Skip to content

Sword of Coming 410

บทที่ 410 เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้

ข้างในและข้างนอกร้านอาหารยังคงอึกทึกไปด้วยเสียงของผู้คน

แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์ต้าสุยก็เป็นราชวงศ์ที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ประชาชนยินดีจ่ายเงิน แล้วก็กลาใช้เงิน ถึงอย่างไรหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้สุกลเกาเกอหยางที่ครอบครองบัลลังก์มังกรก็สร้างโลกที่สงบสุขมั่นคงอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ให้แก่ชาวบ้านมาโดยตลอด

ตรงหน้าต่างชั้นที่สองของร้านอาหาร เหมาเสี่ยวตงมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พูดเตือนเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังว่า “จำไว้ว่าแค่ปกป้องตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าโอสถทอง ผู้ฝึกตนสำนักการหทารขอบเขตประตูมังกร อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกร ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง

นักฆ่าห้าคน

ไม่ว่าจะมีสถานะอย่างไร หรือจะยืนอยู่ฝ่ายได้ แต่สรุปก็คือทุกคนต่างก็มารวมตัวกัน อำพรางตัวอยู่ในระยะพันจั้งรอบภัตตาคารแห่งนี้

การจัดขบวนรบเช่นนี้ อย่าว่าแต่ล้อมสังหารเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็สามารถสังหารได้

เฉินผิงอันนึกถึงการกำจัดปีศาจปราบมารเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี เด็กสาวที่ตรงข้อมือข้อเท้ารัดกระพรวนผู้นั้น ตอนนั้นพวกเขาสองคนเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ นางที่มีฐานะเป็นบุตรสาวของเจ้าเมือง แม้ตบะจะไม่สูง แต่ทุกครั้งที่ลงมือช่วยเหลือล้วนทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีกับนางอย่างมาก

หลังจากนั้นได้เดินทางผ่านสองทวีปและภูเขาห้อยหัวอีกหนึ่งลูก แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเขาเฉินผิงอันที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเพียงลำพัง หรือไม่พอมีคนสี่คนในภาพวาดมาอยู่เคียงข้าง แต่ทว่าคนที่ตัดสินใจก็ยังคงเป็นเขาเฉินผิงอัน เดินทางมาเมืองหลวงต้าสุยครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเฉินผิงอันต้องทำเพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเหมาเสี่ยวตงเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัวที่ ‘เหนือศีรษะมีท่านเทพเทวาผู้เฒ่าใช้วิถีสวรรค์คอยสยบกำราบคน’ เมื่อย้อนกลับมาในใต้หล้าไพศาล ตบะของเขาเฉินผิงอันในตอนนี้ยังคงต่ำเตี้ยเกินไป

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “รอจนเจ้าอายุเท่าข้าแล้วยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่ได้ดิบได้ดี คอยดูเถอะว่าข้าจะด่าเจ้าแทนอาจารย์อย่างไร”

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวอย่างจนใจ ใช้เสียงในใจบอกกระบี่บินชูอีกับสืออู่ว่าให้คอยเตรียมพร้อมรับมือกับการปรากฎตัวของนักฆ่าตลอดเวลา

ในชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ปลายนิ้วของมือขวาคีบยันต์ย่อพื้นที่เอาไว้ป้องกันการลอบโจมตี ส่วนมือซ้ายถือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่สามารถใช้ต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่งได้

เหมาเสี่ยวตงวางใจได้ไม่น้อย

ไม่เสียแรงที่ศิษย์น้องเล็กเดินทางท่องยุทธภพมาไกลขนาดนั้น

เสียงของเหมาเสี่ยวตงพลันดังขึ้นบนทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน เขาถามว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์เดินผ่านริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาบ้างหรือไม่? ถูกปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมกดกำราบจนรู้สึกอึดอัดยากจะทนรับยิ่งกว่าอยู่ในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้”

เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้กลายเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไป “เคยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกตอนอยู่ในเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู ยังไม่ได้ฝึกวรยุทธ ครั้งที่สองตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าเป็นผู้ดึงไป แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ได้มองอย่างน้อยก็เป็นเวลาสองร้อยกว่าปี อีกทั้งลำดับเวลายังมักตัดสลับกลับไปกลับมา ดังนั้นถึงแม้ตอนนั้นข้าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกทรมานอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับตอนถูกคนป้อนหมัดบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว รสชาตินั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย”

เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ก่อนหน้านี้ตอนที่เล่าเรื่องประสบการณ์ท่องเที่ยวในห้องหนังสือข้า ทำไมไม่รีบพูด วีรกรรมที่ควรค่าแก่การโอ้อวดเช่นนี้ ไม่เอาออกมาเล่าให้คนอื่นฟัง เท่ากับว่าไอ้ที่ต้องทนรับความลำบากนั้นเสียเปล่าแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้า ก่อนหน้าที่จะกลายมาเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษาซานหยาก็ยังไม่เคยเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน นั่นเป็นภาพที่ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้”

