Skip to content

Sword of Coming 412

บทที่ 412 ข้าขอคิดอีกหน่อย

ในห้องหนังสือเงียบจนเข็มตกก็ยังได้ยิน

เฉินผิงอันกำลังใคร่ครวญถึงคำถามสองข้อนั้น เขาเตรียมจะจับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านในบรรจุเหล้าข้าวของตรอกเล็กขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่าไม่นานก็ปล่อยมือ

ชุยตงซานไม่ได้เร่งรัด

เหมาเสี่ยวตงใช้นิ้วถูไถไปที่ไม้บรรทัดเล่มนั้น

เฉินผิงอันกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ ข้าขอคิดอีกหน่อย”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มเจิดจ้า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ศิษย์ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง อาจารย์จะตอบหรือไม่ตอบก็ย่อมได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบอกลา ชุยตงซานบอกว่าจะพูดคุยกับเหมาเสี่ยวตงเรื่องสถานการณ์ของเมืองหลวงต้าสุยต่อจากนี้อีกสักครู่ จึงยังอยู่ต่อในห้องหนังสือ

ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปถึงหน้าประตู เขาหมุนตัวกลับมา ชี้นิ้วมาที่หน้าผากของชุยตงซาน “ยังไม่เช็ดออกอีกหรือ?”

ชุยตงซานทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง รีบยกมือขึ้นเช็ดรอยประทับสีชาดที่ได้มาจากตราประทับ พูดอย่างขัดเขินว่า “ออกไปจากสำนักศึกษาได้ระยะหนึ่งแล้ว ความสัมพันธ์กับเป่าผิงน้อยเลยห่างเหินกันเล็กน้อย อันที่จริงเมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่เป่าผิงน้อยพบข้าล้วนปรองดองสามัคคีกับข้ามาก”

เฉินผิงอันปิดประตูลง เสียงฝีเท้ากลางระเบียบค่อยๆ ขยับห่างออกไป

ชุยตงซานเดินย่องมาที่หน้าประตูห้อง เอาหูแนบประตูแล้วพลันหัวเราะเสียงดัง

เห็นเพียงว่าชุยตงซานยืดตัวขึ้นตรง ตั้งสองแขนขึ้นแล้วโบกอย่างแรงจนชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างพลิ้วไสวเป็นลูกคลื่น พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ต้องโดนด่าโดนตีแหะ”

เหมาเสี่ยวตงมองเจ้าคนที่ยิ้มจนตาหยีแล้วก็เอ่ยอย่างกังขาว่า “ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เจ้าไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ ตอนที่อยู่ต้าหลี จากคำบอกเล่าของฉีจิ้งชุนตอนที่ได้พบเจ้าในช่วงแรกๆ ฟังแล้วดูเหมือนว่าช่วงเวลานั้นเจ้าเอาจริงเอาจังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ชอบวางท่าอย่างมาก?”

ชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้นลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศสูง จากนั้นก็โน้มตัวไปด้านหน้า ทำท่าว่ายน้ำด้วยท่าลูกหมาตกน้ำ ว่ายไปว่ายมาอยู่กลางอากาศในห้องหนังสือที่เคร่งขรึมของเหมาเสี่ยวตง ปากก็พร่ำพูดไปด้วยว่า “ตอนที่ข้าถูกซิ่วไฉเฒ่าหลอกให้เข้าไปอยู่ในสำนักก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว หากจำไม่ผิด ลำพังเพียงแค่เวลาที่ข้าหนีจากแจกันสมบัติทวีปอันเป็นบ้านเกิด ท่องเที่ยวไปถึงตรอกเก่าโทรมของบ้านซิ่วไฉเฒ่าในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ใช้เวลาถึงสามปี ตลอดทางเจอแต่หลุมบ่ออุปสรรค ลำบากลำบนไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าสามปีให้หลัง ความขมขื่นหมดสิ้นแล้วความหวานชื่นก็ยังไม่มาเยือน พอฝึกตนจนประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็นว่าดันหล่นลงไปในหลุมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ต้องมีชีวิตอยู่อย่างเป็นกังวลทุกวัน กินอิ่มมื้อหนึ่งหิวมื้อหนึ่ง กังวลว่าวันไหนสองคนจะหิวตาย สภาพจิตใจจะเทียบกับข้าในเวลานี้ได้หรือ? เจ้านึกสภาพอเนจอนาถของข้ากับซิ่วไฉเฒ่าในตอนนั้นที่ต้องหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งตากแดดหน้าประตูทั้งที่ท้องร้องโครกคราก นับนิ้วคำนวณว่าวันไหนเงินที่สกุลชุยส่งมาให้จึงจะมาถึงออกหรือไม่? นึกภาพที่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาระหว่างนั่งเรือข้ามฟาก พวกเราสองคนเลยต้องขุดหาไส้เดือนไปตกปลาที่ริมลำคลอง ถึงทำให้ซิ่วไฉเฒ่ามีประโยคโด่งดังที่ทำให้เผ่าพันธ์วัวดินในใต้หล้าซาบซึ้งในพระคุณออกหรือไม่?”

