีหน้ามีตั้งมากมาย แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว

หลี่เป่าผิงที่หลังจากตื่นนอนก็ไปหาเฉินผิงอันตั้งแต่เช้าตรู่ ในหอพักแขกไม่มีคน นางจึงวิ่งห้อไปยังเรือนของเจ้าขุนเขาเหมา

นางไปรออยู่หน้าประตูเรือน

ในฐานะอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษา ขอแค่ยินดีก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในสำนักศึกษาได้อย่างชัดเจนประหนึ่งมองแสงไฟในถ้ำมืดมิด ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงจำต้องบอกกับเฉินผิงอันว่าหลี่เป่าผิงมารออยู่ข้างนอก

เฉินผิงอันออกมาจากห้องหนังสือ เดินไปรับหลี่เป่าผิงกลับมาในห้องหนังสือด้วยกัน ระหว่างทางก็บอกนางด้วยว่าวันนี้คงไปเที่ยวชมเมืองหลวงต้าสุยไม่ได้แล้ว

หลี่เป่าผิงรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็จะอยู่ในสำนักศึกษาประมาณหนึ่งเดือนจึงไม่รีบร้อน คิดว่าวันนี้จะลองไปเดินเล่นในบางสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็พาเผยเฉียนไปเที่ยวด้วยกันก่อน แต่เฉินผิงอันก็เสนออีกว่าวันนี้พาเผยเฉียนเที่ยวในสำนักศึกษาให้ทั่วก่อน อย่างเช่นไปเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียงของภูเขาตงหัวอย่างโถงนักปราชญ์ หอเก็บตำราและศาลานกบิน ฯลฯ หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ทันเดินไปถึงห้องหนังสือก็วิ่งปรู๊ดจากไปอีกครั้ง บอกว่าจะกลับไปกินข้าวเช้าเป็นเพื่อนเผยเฉียน

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ทั้งกังวลว่าหากออกไปข้างนอกจะเกิดเหตุลอบฆ่า แล้วก็ทนเห็นหลี่เป่าผิงผิดหวังไม่ได้ รู้สึกว่ายุ่งยากมากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รู้สึกลังเลใจอยู่มาก”

เหมาเสี่ยวตงถาม “ไม่อยากถามหน่อยหรือว่า ข้ารู้หรือไม่ว่าเป็นชนชั้นสูงในต้าสุยคนใดบ้างที่วางแผนทำเรื่องครั้งนี้?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้ที่นี่จะเป็นสำนักศึกษา แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่บนแผ่นดินของแคว้นต้าสุย”

“ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ ยังคงเป็นเรื่องการหลอมวัตถุของเจ้า”

เหมาเสี่ยวตงโบกมือ “ปากของชุยตงซานมีแต่อาจม แต่มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่เหมือนคำพูดของคนอยู่บ้าง รากฐานในการหยัดยืนของสำนักศึกษาเรา ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหรือการศึกษาหาความรู้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่าปฏิบัติคำเดียว”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเนิบช้า “ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่า ไม่อาจวางทิฐิ ชีวิตนี้ก็มีแต่ความทุกข์ หากไร้ทุกข์ก็คืออิสระเสรีอย่างหนึ่ง ลัทธิเต๋าแสวงหาความบริสุทธิ์และสงบสุข ความทุกข์ยากเป็นดั่งเรือบินที่ล่องอยู่กลางอากาศ หลบเลี่ยงจากโลกมนุษย์ไปนานแล้ว และนั่นก็คือความเสรีที่แท้จริง มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่สอนให้เดินหน้าเข้าหาความทุกข์ยาก มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกย่อมพบเจอความทุกข์ ไม่หลบหนีไม่หลีกเลี่ยง บนเส้นทางที่เดินไป ตำราอริยะปราชญ์ทั้งหลายประหนึ่งโคมไฟดวงแล้วดวงเล่าที่ช่วยชี้ทางสว่างให้แก่คนเดิน”

เฉินผิงอันอดพูดขึ้นเบาๆ ไม่ได้ว่า “ที่ใดมีสัจธรรม แม้มีกองทัพนับพันนับหมื่นขวางกั้น ข้าก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป”

เหมาเสี่ยวตงหยุดเดิน ทอดถอนใจอย่างเห็นด้วย “คือหลักการนี้แหละ!”

