Skip to content

Sword of Coming 411

บทที่ 411 เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องรู้

จูเหลี่ยนไม่เคยพบจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่ได้รับเชิญให้มาสอนหนังสือที่สำนักศึกษามาก่อน แต่กวางขาวที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุดตัวนั้น หลี่เป่าผิงเคยพูดถึง

จ้าวซื่อที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ ลมหายใจและฝีเท้าเวลาเดินเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ไม่แตกต่างจากคนแก่ปกติทั่วไป

ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังมองความผิดปกติไม่ออก ทว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเขา หัวใจของจูเหลี่ยนกลับหดรัดตัว

ทุกคนที่มาปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนหลังนี้เวลานี้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นนักรบเดนตายของต้าสุย

วิชาตระกูลเซียนเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น ยากที่จะป้องกัน

การประชันอาคมตระกูลเซียนเป็นทั้งการประชันสติปัญญาและประชันความกล้า จูเหลี่ยนเคยประมือกับชุยตงซานอยู่สองครั้ง รู้ดีถึงความมหัศจรรย์ของการที่ผู้ฝึกตนมีสมบัติอาคมติดตัวมากมาย ทำให้อดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างเขาได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่

หากไม่ได้ติดตามเฉินผิงอัน อีกทั้งสำมะโนครัวยังเป็นของราชวงศ์ต้าหลี ด้วยนิสัยของจูเหลี่ยน หากยังอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ป่านนี้คงลงมือไปนานแล้ว นี่เรียกว่ายินดีฆ่าผิดคน แต่ไม่ยินดีปล่อยคนผิดตัว

ทว่าการที่ฝืนนิสัยตัวเองไม่เข่นฆ่าผู้คนก็ไม่ได้หมายความว่าจูเหลี่ยนไม่มีวิธีในการหยั่งเชิงความตื้นลึกของอีกฝ่าย

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมทางของถนน ก้านของใบอู๋ถงเขียวชอุ่มใบหนึ่งหักลงมาอย่างเงียบเชียบแล้วพุ่งดิ่งตรงเข้าหาจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่มีกวางขาวเคียงข้าง

จ้าวซื่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังเอาแต่เดินหน้ามาอย่างเดียว

ในขณะที่ใบอู๋ถงกำลังจะปาดคอผู้เฒ่า มันก็พลันเสียการควบคุม เปลี่ยนมาเป็นใบไม้ธรรมดาที่ลอยพลิ้วร่วงลงสู่พื้นดิน

จูเหลี่ยนเคยเดินทางผ่านสองทวีป รู้ดีถึงน้ำหนักของเจ้าขุนเขาในสำนักศึกษาแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ต่อให้ไม่ใช่เจ็ดสิบสองสำนักศึกษา แต่เป็นสำนักศึกษาที่ผู้รอบรู้ของแต่ละแคว้นก่อตั้งขึ้นเป็นการส่วนตัว ทว่านั่นก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ดีที่สุดแผ่นหนึ่ง

สถานะเช่นนี้ไม่ต่างจากกษัตริย์และอ๋องเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์เท่าใดนัก พวกเขาต่างก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากลัทธิขงจื๊อ

หากผู้ฝึกตนกล้าลอบฆ่าพวกเขา สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อก็จะส่งคนมาไล่จับตัว ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนมีลัทธิขงจื๊อเป็นผู้บัญชาการณ์ จะหนีไปไหนได้? หากไม่อาศัยช่องทางลับหลบเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกและไม่มีชื่อเสียง ก็ได้แต่ต้องหนีไปให้ห่างจากโลกใบนี้ แต่หากเป็นขุนนางกังฉินขันทีฉ้อโกง หรือพวกแม่ทัพแคว้นใต้อาณัติญาติฝ่ายนอกคิดทำร้ายกษัตริย์ จะช่วงชิงบัลลังก์ก็ดี หรือจับเป็นหุ่นเชิดก็ช่าง เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก

หากจูเหลี่ยนปาดคอเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาส่วนตัวผู้นี้ แล้วถ้าจ้าวซื่อไม่ใช่นักรบเดนตายอะไร แต่เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่วันนี้แค่เกิดความสนใจอยากจะมาเยี่ยมพบชุยตงซานจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องซวยก็คือเขาจูเหลี่ยน

แต่จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมเลิกรา เขาใช้ปลายเท้าเตะหินไข่ห่านก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างทางโจมตีไปที่น่องเล็กของจ้าวซื่อ

ควบคุมแรงให้อยู่ในตบะขอบเขตเจ็ดร่างทองอย่างพอเหมาะพอดี

อาจารย์ผู้เฒ่าที่น่าสงสารร้องโอ้ย ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเนื้อด้านข้างน่องเล็กฉีกเป็นรอยเลือด เขาพลันเหงื่อแตกเต็มศีรษะ

จ้าวซื่อเงยหน้าขึ้นพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเป็นใคร?! เหตุใดต้องลงมือทำร้ายคนอื่น? รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือสำนักศึกษาซานหยา!”

จูเหลี่ยนทำสีหน้าประหลาดใจแฝงไว้ด้วยความตระหนกเล็กน้อย เขาสบถกับตัวเองเบาๆ ว่า “ไหนบอกว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณฝีมือสูงส่งที่ปากอมกฎสวรรค์อย่างไรเล่า ในเมื่อมีสัตว์วิเศษอย่างกวางขาวตัวนี้อยู่เคียงข้าง เหตุใดถึงทนรับการโจมตีไม่ได้ขนาดนี้ เศษสวะแท้ๆ น่าอนาถ น่าอนาถนัก…”

จากนั้นจ้าวซื่อก็มองเห็นคนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาหา ยิ้มขออภัยเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย เมื่อครู่นี้ข้ากำลังเตะก้อนหินเล่นอย่างใจลอย ไม่ทันระวังเลยไปโดนท่านเจ้าขุนเขาจ้าว ช่างสมควรตายจริงๆ …”

จ้าวซื่อเจ็บปวดจนต้องค้อมเอวลง สีหน้าซีดขาว เหงื่อแตกเต็มใบหน้า คงเป็นเพราะไม่กล้ามองบาดแผลที่เลือดสดไหลนองจึงได้แต่หันมาถลึงตาใส่ผู้เฒ่าหลังค่อมที่มีท่าทางหวาดหวั่นคนนั้นแทน

จูเหลี่ยนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวซื่อ ยื่นมือมาประคองเขา “เจ้าขุนเขาจ้าว ข้าจะประคองเจ้าไปรักษาบาดแผลที่เรือน”

จ้าวซื่อปล่อยให้จูเหลี่ยนจับแขนตัวเอง ปากก็พูดทอดถอนใจไปด้วยว่า “มีคนฝึกยุทธที่ไหนวู่วามอารมณ์ร้อนอย่างเจ้า ในเมื่อพอจะเป็นวิชาการต่อสู้อยู่บ้างก็ควรหัดควบคุมตัวเอง เทียบเด็กน้อยงอแงกลิ้งไปตามพื้นกับต่อยตีกับบุรุษชายฉกรรจ์จะเหมือนกันได้หรือ? คำกล่าวที่ว่าพวกจอมยุทธชอบใช้กำลังละเมิดกฎ ก็พูดถึงคนอย่างพวกเจ้านี่แหละ!”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับปากก็พูดติดๆ กันว่าใช่

เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ

จูเหลี่ยนที่เดิมทีเคยชินกับการอยู่ในท่าค้อมเอวหลังค่อมพลันหดตัวจนร่างเหมือนวานรตัวหนึ่ง ขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้าง กระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ หนึ่งทีแล้วกระแทกชนเข้าที่หน้าอกของจ้าวซื่ออย่างอำมหิต

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่เดิมทีควรแทงเข้าที่หว่างคิ้วของจูเหลี่ยน พอจูเหลี่ยนกลายร่างมาเป็นวานรก็ได้แต่แทงทะลุไหล่เขาไปเท่านั้น

จ้าวซื่อถูกพละกำลังอันหนักหน่วงของจูเหลี่ยนพุ่งชนจนร่างกระเด็นหวือออกไป ชนเอากวางขาวที่อยู่ด้านหลังให้ลอยคว้างตามไปด้วย

จ้าวซื่อพลันพลิกตัวหมุนตัวกลับ พลิ้วกายลงพื้นอย่างมั่นคง อารมณ์เสียสุดขีด

เหตุใดในสำนักศึกษาถึงยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ที่นี่!