“เพราะฉะนั้น ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าล้วนได้มาจากความหิวโหย นี่เรียกว่าผู้มีความสามารถทางวรรณกรรมมักมีชะตาชีวิตรันทด เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่ามีชื่อเสียงแล้วเขาเขียนบทความดีๆ ได้สักกี่มากน้อย? ส่วนที่ดีย่อมต้องมี แต่อันที่จริงไม่ว่าจะจำนวนหรือปณิธานก็ล้วนเทียบกับตอนก่อนหน้านั้นที่ยังไม่มีชื่อเสียงไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ภายหลังเขายุ่งนี่นะ ต้องเข้าร่วมกับงานโต้วาทีสามลัทธิ ร่วมงานเลี้ยงที่สถานศึกษาเชื้อเชิญ พวกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ร่ำร้องอยากจะขอให้เขาไปช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ถึงขนาดใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวหนึ่งบดขยี้ร่างทองขององค์เทพขุนเขาใหญ่องค์หนึ่งให้ปริแตก จากนั้นก็วิ่งไปที่ขอบฟ้าเพื่อทะเลาะกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ ขอร้องให้คนอื่นฟันเขาให้ตาย ไปงมถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกมาจากก้นแม่น้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลา เรื่องพวกนี้คือเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กๆ ก็ยิ่งมีมากดุจขนวัว ไปดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มกับสหายเก่าในร้านเหล้า เขียนจดหมายโต้ตอบกับคนอื่น ทะเลาะกันบนกระดาษ จะมีเวลามาเขียนบทความได้อย่างไร?”

เหมาเสี่ยวตงแค่นเสียงเย็นชา “เลิกโอ้อวดว่าตัวเองเป็นผู้มีประสบการณ์ต่อหน้าข้าสักที คนที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอย่างเจ้ายังมีหน้ามาหวนนึกถึงความทรงจำในช่วงเวลาที่ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่อีกหรือ”

ชุยตงซานลอยตัวกลางอากาศ วนอ้อมเก้าอี้ตัวที่เหมาเสี่ยวตงนั่งตัวตรงอย่างสำรวมรอบหนึ่งอย่างสบายอุรา “เสี่ยวตงเจ้านี่นะ แม้ว่าเจ้าจะหวังดี กลัวว่าข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าจะร่วมมือกันเล่นงานอาจารย์ของข้า ดังนั้นจึงแสวงหาคำว่า ‘ปิดกั้นไม่สู้ไหลรื่น’ ให้กับทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ถึงอย่างไรความรู้ของเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป ทว่าข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้า ตอนนี้ข้าชุยตงซานไม่ใช่บัณฑิตประเภทที่ปากหวานก้นเปรี้ยวอีกแล้ว เพราะเห็นแก่ความดีของเจ้าก็เลยช่วยเจ้าจัดการกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้น สิ่งปลูกสร้างในสำนักศึกษาก็ไม่เสียหายเลยสักนิด หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าที่เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษาจะทำแบบนี้ได้หรือ? สามารถทำให้ชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวไม่ต้องถูกทำลายได้ไหม?”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพ่อแม่เจ้าที่ปีนั้นให้กำเนิดคนดีมีเมตตาอย่างเจ้าสินะ?”

ชุยตงซานพลิกตัวหมุนกลับ เปลี่ยนมาเป็นท่านอนหงาย พูดอย่างขุ่นเคือง “ทะเลาะกันก็ทะเลาะกัน ด่าคนก็ด่าคน ลากเอาพ่อแม่บรรพบุรุษมาเกี่ยวข้องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน?”

เหมาเสี่ยวตงจุ๊ปากพูด “หลังจากที่เจ้าชุยตงซานทรยศต่อสำนักก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง เคยทำเรื่องชั่วร้ายอะไร เคยพูดจาสกปรกแบบใดบ้าง ในใจเจ้าเองจะไม่รู้เลยหรือ? ข้าเองก็แค่เรียนรู้จากเจ้ามาอย่างผิวเผินเท่านั้น”

ชุยตงซานพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “เสี่ยวตงเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้าเสียหน่อย จะมาเรียนรู้จากข้าทำไม? หากเจ้าเต็มใจจ่ายเงินเพื่อการเรียนรู้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะสอนเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่า บัณฑิตขโมยความรู้คนอื่นก็คือการขโมยอยู่ดี!”