แสงสว่างผุดวาบขึ้นในหัวของเฉินผิงอัน ทำให้เขาโพล่งเจตนารมณ์สวรรค์ออกมา “เจ้าขุนเขาเหมามีวิชาอภินิหารย้ายขุนเขา สามารถทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษาได้ชั่วคราวจริงๆ ?!”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว หลายปีมานี้อาศัยข้ออ้างว่าปกป้องเป่าผิงน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองหลวงต้าสุย ใช้กลยุทธปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรก็เพื่อทำเรื่องลับนี้ให้สำเร็จ บนบ่าแบกควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันคนที่คิดไม่ซื่อบ้าง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะอย่างฉุนๆ “แม้แต่เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำเจ้าก็ยังไม่ยอมเรียก ข้ายังต้องการความเข้าใจจากเจ้างั้นหรือ?”

เฉินผิงอันรู้ตัวว่าผิดจึงไม่พูดอะไรอีก

เหมาเสี่ยวตงเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วต่างพู่กัน พริบตาเดียวก็เขียนสี่คำว่า ‘สำนักศึกษาซานหยา’ เสร็จ ทุกขีดอักษรที่ตวัดจบจะต้องมีแสงสีทองไหลรินไปจากนิ้ว และไม่สลายหายไป

เขียนเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็สะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าดินสี่ทิศ!”

ตัวอักษรสีทองสี่ตัวจึงพุ่งวาบหายไปยังสี่ทิศทาง

เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับมา “นั่งลงดื่มเหล้าต่อเถอะ”

เพิ่งจะขาดคำ ร่างของเหมาเสี่ยวตงก็หายวับไปแล้ว

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยที่สลักลึกลงในใจประดุจกระแสน้ำท่วมทะลักมาถึง เฉินผิงอันเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่จู่ๆ กลับต้องมาอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ

ฟ้าดินเงียบสงัด

ทั้งบนและล่างภัตตาคารไม่เหลือเสียงความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว

อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกรคนนั้นกำลังแอบ ‘จัดวางค่ายกล’ อย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อปราณวิญญาณของทั้งร่างพลันแข็งชะงัก การโคจรลมปราณไม่ราบรื่น เขาก็เงยหน้าขึ้นทันควัน เห็นเพียงว่าคนที่เดินอยู่บนถนนหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หางตาเหลือบไปเห็นนกที่กำลังบินอยู่บนฟ้าชะงักค้างลอยเติ่ง

อาจารย์ค่ายกลท่านนี้ไม่มัวสนใจแล้วว่าเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาซานหยาจะค้นพบร่องรอยของตนหรือไม่ เขาไม่คิดจะอำพรางลมปราณอีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลทะลักพรั่งพรู ปลายนิ้วคีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง เตรียมจะลงมือ

เพียงแต่ว่ามีมือข้างหนึ่งกดลงมาบนไหล่ของคนผู้นี้พร้อมเสียงพูดกลั้วหัวเราะ “ค่ายกลนี้ของเจ้ามีต้นกำเนิดมาจากสายของค่ายประตูมังกรที่ถ่ายทอดมาจากหนิงเฉวียนเจินเต้าจวินของแผ่นดินกลาง ใช่ไหม?”

อาจารย์ค่ายกลตะลึงพรึงเพริด

ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรเขาก็ไม่อาจสลัดมือใหญ่ของคนด้านหลังที่วางไว้บนไหล่ตนให้หลุดไปได้ อาจารย์ค่ายกลหน้าแดงก่ำ หวังว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านจะมีใครสักคนที่มาช่วยเหลือได้ทันเวลา ช่วยให้ตนหลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้

อาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่งจำเป็นต้องยืมใช้พลังฟ้าดินจากค่ายกลที่ตัวเองจัดวางไว้ชักนำมา การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้วมีความแตกต่างกันไกลโข

ยังดีที่อาจารย์ค่ายกลไม่ได้สิ้นหวังมากนัก

แสงกระบี่พร่างพราวที่มีจุดกำเนิดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือคล้ายเส้นด้ายสีขาวที่พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็คือหว่างคิ้วของเหมาเสี่ยวตงที่อยู่ด้านหลังของอาจารย์ค่ายกล

แสงกระบี่นี้เมื่อมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก ทิศทางการโคจรจึงไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างสมบูรณ์แบบ ปลายกระบี่เกิดสั่นสะท้านเล็กน้อย ตัวกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นก็ส่ายสะบัดขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง

ทุกที่ที่กระบี่บินผ่าน เกิดการเสียดสีทำให้ประกายไฟส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ แตกเป็นระลอก สว่างชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด

นี่ก็คือการปะทะกันระหว่างกระบี่บินที่คมกริบกับฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้หลบเลี่ยง ไม่มีร่องรอยการใช้ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นใดๆ ของก่อกำเนิดท่านหนึ่งเลย

กระบี่บินที่อยู่ห่างจากผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่และอาจารย์ค่ายกลไม่ถึงหนึ่งจั้งพลันกระแทกให้เกิดริ้วคลื่นวงหนึ่ง ประหนึ่งโยนก้อนหินลงทะเลสาบ หัวทิ่มผลุบหายเข้าไปในม่านน้ำแล้วไม่เห็นเงาอีก