……

เพียงแค่สองชั่วยาม หลี่เป่าผิงก็พาเผยเฉียนวิ่งเที่ยวไปทั่วสำนักศึกษาครบแล้วหนึ่งรอบ หากไม่เป็นเพราะต้องคอยอธิบายให้เผยเฉียนฟังด้วยความอดทน หลี่เป่าผิงใช้เวลาแค่ชั่วยามเดียวก็เดินได้ทั่วแล้ว

สุดท้ายหลี่เป่าผิงยังพาไปที่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบนยอดเขาตงซานแห่งนั้น เด็กหญิงทั้งสองป่ายปีนต้นไม้ไล่ตามกันไป หลังจากพาเผยเฉียนขึ้นไปยืนมองทิศไกลบนที่สูงแล้วก็ชี้นิ้วออกไปพลางอธิบายให้เผยเฉียนฟังว่าในเมืองหลวงของต้าสุยมีของกินอะไรอร่อยและมีที่เที่ยวใดที่สนุกบ้าง ราวกับว่ากำลังนับสมบัติในบ้านตัวเอง ท่าทางมีชีวิตชีวาเช่นนั้นประหนึ่ง…ตลอดทั้งเมืองหลวงต้าสุยก็คือสวนหลังบ้านของนางเอง

เผยเฉียนแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง

นางนึกภาพออกเลยว่า ตลอดหลายปีมานี้พี่หญิงเป่าผิงที่ชอบสวมชุดกระโปรงหรือไม่ก็ชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสดคนนี้มักจะชอบมายืนรออาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่

คนทั้งสองนั่งอยู่บนกิ่งไม้ด้วยกัน หลี่เป่าผิงควักผ้าเช็ดสีแดงผืนหนึ่งออกมา เปิดห่อผ้าก็เห็นว่าเป็นขนมแป้งข้าวเหนียวสองชิ้น คนทั้งสองแบ่งกันกินคนละชิ้น

เผยเฉียนบอกว่าตอนบ่ายนางเดินเที่ยวคนเดียวก็ได้

หลี่เป่าผิงจึงพยักหน้าตอบรับ บอกว่าตอนบ่ายมีอาจารย์ผู้เฒ่าต่างถิ่นท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ากันว่าคำพูดคำจาของเขาใหญ่โตยิ่งกว่าชื่อเสียงเสียอีก เขาจะมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา เป็นวิชาการให้คำอรรถาธิบายความหมายคำศัพท์โบราณในตำราลัทธิขงจื๊อ ในเมื่อวันนี้อาจารย์อาน้อยมีธุระต้องทำ ไม่ไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง ถ้าอย่างนั้นนางก็อยากจะไปฟังอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินทางไกลมาจากทิศใต้สอนหนังสือดูสักหน่อย อยากรู้ว่าเขาจะมีความรู้อย่างที่ล่ำลือกันจริงหรือไม่

