Skip to content

Sword of Coming 414

บทที่ 414 หล่อหลอม

คนหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างทะเลสาบ มองออกว่าสกุลเกาเกอหยางทุ่มเทแรงกายแรงใจและทรัพย์สินไปเพื่อสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่น้อย และสถานที่ตั้งแห่งเดิมของสำนักศึกษาซานหยาในต้าหลีก็กำลังจะกลายเป็นที่ตั้งศาลบุ๋นแห่งใหม่ประจำเมืองหลวงต้าหลี

คนหนุ่มหันหน้ากลับมาก็เห็นเงาร่างที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า แปลกหน้าก็เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ส่วนสูงหรือการแต่งกายของคนผู้นั้นล้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก และที่ยังรู้สึกคุ้นเคยก็เพราะดวงตาคู่นั้นของเขา ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่คนทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน คนหนึ่งคือบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ตกเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งเมือง อีกคนหนึ่งคือเด็กบ้านนอกโดดเดี่ยวยากจน ต่างคนต่างกลายมาเป็นซ่งมู่องค์ชายของต้าหลี ส่วนอีกคนหนึ่งก็กลายมาเป็นบัณฑิตที่เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำนับพันนับหมื่นลี้ของสองทวีป? กลายมาเป็นจอมยุทธพเนจร? กลายมาเป็นมือกระบี่?

พบหน้ากันเฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันที “ได้ยินเจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าพวกเจ้ามาที่สำนักศึกษา ข้าก็เลยมาพบเจ้า”

ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ว่ากันว่าเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่สะพายไว้ด้านหลังคือของขวัญที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าชดใช้ให้ ส่วนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็คือของรางวัลที่ได้มาจากการซื้อภูเขาใหญ่หลายลูกในปีนั้น คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เว่ยป้อทวยเทพขุนเขาเหนือตั้งใจเลือกสรรมาให้เฉินผิงอันโดยเฉพาะ ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ตอนที่พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน มักจะรู้สึกว่าพวกคนที่อยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่มีเงินมีอำนาจ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้มาย้อนนึกดู ยังคงเป็นคนจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาอย่างพวกเราต่างหากที่ได้ดิบได้ดีมากกว่า ตรอกซิ่งฮวาอาศัยหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่เป็นผู้ประคับประคอง ย้อนมามองตรอกหนีผิงของพวกเรา เจ้า ข้า จื้อกุย และยังมีเจ้าเด็กขี้มูกยืด ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกสิบกว่าปี คนนอกจะมองตรอกหนีผิงที่ตอนนั้นแม้แต่หมาก็ยังไม่อยากมาขี้ของพวกเราเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หรือไม่?”

เฉินผิงอันกำลังจะขยับปากพูด

ซ่งจี๋ซินกลับโบกมือ “จะดีจะชั่วก็ฟังข้าพูดให้จบก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยไม่รู้จักพูดของเจ้าเฉินผิงอัน ข้ากลัวว่าการพบกันในต่างถิ่นที่หาได้ยากระหว่างพวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปด้วยความไม่สบอารมณ์”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินพลางคุยกันไปด้วย”

คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงบริมทะเลสาบซึ่งสองข้างทางคือต้นหลิ่วและต้นหยาง

ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “เจ้าออกจากบ้านมาคราวนี้ เดินทางมาไกลมากจริงๆ แล้วก็นานมากด้วย เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลานี้เมืองเล็กมีสภาพเป็นอย่างไรกระมัง? นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านพอจะรู้ประวัติความเป็นมาของถ้ำสวรรค์หลีจูคร่าวๆ อีกทั้งยังเปิดประตูรับคนนอก ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินที่อยู่อาศัยบนถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ หรือพื้นที่ยากจนเต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาอย่างตรอกฉีหลง ตรอกซิ่งฮวา แต่ละบ้านล้วนพากันคว่ำกล่องเทตู้ ค้นหาสมบัติของบรรพบุรุษแล้วก็วัตถุทั้งหมดที่พอจะมีอายุออกมาอย่างระมัดระวัง ชามกระเบื้องที่เอาไว้กินข้าว รางหินที่เอาไว้ใส่อาหารเลี้ยงหมู อ่างใบใหญ่ที่ไว้ดองผัก กระจกทองแดงที่ปลดลงมาจากผนัง ล้วนให้ความสำคัญทั้งหมด แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เพราะยังมีคนมากมายเริ่มขึ้นเขาลงห้วย โดยเฉพาะลำคลองหลงซวีที่มีคนแออัดอยู่เกือบครึ่งปีก็เพื่อไปเก็บก้อนหิน แม้แต่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องก็ไม่เว้น ล้วนเต็มไปด้วยคนที่มาตามหาสมบัติ จากนั้นก็ไปขอให้คนที่ร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวช่วยดูให้ แล้วก็มีคนไม่น้อยที่กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ เงินทองที่เมื่อก่อนเป็นของมีค่าจะนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้หากคิดจะแข่งกันเรื่องทรัพย์สินก็ต้องนับกันแล้วว่าในกระเป๋ามีเงินเทพเซียนอยู่มากน้อยเท่าไหร่”

เฉินผิงอันถาม “ไร่นาล้วนรกร้างหมดแล้วกระมัง? เตาเผามังกรที่เผาเครื่องปั้นก็คงหยุดกิจการกันไปไม่น้อย?”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ใครจะยังสนใจรายได้น้อยนิดพวกนี้อีก”

เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ก็คือความรู้สึกของคนทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นเขาเฉินผิงอันที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ และตอนนี้ยังอยู่ในตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู เป็นช่างปั้นธรรมดาคนหนึ่ง ยามขึ้นเขาลงห้วยก็มีแต่จะขยันหมั่นเพียรมากกว่าใคร สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คงจะเป็นข้อที่ว่าเขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ หากเป็นเจ้าของไร่นาก็คงตัดใจทิ้งไม่ใยดีพวกมันไม่ลง หากเป็นช่างปั้นจริงๆ ก็คงไม่มีทางทิ้งฝีมือของตัวเอง

ปีนั้นเพราะได้ลู่เฉินเอ่ยเตือน เฉินผิงอันฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเอามาแลกเป็นเงิน คืนนั้นจึงไปที่ลำคลองหลงซวี แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ค้นหาหินดีงูที่ปราณวิญญาณยังไม่สลายหายไปสิ้น นั่นเรียกว่าวิ่งวุ่นหัวหมุนและลืมกินลืมนอนอย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่าครั้งนั้นเฉินผิงอันเก็บๆ พลิกๆ อยู่นาน แทบอยากจะค้นหาให้ทั่วลำคลองหลงซวี แน่นอนว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วหม่าขู่เสวียนลงน้ำแค่ครั้งเดียวก็เจอหินดีงูที่มีค่ามากที่สุด ตอนที่หยิบออกมาจากน้ำ หินก้อนนั้นก็ปานประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นบนนภา

ซ่งจี๋ซินหยุดเดิน “เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ถึงขั้นเกลียด ก็แค่อยากจะอยู่ห่างๆ เจ้าเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างสงสัย “เหนียงเนียงท่านนั้นถึงขั้นส่งคนไปสังหารเจ้า เจ้าก็ยังไม่เกลียดข้าหรือ?”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเป็นคนโน้มน้าวให้นางส่งคนมาสังหารข้าหรือ?”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก คำว่าความผูกพันแม่ลูกนั้น หลังจากที่ข้าเปลี่ยนชื่อบนเอกสารของฝ่ายพลเรือนในพระองค์เป็นซ่งมู่ ความผูกพันที่ว่านี้ย่อมมีอยู่ แต่ความใกล้ชิดห่างเหินนั้นมีความต่าง ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องราวในบ้านของกษัตริย์นั้น แม้จะค่อนข้างใหญ่ แต่ในด้านคุณลักษณะกลับไม่ได้แตกต่างจากของพวกเพื่อนบ้านเรือนเคียงในอดีตสักเท่าไหร่ ครอบครัวหนึ่งขอแค่มีบุตรชายบุตรสาวมากหน่อย พ่อแม่ก็มักจะต้องลำเอียงเสมอ”