ขณะเดียวกันเลือดก็ออกจากทวารทั้งเจ็ดของอาจารย์ค่ายกล ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ การเคลื่อนไหวนี้ของเขาทำให้เกิดการปะทะกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของฟ้าดินขนาดเล็กอีกครั้ง เลือดยิ่งไหลไม่หยุด จุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ลมปราณในร่างปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้น ช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงวัตถุแห่งชะตาชีวิต ห้องหัวใจรวมไปถึงบนประตูช่องโพรงแต่ละแห่งคล้ายถูกหมื่นตะปูตอกตรึงเข้ามา อาจารย์ค่ายกลพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับสองนิ้วที่คีบยันต์คุ้มกันชีวิตแผ่นนั้นเอาไว้ นิ้วขยับได้ แต่ลมปราณในร่างกลับเหนียวหนืดราวกับปรอทที่แข็งตัว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

เหมาเสี่ยวตงกุมลำคอของคนผู้นี้แล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเล่มนั้นกระตุ้นให้เกิดน้ำวนลูกหนึ่งด้านหลังเหมาเสี่ยวตง แล้วทิ่มพรวดออกมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งแขกมารยาททรามที่พังประตูบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่น

ทว่ากลับมาไม่ถึงเสียที

อาจารย์ค่ายกลที่เดิมทีก็เจ็บหนักใกล้ตายขัดขวางเส้นทางของกระบี่บินเล่มนั้นพอดี

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระบี่บิน เขาบังคับกระบี่ให้แทงไปที่ร่างของอาจารย์ค่ายกลโดยตรง แล้วก็ใช้จิตควบคุมกระบี่บินให้แทงเหมาเสี่ยวตงต่อ!

อาจารย์ค่ายกลตายตาไม่หลับคาที่ทั้งอย่างนี้

ไหนบอกว่าเหมาเสี่ยวตงออกจากภูเขาตงหัวแล้วก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งอย่างไรล่ะ?

บนเส้นทางการฝึกตน สามลัทธิร้อยสำนัก ทางเส้นใหญ่มีมากมายหลากหลาย หลอมโอสถเก็บสมุนไพร กินอาหารเลี้ยงชีพ เชิญเทพออกคำสั่งภูตผี มองปราณแล้วชักนำมาสู่ตัว หล่อหลอมโอสถใน ป้องกันการแก่ชรา แต่หากก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ไปได้ เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเทพเซียนในสายตาของคนธรรมดาก็ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ทว่าผู้ฝึกตนที่ขึ้นไปอยู่บนเขาแล้วตัดทางเรื่องทางโลก ไม่สนใจความเป็นไปของโลกก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

เพราะด้านล่างภูเขาก็มีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้

และยิ่งมีสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ

เหมาเสี่ยวตงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างมาปรากฏห่างจากจุดเดิมหลายสิบจั้ง พอหมุนตัวกลับก็ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินที่พุ่งมาถึงที่จุดนี้ได้อย่างพอดิบพอดี

แม้ว่าวีรกรรมที่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินได้อย่างง่ายดายนี้จะน่าตะลึงพรึงเพริด หากเล่าลือออกไปก็มากพอจะทำให้เซียนดินทั้งทวีปตกใจจนฟันร่วงหมดปาก

แต่ขณะเดียวกันกับที่เหมาเสี่ยวตงเผาผลาญปณิธานกระบี่

อันที่จริงฟ้าดินขนาดเล็กที่เหมาเสี่ยวตงเฝ้าพิทักษ์แห่งนี้ก็เกิดการสั่นคลอนน้อยๆ อย่างที่สังเกตไม่เห็นเช่นกัน

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นั้นมาอยู่ในฟ้าดินของคนอื่นก็ไม่อาจบังคับลมเดินทางไกลได้อีกแล้ว แต่กลับยังคงพุ่งตะบึงไปได้รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ สุดท้ายพุ่งกระแทกกำแพงสองแถบ ทะลุร้านทั้งร้าน ปล่อยหมัดต่อยเข้าหาเหมาเสี่ยวตง

คนมากมายที่อยู่ในร้านถูกเขาต่อยจนร่างแหลกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สุดท้ายค่อยๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศในร้าน

หมัดของคนผู้นี้รวบรวมพายุลมกรดทั้งหมดของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเอาไว้ ไม่มีเหลือเก็บไว้แม้แต่น้อย ถึงขั้นใช้วิธีการต่อสู้ที่เอาชีวิตแลกชีวิต

เหมาเสี่ยวตงปรับปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นป้ายศิลาที่มีตัวอักษรสีทองส่ายไหวเบาๆ รวมไปถึงสร้างซุ้มประตูให้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ แต่กลับถูกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นี้ต่อยจนแหลกเป็นผุยผง

ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดก้าวยาวๆ บุกมาหาด้วยพลังอำนาจที่ใครก็มิอาจขัดขวาง