เผยเฉียนที่ไม่รู้ว่าอรรถาธิบายคำศัพท์โบราณคืออะไรถามอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าจะฟังเข้าใจหรือ?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ แต่แล้วก็ส่ายหนน้า “อันที่จริงในตำราที่ข้าคัดก็มีอธิบายเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าข้ามีคำถามมากมายที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ พวกอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็เกลี้ยกล่อมข้าว่าอย่าได้ทะเยอทะยานเกินตัวนัก บอกว่าหากเป็นหลี่ฉางอิงของสำนักศึกษาเป็นผู้ถามก็ยังพอทำเนา ตอนนี้ต่อให้พวกเขาอธิบายให้ข้าฟัง ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ขนาดพูดยังไม่เคยพูด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องฟังไม่เข้าใจ ช่างเถิด พวกเขาเป็นอาจารย์ ข้าไม่ควรพูดแบบนี้ คำพูดเหล่านี้ก็ได้แต่เก็บกลั้นไว้ในท้องเท่านั้น แต่ก็มีอาจารย์บางส่วนที่เบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น สรุปก็คือไม่มีใครเหมือนอาจารย์ฉีที่ต้องหาคำตอบมาให้ข้าได้ทุกครั้ง แล้วก็ไม่เหมือนอาจารย์อาน้อยที่ถ้ารู้ก็บอก ไม่รู้ก็บอกข้าตรงๆ ว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงชอบออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ เจ้าคงไม่รู้ว่าอดีตเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งนี้ของพวกเราก็คืออาจารย์ฉีที่สอนวิชาชั้นประถมให้ข้า หลี่ไหวและหลินโส่วอี เขาเป็นคนพูดว่าความรู้ทั้งหมดล้วนอยู่ที่คำว่า ‘ปฏิบัติ’ คำนี้มีความหมายสองชั้น หนึ่งคือการออกเดินทาง (คำว่าปฏิบัติ 行 แปลได้อีกความหมายหนึ่งว่าเดิน) หมื่นลี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ สองคือบูรณาการ ใช้ความรู้มาอบรมบ่มเพาะขนบธรรมเนียมแห่งวงศ์ตระกูลและปกครองใต้หล้าให้สงบสุข ตอนนี้ข้าอายุยังน้อยจึงได้แต่เดินให้มาก”

ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ เผยเฉียนพบว่าหลี่เป่าผิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างที่หาได้ยาก

เผยเฉียนทอดถอนใจด้วยความชื่นชม “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าคิดเยอะจริงๆ”

หลี่เป่าผิงเห็นว่าเผยเฉียนยังกินขนมชิ้นนั้นไม่เสร็จ นางแทะเบาๆ ราวกับหนูตัวน้อยแทะข้าวโพดอย่างไรอย่างนั้น หลี่เป่าผิงจึงคลี่ยิ้ม ตบไหล่เผยเฉียน “อาจารย์อาน้อยต่างหากที่คิดเยอะ”

หลี่เป่าผิงแกว่งเท้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชุยตงซานเคยบอกว่า สักวันหนึ่งอาจารย์อาน้อยจะต้องพบเจอกับแม่นางที่เขาชอบ ข้าก็ได้แต่เป็นอันดับที่สองในใจของอาจารย์อาน้อย ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าเองก็อาจพบเจอคนที่ข้าชอบมากเหมือนกัน และอาจารย์อาน้อยก็ต้องอยู่อันดับสองในใจข้า ข้ารู้สึกว่าชุยตงซานพูดจาเหลวไหล อาจารย์อาน้อยมีผู้หญิงที่ชอบ ข้าก็ไม่ถือสา แต่ข้าจะชอบคนอื่นมากกว่าอาจารย์อาน้อยได้อย่างไร ถูกไหมเผยเฉียน?”

เผยเฉียนรีบพยักหน้ารับ

หลี่เป่าผิงพึงพอใจกับท่าทีของเผยเฉียนมากจึงตบไหล่นาง พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี “วันหน้าติดตามอาจารย์อาน้อยออกไปท่องยุทธภพ เจ้าต้องพยายามให้เยอะๆ ต้องรู้ความให้มากขึ้น ซุกซนบ้างก็ได้ แต่อย่าซนบ่อยจนอาจารย์อาน้อยต้องเหน็ดเหนื่อยใจ อาจารย์อาน้อยของข้า อาจารย์ของเจ้า ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า อาจารย์อาน้อยเองก็มีเรื่องที่ต้องวุ่นวายใจ มีเรื่องเสียใจที่ต้องใช้เหล้าดับทุกข์ ดังนั้นเจ้าต้องรู้ความในบางเรื่อง ทำได้หรือไม่? เจ้าก็เห็นว่าเมื่อก่อนอาจารย์อาน้อยไม่เคยดื่มเหล้า ตอนนี้กลับดื่มเหล้าแล้ว นี่หมายความว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างเจ้ายังมีบางเรื่องที่ทำได้ไม่ดีพอ ถูกต้องไหม?”