จูเหลี่ยนไม่สนใจบาดแผลตรงไหล่ที่เลือดสดไหลนองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเขาฉายประกายร้อนแรง แสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า “ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับความสามารถของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งเสียที สะใจนัก!”

ในลานบ้าน อวี๋ลู่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงสูง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มาแล้ว”

เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “เป่าผิง หลี่ไหว เผยเฉียน พวกเจ้าสามคนเข้าไปหลบในห้องหนังสือของห้องหลักก่อน จำไว้ว่าปิดประตูให้ดี เว้นเสียจากว่าข้าเป็นคนเปิดประตู ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ห้ามออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว!”

เด็กทั้งสามวิ่งฉิวเข้าไปในห้องโดยไม่ถามอะไรแม้แต่ครึ่งคำ

หลินโส่วอีเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าในตอนนี้อาจจะยังช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”

อวี๋ลู่จ้องอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อที่คุมเชิงกับจูเหลี่ยนอยู่บนถนนเขม็ง “หาโอกาสเอาเองแล้วกัน”

เซี่ยเซี่ยเดินมาที่ลานบ้าน ในใจท่องคาถา สองมือทำมุทรา ก้าวเท้ารวดเร็วปานลมกรด เริ่มเข้าควบคุมปราณวิญญาณในเรือนเล็กโดยใช้เวทคาถาที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้ สร้างสถานที่แห่งนี้ให้เป็นฟ้าดินขนาดเล็กจิ๋วชั่วคราว ส่วนนางเองก็มีโอกาสลิ้มรสชาติของการควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาดั่ง ‘อริยะของพื้นที่หนึ่ง’ หากจะบอกว่ากาลเวลาที่เหมาเสี่ยวตงบังคับคือแม่น้ำสายหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเซี่ยเซี่ยก็ได้แต่บังคับลำธารเส้นหนึ่ง

โชคดีที่บริเวณของเรือนแห่งนี้ไม่กว้างนัก จึงไม่ง่ายที่จะเกิดช่องโหว่ที่ใหญ่เกินไป

อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นนักฆ่าคนนั้นไม่ได้บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับจูเหลี่ยน

รุ้งยาวแต่ละเส้นที่กระบี่บินวาดออกมากลางอากาศพากันพุ่งเข้าหาเรือนหลังนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกครั้งที่กระบี่บินพยายามจะบุกเข้าไปในเรือน จะต้องถูกม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กกางกั้น ระเบิดประกายแสงพร่างพราวประหนึ่งแก้วหลากสีหลายเม็ดที่ปริแตก

อวี๋ลู่ถอยกลับเข้าไปในลานบ้านแล้ว เขาถามเบาๆ ว่า “สามารถประคองตัวอยู่ได้นานแค่ไหน?”

หน้าผากของเซี่ยเซี่ยมีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา เสียงของนางสั่นสะท้านน้อยๆ ยิ้มขื่นตอบว่า “ต่อให้จูเหลี่ยนสามารถถ่วงเวลาผู้ฝึกกระบี่คนนี้ไว้ได้ ไม่ปล่อยให้เขาบังคับกระบี่บินได้อย่างเต็มกำลัง อย่างมากสุดข้าก็ยังได้แค่ประคองตัวไว้ครึ่งก้านธูปเท่านั้น…กระบี่บินจู่โจมแรงเกินไป ปราณวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ถูกเผาผลาญเร็วเกินไป!”

เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญการทำลายสิ่งกีดขวางนานัปการในโลกที่สุดอยู่แล้ว

หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ไม่ใช่แค่คำพูดที่ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าคุยโวโอ้อวดตนเท่านั้น

เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “น่าเสียดายที่เจ้าขุนเขาเหมาออกไปจากภูเขาตงหัว”

อวี๋ลู่ส่ายหน้า “หากเจ้าขุนเขาเหมาไม่ออกไปจากภูเขาตงหัว ศัตรูก็ยังมีแผนการอื่นมารับมือกับการที่เขาไม่จากไป ไม่แน่ว่าเวลานี้เจ้าขุนเขาเหมากับเฉินผิงอันอาจจะล่อกำลังหลักของศัตรูไปได้สำเร็จแล้ว และตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่าที่นี่ก็เป็นได้”

บนทางสายเล็กนอกเรือน ร่างของจูเหลี่ยนเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาของกลุ่มควัน ส่วนผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็พยายามหลบเลี่ยง เอาสมาธิที่มากกว่าไปวางไว้กับการควบคุมกระบี่ทะลวงฟ้าดินขนาดเล็ก กลางอากาศเหนือเรือนเล็กมีแสงแก้วห้าสีสว่างวาบแตกตัวครั้งแล้วครั้งเล่า

เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่ได้เปรียบด้านชัยภูมิและเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประชิดตัว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จึงรับมือได้ค่อนข้างเปลืองแรง

หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวกับผู้ฝึกลมปราณที่ศักยภาพเท่าเทียมกัน แล้วถ้าถูกฝ่ายแรกดึงระยะห่างขยับเข้ามาใกล้ ฝ่ายหลังก็มีแต่จะต้องร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ระทมเท่านั้น

ทว่าการที่ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่ก็เพราะไม่ว่าจะโจมตีไกลๆ หรือต่อสู้ประชิดตัว การระเบิดพลังพิฆาตรุนแรงออกมาในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีของพวกเขาก็ล้วนทำให้คนกริ่งเกรงได้ทั้งสิ้น

จูเหลี่ยนเหวี่ยงขาฟาดไป ทำให้ศีรษะของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นกระแทกลงบนต้นอู๋ถง ต้นไม้ใหญ่หักกลางทันที

แต่จูเหลี่ยนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายแทงทะลุหน้าท้อง

ไม่เสียแรงที่จูเหลี่ยนคือคนคลั่งวรยุทธ เขาปาดเลือดสดที่ไหลพรูออกมาจากหน้าท้อง ยื่นมือมาดูแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง ยกมือเช็ดหน้า ก่อนจะไล่กวดตามผู้ฝึกกระบี่ไป

ศึกใหญ่กำลังปะทุเดือด เสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นความตาย จูเหลี่ยนยังมีอารมณ์เอ่ยเตือนทางเรือนเล็กอย่างผ่อนคลาย “ระวังตาแก่นี่จะอำพรางตบะ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่ขอบเขตก่อกำเนิดทั่วไป หากใช้เวทลับผายลมสุนัขอะไรขึ้นมา…”

อาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ พอได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้ม หยิบเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารออกมาสวมลงบนร่าง เขาเตรียมตัวจะเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแล้ว

จากนั้นก็มองไปทางเรือนหลังเล็ก คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “จงเปิดออกให้ข้า!”

หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เลื่องชื่อด้านความเร็ว ตัวกระบี่มีเปลวไฟที่บริสุทธ์อย่างถึงที่สุดล่องลอยออกมา

หลังจากกระแทกชนเข้ากับปราการแห่งฟ้าดินขนาดเล็กแล้วก็เกิดเสียงดังครืนครั่น สายน้ำแห่งกาลเวลาที่ห่อหุ้มตลอดทั้งเรือนหลังเล็กเริ่มส่ายสะบัดอย่างรุนแรง ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง อวี๋ลู่ยังพอจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ทว่าหลินโส่วอีที่อยู่ตรงระเบียงแผ่นไม้ไผ่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง จึงรู้สึกทรมานยากจะทนรับอย่างยิ่ง

มุมปากของเซี่ยเซี่ยมีเลือดไหลซึม แต่กระนั้นนางก็ยังยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

ในฐานะตาของค่ายกลฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ถึงอย่างไรตบะของเซี่ยเซี่ยก็ตื้นเขินเกินไป นางไม่กล้าขยับเขยื้อน ไม่อย่างนั้นฟ้าดินของเรือนเล็กก็อาจเกิดความไม่มั่นคงและมีรอยปริแตกมากกว่าเดิม

เซี่ยเซี่ยยกสองมือทำมุทรา ในดวงตาเริ่มมีหยดเลือดกลิ้งไหลออกมา

อาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อที่พอสวมเสื้อเกราะของสำนักการทหารแล้ว ระหว่างที่เข่นฆ่าอยู่กับจูเหลี่ยนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คิดจะต่อสู้โรมรันอยู่กับข้า ปล่อยให้กระบี่บินของข้าแหวกทำลายม่านปราการได้ตามใจชอบ ไม่คิดจะไปช่วยพวกเขาหน่อยหรือ?”