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นบนหลังคา แล้วทะยานมาเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำตลอดทาง ไม่ได้เร็วเท่าผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกล พอพายุลมกรดของร่างทองปะทะเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บนร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็คล้ายมีกองไฟกองใหญ่เผาไหม้ สุดท้ายกระโดดลงมาโฉบเข้าหาเหมาเสี่ยวตงที่ยืนอยู่บนถนน

เหมาเสี่ยวตงที่นิ้วสองข้างถูกกรีดจนเป็นบาดแผลเล็กๆ โยนกระบี่บินที่ถูกกักอยู่ตรงปลายนิ้วไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้น

เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือออกมาต้านรับหมัดของปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล

ชายแขนเสื้อใหญ่ของเหมาเสี่ยวตงโบกสะบัดอย่างรุนแรง แม้แต่จอนผมก็ปลิวไสวไปด้วย

มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองและผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นเพื่อนรักกัน เขาจึงไม่สนใจกระบี่บินที่ปลายกระบี่ทิ่มแทงเข้าหาหัวใจ ยังคงบุกเข้าไปสังหารเหมาเสี่ยวตง

แล้วก็จริงดังคาด จิตของผู้ฝึกกระบี่ขยับเคลื่อนไหว พยายามอย่างสุดกำลังในการขยับปลายกระบี่เบี่ยงหลบ เพียงแต่ว่ากระบี่ก็ยังแทงทะลุไหล่ของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอยู่ดี

เหมาเสี่ยวตงถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เดิมทีควรจะอ่อนแอที่สุดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลัง

ฟ้าดินขนาดเล็กกระเพื่อมตามไปด้วย

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่หมัดถูกขัดขวาง ทว่าพลังและปณิธานหมัดยังคงกร้าวแกร่งฉวยโอกาสนี้ออกหมัดประดุจรัวกลองอย่างราบรื่น

ลำแสงเปล่งวูบวาบไม่หยุด ร่างของเหมาเสี่ยวตงถอยร่นก้าวแล้วก้าวเล่า บนกล้ามเนื้อแขนสองข้างที่เป็นมัดๆ ของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลมีเลือดสดซึมออกมาอาบย้อมอาภรณ์ แต่หมัดที่ปล่อยกลับแกร่งกร้าวดุดันมากขึ้นทุกขณะ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้เข้าโรมรันประชิดตัวเหมาเสี่ยวตงไปพร้อมกับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล แต่แค่พยามตามให้ทันฝีเท้าของคนทั้งสอง

ใช่ว่าไม่อยากทำร้ายเหมาเสี่ยวตงให้บาดเจ็บสาหัสในรวดเดียว แต่เขารู้ดีถึงหนักเบาและผลดีผลร้ายของการทำเช่นนั้น

เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม แต่พุ่งตัวออกจากหน้าต่างขึ้นมายืนบนหลังคาร้านอาหารที่การมองเห็นเปิดกว้าง

เขาเองก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรกการสู้รบครั้งนี้เช่นกัน

หมัดสุดท้ายของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลต่อยจนเหมาเสี่ยวตงปลิวกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง

ผู้เฒ่ารีบหยุดเดิน อีกทั้งยังถอยกรูดไปด้านหลัง เขาต้องการเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่

ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็รีบขยับเท้ามาขวางอยู่ตรงหน้าขอบเขตเดินทางไกล ยืนอยู่บนเส้นเดียวกันระหว่างฝ่ายหลังกับเหมาเสี่ยวตง

แต่กระนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยมากพอ

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าสบโอกาส

กระบี่บินจึงพุ่งฉิวออกไป

ตรงเข้าทิ่มแทงเหมาเสี่ยวตง

ความเร็วนั้นถึงขั้นเหนือว่าครั้งแรกที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ปรากฏตัว

นี่เกี่ยวพันกับสาเหตุที่ลมปราณของเหมาเสี่ยวตงไม่มั่นคง เป็นเหตุให้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินไม่เข้มงวดมากพอ อีกทั้งผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนี้ยังอาศัยการโคจรกระบี่บินไม่กี่ครั้งในเวลาสั้นๆ ค้นหารอยแยกและทางลัดบางส่วนเจอ แม้ว่าฟ้าดินที่มีอริยะของสามลัทธิเฝ้าบัญชาการณ์จะถูกขนานนามให้เป็นตาข่ายฟ้าตาห่างแต่ไม่มีช่องโหว่ ทว่าต่อให้ตาข่ายของแหปากหนึ่งจะถี่ยิบแน่นหนาแค่ไหน แต่ถ้าแหปากนี้มีการโคจรที่ไม่มั่นคงเกิดขึ้นตอนเวลา สุดท้ายก็ยังต้องหาช่องโหว่ให้มุดลอดออกไปได้อยู่ดี

สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่กินเงินเทพเซียนเก่งที่สุดในใต้หล้าได้ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง ล้วนไม่มีคนใดที่ธรรมดา

เหมาเสี่ยวตงยื่นมือไปกุมไม้บรรทัดตรงเอวยั้งตัวหยุดยืนให้มั่นคงในทันที

บนหนวดสีขาวหิมะมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆ

เผชิญหน้ากับกระบี่บินเล็กบางที่ตามติดดุจหนอนชอนไชกระดูกเล่มนั้น ครั้งนี้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ใช้สองนิ้วยึดตัวกระบี่เอาไว้