เหมาเสี่ยวตงพลันลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าต่าง หัวคิ้วขมวดแน่น ร่างพุ่งวูบหายไป ชุยตงซานก็หายตัวตามไปด้วย

คนทั้งสองมายืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ของยอดเขาตงหัว เหมาเสี่ยวตงถามว่า “ข้าแค่พอจะอาศัยโชคชะตาบุ๋นของต้าสุยมาสัมผัสกับสัญญาณบางอย่างที่ล่องลอยไม่อยู่นิ่งได้อย่างเลือนราง แต่ยากที่จะลากตัวพวกเขาออกมาจริงๆ สรุปว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร? พอจะบอกชื่อแซ่ได้ไหม?”

ชุยตงซานนั่งลงบนกิ่งไม้สูง ควักหน้ากากหนังที่อาจารย์กลไกสำนักโม่ใช้วิชาลับของสำนักหยินหยางมาช่วยในการสร้างแผ่นนั้นออกมา ชื่นชอบจนแทบจะวางไม่ลง ช่างเป็นสมบัติอาคมชั้นสูงที่ผู้ฝึกตนอิสระยอมฆ่าคนเพื่อแย่งชิงมาจริงๆ หากเอาไปขายต้องได้ราคาสูงเทียมฟ้าแน่นอน สำหรับคำถามของเหมาเสี่ยวตง ชุยตงซานหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยว่า “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำอะไรที่เกินความจำเป็นดีกว่า พวกเขาไม่ได้จงใจจะเล่นงานใครเป็นพิเศษ แค่นี้ก็ถือว่าให้หน้ากันมากแล้ว เจ้าเหมาเสี่ยวตงไม่ใช่ฮ่องเต้ต้าสุยอะไรสักหน่อย ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาไม่มียศ ‘หนึ่งในเจ็ดสิบสอง’ อีกแล้ว หากไปเจอกับผู้อาวุโสใหญ่ในเมธีร้อยสำนักคนใดที่สอดคล้องกับมรรคาของ ‘ตระกูลเบื้องบน’ พวกเขากระทำการตามวัตถุประสงค์ของสายตัวเอง เจ้าทะเล่อทะล่าเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย สถานศึกษาของแผ่นดินกลางไม่มีทางช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้า ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่าจะไม่มีโศกนาฎกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะหยัน “สำนักจ้งเหิงย่อมต้องเป็นอันดับหนึ่งของ ‘ลำดับตระกูลเบื้องบน’ อยู่แล้ว แต่สำนักการค้าไม่ใช่แม้แต่หนึ่งในร้อยสำนัก หากไม่เป็นเพราะปีนั้นหลี่เซิ่งออกหน้าช่วยพูดให้ก็คงถูกสายของหย่าเซิ่งลบชื่อออกจากร้อยสำนักไปแล้วกระมัง”

ชุยตงซานพูดอย่างปลงอนิจจัง “เห็นเพียงภายนอก ไม่เห็นภายใน เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า เหตุใดหลี่เซิ่งที่แทบไม่เคยเผยโฉมถึงได้ยอมแหกกฎปรากฎกาย? เจ้าคิดว่าหลี่เซิ่งละโมบในทรัพย์สินเงินทองที่สำนักการค้ามอบให้อย่างนั้นหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงพลันเดือดดาลอย่างหนัก “ชุยตงซาน เจ้าห้ามหลู่เกียรติอริยะผู้มีคุณธรรม!”

ชุยตงซานที่น้อยครั้งจะถูกเหมาเสี่ยวตงเรียกชื่อออกมาตรงๆ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เจ้าน่ะ ในเมื่อในใจเลื่อมใสหลี่เซิ่งถึงเพียงนี้ เหตุใดปีนั้นเมื่อซิ่วไฉเฒ่าล้มลงถึงไม่เปลี่ยนสำนักไปเลยเล่า สายของหลี่เซิ่งก็เคยมาหาเจ้า เหตุใดเจ้าถึงยังต้องติดตามฉีจิ้งชุนไปต้าหลี สร้างสำนักศึกษาขึ้นมาภายใต้เปลือกตาข้า นี่ไม่ใช่ว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำร้ายกันเองหรอกหรือ ต้องลำบากแบบนั้นไปไย? เมื่อเปลี่ยนสายบุ๋น ป่านนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงก็คงกลายเป็นขอบเขตหยกดิบไปแล้ว ในยุทธภพมีเรื่องเล่าลือบอกว่า เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เจ้าไปรับหน้าที่ในสถานศึกษาหลี่จี้ แม้แต่คำพูดอย่างประโยคว่า ‘รีบไปยึดตำแหน่งนั้นในสถานศึกษาซะ วันหน้าหากอาจารย์ตกอับ จะดีจะชั่วก็ยังไปขอข้าวกินจากเจ้าได้’ ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังเอ่ยออกจากปากได้ แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมไป? ผลล่ะเป็นยังไง ตอนนี้ในลัทธิขงจื๊อ เจ้าเหมาเสี่ยวตงยังคงมียศแค่นักปราชญ์ บนเส้นทางของการฝึกตนก็ยิ่งไม่ก้าวหน้า เสียเวลาไปเปล่าๆ นับร้อยปี”

เหมาเสี่ยวตงพึมพำ “ผู้ฝึกตน ตบะสูงต่ำสำคัญนักหรือ?”