เผยเฉียนยังคงพยักหน้า ชื่นชมอีกฝ่ายและยินดีจากใจจริง

เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้นางยืมน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินและดาบแคบยันต์มงคล ความหมายคร่าวๆ ในคำพูดของหลี่เป่าผิงเหมือนกับคำพูดที่เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์และคำพูดที่จงขุยเคยกล่าวไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

นาทีนั้นเผยเฉียนถึงได้ยอมรับว่า หลี่เป่าผิงเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เพราะมีเหตุผล

คนทั้งสองทยอยกันไต่ลงมาจากต้นไม้ใหญ่

หลี่เป่าผิงต้องไปเข้าเรียนคาบของอาจารย์จากต่างถิ่นจึงวิ่งตะบึงจากไป ท่ามกลางกลุ่มของอาจารย์ผู้เฒ่าและลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักศึกษา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่เป่าผิงมีอายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังสวมชุดสีแดงสดย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง

เผยเฉียนเลือกไปที่หอพักของพวกหลี่ไหวสามคนตอนที่พวกเขาเลิกเรียนพอดี

คนทั้งสามยังคงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน

หลิวกวานถาม “หม่าเหลียน เจ้าลองบอกมาสิ หากในบ้านมีคนเป็นขุนนาง ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ ลำพังแค่เอามาวางไว้ก็ต้องมีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมายอย่างที่เผยเฉียนพูดจริงๆ หรือ?”

หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง “มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็เหมือนอย่างที่นางเล่าจริงๆ”

“แล้วเตียงป๋าปู้ (เตียงไม้โบราณอย่างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยรอบเตียงจะมีเสาไม้และไม้แกะสลักครอบคลุม ทำให้เตียงกลายมาเป็นเหมือนห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง) ที่เผยเฉียนเล่าว่านางเคยนอนตอนเด็กจะใหญ่ถึงขนาดที่สามารถวางของเล่นสารพัดได้มากมายจริงๆ หรือ?”

หม่าเหลียนยังคงพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่สาวข้าก็มีอยู่หลังหนึ่ง!”

หลิวกวานกล่าวอย่างจนใจ “นี่นางคือองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์จริงๆ หรือนี่! ถ้าอย่างนั้นพบกันครั้งหน้า พวกเราจะคารวะแบบใด? ประสานมือคารวะนางพอหรือไม่? คงไม่ต้องถึงขั้นคุกเข่าโขกหัวให้นางหรอกกระมัง?”

หม่าเหลียนมีสีหน้าลำบากใจ “ฮ่องเต้และพวกองค์ชายองค์หญิงเคยเสด็จไปที่บ้านของข้า แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป จำอะไรไม่ได้เลย”

หลี่ไหวพูดอย่างอารมณ์ดี “องค์หญิงแล้วยังไง ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไร พบนางแล้วก็ทำเหมือนข้า ทุกคนต่างก็พบเจอกันในยุทธภพ เสมอภาคเท่าเทียมกัน แค่กุมมือคารวะก็พอ”

หลิวกวานพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ก็ดี ถึงอย่างไรนางก็บอกว่าตัวเองคือคนในยุทธภพ พวกเราเองก็อย่าให้ขายหน้าตัวเองเลย”

พวกเขาพบเผยเฉียนที่หน้าประตูหอพัก

คนทั้งสามพร้อมใจกันยกมือขึ้นกุมคารวะ

เผยเฉียนเลิกคิ้วแล้วกุมหมัดคารวะกลับคืน

เข้ามาในหอพัก

เผยเฉียนก็รีบเล่าเรื่องความขัดแย้งครั้งหนึ่งในยุทธภพให้คนทั้งสามฟังอย่างสมจริงสมจัง

โจรดักปล้นกลางทางที่ไม่รู้จักกลัวตายกลุ่มหนึ่งกรูกันออกมาจากพงหญ้าสองข้างทาง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายสิบคนถือมีด ทวน กระบอง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธรูปแบบใดก็ล้วนมีครบหมด

คนที่เป็นผู้นำถือขวานเซวียนฮวา (ขวานชนิดหนึ่งที่ด้ามยาวคล้ายทวน ใบมีดของขวานกว้างใหญ่) ชูแขนหันคมขวานเข้าหาอาจารย์ของข้า ตวาดกร้าวเสียงดังปานประหนึ่งฟ้าผ่า ‘ทางเส้นนี้ข้าเป็นคนเปิด หากคิดจะผ่านทางจงทิ้งสมบัติซื้อชีวิตเอาไว้!’ หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น พวกเจ้าจะกลัวหรือไม่?!