กระบี่บินหลีหว่อ (ดวงไฟที่หลุดลอย หมายถึงไฟของห้าธาตุ) เล่มนี้ หากถูกผู้ฝึกกระบี่นำมาหลอมให้ได้ถึงขีดสุด จากนั้นรอให้ตัวเขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ต่อให้ลงแม่น้ำเดือดทะเลสาบเพลิงก็ยังไม่ใช่เรื่องยาก กะอีแค่ฟ้าดินขนาดเล็กที่ไม่สมชื่อ ซ้ำร้ายยังมีแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ถึงขอบเขตประตูมังกรนั่งพิทักษ์ จะนับเป็นอะไรได้?

ใบหน้าของเซี่ยเซี่ยเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่นางก็ยังยืนหยัด เพียงแต่ว่าคนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง หลังจากกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ นางก็หงายหลังตึงล้มลงกับพื้น หมดสติไปทันที

กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงทะลุฟ้าดินขนาดเล็กเข้ามาทีละชุ่น ดูจากท่าทางแล้วเมื่อถูกเปลวเพลิงในตัวของกระบี่เผาไหม้ก็ยังจะชักนำให้เกิดช่องโพรงใหญ่ขนาดเท่ากระด้งด้วย

ดังนั้นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีเซี่ยเซี่ยเป็นผู้ควบคุมแห่งนี้ ไม่ว่านางจะมีสติหรือหมดสติไปก็ล้วนไม่มีความหมายเท่าใดนัก

อวี๋ลู่ทะยานตัวขึ้นสูง ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่กระบี่บิน

พายุหมัดระเบิดกระจุยกระจาย กระบี่บินของเซียนดินก่อกำเนิดเล่มนั้นแทงทะลุนิ้วมือ จากนั้นก็ ‘ผุดพ้นหน้าดิน’ มาจากหลังมือ ตรงดิ่งเข้าหาห้องหลัก

หลินโส่วอีที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ทรมานเต็มกลืนแล้ว อยู่ๆ ฟ้าดินขนาดเล็กก็สลายไป ความรู้สึกที่ฟ้าดินพลิกกลับรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้จิตสำนึกของหลินโส่วอีพร่าเลือน ร่างส่ายโอนเอน ต้องยื่นมือมาจับเสาระเบียงเพื่อประคองตัว แต่กระนั้นก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขวางเอาไว้!”

ร่างของสือโหรวมาปรากฏตรงหน้าต่างห้องหนังสือ นางหลับตาลง ปล่อยให้กระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นแทงทะลุเข้ามาที่หน้าท้องของคราบร่างเซียนเหริน

เสียงดีดนิ้วเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ แต่กลับดังกังวานอยู่ริมหูของทุกคนในเรือนเล็ก

ตรงตีนเขาของภูเขาตงหัว หน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา อาจารย์ผู้เฒ่าแซ่เหลียงมอบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไปแล้วก็จ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ข้างกายมีกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งหมุนคว้างเขม็ง พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบกร้าว “ชุยตงซาน ข้าจะเชื่อใจเจ้าสักครั้ง ยอมมอบสำนักศึกษาไว้ในมือเจ้าชั่วคราว หากเกิดปัญหาใดๆ …”

เจ้าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกำแผ่นหยกไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มตาหยีพูดว่า “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า เจ้าแซ่เหลียงผู้นี้พูดมากซะจริง”

กระบี่บินที่มีนามว่า ‘จินชิว’ และรูปลักษณ์เป็นดั่งรวงข้าวสีทองสมชื่อเล่มนั้นก็คือกระบี่บินที่ก่อนหน้านี้ไปเตือนเหมาเสี่ยวตงว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ภูเขาตงหัวแล้ว

ชุยตงซานก้าวข้ามประตูใหญ่ของสำนักศึกษามาหนึ่งก้าว หลับตาเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม “กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้ใช้สถานะของเทพเซียนห้าขอบเขตบนสูดกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมนี้?”

ชุยตงซานลืมตาขึ้น ดีดนิ้วหนึ่งที ภูเขาตงหัวพลันกลายมาเป็นฟ้าดินของตัวเขาเอง “ปิดประตูตีหมากันก่อน”

จากนั้นก็ก้าวออกไปอีกก้าว ก้าวถัดไปมาอยู่ตรงกลางเรือนหลังเล็ก ถูมือหัวเราะร่า “จากนั้นก็ถึงเวลาตีหมา คำพูดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ถูกเผงเลย ถ้าจะตีก็ต้องตีหมาที่เกเรที่สุดก่อน”

เซี่ยเซี่ยหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จากนั้นหลินโส่วอีที่จู่ๆ ก็ถูกโยนกลับเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กอีกครั้งก็หมดสติตามไป

ต่อให้อวี๋ลู่จะมีขอบเขตร่างทอง แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย

สภาพของสือโหรวตอนนี้น่าตลกที่สุด แม้จะได้ครอบครองคราบร่างเซียนเหริน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว จิตวิญญาณของนางกลับรับการชะล้างจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กได้ไม่ง่ายสักเท่าไหร่

หลังจากกระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นแทงหน้าท้องของนาง กระบี่บินก็เหมือนจมเข้าสู่กรงขังบ่อสายฟ้า พุ่งชนสะเปะสะปะอย่างบ้าคลั่งเหมือนแมลงวันไร้หัว

ทำเอาสือโหรวที่ขวางอยู่ตรงหน้าต่างเดี๋ยวๆ ก็ถูกกระชากไปข้างหน้า เดี๋ยวๆ ก็ผงะหงายไปด้านหลัง พลิกคว่ำคะมำหงาย

เห็นสภาพนี้ของสือโหรว ชุยตงซานก็เหลือกตามองบน รู้สึกอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก จึงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาตบลงกลางอากาศเบาๆ

ร่างเซียนเหรินของสือโหรวถูกตบเข้าไปในระเบียงไม้ไผ่มรกต พื้นกระดานปริแตกเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน

มองดูเหมือนเป็นฝ่ามือที่โบกตบอย่างง่ายๆ แต่กลับทำให้จิตวิญญาณและจิตสำนึกของสือโหรวที่หลบซ่อนอยู่ในคราบร่างเซียนสลบไปทันที

ชุยตงซานกระทืบหน้าท้องของสือโหรวหนึ่งที กระบี่บินหลีหว่อที่จับผลัดจับผลูถูกสือโหรว ‘พาตัวไปติดร่างแห’ พลันสงบนิ่งทันควัน

ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง เตรียมจะใช้เวทลับ ‘เก็บ’ กระบี่บินที่ระดับขั้นไม่เลวเล่มนั้นออกมาจากหน้าท้องของสือโหรว

ตรงทางสายเล็กนอกลานบ้าน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้นั้นทะยานตัวเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งหลบหนีไปทางทิศตะวันตกของภูเขาตงหัว เมื่อเห็นท่าไม่ดี แน่ใจแล้วว่าการสังหารใครสักคนเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินตัว เขาก็ถึงกับตัดใจสละทิ้งได้แม้กระทั่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง

ชุยตงซานหาวหวอด ลุกขึ้นยืน “ดีนะที่เหมาเสี่ยวตงไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นเห็นภาพต่อไปนี้ อริยะแห่งสำนักศึกษาอย่างเขาอาจอับอายถึงขั้นขุดดินเป็นหลุมแล้วฝังกลบตัวเองลงไปก็เป็นได้”

แถบริมขอบของฟ้าดินขนาดเล็ก ทางทิศตะวันตกของภูเขาตงหัวมีเทวรูปร่างทองสูงหลายสิบจั้งปรากฏขึ้นมา คือกายธรรมของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ตั้งบูชาไว้ในศาลบุ๋น

ผู้ฝึกกระบี่ตกใจรีบบินทะยานหนีไปทางทิศเหนือ

แต่ตรงนั้นก็มีกายธรรมร่างทองของอริยะอีกท่านหนึ่งโผล่ขึ้นมายืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

คงเป็นเพราะวันนี้ชุยตงซานอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากเสียเวลาเล่นแมวไล่จับหนูอะไรกับผู้ฝึกกระบี่ ทิศตะวันออกและทิศใต้จึงมีเทวรูปอีกสององค์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