เฉินผิงอันกล่าว “แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าค่อยไปหานาง ไม่จำเป็นต้องเกลียดแค้นเจ้าซ่งจี๋ซิน”

ซ่งจี๋ซินหักกิ่งหลิ่วมาถักทอ เฉินผิงอันพูดขึ้นเบาๆ ว่า “นางเองก็เหมือนกับราชครูชุยฉาน คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าหลี แต่ข้าไม่รู้สึกว่านี่คือทั้งหมดของต้าหลี ต้าหลีมีสำนักศึกษาซานหยาในอดีต มีความเจริญรุ่งเรืองคึกคักของเมืองหงจู๋ มีกองทหารลาดตระเวนประจำชายแดนที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ข้าไปหลบหิมะและลมหนาวที่ปล่องส่งสัญญาณ มีสำมะโนครัวที่แค่ข้าส่งยื่นตอนอยู่แคว้นชิงหลวนก็ทำให้เถ้าแก่ยิ้มแย้มต้อนรับ หรือถึงขั้นยังมีสายลับนอกสถานการณ์ของศาลาคลื่นมรกตที่นางสร้างขึ้นเองกับมือซึ่งเต็มใจเสี่ยงอันตรายนำข่าวมาส่งให้ข้าเพื่อต้าหลี ข้ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ก็คือราชวงศ์ต้าหลี”

เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับซ่งจี๋ซินต่อว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนรับรู้ วันหน้าหากยังต้องตัดสินใจปล่อยหมัดสังหารนาง ข้าสามารถทำอย่างว่องไว บุญคุณความแค้นของคนสองคน ปมที่ผูกติดระหว่างคนสองคน พยายามอย่าให้เกี่ยวพันไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ของต้าหลีจะดีกว่า”

ซ่งจี๋ซินยิ้ม “นางไม่คิดแบบนี้แน่”

เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม ถามกลับว่า “ข้ามีเหตุผลแล้ว แม้แต่กฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถหาข้อตำหนิของข้าได้ ข้ายังต้องสนด้วยหรือว่านางจะคิดอย่างไร?”

ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้ง “เจ้าอ่านตำราของสำนักนิติธรรมบางเล่มมาใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยังคงถามกลับ “หนังสือที่อาจารย์ฉีทิ้งไว้ให้เจ้า มีบางส่วนที่เจ้าทิ้งไว้ในบ้านที่เมืองเล็ก บางส่วนก็นำไปด้วย หนังสือที่นำไปด้วย เจ้าได้อ่านหรือไม่?”

ซ่งจี๋ซินถักกำไลกิ่งหลิ่วเล็กๆ เอามาคล้องไว้ที่ข้อมือแล้วแกว่งเบาๆ “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้ต่อ จึงหันมาถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวส่วนรวมแทน “เจ้ามาทำอะไรที่ต้าสุย?”

ซ่งจี๋ซินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ปีนั้นเกาเซวียนวิ่งไปหาโชควาสนาในถิ่นของพวกเรา เคยมีคนพูดว่าข้าสู้เขาไม่ได้ ข้าก็เลยจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ดูสักหน่อย”

เฉินผิงอันหัวเราะ “จะเหมือนกันได้ยังไง? เจ้ามาต้าสุยก็เพื่อโอ้อวดบารมี อย่างเกาเซวียนต่างหากที่ถึงจะเรียกว่าเขาไปในถิ่นของแคว้นศัตรูอย่างแท้จริง อีกอย่างตอนนี้เกาเซวียนก็ไปเป็นตัวประกันอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เจ้าก็จะเลียนแบบเขาด้วยหรือไง?”

ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะพรืด “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเก่งกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย รู้จักพูดจาประหลาดๆ แบบนี้แล้ว หรือว่าเจ้าเรียนรู้มาจากข้า?”