เขาม้วนชายแขนเสื้อกว้างใหญ่กักขังกระบี่บินไว้ข้างในโดยตรง

จากนั้นก็เห็นเพียงว่าในชายแขนเสื้อกว้างมีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ระเบิดออกมา ปากแขนเสื้อส่ายสะบัด ขณะเดียวกันก็มีเสียงแควกของผ้าขาดดังขึ้นเป็นระลอก

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผลัดเปลี่ยนลมปราณเสร็จแล้วก็กระทืบเท้าลงบนพื้นหนึ่งครั้ง บนถนนพลันเกิดรอยร้าวประหนึ่งใยแมงมุม ปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านนี้ใช้โอกาสที่พันธมิตรสร้างให้มาต่อสู้ประชิดตัวกับเหมาเสี่ยวตงด้วยพลังอำนาจดุจหอบพายุและสายฟ้าอีกครั้ง ไม่ให้โอกาสเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่ ‘เลื่อนขั้น’ เป็นขอบเขตหยกดิบอย่างเหนือการคาดการณ์ท่านนี้ทิ้งระยะห่างจนมีโอกาสเผาผลาญพลังให้พวกเขาตายไปอย่างช้าๆ

หากถูกปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลท่านนี้หมายหัวไว้แล้ว

มหาสมุทรลมปราณของผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไปอาจถึงขั้นถูกชักนำจนไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นได้อีก

ชายร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะสีเงินยวงคนหนึ่งใช้ยันต์ย่อพื้นที่และยันต์ชุดกันฝนที่สามารถอำพรางเรือนกายและลมปราณซึ่งมีระดับสูงล้ำค่าสองแผ่นติดๆ กัน ถึงขนาดหาแถบที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเปราะบางที่สุดเจอ เป็นเหตุให้เขาทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้า สิบนิ้วของสองมือประสานกันเป็นหมัดที่ทุบใส่ศีรษะของเหมาเสี่ยวตง

ในเสี้ยวเวลาแห่งวิกฤตคับขันนั้นเอง

กระบี่บินเล่มที่ถูกกักขังอยู่ในชายแขนเสื้อของเหมาเสี่ยวตงก็แหวกทะลุชายแขนเสื้อพุ่งพรวดออกมา

หมัดของปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลกำลังจะพุ่งมาถึง

แต่กระบวนท่าสังหารที่อันตรายที่สุดอย่างแท้จริงกลับยังคงเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรที่สวมเม็ดเสื้อเกราะเป็นเสื้อเกราะคนนั้น

นอกจากอาจารย์ค่ายกลที่ไม่ทันได้ลงมือทำอะไรแล้ว นักฆ่าอีกสี่คนที่เหลือต้องเรียกว่าร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่

ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในบรรดาคนทั้งสี่นี้ มีแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธร่างทองเท่านั้นที่เป็นคนสนิทรู้จักกันมานานแล้ว

ไม้บรรทัดตรงเอวของเหมาเสี่ยวตงหลุดออกไปด้วยตัวเอง

ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเหมือนถูกตบบ้องหู ร่างทั้งร่างปลิวกระเด็นไปกระแทกบนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล กระเบื้องแตกพังไปแถบใหญ่

เหมาเสี่ยวตงใช้ปลายเท้าถูพื้นดิน ยกชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ขึ้น ยื่นมือไปทางผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ห่างตนไปไกลมากที่สุด “คืนให้เจ้าก็แล้วกัน”

ทันใดนั้นฟ้าดินพลิกหมุนอีกทั้งยังบิดเบือน

เหมือนกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งถูกเด็กเกเรคนหนึ่งบิดหมุน แต่กลับไม่ได้ขยำเป็นก้อน เป็นความรู้สึกประหลาดพิกลที่บอกไม่ถูก

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนนั้นได้แต่เบิกตากว้างมองเหมาเสี่ยวตงเดินสวนไหล่ตัวเองไป

อีกทั้งเหมาเสี่ยวตงยังเปลี่ยนมาเป็นท่า ‘ยืนกลับหัว’

ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด

แต่กลับห่างไกลเหมือนสุดขอบฟ้า

สิ่งที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นยังมีแต่ตัวอักษรสีทองแน่นขนัด แต่ละตัวใหญ่เท่ากำปั้น คือบทความในคัมภีร์ที่อริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อนำมาอบรมสั่งสอนอาณาประชาราษฎร์

เขาหันหน้าไปคำรามอย่างเดือดดาล “ระวัง!”

มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงเดินไปอย่างเชื่องช้า แต่พอร่างของเหมาเสี่ยวตงที่อยู่ทางทิศตะวันออกหายไปก็มาปรากฎตัวตรงทิศตะวันตก จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นทิศเหนือ แต่ไม่ว่าจะอยู่ทิศทางใด เหมาเสี่ยวตงก็คอยขยับเข้ามาใกล้เขาและผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นถึงขั้นไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรไปหลบอยู่ตรงไหน

แล้วก็ถูกผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าตบศีรษะแหลกด้วยฝ่ามือเดียว

ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรก็ถูกไม้บรรทัดชนกระแทกเสื้อเกราะรัวๆ ประหนึ่งเม็ดฝนสาดกระทบ

ฟ้าดินขนาดเล็กกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง

เหมาเสี่ยวตงใช้มือข้างหนึ่งประคองบ่าของร่างที่ไร้หัว ไม่ให้ศพล้มไปกองอยู่กับพื้น มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตเก้าที่ดวงตาแดงก่ำ ถามว่า “ไม่แก้แค้นให้เพื่อนเจ้าหน่อยรึ?”

เหมาเสี่ยวตงพลันสะบัดข้อมือ ศพก็ปลิวลิ่วไปกระแทกผนังของร้านแห่งหนึ่ง กลายเป็นเพียงเนื้อเละๆ กองใหญ่กองหนึ่ง

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลต่างก็มองเห็นว่าระหว่างฟ้าดินมีตัวอักษรสีทองขนาดเล็กกว่าเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันจากสี่ด้านแปดทิศเข้าไปในช่องโพรงของผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่

คนทั้งสองสีหน้าเศร้าสลดระคนฮึกเหิม ในใจแต่ละคนต่างห่อเหี่ยว

แบบนี้จะยังสู้กันต่อได้อย่างไร?

คนทั้งสองมองสบตากัน

ต่างก็มองความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของอีกฝ่าย

เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองไปรอบด้าน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีร่องรอยใดๆ น่าจะไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบซ่อนตัวอยู่แถวนี้

นี่ก็หมายความว่านักฆ่าห้าคนที่พร้อมยอมตายเหล่านี้ไม่มีทางหนีทีไล่อีก

เหมาเสี่ยวตงยกชายแขนเสื้อข้างที่ขาดวิ่นขึ้นมามองประเมินอยู่ครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นแล้วก็กล่าวว่า “ผู้ฝึกกระบี่เอย เซียนดินเอย และปรมาจารย์วิถีวรยุทธอะไรอย่างพวกเจ้านี้ชอบพูดกันนักไม่ใช่หรือว่าผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่ดีแต่ขยับปากพูดเท่านั้น?”

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใช่ พวกเจ้าพูดได้ไม่ผิด”

ผู้ฝึกกระบี่และผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลใจหายวาบ

เหมาเสี่ยวตงก้าวเดินอย่างเนิบนาบผ่อนคลายประหนึ่งบัณฑิตเดินท่องหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ

จากนั้นพื้นที่แถบริมขอบของฟ้าดินแห่งนี้ก็มีกระบี่บินหลายเล่มลักษณะเหมือนวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ลอยหมุนคว้างขึ้นมา

แม้ว่าระดับขั้นของกระบี่บินจะไม่สูง เทียบคร่าวๆ ได้กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น

แต่จำนวนมากขนาดนี้ ใครยังจะกล้าประมาทอีก?

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น บนหลังคาของเรือนหลายหลังยังมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่อายุแตกต่างกันมากหลายคนยืนอยู่ บ้างก็หอบตำรา บ้างก็พกกระบี่

ทุกคนต่างก็ตบะไม่สูงเช่นกัน

ชนะได้ที่จำนวนเช่นกัน

ตรอกเล็กถนนใหญ่มีทหารร่างกำยำสวมชุดเกราะเหล็กผุดขึ้นมาหลายต่อหลายกลุ่ม

กระบี่บินที่รูปร่างและขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันเหล่านั้นพากันพุ่งเข้าหาผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง

ส่วนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อบนหลังคาและทหารสวมเสื้อเกราะบนพื้นก็กระโจนเข้าหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล

ตัวเหมาเสี่ยวตงเองขยับมาอยู่ข้างกายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เหน็ดเหนื่อยอยู่กับการรับมือกับไม้บรรทัดเล่มนั้น แต่ไม่ได้ขยับเข้าใกล้ เพียงกล่าวว่า “เจ้ากระมังที่ถึงจะเป็นนักรบเดนตายที่แท้จริง ใช้เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารมาเป็นตัวอำพรางโอสถทองของผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ในตัว ขอแค่เข้าใกล้ข้าได้ก็พร้อมจะพินาศวอดวายไปพร้อมกับข้า ต่อให้ฆ่าข้าไม่ตาย แต่อย่างน้อยก็ถูกเจ้าเอาชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง นักฆ่าคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ก็มากพอจะรั้งตัวข้าเหมาเสี่ยวตงไว้ที่นี่ได้แล้ว”

ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของสำนักการทหารผู้นั้นมีสายตาเด็ดเดี่ยว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเหมาเสี่ยวตง เพียงแค่ใช้หมัดแล้วหมัดเล่าต้านทานไม้บรรทัดเล่มนั้น ป้องกันไม่ให้เม็ดเสื้อเกราะถูกมันทุบตีจนแหลกสลาย