แล้วเขาก็เอ่ยตอบด้วยตัวเอง “แน่นอนว่าต้องสำคัญมาก แต่สำหรับข้าเหมาเสี่ยวตงแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกจึงไม่ยากเลยสักนิด”

ชุยตงซานสะท้อนใจ “ปัญญาอ่อน”

เหมาเสี่ยวตงสีหน้าไม่เป็นมิตร “เจ้าตะพาบน้อย เจ้าลองพูดอีกทีสิ?!”

ชุยตงซานชั่งน้ำหนักแล้วก็รู้สึกว่าหากตีกันขึ้นมาจริงๆ ตนต้องถูกเหมาเสี่ยวตงที่ยึดแผ่นหยกกลับคืนไปแล้วกดลงพื้นแล้วซ้อมอย่างหนักหน่วง ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ค่อนข้างจะพันธนาการสมบัติอาคมและค่ายกลของผู้ฝึกลมปราณซะด้วยสิ

ดังนั้นชุยตงซานจึงหัวเราะคิกคักพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าทูตต้าหลีที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนของต้าสุยครั้งนี้จะไม่มีอุบายอยู่เลย?”

เหมาเสี่ยวตงถาม “หมายความว่าไง?”

ชุยตงซานควักพัดพับเล่มหนึ่งที่ไม่ว่าจะหน้าตรงหรือหน้าหลังก็ล้วนเต็มไปด้วยตัวอักษรออกมาพัดโบกลมเย็นเบาๆ “ทำลายความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของสกุลเกาเกอหยาง สอนให้ต้าสุยรู้จักรักษาสัญญาพันธมิตร ยอมทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองร้อยปีแต่โดยดี”

เหมาเสี่ยวตงกล่าวอย่างกังขา “คนเบื้องหลังที่วางแผนครั้งนี้ หากมีภูมิหลังยิ่งใหญ่อย่างที่เจ้าพูดจริง พวกเขาจะเต็มใจนั่งลงพูดคุยกันดีๆ งั้นหรือ? ต่อให้เป็นเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีปอย่างเซี่ยสือก็ยังไม่แน่ว่าจะมีน้ำหนักขนาดนี้กระมัง?”

แต่ไม่นานเหมาเสี่ยวตงก็พยักหน้าอยู่กับตัวเอง “จอมยุทธสวี่รั่วสามารถโน้มน้าวให้สายหลักสำนักโม่ไม่ถือสาหาความเรื่องที่สายรองของเขาทำลงไปในอดีต อีกทั้งยังยอมทุ่มเดิมพันทั้งหมดลงที่ต้าหลี สวี่รั่วผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

ชุยตงซานโบกพัดรัวๆ ดังพั่บๆๆ “เสี่ยวตง ข้าไม่ได้แกล้งชมเจ้าจริงๆ นะ ตอนนี้เจ้ายิ่งฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อยู่กับข้านานวันเข้าก็สมกับคำว่าอยู่ในห้องที่มีกลิ่นกล้วยไม้นานวัน กลิ่นกล้วยไม้นั้นก็หอมติดตัวจริงๆ”

เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามองชุยตงซาน เขียนสี่คำใหญ่ลงบนพัดพับด้านหนึ่งของเขาว่า ‘ใช้คุณธรรมสยบคน’

ชุยตงซานเหล่ตามองเหมาเสี่ยวตง “ไม่ยินยอมงั้นรึ?”

เหมาเสี่ยวตงยิ้มตาหยี “หากไม่ยินยอมจะทำอย่างไร? ไหนลองพูดให้ข้าฟังสิ?”