ผู้ฝึกกระบี่กัดฟัน พลันพุ่งเป็นเส้นตรงทะยานขึ้นสู่ม่านฟ้าของฟ้าดินแห่งนี้

บนยอดเขาของภูเขาตงหัวปรากฏเทวรูปที่สูงใหญ่ที่สุด เทวรูปนั้นเป็นชายชราลัทธิขงจื๊อที่มีหน้าตาของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี เขายื่นฝ่ามือขนาดใหญ่สีทองออกมาคว้าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้น พอกำไว้แน่น ในฝ่ามือก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งมีสายฟ้าร้องคำรามอยู่ในฝ่ามือของเทพเซียน

เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนไหล่ของกายธรรมซิ่วหู่ผู้เฒ่า หน้าตาของเขางดงามประดุจหยกสลัก กำลังนวดคลึงใฝแดงที่อยู่กลางหว่างคิ้วของตัวเอง รอให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นถูกปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของภูเขาตงหัวเผาผลาญตบะไปทีละนิด

แน่นอนว่าหากตาแก่ผู้นั้นยินดีทุบหม้อข้าวจมเรือ ระเบิดโอสถทองและทารกก่อกำเนิดของตัวเอง ชุยตงซานก็ไม่คิดจะขัดขวาง ถึงอย่างไรสิ่งที่เสียหายไปก็มีแค่โชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวเท่านั้น

เพียงแต่ว่าชุยตงซานยังคงหวังว่าจะรีดไถเอาของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ มาจากมือของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น…กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกกักอยู่ในท้องของคราบร่างเซียนชั่วคราวเล่มนั้น

ชุยตงซานหันหน้าไปมองทางเรือนเล็ก

กวางขาวตัวนั้นคือสัตว์วิเศษที่อยู่ข้างกายจ้าวซื่อชายชราลัทธิขงจื๊อจริง เพียงแต่ว่าถูกยอดฝีมือร่ายเวทลับใส่

ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าที่ถูกกายธรรมบีบไว้ในฝ่ามือย่อมไม่ใช่จ้าวซื่อ

แม้ว่าจ้าวซื่อจะเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ ทว่าตัวเขาเองกลับไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ความรู้ก็ไม่ถึงขั้นที่คนฟ้าสื่อสัมผัสถึงกัน วันใดวันหนึ่งเมื่อ ‘อ่านตำราจนถึงขั้นรู้ใจอริยะ’ ก็กลายเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กได้ด้วยตัวเองอย่างกะทันหัน ดังนั้นอยู่ดีๆ จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่หายากได้อย่างไร ในแจกันสมบัติทวีป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้

เซียนดินน่าสงสารที่ลอบสังหารไม่สำเร็จผู้นี้ ต่อให้ชุยตงซานใช้ก้นคิด ใช้หัวเข่าเดาก็ยังรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป

มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นนักรบเดนตายที่ติดตามอยู่ข้างกาย ‘จางไต้’ จ้วงหยวนคนใหม่ของต้าสุย

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักจ้งเหิง ใช้ตัวตนลับหลากหลายรูปแบบท่องไปทั่วใต้หล้า ข้างกายมักจะมีผู้ฝึกตนใหญ่หนึ่งถึงสองคนทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตายให้เสมอ

ชุยตงซานนั่งขัดสมาธิ จุ๊ปากพูด “ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว นับว่าเป็นแผนการที่ดี สกุลซ่งต้าหลีกับสกุลเกาต้าสุยล้วนถูกเจ้าเล่นงานไปพร้อมๆ กัน มีมาดของข้าในอดีตอยู่บ้างจริงๆ พวกเราควรมาพูดคุยกันดีๆ นะ เจ้าคิดดูสิ อีกนิดเดียวเจ้าก็เกือบจะทำให้งานใหญ่ของข้าพังแล้ว ไม่ยัดจิตวิญญาณของเจ้าเข้าไปในเนื้อหนังมังสาของสตรี ข้าก็ไม่ควรใช้แซ่เดียวกับเจ้าหรอกหรือ? อืม ยังต้องเป็นร่างของคุณหนูในห้องหอด้วย! ให้เจ้าได้รู้ว่าคำกล่าวที่ว่าบุรุษหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา อันที่จริงยังไม่นับว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรีอะไร”

มองดูเหมือนชุยตงซานเอาแต่พร่ำบ่น ทว่าแท้จริงแล้วสมาธิครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในฝ่ามือของกายธรรม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ที่ท้องของสือโหรว

สำหรับนักรบเดนตายที่ปรากฏตัวเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ทัณฑ์ทรมานอะไร เพราะบนร่างของพวกเขาไม่มีทางพกวัตถุใดๆ ที่จะเปิดเผยเบาะแสความลับของตัวเองมาด้วย

ชุยตงซานถึงได้ต้องจับตามองกระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นอย่างระมัดระวังไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าเขาจะมีสมบัติอาคมนับไม่ถ้วน แต่ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่รังเกียจว่ามีเงินมากเกินไป?

ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นไม่สามารถควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ แต่พลังการต่อสู้ก็ยังไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด เขาใช้จิตหยางกายนอกกายทำลายหมัดของกายธรรมร่างทองจนเละเทะ จากนั้นก็ปล่อยจิตหยินออกจากร่าง ทั้งสามฝ่ายแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศทาง

ร่างจริงที่บาดเจ็บสาหัส มองดูเหมือนหนีได้ช้าที่สุด อยู่ดีๆ ก็เหมือนสายฟ้าที่วาดตัวเป็นวงโค้งตกลงมายังเรือนเล็กที่อยู่เบื้องล่างอย่างเร่งร้อน ยังคงไม่ถอดใจเรื่องลอบสังหาร

ชุยตงซานที่ยังคงนั่งอยู่บนไหล่ของกายธรรมถอนหายใจ “คิดจะแข่งเรื่องการวางแผนชั่วร้ายกับข้า หลานคนดีอย่างเจ้าได้พบบรรพบุรุษแล้วก็ควรต้องโขกหัวคำนับสิ”

จิตหยินที่ออกจากร่างถูกกายธรรมร่างทองอริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามประกบสิบนิ้วตบจนแหลกลาญ ปราณวิญญาณที่กระเพื่อมแผ่ออกมา ถือเป็นการชดเชยให้แก่ภูเขาตงหัว

จิตหยางกายนอกกายก็ถูกกายธรรมร่างทองอริยะลัทธิขงจื๊ออีกตนหนึ่งตบเข้าไปในทะเลสาบของสำนักศึกษา กายธรรมยกเท้ากระทืบตามไป คลื่นยักษ์โถมตัวสาดกระเซ็น กายนอกกายถูกกระทืบจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ก่อกำเนิดเฒ่าที่จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมกระบี่บินได้เตรียมจะระเบิดโอสถทอง หมายจะลากให้เรือนเล็กทั้งหลังต้องพินาศไปพร้อมกันด้วย

เพียงแต่ว่าร่างของผู้เฒ่าพลันแข็งทื่อ

‘จินชิว’ กระบี่บินของเซียนที่ชุยตงซานได้มาเพราะชนะการเล่นหมากล้อมกับคนผู้หนึ่งในปีนั้นปักตรึงลงไปในโอสถทองของผู้เฒ่าแล้วปั่นป่วนมันจนเละเทะ

จากนั้นบนร่างของผู้เฒ่าก็ถูกอักษรโบราณแปลกประหลาดที่เป็นสีดำเหลือบทอง ‘ไต่คลานยั่วเยี้ย’ เต็มร่าง ไม่เหมือนกับตัวอักษรสีทองของปราณแห่งความเที่ยงธรรมยามที่เหมาเสี่ยวตงเป็นผู้พิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้สักเท่าไหร่

ชุยตงซานมายืนอยู่ตรงหน้า ‘จ้าวซื่อ’ ผู้นี้ ยกมือปาดไปบนใบหน้าผู้เฒ่า ปลด ‘หน้ากาก’ ชั้นเยี่ยมที่สร้างขึ้นจากวิชาลับของสำนักโม่ซึ่งตอนนี้โชกไปด้วยเลือด จากนั้นค่อยใช้ปลายนิ้วกรีดเนื้อหนังชั้นที่เดิมทีเป็นใบหน้าดั้งเดิมของผู้เฒ่า สะบัดสองสามทีสลัดเอาเลือดและเศษชิ้นเนื้อทิ้งไป ก่อนจะเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามอง ‘ใบหน้า’ น่ากลัวที่เห็นกระดูกขาวโพลน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะที่ช่วยให้ข้าได้กำไรก้อนเล็กๆ”

ผู้เฒ่าไร้คำพูดตอบโต้ ไม่เพียงแต่กล้ามเนื้อทั่วร่างปริแตกเหมือนรอยแตกบนผิวเครื่องกระเบื้อง แม้แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยแตก สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงส่วนลึกในหัวใจของผู้เฒ่าที่สั่นสะเทือนรุนแรง เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม

ชุยตงซานถลึงตาใส่ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องตากับอีกฝ่ายเขม็ง “ทำไม คิดจะใช้สายตาสังหารข้ารึ? มาๆๆ ข้าให้โอกาสเจ้า!”