เหมาเสี่ยวตงยื่นมือออกมาชี้ผู้ฝึกตนคนนั้น

พื้นดินรอบกายผู้ฝึกตนมีอักษรสีทองเป็นชุดๆ ผุดขึ้นมา ประหนึ่งเสาคานของบ้านเรือนที่ผุดขึ้นจากพื้นดิน

สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นกรงขังแห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นยิ้มขื่น ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นดุร้าย จากนั้นเส้นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งประกายอยู่ในเรือนกายและช่องโพรงลมปราณของเขา จนกระทั่งร่างทั้งร่างของเขาระเบิดแตกดังโพล๊ะ

แม้จะฆ่าเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ แต่เขาก็ยังคิดจะทำลายไม้บรรทัดอันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญชิ้นนั้นให้ย่อยยับไปด้วยกัน

เพียงแต่ว่าการฆ่าตัวตายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง บวกกับการระเบิดแตกของโอสถทองหนึ่งเม็ด แม้ว่าจะทำให้กรงขังสีทองที่เป็นอักษรของอริยะปราชญ์พังพินาศไม่มีเหลือ

แต่ไม้บรรทัดเล่มนั้นกลับยังปลอดภัยดี มีเพียงตัวอักษรที่สลักไว้ด้านบนเท่านั้นที่หม่นแสงลงไปเล็กน้อย

มันลอยกลับเข้ามาอยู่ในมือของเหมาเสี่ยวตงเบาๆ

เหมาเสี่ยวตงเอามาแขวนไว้ตรงเอว

แม้ว่าจะมีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน แต่กลับไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้า

ผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลก็ยิ่งเปิดฉากสังหารไปสี่ทิศ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและทหารเสื้อเกราะที่เข้ามาใกล้ในระยะสามจั้งล้วนร่างแหลกสลาย อีกทั้งลมพายุหมัดพัดกระโชกยังหอบเอาปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ในตัวหุ่นเชิดเหล่านั้นมาสร้างเป็นปราณขุ่นมัวทำให้เหมาเสี่ยวตงไม่อาจบังคับพวกหุ่นเชิดทั้งหลายได้ชั่วคราว

เหมาเสี่ยวตงสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้นักฆ่าสองคนสุดท้ายเผาผลาญปราณวิญญาณและลมปราณที่แท้จริงในร่างของตัวเองจนหมดช้าๆ

ถึงอย่างไรปราณวิญญาณในฟ้าดินก็มีจำกัด

นี่เกี่ยวพันกับระดับความมั่นคงและช่วงเวลาในการประคับประคอง ‘สำนักศึกษาซานหยา’ แห่งนี้

ดังนั้นฟ้าดินแห่งนี้จึงหดเล็กเข้ามาในรัศมีสี่ร้อยจั้งโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

หากอยู่ที่ภูเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยา และเป็นเหมาเสี่ยวตงที่ลงมือเช่นกัน เกรงว่าตอนนี้คงยังรักษาขอบเขตฟ้าดินในระยะแปดร้อยจั้งเอาไว้ได้

นี่ไม่ใช่เวทลับย้ายขุนเขาของระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อที่แท้จริง การที่เหมาเสี่ยวตงเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้ในก้าวเดียว ข้อบกพร่องนั้นอยู่ที่ว่ารูปลักษณ์และจิตวิญญาณของสำนักศึกษาซานหยาแห่งนี้ไม่ครบถ้วน รากฐานยังคงอยู่ที่ภูเขาตงหัวแห่งนั้น

แต่ปัญหาข้อนี้ไม่ใหญ่นัก

ขอแค่ไม่มีคนนอกช่วยเหลือ นักฆ่าที่เหลือเพียงแค่สองคนก็ยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อยู่ดี

ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เหมาเสี่ยวตงสลายวิชาอภินิหารนี้ไปตอนนี้ มอบภูเขาตงหัวให้กับก่อกำเนิดแซ่เหลียงที่เฝ้าประตูใหญ่สำนักศึกษาดูแลชั่วคราว

สังหารศัตรูนั้นยาก แต่รักษาชีวิตกลับไม่ใช่เรื่องยาก

แต่หากเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็ไม่รวดเร็วฉุกละหุกขนาดนั้น

เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว

กระบี่บินเล่มหนึ่งเหมือนรวงข้าวสีทองพลันพุ่งพรวดเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้

หลังจากหยุดลอยอยู่กลางอากาศสูงแล้ว ปลายกระบี่ก็ตวัดขึ้นแล้วตวัดลง ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา

เหมาเสี่ยวตงไม่พูดไม่จาก็สลายวิชาอภินิหารนี้ทันที ตบะ ‘ถดถอย’ กลับไปที่ก่อกำเนิด

ส่วนเฉินผิงอันที่ยืนชมศึกอยู่บนหลังคาก็ไม่จำเป็นต้องให้เหมาเสี่ยวตงใช้เสียงในใจบอกกล่าว

เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีกับสืออู่ก็พุ่งพรวดออกมา

ยันต์ย่อพื้นที่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันพลันติดไฟเผาไหม้ เขาไม่ได้เลือกเล่นงานผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลคนนั้น แต่ย่อพื้นที่ตรงเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่พลังสังหารน่ากลัวกว่าในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