ชุยตงซานบิดนิ้ว พลิกพัดพับหมุนกลับด้านมา เขียนลงไปอีกสี่คำ น่าจะเป็นคำตอบของเขาแล้ว เหมาเสี่ยวตงมองแล้วก็คลี่ยิ้ม “ไม่ยินยอมก็ตีให้ตาย”

เหมาเสี่ยวตงสะบัดแขนเสื้อโบกเจ้าตะพาบน้อยชุยตงซานให้หล่นจากกิ่งไม้บนยอดเขาร่วงดิ่งลงไปกระแทกทะเลสาบที่อยู่ตรงกึ่งกลางภูเขา

เห็นเพียงว่าชุยตงซานที่จงใจไม่หลบเลี่ยงฝ่ามือนั้นไม่ได้กระแทกลงไปในน้ำทะเลสาบ อาภรณ์สีขาวของเขากลิ้งหลุนๆ ไม่หยุด วาดเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่า ยิ่งนานก็ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที สุดท้ายพื้นผิวทะเลสาบทั้งแห่งก็เปลี่ยนมาเป็นภาพสีหิมะขาวโพลนเหมือนมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมาแล้วทับถมกันอยู่บนทะเลสาบ

ชุยตงซานพลิ้วกายออกจากผิวน้ำมายืนอยู่ริมขอบของทะเลสาบ ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามที่แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่กลับเหมือนภาพหลังหิมะตกในฤดูหนาวด้วยอารมณ์เบิกบาน พยักหน้าพลางพูดกับตัวเองว่า “ทำได้ดี! ข้ายอมแล้ว!”

เฉินผิงอันเดินกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน

จูเหลี่ยนทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากกลิ่นเลือดจางๆ ที่โชยออกมาจากร่างแล้ว ใบหน้าจูเหลี่ยนก็ยังคงมีรอยยิ้มแต้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เขานั่งอยู่บนขั้นบันได กำลังเล่าให้เด็กแก่นแก้วสองคนอย่างหลี่ไหวกับเผยเฉียนฟังว่าศึกใหญ่เมื่อครู่นี้น่าประหวั่นพรั่นพรึง และเขาต่อสู้อย่างห้าวเหิมแค่ไหน

หลินโส่วอีพยายามทำจิตวิญญาณและลมปราณให้สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตลอดเวลา นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา เพียงแต่ว่าการเข้าออกแม่น้ำแห่งกาลเวลาสองสามครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนทุกคนแล้ว ขอแค่ไม่ทิ้งต้นตอโรคร้ายเอาไว้ก็ล้วนถือว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองในอนาคตอีกด้วย

เซี่ยเซี่ยสีหน้าซีดขาว ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ที่มากกว่านั้นคือจิตวิญญาณที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไปตามฟ้าดินขนาดเล็กและแม่น้ำแห่งกาลเวลา แต่นางกลับไม่ได้นั่งรักษาบาดแผลอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แต่มานั่งอยู่ห่างจากเผยเฉียนไม่ไกล สายตาคอยเหลือบมองไปทางประตูของเรือนเล็กอยู่เป็นระยะ

สือโหรวถูกอวี๋ลู่แงะออกมาจากพื้นที่ปริแตก นอนราบอยู่บนระเบียง นางฟื้นคืนสติแล้ว เพียงแต่ว่าในท้องมีกระบี่บินหลีหว่อของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ‘อาศัย’ อยู่ เวลานี้มันกำลังพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำให้หน้าท้องของนางเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้น ได้แต่รอคอยให้ชุยตงานกลับมาช่วยนางออกไปจากห้วงมรรณพแห่งความทุกข์ทรมานนี้

หลี่เป่าผิงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ‘ตู้เม่า’ ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เผยเฉียนบอกว่าข้าควรเรียกเจ้าว่าพี่หญิงสือโหรว ทำไมล่ะ?”

สือโหรวกำลังจะพูด หลี่เป่าผิงกลับพูดขึ้นอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นดีเสียก่อน “รอให้กระบี่บินในท้องของเจ้าวิ่งออกมาก่อนแล้วพวกเราค่อยคุยกันดีกว่า”

สือโหรวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน

อวี๋ลู่กำลังถือไม้กวาดปัดกวาดลานบ้าน มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขาก็ทำแผลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก

ตอนที่มาถึงก็เห็นว่ากวางขาวที่เป็นของจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าถูกคนที่อยู่เบื้องหลังร่ายเวทลับใส่จึงยังคงนอนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

เฉินผิงอันไม่กล้าขยับมันส่งเดช ได้แต่รอให้ชุยตงซานมาจัดการ

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอวี๋ลู่ ยกมือขึ้น เป็นมือข้างที่เลือดเปรอะเลอะอาบมือเพราะก่อนหน้านี้จับด้ามกระบี่ของเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง เขาทายาสมุนไพรห้ามเลือดที่เก็บมาจากป่าเขาและยากำเนิดเนื้อของตระกูลเซียนบนภูเขา ทำแผลให้ตัวเองอย่างเคยชินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังยกมือข้างนั้นโบกให้อวี๋ลู่ ยิ้มกล่าวว่า “พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก?”