ครู่หนึ่งต่อมาชุยตงซานก็ดีดนิ้วลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ร่างของผู้เฒ่าที่อันที่จริงพลังชีวิตขาดสะบั้นหมดสิ้นแล้วปลิวกระเด็นออกไป แล้วแหลกสลายกลายเป็นฝนเลือดอยู่กลางอากาศ

ชุยตงซานยืนอยู่ในลาน เดินไปทางห้องหลัก ระหว่างนั้นเดินผ่านเซี่ยเซี่ยที่นอนพังพาบหมดสติอยู่กับพื้นก็กล่าวอย่างมีโทสะว่า “เจ้าคนไม่ได้เรื่อง”

แล้วก็เตะเซี่ยเซี่ยปลิวไปกระแทกกำแพง

อวี๋ลู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมได้แต่ยิ้มจืดชืด

ชุยตงซานเดินสวนไหล่กับเขาแล้วก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่อยากพูดกับเจ้า”

ขยับเข้าไปใกล้ขั้นบันได

ชุยตงซานตบศีรษะตัวเอง นึกขึ้นมาได้ว่าอาจารย์ของตนใกล้จะกลับมาถึงพร้อมเหมาเสี่ยวตงแล้ว จึงรีบยื่นมือไปคว้าร่างของเซี่ยเซี่ยเอามา ‘วาง’ ไว้ตรงระเบียงไม้ไผ่มรกต ชุยตงซานยังวิ่งเข้าไปนั่งยองอยู่ตรงหน้านาง ยื่นมือลูบๆ คลำๆ บนใบหน้าของนาง

สุดท้ายจึงกลายเป็นเซี่ยเซี่ยที่นั่งพร้อมอมยิ้มบางๆ

ชุยตงซานมองดูแล้วก็ค่อนข้างจะพอใจกับฝีมือของตัวเอง เพียงแต่ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เงื้อมือตบฉาดลงบนใบหน้าของเซี่ยเซี่ย ปลุกให้ฟื้นตื่น ไม่รอให้เซี่ยเซี่ยที่ยังมึนงงพูดอะไรก็ตบนางให้สลบไปอีกครั้ง “ยังคงเป็นใบหน้ายิ้มเมื่อครู่นี้ที่มองแล้วสบายตามากกว่า”

จากนั้นก็ง่วนจัดท่าทางให้อีกฝ่าย

เซี่ยเซี่ยจึงยังคงอยู่ในท่านั่งอมยิ้มน้อยๆ

ชุยตงซานตรวจจนแน่ใจก่อนว่า กระบี่บินหลีหว่อที่อยู่ในหน้าท้องของสือโหรวซึ่งสลบไปกำลังส่งเสียงร้องอย่างเศร้าสลด แต่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะหลุดพ้นจากกรงขังมาชั่วคราว

เขาถึงได้ชูมือสองข้างขึ้นสูงแล้วตบหนักๆ

สลายฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษาภูเขาตงหัวทิ้ง

จูเหลี่ยนย้อนกลับมาที่เรือน นั่งลงข้างโต๊ะหิน ก้มหน้ามองท้องด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นไม่กล้าลงมือเต็มที่นัก บาดแผลของตนจึงไม่สาหัสมากพอ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่เต็มคราบ

ชุยตงซานวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในห้องหลัก ไปเคาะประตูห้องหนังสือ พูดประจบว่า “เป่าผิงน้อย เดาดูสิว่าข้าคือใคร?”

……

การลอบสังหารที่อันตรายซึ่งอย่าว่าแต่พวกไช่เฟิง เหมียวเริ่น แม้แต่ฮ่องเต้ต้าสุยเองก็ยังถูกปิดหูปิดตา ก็ได้ปิดฉลากลงเช่นนี้

หลังจากเหมาเสี่ยวตงใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่รองเจ้าขุนเขาและอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลาย ตลอดทั้งสำนักศึกษาก็ทำการเก็บกวาดซากเละเทะอย่างเป็นระเบียบ

ตรงหน้าประตูสำนักศึกษา เหมาเสี่ยวตงกำลังเดินขึ้นเนินเขามาพร้อมกับเฉินผิงอัน

เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สักวันหนึ่งเจ้าเองก็จะสามารถปกป้องคนข้างกายที่เจ้าห่วงใยไว้ในเรือนหลังหนึ่ง ต่อให้ด้านนอกจะมีลมพัดฝนกระหน่ำ ภูเขาและแม่น้ำแปรเปลี่ยน ก็ล้วนไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่าเมื่อเติบใหญ่แล้ว เดินออกไปจากเรือนแห่งนั้น เว้นเสียจากว่าเจอคนที่ไร้เหตุผลเกินไป ไม่อย่างนั้นอะไรที่พวกเด็กรุ่นหลังควรต้องเสียเปรียบก็ปล่อยให้พวกเด็กๆ ได้สัมผัสด้วยตัวเองไปเถอะ ไอ้ที่ควรร้องไห้ก็ร้องไห้ ไอ้ที่ควรหลั่งเลือดก็หลั่งเลือด หาไม่แล้วต่อให้จะอายุมากแค่ไหน ก็เหมือนว่าไม่เคยเติบโตเลยตลอดชีวิต”

เหมาเสี่ยวตงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้ที่เป็นบิดามารดา ผู้ที่เป็นอาจารย์ ล้วนไม่เคยดูแลปกป้องใครไปได้ตลอดชีวิต ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่มีความรู้สูงส่งถึงเพียงนั้นสามารถดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลได้หรือ? ทำไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คือเหตุผลนี้”

พอเหมาเสี่ยวตงคิดว่าอีกเดี๋ยวจะต้องได้เจอกับเจ้าคนแซ่ชุยผู้นั้น โทสะก็ไม่รู้ว่าผุดพุ่งมาจากไหน

เหมาเสี่ยวตงเงียบงันไปนาน ขณะที่เดินอยู่บนเส้นทางนอกเรือนหลังเล็กที่พังราบก็พลันเอ่ยคำพูดที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจอย่างมาก

“ข้ารู้สึกว่าสถานที่ที่ไม่มีควรเกิดปัญหามากที่สุดในใต้หล้า ไม่ใช่บนบัลลังก์มังกร แม้แต่บนภูเขาก็ยังไม่ใช่ แต่เป็นในห้องเรียนน้อยใหญ่ของบนโลก หากเกิดปัญหาขึ้นที่นี่ก็ยากที่จะช่วยเหลือได้”

“พวกซิ่วไฉยากจน ไร้ตำแหน่งไร้ชื่อเสียง อาจารย์สอนหนังสือทั้งหลายที่อาจจะได้ยินเสียงหมาเห่าเสียงไก่ขันทุกวันก็คือผู้ตัดสินอนาคตของหนึ่งแคว้น”

“ชุยตงซาน หรือควรจะเรียกว่าชุยฉาน ไม่ว่าจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังของราชวงศ์ต้าหลี เขาก็ได้ทำเรื่องที่ร้ายกาจ หรือไม่ก็เรื่องสกปรกมากมายนับไม่ถ้วน ในความเห็นของข้า มีเพียงเรื่องเดียวที่แม้แต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ไม่อาจหาข้อตำหนิได้