หม่าเหลียนพยักหน้ารับ

หลิวกวานหัวเราะหึหึ “ถึงอย่างไรก็มีอาจารย์ของเจ้าให้การปกป้อง ก็แค่โจรภูเขาเท่านั้น จะต้องกลัวอะไร”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก ตวัดตามองค้อนหลิวกวาน “อาจารย์ของข้าเลยถามกลับว่า ถ้าไม่ควักเงินจ่ายแล้วจะเป็นยังไง? พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นอาจารย์ของข้ามีมาดแห่งจอมยุทธ์มากแค่ไหน ลมภูเขาพัดโชย ต่อให้อาจารย์ของข้าไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ก็มีท่วงท่าแห่งปรมาจารย์ที่ ‘ตัดหัวแม่ทัพของกองทัพนับหมื่นได้เหมือนหยิบของในกระเป๋าตัวเอง’ ทำเหมือนพวกโจรที่มากันเป็นขบวนเป็นเพียงแค่…ไก่ที่ทำจากดิน หมาที่ทำจากกระเบื้อง ไม่อาจต้านทานการโจมตี!”

ในใจเผยเฉียนอดรู้สึกเลื่อมใสตัวเองไม่ได้ นิยายที่บรรยายถึงเรื่องราวในสนามรบและยุทธภพหลายเล่มนั้น อ่านแล้วไม่เสียเปล่าจริงๆ ตอนนี้ก็ได้เวลาเอามาใช้แล้ว

หลิวกวานร้อนใจจนมิอาจอดทนได้ไหว “ความร้ายกาจของอาจารย์เจ้า พวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว วิชาหมัดเป็นเอก วิชากระบี่ไร้ศัตรูทัดทาน เป็นทั้งเซียนกระบี่ แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วย ข้ารู้หมดแล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ? เกิดศึกใหญ่นองเลือดเลยหรือไม่?”

เผยเฉียนถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าคิดว่ายุทธภพมีเพียงแค่การเข่นฆ่าของคนหยาบกระด้างเท่านั้นหรือ? ชาวยุทธ ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรีหรือวิญญูชนบนขื่อคาน (เป็นคำเปรียบเปรยถึงโจรขโมย) ไม่ว่าตบะจะสูงหรือต่ำก็ล้วนเป็นคนที่มีชีวิตมีลมหายใจ! อีกทั้งยังไม่มีใครที่เป็นคนโง่!”

หลิวกวานถูกสั่งสอนก็เงียบกริบ ไม่โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก

เผยเฉียนกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปอีกฝั่งหนึ่ง “โจรภูเขาที่เป็นหัวหน้าใหญ่ผู้นั้นพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกขวานยักษ์หนักเจ็ดสิบแปดสิบจินขึ้นมา ถามอาจารย์ข้าด้วยความอับอายจนพานเป็นความโกรธ ‘ไอ้หนู เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?’”

เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ ออกไปสามสี่ก้าวแล้วหันตัวกลับมาพูด “อาจารย์ข้าพูดง่ายๆ แค่คำเดียว อยาก ทันใดนั้นสถานการณ์ก็พลันแปรเปลี่ยน กลุ่มโจรกู่ร้องอย่างฮึกเหิม พลังอำนาจเปี่ยมล้น”

หลิวกวานกับหม่าเหลียนฟังอย่างตั้งใจ

หลี่ไหวแทะเมล็ดแตง

เขาเคยเห็นโลกกว้างใบนี้พร้อมกับเฉินผิงอันมาก่อน ขนาดผีสวมชุดเจ้าสาวยังรับมือได้ แค่โจรภูเขาตัวเล็กๆ กลุ่มเดียว เขาหลี่ไหวไม่เห็นอยู่ในสายตา

เผยเฉียนวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง แสร้งทำสีหน้าดุดันแล้วหันขวับกลับมา “คนผู้นั้นตะคอกเสียงข่มขวัญ ไอ้ตัวดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร?!”