อวี๋ลู่ยิ้มถาม “เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “พูดออกไปแล้วก็น่าอาย อย่าให้ข้าเล่าดีกว่า”

เฉินผิงอันหันไปมองพวกหลี่เป่าผิงและเผยเฉียน “เล่นของพวกเจ้าต่อไปเถอะ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว อาศัยอยู่บ้านคนอื่น จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นกันเองเกินไปนัก”

หลี่ไหวกล่าว “เฉินผิงอัน เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น ชุยตงซานสนิทกับข้ามาก เพื่อนของข้าหลี่ไหวก็คือเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอัน เพื่อนของเจ้าก็คือเพื่อนของเผยเฉียน ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน ต้องทำตัวเป็นกันเองสิถึงจะถูก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหตุผลบิดเบี้ยวของเจ้า เอาไปไว้พูดกับคนอื่นเถอะ”

หลี่ไหวหันขวับไปพูดกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคิดว่าเหตุผลของข้ามีเหตุผลหรือไม่?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “อาจารย์พูดถูกแล้ว เหตุผลบิดเบี้ยว!”

หลี่ไหวเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก “เผยเฉียน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ คุณธรรมในยุทธภพล่ะ พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะออกไปท่องยุทธภพ ขุดหาสมบัติไปทั่วสารทิศด้วยกัน? นี่พวกเรายังไม่ทันเริ่มท่องยุทธภพไปหาเงินก้อนใหญ่ใส่กระเป๋าก็จะวงแตกแล้วหรือ?”

เผยเฉียนหัวเราะร่า “กินข้าวแยกวงแล้ว หลังจากนั้นพวกเราค่อยมารวมกลุ่มกันใหม่”

หลี่ไหวลูบคลำปลายคาง “ฟังเหมือนจะมีเหตุผลอยู่มาก”

เฉินผิงอันเดินไปนั่งลงข้างกายหลินโส่วอี ถามเบาๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินโส่วอีถอนหายใจ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เทพเซียนตีกัน มดตัวน้อยก็เดือดร้อน”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก

หลินโส่วอียิ้มบางๆ “เดี๋ยวถ้าชุยตงซานกลับมา เจ้าช่วยบอกกับเขาทีว่า วันหน้าข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ จำไว้ว่าเลือกใช้คำดีๆ หน่อย เอาให้ฟังดูเหมือนเป็นความต้องการของเจ้า ชุยตงซานไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์ ข้าจะได้มาที่นี่ได้”

เฉินผิงอันข่มกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรเซี่ยเซี่ยก็ยังอยู่ตรงนี้ เขาจึงไม่ได้บอกความจริงว่าเป็นชุยตงซานที่เชื้อเชิญให้หลินโส่วอีมาฝึกตนที่นี่ เพียงพูดว่า “เจ้าพูดเองก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

หลินโส่วอีกดเสียงให้เบาลง “ติดค้างน้ำใจของเขาชุยตงซาน ไม่ช้าก็เร็วต้องใช้คืน แถมต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองด้วย ไม่สู้ติดค้างน้ำใจเจ้า ต้องใช้คืนเหมือนกัน แต่จะดีจะชั่วข้าก็ยังสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “อย่างเจ้านี่เรียกว่ารังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่งไหม?”

หลินโส่วอีส่ายหน้า “อย่างข้านี้เรียกว่ารังแกคนดี ไม่รังแกคนเลว”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้าข้าวหมักหวานหอมที่อยู่ข้างใน

หลินโส่วอีถาม “หอเก็บตำราของสำนักศึกษาไม่เลวเลย ข้าค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากนี้ถ้าเจ้าอยากไปหาตำราที่นั่น ข้าช่วยนำทางให้ได้”

เฉินผิงอันกล่าว “คงไม่น่าจะไปหรอก รับเอาความรู้มากมายขนาดนั้นไม่ไหว”

หลินโส่วอีหัวเราะอย่างฉุนๆ “อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยแสร้งทำเป็นพยักหน้าตอบรับ ให้ข้าได้คืนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แก่เจ้าก่อนไม่ได้หรือไง เหตุใดถึงไม่เข้าใจหลักการใช้ชีวิตอยู่ในโลกบ้างเลย?”

เฉินผิงอันกระแอมไอ เช็ดมุมปากแล้วหันหน้ามาพูด “หลินโส่วอี เจ้าเข้ามาในสำนักศึกษาซานหยาปลอม แล้วก็เรียนตำราอริยะปราชญ์ปลอมมาหลายปีด้วยใช่ไหม?”

หลินโส่วอีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เผยเฉียนใช้ศอกกระทุ้งหลี่ไหว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ข้าสนิทกับหลินโส่วอีขนาดนี้เลยหรือ?”