ราชครูชุยฉานที่อยู่ในราชวงศ์ต้าหลีเชิดชูหลักการ ‘ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองต้องมาจากการเคารพครูบาอาจารย์’ ด้วยเรื่องนี้เขายังเสนอนโยบายมากมายที่ให้ปฏิบัติต่ออาจารย์ผู้สอนหนังสือให้ดี อีกทั้งยังจับตามองขุนนางท้องถิ่นด้วยตัวเอง รวมเรื่องนี้ไว้ในหัวข้อการประเมินเพื่อพิจารณาการเลื่อนขั้นของขุนนางในท้องถิ่น ราชครู ราชครู นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ราชครูสมควรมี”

ต้าสุยพ่ายแพ้ที่เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่มีเพียงการศึกษาค้นคว้าที่เป็นทฤษฎี แต่คนเถื่อนต้าหลี ไม่เพียงแต่มีกองกำลังทหารแข็งแกร่ง ยังชนะที่เหล่าบัณฑิตลงมือปฏิบัติจริงอย่างสุดความสามารถ

สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงหยุดเดิน กล่าวว่า “แม้ว่าอาจทำให้ตัวเองดูคล้ายคนถ่อย แต่ข้าก็ยังต้องพูดสักหน่อย ตอนนี้มหามรรคาของชุยตงซานถูกผูกมัดไว้กับเจ้า แต่บนโลกใบนี้มีใครบ้างที่จะเล่นงานตัวเอง? สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เขาก็ยังคงสนิทสนมกับชุยฉานมากว่า แม้ว่าในอนาคตคนทั้งสองอาจไม่รวมกันเป็นหนึ่งเสมอไป แต่เจ้าก็ต้องระวังไว้ เจ้าตะพาบเฒ่าและเจ้าลูกกระต่ายคู่นี้มีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว พวกเขาเป็นคนประเภทวันใดไม่วางแผนเล่นงานคนอื่นก็จะครั่นเนื้อครั่นตัว”

ตรงหน้าประตูเรือนเล็ก ชุยตงซานที่ตรงหน้าผากยังมีรอยตราประทับสีแดงเต้นผางผรุสวาท “เหมาเสี่ยวตง ข้าผู้อาวุโสไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเจ้าหรือไปล่อลวงเมียเจ้ามากันแน่? เจ้าถึงได้ยุแยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ของพวกเราแตกร้าวเช่นนี้?!”

เหมาเสี่ยวตงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บังคับเอาแผ่นหยกที่ชุยตงซานซ่อนไว้กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง “ใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด เจ้าตามข้าและเฉินผิงอันไปทบทวนสถานการณ์หมากกระดานนี้ที่ห้องหนังสือ เรื่องราวไม่มีทางยุติลงเพียงแค่นี้แน่”

ชุยตงซานเตรียมจะแผดเสียงด่าเหมาเสี่ยวตง นาทีถัดมาคนทั้งสามก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องหนังสือเสียแล้ว

ทั้งสามคนนั่งลง

ชุยตงซานไม่ต่อปากต่อคำอีก นี่ทำให้เหมาเสี่ยวตงประหลาดใจเล็กน้อย

เหมาเสี่ยวตงเล่าเหตุการณ์การลอบฆ่าตอนที่พวกเขาไปเยือนศาลบุ๋นคร่าวๆ หนึ่งรอบ

เฉินผิงอันคอยเสริมช่องโหว่ที่อีกฝ่ายเล่าตกหล่นไปเป็นระยะ

หลังจากฟังจบ ชุยตงซานก็จ้องเป๋งมองเหมาเสี่ยวตง

เหมาเสี่ยวตงถลึงตาใส่ “ควบคุมตาสุนัขของเจ้าไว้ให้ดี”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “หยวนเกาเฟิงก็บอกคำตอบทั้งหมดแก่เจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? เพียงแต่หูตาของเจ้าเหมาเสี่ยวตงคับแคบเกินไป เทียบกับเว่ยเซี่ยนผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ หยวนเกาเฟิงอุตส่าห์หวังดี แถมยังใจกล้า ขาดก็แค่ไม่ได้บอกความจริงกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น นี่เจ้ายังฟังไม่ออกอีกหรือ? หยวนเกาเฟิงผู้นั้นด่าเจ้าว่าอย่างไรแล้วนะ ต่อรองราคา ลูกไม้สำนักการค้า ทำลายภาพลักษณ์!”

เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “มีสำนักการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย? กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอหรืออย่างไร?”

ชุยตงซานหัวเราะเสียงหยัน “แค่นั้นเสียเมื่อไหร่ มีเจ้าคนผู้หนึ่งที่ใช้สถานะของจางไต้ปรากฎตัวอยู่ในต้าสุยมานานหลายปี มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้อาวุโสใหญ่สำนักจ้งเหิงบางคน เขาเองก็มีส่วนร่วมกับการทดสอบใหญ่ที่เป็นความลับครั้งนี้ด้วย”

เหมาเสี่ยวตงกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “มีนักฆ่าสองกลุ่ม? ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันที่นัดหมายกันมานานแล้วหรอกหรือ? สามารถปิดบังอำพรางแผนการแต่ละก้าวได้อย่างแน่นหนา อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือโอกาสก็ล้วนกะได้เหมาะเหม็งแม่นยำขนาดนี้? ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่ข้ากับเฉินผิงอันออกไปเป็นเหยื่อล่อ…”

ชุยตงซานหัวเราะเหน็บแนม “จะไม่ยอมให้ในกลุ่มคนเลวมีคนฉลาดบ้างเลยหรือไง?”

อารมณ์ของเหมาเสี่ยวตงหนักอึ้ง โบกมือกล่าวว่า “ถึงคราวเจ้าแล้ว”

ชุยตงซานกระแอมอยู่สองสามทีเพื่อให้ลำคอชุ่มชื้น หันหน้ามาถามว่า “เสี่ยวตง ไม่มีชาให้ดื่มสักถ้วยเลยหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงไม่สนใจ หลับตาครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ยิ้มมองเฉินผิงอัน “รบกวนอาจารย์รับฟังความเห็นต่ำช้าจากศิษย์สักหน่อย”

เหมาเสี่ยวตงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าตะพาบน้อย! เจ้ามียางอายบ้างได้ไหม เลิกทำตัวให้คนอื่นสะอิดสะเอียนเสียที!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ชินแล้วก็ดีไปเอง”

ชุยตงซานชำเลืองตามองเหมาเสี่ยวตงอย่างลำพองใจ “ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเสี่ยวตงจากต้าหลีมาอยู่ต้าสุยจะมีพัฒนาการอย่างมาก ดูท่าอยู่กับข้านานวันเข้า พบเห็นและได้ยินจนเกิดความเคยชิน ความฉลาดเฉลียวของข้าจึงแพร่ไปสู่เจ้าไม่น้อย รู้จักเตรียมตัวย้ายขุนเขาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่ได้เปรียบด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ยังรู้จักสังหารอาจารย์ค่ายกลที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดก่อนด้วย ไม่อย่างนั้นการลอบโจมตีครั้งนี้ หากโดนโอสถทองที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารซ่อนไว้ระเบิดใส่ เจ้าคงตายไปแล้ว เจ้าเหมาเสี่ยวตงตายแล้วก็ตายไปเถอะ แต่หากอาจารย์ของข้าบาดเจ็บแม้เพียงขนเส้นเดียว ข้าจะต้องถ่มน้ำลายรดใส่ศพเจ้า…”

ผลกลับกลายเป็นว่าชุยตงซานถูกเฉินผิงอันเตะ เขากล่าวว่า “พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”

ชุยตงซานรีบประสานมือคำนับ กล่าวอย่างนอบน้อมทันทีว่า “ข้าเชื่อฟังอาจารย์”

เหมาเสี่ยวตงหลับตาลงอีกครั้ง ตาไม่เห็น จิตใจก็ไม่ขุ่นเคือง

ชุยตงซานครุ่นคิดหาคำพูดอยู่ชั่วขณะ ลุกขึ้นยืน เดินวนรอบเก้าอี้ด้วยความเคยชินพลางพูดช้าๆ ว่า “แผนการครั้งนี้แบ่งบุคคลและขอบเขตได้คร่าวๆ เป็นสี่ระดับ”

ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “ระดับแรก”