เผยเฉียนวิ่งย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง “อาจารย์ของข้าตอบไปอีกคำ รู้”

จากนั้นเผยเฉียนก็ใช้นิ้วแทนพู่กัน เขียนอักษรคำว่าตายกลางอากาศ หันหน้ามาพูดกับคนทั้งสาม “ตอนนั้นข้าก็ทำท่าแบบนี้ เป็นอย่างไร?”

สีหน้าของหม่าเหลียนอึ้งตะลึง

หลิวกวานปรบมือร้องว่าดี

เผยเฉียนเดินมาหยุดข้างโต๊ะ ก่อนหน้านี้หม่าเหลียนเตรียมชาไว้ให้แล้ว นางจึงยกขึ้นดื่มหนึ่งอึกให้ลำคอโล่ง แล้วจึงเล่าต่อว่า “โจรกลุ่มนั้นโมโหจนกัดฟันดังกรอดๆ ตีอกกระทืบเท้าราวกับเสียงลั่นกลองในสนามรบ คนที่เป็นผู้นำแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามกึกก้อง ดวงตาสองข้างถลึงปูดโปนใหญ่ยิ่งกว่าระฆังทองสัมฤทธิ์ ครั้นจึงออกคำสั่งแก่เหล่าลูกสมุนว่า ‘พี่น้องทั้งหลาย เล่นมันแม่งเลย ฟันไอ้คนที่ชอบแกล้งโง่ผู้นี้ให้ตายไปซะ! โดยเฉพาะแม่นางน้อยที่ตรงเอวห้อยกระบี่และดาบสลับกันผู้นั้น อย่าเห็นว่านางอายุยังน้อย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีประสบการณ์ในยุทธภพ ตบะสูงส่งเกินกว่าจะคาดเดา มิอาจดูแคลน…’”

เผยเฉียนพลันหยุดการ ‘เล่านิทาน’ ของตัวเองลง

ที่แท้บนศีรษะก็มีมือใหญ่ที่อบอุ่นข้างหนึ่งกดลงมา

เผยเฉียนหันหน้าไป ยิ้มอย่างขลาดๆ “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือ ข้ากับพวกหลี่ไหวกำลัง…”

เดิมทีเผยเฉียนคิดอยากจะยอมรับไปตามตรงว่าตัวเองพูดจาเหลวไหล

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “พอแล้ว พวกหลี่ไหวยังเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษา เจ้าอย่าเล่าเรื่องในยุทธภพให้พวกเขาฟังมากนักเลย วันหน้าหากเป็นไปได้ พวกเจ้ากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนที่หลี่ไหว หลิวกวานและหม่าเหลียนสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษา เจ้าค่อยจับกลุ่มร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้พวกเขาสามคนฟังอย่างละเอียดอีกที”

เผยเฉียนอืมรับเสียงดังด้วยความดีใจ

เฉินผิงอันบอกให้หลี่ไหวกินข้าวกับเพื่อนไปก่อนแล้วค่อยไปหาเขาที่หอพักแขก ส่วนเขาพาเผยเฉียนไปหาหลี่เป่าผิง

ระหว่างทาง เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “หากในอนาคตมีโอกาสไปท่องเที่ยวพร้อมกับพวกหลี่ไหวสามคนจริงๆ จงจำไว้เรื่องหนึ่งว่า เมื่อถึงเวลานั้น ตัวเองมีตบะวรยุทธมากน้อยเท่าไหร่ เคยเดินผ่านยุทธภพที่น้ำตื้นลึกมากแค่ไหน จะต้องบอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจน ไม่อาจเหมาทุกเรื่องมาทำเองคนเดียวเพียงแค่เพราะอยากคุยโวโอ้อวด ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่ายุทธภพก็มีดีแค่นี้เอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่าย จำได้แล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “จำได้แล้ว!”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องเก็บเอาไปใส่ใจด้วย”

เผยเฉียนยิ้มกว้าง “เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ไม่ให้ตกหล่นเลยสักคำเดียว!”

เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางเล็กที่เงียบสงบของสำนักศึกษา รู้สึกสะท้อนใจจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ทำไมต้องท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ใช่แค่เพื่อตามหาทัศนียภาพที่งดงาม ฝึกหมัดก็ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น ยังต้องพาตัวเองไปเจอกับคนในยุทธภพที่ดีกว่าตัวเองหลายๆ คนด้วย”

“อย่างเช่นอาจารย์ที่ได้เจอกับจางซานเฟิงซึ่งกำลังหิวโหยบนเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยว พบเจอสวีหย่วนเสียที่บุกเข้าไปในเรือนผีหวังผดุงคุณธรรม เจอกับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ปรากฏตัวในวัดร้างเก่าแก่ คู่สามีภรรยาภูตผีที่มองดูเหมือนน่ากลัว แต่กลับรักใคร่ปรองดองกันยิ่งนัก ได้เจอกับฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า เจอกับหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวภูเขาห้อยหัว…อาจารย์ก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้สึกเคารพเลื่อมใส รู้สึกอิจฉา หรือบางครั้งยังถึงขั้นรู้สึกริษยา”

เผยเฉียนตกตะลึง “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนั้นด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? อาจารย์เองก็มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แล้วก็มีนิสัยแย่ๆ มากมาย คนที่ไม่ชอบและไม่เห็นดีในตัวอาจารย์ แต่ไรไหนมาก็มีไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อเจอกับคนที่ดีกว่าตน จะมองดูพวกเขาเฉยๆ ไม่ได้ จะต้องมองพวกเขาเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง แม้จะไม่อาจปีนป่ายไปถึง แต่จิตใจก็ใฝ่หา…”

ฝีเท้าของเผยเฉียนช้าลงทุกที

เฉินผิงอันเดินออกไปได้หลายสิบก้าว พอหันหน้ากลับมาถึงเห็นว่าเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ จึงถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”

เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “พี่หญิงเป่าผิงบอกว่าอาจารย์อาน้อยของนางไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่ข้ารู้สึกว่าปีนั้นอาจารย์หล่นลงมาจากฟ้านี่นา”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แน่จริงก็ไปพูดแบบนี้กับพี่หญิงเป่าผิงของเจ้าดูสิ?”

เผยเฉียนวิ่งเร็วๆ ไปหาเฉินผิงอัน “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย!”

ก่อนหน้านี้ตอนที่มองแผ่นหลังของอาจารย์

เผยเฉียนพลันรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ท่ามกลางระยะทางอันยาวไกลที่ต้องเดินเท้าผ่านป่าเขาลำนำไพร

เคยมีวันที่ฝนตกกระหน่ำ พวกเขาเจอหินกองใหญ่ที่กลิ้งมากองอยู่บนถนนทางหลวงในภูเขาที่เป็นดินโคลน

เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่เดินอ้อมไปก็พอแล้ว

ทว่าแม้ฝนจะตก อาจารย์ก็ยังหยุดเดินแล้วย้ายหินก้อนแล้วก้อนเล่าออกไปให้พ้นจากเส้นทาง

ท่ามกลางม่านฝนที่มืดสนิท อาจารย์ที่สวมชุดสีขาวก้มหน้าก้มตาย้ายหินง่วน

พวกเขายังเคยหยุดอยู่ข้างสะพานไม้ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานซึ่งรายล้อมด้วยทัศนียภาพอันงดงาม อาจารย์ก็จะยืนมองสะพานไม้อย่างโง่งมนานเป็นครึ่งๆ วัน จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในภูเขาลึก ตัดต้นไม้ใหญ่ แบกกลับมาแล้วผ่าไม้ออกเป็นแผ่นๆ โยนมีดผ่าฟืนทิ้งเปลี่ยนมาใช้ค้อนตอกดังต๊อกๆๆ ซ่อมแซมสะพานไม้ให้ดีขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version