หากมีคนชมศึกอยู่ด้วยก็คงจะรู้สึกว่าเฉินผิงอันเลือกคู่ต่อสู้ผิด

ขณะเดียวกัน ‘ร่างจริงที่มีสติปัญญา’ ของเทพท่องทิวาและเทพท่องราตรีที่สูงหนึ่งจั้งสององค์ก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจที่น่ากริ่งเกรงยิ่งกว่าของผู้ฝึกตนสำนักการทหารก่อนหน้านี้ ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงมือ พวกเขาก็ร่วงดิ่งเข้าหาปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก่อนแล้ว

เทพท่องทิวาสวมเสื้อเกราะสีทอง รัศมีแสงสีทองสาดส่องจากทั่วร่าง มือทั้งคู่ถือขวาน

ส่วนเทพท่องราตรีนั้นสวมเสื้อเกราะสีดำสนิท มือถือง้าวเล่มใหญ่

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะอย่างเข้าใจ

เขาเองก็ตบไม้บรรทัดตรงเอวแล้วกระโจนเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าเช่นกัน

ตอนที่เหมาเสี่ยวตงสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ตัดสินใจว่าจะตายอยู่ที่นี่ไม่รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องต่อสู้

แต่รอจนเหมาเสี่ยวตงสลายวิชาอภินิหารนี้ทิ้งไปอย่างรีบร้อนด้วยสาเหตุใดไม่รู้ได้ ตามหลักแล้วขอแค่เขากับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองร่วมมือกันอย่างจริงใจ ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง

แต่ในขณะที่สถานการณ์พลิกกลับมาดีขึ้น พวกเขาไม่ต้องตกอยู่ในทางตันอีกต่อไป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นี้ที่ลังเลอยู่ชั่วขณะกลับทะยานร่างขึ้นจากพื้น หลบหนีไปทันที

ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ถอยกรูดหนีไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นกัน

เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งอยู่นานแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะไล่ตามไปเลยแต่น้อย แต่ก็ไม่ได้เรียกเทพท่องทิวาราตรีสององค์กลับมาทันที ปล่อยให้เงินเทพเซียนไหลพรวดๆ ออกไปจากกระเป๋าเงินอยู่อย่างนั้น

เหมาเสี่ยวตงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “รอข้าพักสักครู่แล้วจะพาเจ้ากลับสำนักศึกษา”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยังคงใช้ตาดูหูฟังสี่ด้านแปดทิศ แม้แต่มือที่เอื้อมผ่านไหล่ไปกุมด้ามกระบี่ด้านหลังก็ยังไม่คลายนิ้วทั้งห้าออก

ปล่อยให้ฝ่ามือถูกเผาไหม้แสบร้อน เลือดซึมเปรอะเลอะ

อายุยังน้อย แต่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน

สหายสนิทของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าคนนั้นตายอยู่ที่นี่ จิตสังหารของเขาย่อมรุนแรงมากกว่า

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกคนผู้นี้เป็นเป้าหมายในการเข่นฆ่า

ส่วนผู้เฒ่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ยังพอมีทางให้ถอยหนี ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะต้องหนีไปอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยเมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว ความเป็นไปได้ที่คนผู้นี้จะทอดทิ้งพันธมิตรหนีไปจากพื้นที่อันตรายเพื่อเอาตัวรอดกลับมีมากกว่า

เหมาเสี่ยวตงสลายฟ้าดินขนาดเล็กในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

เฉินผิงอันเองก็ตัดสินใจทำเช่นนี้ในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเช่นกัน

แล้วก็เพราะเหตุนี้

การกระทำนี้ถึงทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเกิดความกริ่งเกรงและการคาดเดา เช่นว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เลือกที่จะลงมือกับผู้ฝึกกระบี่ที่อันตรายมากกว่า เพราะคิดจะรวบแหเก็บแล้วจริงๆ หรือ? หรือเป็นเพราะยังมีหลุมพรางอะไรรอพวกเขาอยู่อีก?

เฉินผิงอันคลายมือที่กุมด้ามกระบี่ออก ขณะเดียวกันก็เก็บองค์เทพที่แผ่บารมีฟ้าซึ่งหาได้ยากสององค์กลับเข้ามาในยันต์ร่างจริงแผ่นนั้น

ฟ้าดินกลับคืนมาเป็นปกติ รอบด้านมีเสียงหวีดร้อง เสียงอุทานแตกตื่นตกใจดังระงม

เฉินผิงอันชำเลืองมองจุดที่ห่างไปไม่ไกล ตรงนั้นมีศีรษะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองกำลังกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น

ตายไปสาม หนีไปสอง

เป็นๆ ตายๆ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเหตุผลของใครของมัน

“เตรียมกลับกันเถอะ”

เหมาเสี่ยวตงยื่นมือมาคว้าไหล่เฉินผิงอัน พูดเพียงประโยคเดียวว่า “เรื่องบางอย่างของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แล้วจะทำอะไรได้?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version