“หลานชายของไช่จิงเสินผู้ถวายการรับใช้แห่งต้าสุย คนอย่างพวกไช่เฟิงตำแหน่งขุนนางไม่สูง ทว่าเมื่อมีคนเยอะกลับสามารถก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่จากคนทั้งราชสำนัก คนเหล่านี้ฝากความหวังไว้ที่ชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ในใจชื่นชมเลื่อมใสมาดของขุนพลมากความรู้ผู้บุกเบิกแคว้น ไช่เฟิงที่เป็นคนหนึ่งในนั้นถือว่ายังดี มีบรรพบุรุษเป็นก่อกำเนิด ทะเยอทะยานสูง หมายได้ครอบครองบรรดาศักดิ์ว่า ‘เหวินเจิ้ง’ หลังจากตายไป

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือเป็นพวกโง่เง่าที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หากทำเรื่องใหญ่ได้สำเร็จจริงๆ นั่นก็ถือว่าได้เหยียบโชคดีขี้หมา หากไม่สำเร็จก็ไม่กลัวตาย ตายก็ตายไป สมกับคำว่าไม่มีเรื่องนิ่งดูดายพูดคุยเรื่องความรู้ เจออันตรายใกล้ตายพร้อมตอบแทนเจ้าเหนือหัว มีชีวิตอยู่อย่างสง่างาม ตายก็ตายอย่างเศร้าสลดระคนห้าวเหิม วางท่าราวกับว่าเรื่องของความเป็นความตายนั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง”

“ส่วนข้อที่ว่าจะทิ้งเศษซากเอาไว้หรือไม่ แล้วเศษซากที่ว่านั้นจะเละเทะแค่ไหน พวกเขาไม่สนใจ เพราะคิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้ โศกนาฎกรรมที่บอกว่าคนด้วยกันเอาคนไปขายกินเป็นอาหารซึ่งบันทึกไว้ในตำรา อ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างไกลจากพวกเขา”

“ที่ข้าเคยเห็นมาก็มีไม่น้อย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าอาจารย์เองก็น่าจะเคยเห็นมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวเหมือนกัน”

ชุยตงซานยื่นนิ้วที่สองออกมา “ระดับที่สอง”

“พวกคนอย่างกัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิว หลังจากได้รับคุณูปการก็ใช้ชีวิตอยู่ในต้าสุยอย่างสงบสุขราบรื่นมานาน นานจนมองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแค่บรรดาศักดิ์เปล่าๆ มองเมืองหลวงและราชสำนักเป็นกรงขัง กระหายอยากให้ความองอาจแกล้วกล้าของบรรพบุรุษได้เฉิดฉายบนสมรภูมิรบอีกครั้ง บวกกับภายนอกมีความสัมพันธ์กับเหล่าแม่ทัพชายแดนหลายรุ่นหลายสมัยที่กุมอำนาจแท้จริงไว้ในมืออีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งคอยช่วยประสานรับกับเหมียวเริ่นอยู่ไกลๆ”

“เถาจวิ้นรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา ซ่งซ่านรองผู้บัญชาการณ์กองพลทหารราบผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง หากพูดถึงในเรื่องของการลงมือปฏิบัติจริงแล้ว นับว่าพวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับการจัดวางกองทัพเคลื่อนกำลังพล หลังจากที่ซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลีผู้อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ‘ตายอย่างเฉียบพลัน’ เป็นโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ผ่านมาเพียงชั่วแวบเดียว จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด ทำลายสัญญาในตอนนี้ ฉวยโอกาสตอนที่คนทั้งแคว้นต้าสุยกำลังสะกดกลั้นความแค้นเคือง วางแผนทำให้ประชาชนสมหวัง อาศัยกองทัพต้าสุยที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดามาทุ่มเดิมพันดูสักตั้ง ไม่ยินดีนั่งเฉยรอความตาย รอให้ต้าหลีที่ในอนาคตจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันใช้วิธีเอาน้ำอุ่นต้มกบมาเปลี่ยนแซ่ของแคว้น จนกระทั่งกลายเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งอย่างสิ้นเชิง คนประเภทนี้คือพวกที่ได้ข้อสรุปหลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้ว เมื่อเทียบกับพวกกัวซิน เหมียวเริ่นก็ถือว่าฉลาดมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ในระดับขั้นเดียวกัน และรากฐานของแคว้นต้าสุยก็อยู่ที่คนประเภทนี้ ทั้งในราชสำนักและในชายแดนต่างก็มีอยู่ไม่น้อย นี่น่าจะพอถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมของกองกำลังแคว้นได้อย่างถูไถ”

ชุยตงซานยื่นนิ้วที่สามออกมา “ระดับที่สาม อันดับต่อมาจึงจะเป็นฮ่องเต้ต้าสุยที่น่าสงสารคนนั้น”

“คนผู้นี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุด เดิมทีเตรียมใจพร้อมรับคำด่าประณาม เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ตัดสินใจลงนามสัญญาในพันธมิตรที่หลู่เกียรติตัวเอง และยังฝากความหวังไว้ที่องค์ชายเกาเซวียน ส่งเขาไปเป็นตัวประกันที่สำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋น ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงดูแคลนสถานการณ์รุนแรงในราชสำนักเกินไป เจ้าลูกกระต่ายกลุ่มไช่เฟิงนั่นปิดบังเขาลอบสังหารเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษา หากทำสำเร็จก็จะใส่ร้ายเหมาเสี่ยวตงว่าเป็นสายลับต้าหลีที่ปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิด บอกแก่ราชสำนักต้าสุยว่าเหมาเสี่ยวตงมีเจตนาชั่วร้าย หวังจะใช้สำนักศึกษาซานหยามาขุดเอารากชะตาบุ๋นของต้าสุยไป ปีศาจบุ๋นที่มีจิตใจต่ำช้าเช่นนี้ ชาวบ้านต้าสุยทุกคน ไม่ว่าใครได้พบเห็นต้องสังหารให้ได้”

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้โต้แย้งอะไร

ปีศาจบุ๋น?

เขาเหมาเสี่ยวตงถึงขั้นรู้สึกว่ากำลังชื่นชมเขาด้วยซ้ำ

บุคคลในใต้หล้าไพศาลที่เคยถูกด่าว่าปีศาจบุ๋นตัวใหญ่ที่สุด คือใคร?

อาจารย์ของเขาและชุยฉานอย่างไรล่ะ

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าการกระทำของพวกไช่เฟิง ฮ่องเต้ต้าสุยอาจจะรู้ชัดเจนดี หรืออาจจะไม่รู้เลย ทว่าความเป็นไปได้ของข้อหลังมีมากกว่า ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยได้ใจคนเท่าใดนัก แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะพวกเขาไช่เฟิงไม่รู้ว่า ปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงตายหรือไม่ สกุลซ่งต้าหลีก็ยิ่งไม่สนใจ ทว่าฮ่องเต้ต้าสุยกลับค่อนข้างจะใส่ใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทำลายพันธมิตรขุนเขาร้อยปีนั่น นี่ก็คือจุดที่พวกไช่เฟิงคิดไม่ตก แต่พวกไช่เฟิงคงต้องคิดจะสังหารเหมาเสี่ยวตงก่อน แล้วค่อยมาจัดการกับลูกศิษย์ของต้าหลีอย่างพวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหวและหลินโส่วอี เมื่อถึงเวลานั้น ฮ่องเต้ต้าสุยที่ไม่คิดจะฉีกสัญญาย่อมต้องขัดขวาง แต่ว่า…”

เสียงหัวเราะของชุยตงซานน่าสะพรึงกลัว “ดูท่าการตายของซ่งเจิ้งฉุนจะทำให้จิตใจของฮ่องเต้ต้าสุยสั่นคลอนจริงๆ ในฐานะฮ่องเต้ คิดว่าเขายินดีถูกตำหนิจากคนทั้งราชสำนักจริงๆ หรือ? คิดว่าเขาเต็มใจจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาคนอื่น ปล่อยให้บริเวณโดยรอบของแคว้นเต็มไปด้วยกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หรือไม่ก็ทหารม้าภายใต้บัญชาการณ์ของสกุลซ่ง โดยที่สกุลเกาเกอหยางอย่างพวกเขาต้องหลบลี้หนีห่าง พยายามให้มีชีวิตอยู่รอดพ้นไปวันๆ ? เถาจวิ้นซ่งซ่านต่างก็มองเห็นโอกาส ฮ่องเต้ต้าสุยก็ไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งยังมองไกลยิ่งกว่าพวกเขาด้วย”