หลี่ไหวไม่เงยหน้า เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดท่าทางให้กับหุ่นไม้หลากสี ปากก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เปล่าสักหน่อย เฉินผิงอันสนิทกับข้าที่สุดอยู่คนเดียว กับคนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่”

หลี่เป่าผิงมาหยุดอยู่ด้านหลังหลี่ไหวเงียบๆ แล้วยกเท้าถีบหลี่ไหวหน้าคว่ำลงกับพื้น

หลี่ไหวลุกขึ้นนั่ง พูดหน้าตาบูดบึ้ง “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังทำแบบนี้อีก ข้าจะจับมือพาเผยเฉียนไปก่อตั้งพรรคเป็นของตัวเองแล้ว จะไม่ยอมรับผู้นำแห่งยุทธจักรอย่างเจ้าอีก!”

หลี่เป่าผิงเบ้ปาก ทำสีหน้าดูแคลน

ตอนนี้หลี่ไหวกับเผยเฉียนนั้น ฝ่ายแรกได้ตำแหน่งเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักสาขาย่อยภูเขาตงหัวภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน เพียงแต่ว่าเคยถูกไล่ออกจากตำแหน่งมาก่อน ภายหลังเฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษา บวกกับที่หลี่ไหวดึงดันทำหน้าหนา รับประกันว่าคราวหน้าผลคะแนนการบ้านของตนจะไม่เป็นอันดับสุดท้ายอีกแล้ว หลี่เป่าผิงถึงได้แสดงความเมตตา ยอมคืนสถานะในยุทธจักรให้แก่หลี่ไหว

ส่วนเผยเฉียนนั้น หลี่เป่าผิงบอกว่าต้องแยกเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมออกจากกันอย่างชัดเจน ประสบการณ์ของเผยเฉียนยังน้อยเกินไป ได้แต่เป็นลูกศิษย์ผู้ได้รับการบันทึกชื่อในนามของเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักในระดับล่างสุดเท่านั้น เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้ว หลี่ไหวก็ยิ่งรู้สึกว่าดี มีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าองค์หญิงที่ระหกระเหินอยู่ในหมู่ชาวบ้านอย่างเผยเฉียนหนึ่งระดับ เป็นเหตุให้หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนต่างก็กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อภายใต้การปกครองของหลี่เป่าผิงผู้นำแห่งยุทธจักรไปด้วย แต่เพื่อนร่วมห้องสองคนนี้ของหลี่ไหวคือปราชญ์ดื่มสุราที่ไม่ได้หวังเสพรสชาติของสุรา หลิวกวานจอมเจ้าเล่ห์มารวมกลุ่มเพราะสถานะเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์ขององค์หญิงอย่างเผยเฉียน ส่วนหม่าเหลียนที่มาจากตระกูลระดับชั้นสูงสุดของต้าสุยแค่เห็นหลี่เป่าผิงก็หน้าแดง แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่เป็นคำ

ชุยตงซานเดินอาดๆ เข้ามาในลานบ้าน ในมือกระชากขาข้างหนึ่งของกวางขาวที่น่าสงสารตัวนั้นเอามาโยนลงกลางลานบ้านด้วย

ดูเหมือนว่าชุยตงซานจะช่วยคลายตราผนึกให้กับกวางขาวแล้ว มันจึงกลับคืนมาเป็นสัตว์เทพที่มีสติปัญญาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าจิงชี่เสินยังไม่ฟื้นกลับคืน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเล็กน้อย มันกลิ้งไถลอยู่ในลานบ้านช่วงระยะทางหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไปด้วย

ไม่มีภาพความงดงามของเสียงกวางร้องอันไพเราะอย่างที่บันทึกไว้ในตำราแม้แต่น้อย

หลี่ไหวเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ “นี่ก็คือกวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์จ้าวท่านนั้น? ชุยตงซานเจ้าไปขโมยมาได้อย่างไร? ข้าวแยกวงของข้ากับเผยเฉียนคืนนี้จะให้กินเจ้านี่หรือ? ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”

เผยเฉียนเกือบจะน้ำลายไหล นางรีบยกมือเช็ดมุมปากแล้วหันไปขยิบตาให้หลี่ไหว

หลี่ไหวกระแอมอยู่สองสามที “กินเนื้อกวางย่างก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ข้ายังไม่เคยกินมาก่อนเลย”

หลี่ไหวหันไปตะโกนพูดกับเฉินผิงอันเสียงดัง “เฉินผิงอัน เจ้าพกน้ำมันกับเกลือมาด้วยใช่ไหม?!”

เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “กินเนื้อกวาง? เจ้าอยากกินไม้บรรทัดหรือไม้เรียวจากอาจารย์ของสำนักศึกษาทั้งปีบ้างหรือไม่?”

หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ “ชุยตงซานเป็นคนขโมย พ่อครัวผู้เฒ่าเป็นคนฆ่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นคนย่าง ข้าก็แค่ห้ามความอยากกินไว้ไม่อยู่ แล้วยังถูกหลินโส่วอียุแยงอีก ก็เลยกินไปสองสามคำ นี่ก็ผิดด้วยหรือ?”

ชุยตงซานพลันร้องเอ๊ะขึ้นมา เขานั่งยองลงบนพื้น มองกวางขาวตัวนั้นถึงสังเกตเห็นว่ามันกำลังจ้องหลี่ไหวอยู่

หลี่ไหวก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน เขารู้สึกว่าสายตาของกวางขาวเหมือนคนที่มีชีวิตเกินไปแล้ว จึงอดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้

กวางขาวโงนเงนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าหาหลี่ไหวช้าๆ

ทำเอาหลี่ไหวตกใจจนฉี่ราด เขาหันตัวกลับ ใช้ทั้งมือทั้งเท้าตะเกียกตะกายพุ่งไปที่ห้องหลักอย่างรวดเร็ว

กวางขาวกระโดดเบาๆ หนึ่งทีก็ไปอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แล้วตามหลี่ไหวเข้าไปในห้อง

เฉินผิงอันมองชุยตงซานด้วยสายตาเคลือบแคลง

ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง นี่คือโชคดีขี้หมาที่เจ้าเด็กหลี่ไหวผู้นี้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่งอยู่ในบ้านก็มีเรื่องดีๆ หล่นจากฟ้ามาใส่หัว กวางขาวที่มีสติปัญญาตัวนี้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหลี่ไหว รอให้ต้าสุยเจอตัวจ้าวซื่อแล้ว ข้าค่อยพูดเรื่องนี้กับเจ้าหมอนั่นให้ชัดเจน เชื่อว่าหลังจากนี้สำนักศึกษาซานหยาต้องมีกวางขาวเพิ่มมาอีกตัวแน่นอน”

เฉินผิงอันคลึงขมับ

ไม่เสียแรงที่เป็นหลี่ไหว

ครู่หนึ่งต่อมาหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนกวางขาวก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาจากห้อง พูดโอ้อวดกับหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนว่า “สง่างามน่าเกรงขามหรือไม่?”

หลี่เป่าผิงคร้านจะสนใจเขา เดินไปนั่งข้างกายอาจารย์อาน้อย

เผยเฉียนพยักหน้ารับ รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเฉินผิงอัน พูดอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีลาน้อยกับเขาสักตัวล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ข้าจะช่วยดูให้เจ้าว่ามีลาตัวไหนที่เหมาะสมหรือไม่”

เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง

ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสือโหรว สือโหรวลุกขึ้นมานั่งพิงผนังของระเบียงแล้ว เพียงแต่คิดจะลุกขึ้นยืนยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชุยตงซาน นางหวาดกลัวอย่างมาก ถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้าสบตากับชุยตงซาน

ชุยตงซานนั่งยองลงแล้วขยับตัวหันแผ่นหลังเข้าหาเฉินผิงอันพอดี

ปากก็เอ่ยคำพูดปลอบใจ แต่กลับทำท่าทางบางอย่างที่ทำให้สือโหรวรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย อีกทั้งยังเปิดปากบอกใครไม่ได้

สือโหรวค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว นางได้แต่มองใบหน้าน่าสะพรึงกลัวที่ค่อยๆ ผุดรอยยิ้มเย็นชาของชุยตงซาน

โชคดีที่เฉินผิงอันพูดประโยคหนึ่งซึ่งเมื่อดังเข้าหูสือโหรวแล้วก็ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ “เก็บกระบี่ก็เก็บกระบี่ อย่าเล่นตุกติกอะไร”

ชุยตงซานยู่หน้า ร้องเฮ้อหนึ่งที

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ตรงนั้นดื่มเหล้าช้าๆ มองเรือนหลังเล็กที่ค่อนข้างแออัด เมื่อเทียบกับปีนั้นที่เดินทางมาขอศึกษาต่อในต้าสุย คราวนี้มีจูเหลี่ยนและเผยเฉียนเพิ่มขึ้นมา และยังมีสือโหรวอีกคน แต่ขาดมือกระบี่ที่สวมงอบห้อยดาบคนนั้น

เฉินผิงอันเก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายลง พลันหันไปมองแผ่นหลังของชุยตงซานแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอคิดดูอีกสักหน่อย”

ชุยตงซานกำลังตั้งใจกำราบกระบี่บินหลีหว่อที่เริ่มหลบซ้ายหลบขวาอยู่ในคราบร่างเทพเซียน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version