“คนผู้นี้นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวนั้น มองดูพวกไช่เฟิงกระทำการเหล่านี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ คงทั้งดีใจทั้งกังวลกระมัง ไม่ใช่ความผิดหวังและโกรธเคืองไปเสียทั้งหมด ดีใจก็เพราะสกุลเกาเกอหยางเลี้ยงดูผู้คนมานานหลายร้อยปี แล้วก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยินดีตายเพื่อแคว้น ยินดีตอบแทนสกุลเกาด้วยความกล้าหาญจริงๆ กังวลก็เพราะฮ่องเต้ต้าสุยไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเดิมพันชนะ หากฉีกสัญญาอย่างโจ่งแจ้งก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้สองแคว้นหวนย้อนกลับไปแก้ไข หากพ่ายแพ้ อาณาเขตของต้าสุยย่อมต้องแบกรับไฟโทสะจากราชสำนักต้าหลี”

มือข้างนั้นของชุยตงซานยกนิ้วค้างไว้สามนิ้วตลอดเวลา เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นที่ข้าพูดเกลี้ยกล่อมไม่ให้ซ่งจ่างจิ้งยกทัพมาตีต้าสุยต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย ด้วยเรื่องนี้ซ่งจ่างจิ้งยังโมโหอย่างหนัก ทะเลาะกับฮ่องเต้เสียใหญ่โต บอกว่านี่เป็นการเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัย มองชีวิตของเหล่าทหารต้าหลีที่ออกรบเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของ ครึกครื้นนักล่ะ ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งตวาดสั่งสอนฮ่องเต้เสียงดังด้วยถ้อยคำของปัญญาชน”

“ตอนนั้นฮ่องเต้ปิดบังพวกเราทุกคน อายุขัยของเขากำลังจะหมดลง ไม่ใช่สิบปี แต่เป็นสามปี น่าจะเป็นเพราะกังวลถึงผู้ฝึกตนสองคนจากสำนักโม่และสำนักหยินหยาง เกรงว่าตอนนั้นแม้แต่เจ้าตะพาบเฒ่ายังถูกปิดหูปิดตา และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฮ่องเต้ตัดสินใจถูกต้อง ผู้ฝึกตนสกุลลู่จากสำนักหยินหยางคนนั้นมีเจตนาไม่ดีจริงๆ คิดจะค่อยๆ จับเขามาทำเป็นหุ่นเชิดที่สติปัญญาถูกบดบัง หากไม่เป็นเพราะอาเหลียงทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฮ่องเต้เรา เกรงว่าสกุลซ่งต้าหลีคงกลายเป็นตัวตลกที่ใหญ่ที่สุดในแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว”

ชุยตงซานหรี่ตาลง ยื่นนิ้วที่สี่ออกมา “จากนั้นก็มาถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังซึ่งแบ่งเป็นอีกสองกลุ่ม”

“ยอดฝีมือที่แท้จริงกลุ่มนั้น ข้าเดาเอาว่ามาจากสำนักการค้าและสำนักจ้งเหิง พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่เกินความจำเป็น ไม่ได้เล่นงานเหมาเสี่ยวตง ยิ่งไม่เล่นงานอาจารย์ ไม่เล่นงานใครเลย เพียงแค่เอาผลประโยชน์มาหลอกล่อฮ่องเต้ต้าสุยตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น การเข้ามาแทนที่ต้าหลี ไม่พูดถึงเรื่องที่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีบดขยี้แผ่นดินไปครึ่งทวีปแล้ว ครึ่งของครึ่งทวีปก็มากพอจะทำให้พวกบรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยที่อยู่ใต้ดินหัวเราะจนฝาโลงปิดไม่สนิทแล้วกระมัง”

“ที่น่าสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ยอดฝีมือบนยอดเขากลุ่มนี้ แต่เป็นเจ้าคนที่ตีจ้าวซื่อลูกศิษย์สายอริยะลู่ให้สลบ ใช้สถานะของจางไต้จ้วงหยวนคนใหม่มาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนระดับชั้นของไช่เฟิง หลังจากนั้นก็ออกจากเมืองไปยามค่ำคืน ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็อยากจะขุดดินลึกลงไปสามฉื่อเพื่อควานตัวเขาออกมา แต่ทำอย่างไรก็หาตัวเขาไม่เจอ ก็เหมือนอย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ การสืบทอดของสำนักจ้งเหิงใช้แผนการครั้งนี้มาเป็นบททดสอบในด้านการนำความรู้ที่เล่าเรียนมาไปใช้จริง”

“ความมหัศจรรย์ของจางไต้ผู้นี้อยู่ตรงไหน?”

“พูดในทางกลับกัน ขอแค่ฮ่องเต้ต้าสุยถูกคนเบื้องหลังกลุ่มแรกโน้มน้าวได้สำเร็จ ลองทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่ ไม่ว่าคนในสำนักศึกษาซานหยาจะตายหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเหมาเสี่ยวตงหรือพวกเป่าผิงน้อยก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ไม่ได้แล้ว หากยังมัวลังเลใจ ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่จางไต้เจาะแผ่นฟ้าเป็นรูใหญ่จนซ่อมแซมไม่ได้ไปแล้ว ฮ่องเต้ต้าสุยก็ได้แต่เดินไปให้สุดทางอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นจางไต้ก็จะปัดก้นเดินจากไป ทว่าสถานการณ์ใหญ่ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปกลับเปลี่ยนไปเพราะเขาแล้ว”

“ผู้ฝึกตนลงมือสังหารกษัตริย์ในโลกมนุษย์อย่างพร่ำเพื่อ เป็นเหตุให้เกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นั่นคือข้อห้ามใหญ่หลวง จะต้องถูกอริยะของสำนักศึกษาจัดการ แต่การควบคุมใจคน บ่มเพาะหุ่นเชิด ไม่ก็กักบริเวณฮ่องเต้ที่มีเพียงตำแหน่งว่างเปล่า หรือใช้ศาสตร์การประคับประคองมังกร อาศัยสิ่งนี้มาพลิกเมฆกลบฝน โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อจะทำเพียงแค่บันทึกไว้ในเอกสารคดีเงียบๆ เหอะๆ ก็ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกลมปราณคนนั้นจะปีนป่ายไปได้สูงเท่าไหร่ ยิ่งสูงก็ยิ่งตกลงมาเจ็บหนัก ปีนไปได้ไม่สูงกลับกลายเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”

ชุยตงซานหุบนิ้วทั้งสี่กำเป็นหมัดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “การที่ปูพื้นมามากมายขนาดนี้ นอกจากจะช่วยไขข้อข้องใจให้เสี่ยวตงแล้ว อันที่จริงยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น”

ชุยตงซานนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อกำเนิดฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แก่นของมันอยู่ที่คำว่า ‘สอดคล้องกับมรรคา’”

“การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับอาจารย์อย่างละเอียดก็เพราะหวังว่าอาจารย์จะมองโลกใบนี้ให้ครบทุกด้านและทะลุปรุโปร่ง รู้ว่ากฎเกณฑ์การโคจรของฟ้าดินในทุกวันนี้มีกรอบมีเส้นใดบ้าง ข้อไหนห้ามไปแตะต้อง ข้อไหนสามารถทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่ เมื่อสร้างขึ้นแล้วก็จะ ‘สอดคล้องกับมรรคา’! ได้รับการยอมรับจากระบบดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาล ต่อให้อริยะของสถานศึกษาและสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อไม่ยอมรับ แต่ก็ต้องฝืนใจยอมรับ! เพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ยอม!”

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

ชุยตงซานเดินมาที่ข้างหน้าต่าง มองทัศนียภาพของภูเขาแล้วพลันหันหน้ามาคลี่ยิ้ม “อาจารย์ ข้าเองก็มีคำถามที่อยากถาม หวังว่าอาจารย์จะช่วยไขข้อข้องใจให้ศิษย์”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ยิ้มตอบ “ลองว่ามาสิ”

เหมาเสี่ยวตงมองเหมือนกำลังงีบหลับ แต่แท้จริงแล้วกลับตั้งท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ

ชุยตงซานถามว่า “หากใช้วิธีการที่ผิดไปแสวงหาผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ถูกหรือว่าไม่ถูก?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

เขาเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหลิ่วชิงเฟิงมาก่อน

ชุยตงซานถามอีก “ถ้าอย่างนั้นหากใช้วิธีการที่ผิด แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องซึ่งหาได้ยากยิ่ง ผิด หรือว่าไม่ผิด?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version