เฉินผิงอันกล่าว “เอาทองแปะหน้าตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ”

ซ่งจี๋ซินทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนไปในทะเลสาบ “มีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเจ้า ได้ไหม?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่รับปาก”

ซ่งจี๋ซินเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ทำไมล่ะ? เฉินผิงอัน เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถอะ นอกจากครั้งที่ข้าหลอกให้เจ้าไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรแล้ว เรื่องอื่นๆ เคยมีครั้งไหนที่ข้าทำผิดต่อเจ้าไหม?”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า แล้วข้าต้องชอบขี้หน้าเจ้าด้วยหรือ? ไยต้องแสร้งทำเป็นเพื่อนกันเล่า?”

ซ่งจี๋ซินนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขากุมท้องหัวเราะก๊าก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน เจ้าในเวลานี้เมื่อเทียบกับตอไม้นิสัยคร่ำครึในสมัยก่อน มองแล้วสบายตากว่ากันเยอะเลย หากเจ้ามีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นข้าย่อมต้องยอมเป็นเพื่อนเจ้าด้วยความจริงใจแน่นอน”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ซ่งจี๋ซิน อันที่จริงเจ้าเองก็รู้ดีว่าพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แค่ไม่กลายมาเป็นศัตรูกัน เจ้าและข้าก็ควรจะพอใจได้แล้ว”

ซ่งจี๋ซินปลดกำไลกิ่งหลิ่วออกมา ขว้างไปยังทะเลสาบ จากนั้นก็หยิบก้อนหินขึ้นมา พยายามจะโยนมันลงตรงกลางกำไลกิ่งหลิ่ว “ตอนนี้สภาพการณ์ของศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่วไม่ใคร่จะดี เว่ยป้อค่อนข้างจะ…อคติต่อองค์เทพภูเขาที่อยู่บนภูเขาของเจ้ามาก ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าช่วยพูดกับเว่ยป้อสักหน่อย ไม่คาดหวังให้เว่ยป้อช่วยยกระดับให้กับศาลเทพภูเขาแห่งนั้น ขอแค่ว่าวันใดวันหนึ่งจะไม่เปลี่ยนเทวรูปที่อยู่ในศาลเทพภูเขาอย่างกะทันหันก็พอ”

เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่ไม่ได้พูด

เทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็คือซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผา

ซ่งจี๋ซินมองกำไลกิ่งหลิ่วที่เริ่มลอยห่างไปไกล พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงข้ารู้ดีว่าเจ้าอยากพูดอะไร การที่เขาถูกรื้อสะพานหลังข้ามแม่นำ ถูกหวังอี้ฝู่แม่ทัพสกุลหลูผู้ปราชัยบั่นหัว นอกจากเพื่อปกปิดเรื่องวงในน่าอับอายของเชื้อพระวงศ์ที่เกี่ยวกับสะพานแบบคานแห่งนั้นแล้ว อันที่จริงยังมีใจเห็นแก่ตัวของเสด็จพ่อด้วย เพราะคงไม่มีใครยินดีให้ในใจลูกชายแท้ๆ ของตนมี ‘บิดาที่ได้มาเปล่า’ หรอกกระมัง? หวังอี้ฝู่มาพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าก่อนเขาจะตายได้ขอร้องให้หวังอี้ฝู่นำประโยคหนึ่งมาบอกแก่ข้า เขาบอกว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ อยากได้กลอนคู่ที่ข้าเขียนให้เขามาโดยตลอด เจ้าว่าขุนนางที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเช่นนี้ เขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าก็ต้องกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าจะพูดกับเว่ยป้อเอง แต่ข้าไม่มีทางขอร้องให้เว่ยป้อทำอะไร แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะไปชี้ไม้ชี้มือสั่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือด้วย ข้อนี้ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้เลย และข้าก็ยังบอกเจ้าได้อีกว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่ซ่งอวี้จางจะยืนอยู่ข้างเดียวกับแม่ของเจ้า มีฐานะเป็นเทพภูเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับคิดจะเล่นงานข้า ถึงเวลานั้นขอแค่ข้าทำได้ย่อมต้องทุบร่างทองของซ่งอวี้จางให้แหลกจนไม่มีโอกาสจะนำกลับมาประกอบเป็นเทวรูปใหม่อีกครั้ง และจะลงมืออย่างไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”

ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าบัญชีสองครั้งนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว?”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เจ้าซ่งจี๋ซินจะขอบคุณข้า”

ซ่งจี๋ซินร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วจุ๊ปากรัวๆ ลุกขึ้นยืนตบมือ “เฉินผิงอัน คำพูดและการกระทำของเจ้าในเวลานี้เหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วจริงๆ มีจิตใจเหมือนกับเทพเซียนอย่างมาก”

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของอีกฝ่าย

ซ่งจี๋ซินถามด้วยรอยยิ้ม “ได้พบเจ้าและได้ขอร้องตามที่ต้องการไปแล้ว ข้าก็กลับไปได้ด้วยความสบายใจแล้ว ใช่แล้ว จื้อกุยรอข้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักตรงตีนเขา เจ้าจะไปพบนางพร้อมกับข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”

ซ่งจี๋ซินกล่าวอีก “ตอนนี้หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในภูเขาเจินอู่ฝ่าทะลุด่านได้หลังจากปิดด่าน เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ต่างจากการที่มนุษย์ธรรมดากินของผิดสำแดงแล้วต้องถ่ายท้อง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงถูกเรียกขานว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคนที่สองแล้ว เจ้าว่าตรอกซิ่งฮวาอาศัยเขาคนเดียว ในด้านชื่อเสียงก็สามารถงัดข้อกับคนทั้งตรอกหนีผิงอย่างพวกเราได้แล้ว มันน่าโมโหหรือไม่?”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ

ซ่งจี๋ซินยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว งอนิ้วหนึ่งลงไปแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าอยากจะบอกเจ้าสองเรื่องเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าเรื่องของศาลเทพภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น แต่ตอนนี้ข้าพบว่าเห็นหน้าเจ้าแล้วก็ยังไม่ถูกชะตาอยู่ดี งั้นก็พูดแค่เรื่องเดียวแล้วกัน ตอนนี้เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดูเหมือนว่าสกุลซ่งต้าหลีของพวกเรามีแววว่าจะถูกคว่ำเรือ กองกำลังของแคว้นอื่นที่มาซื้อภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนไว้ แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นบนภูเขาเป็นจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยเห็นดีในตัวพวกเราสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำนักที่อยู่ใกล้เคียงกับภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ต่างก็มีความคิดว่าจะขายภูเขาออกไปในราคาถูก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตถูกใครกุมจุดอ่อน มีการค้าอยู่ครั้งสองครั้งที่ทำกันสำเร็จอย่างลับๆ ไปแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือหร่วนฉงที่ซื้อภูเขารวดเดียวสามลูก ซึ่งภูเขาหนึ่งในนั้นก็คือภูเขาหนิวเจี่ยวที่ร้านผ้าห่อบุญเป็นคนลงมือสร้าง หากเจ้ารีบกลับไปให้เร็วขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะแย่งชิงมาได้สักลูกสองลูก เพราะการซื้อภูเขาในตอนนี้ขอแค่มีเงินฝนธัญพืชก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันถาม “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ซ่งจี๋ซินเหลือกตาใส่ “ระหว่างที่เดินทางมาข้าเพิ่งได้ยินสวี่รั่วพูดถึง เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบวันก่อน ก่อนหน้านั้นมีใครบ้างที่ตัดใจปล่อยให้ภูเขาเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ลง? แต่ละคนแทบอยากจะย้ายทั้งสำนักมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยซ้ำ ว่ากันว่าหลายปีมานี้ภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อครึกครื้นจนหาความสงบไม่ได้ มีแต่พวกประจบสอพลอทั้งนั้น ดีที่เว่ยป้อไม่เคยปฏิเสธคนที่มาเยือน เต็มใจต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ป่านนี้คงสะอิดสะเอียนจนอาเจียนออกมาแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองดู”

ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องไปส่งข้า”

เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปส่ง”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรื่องนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม”

ซ่งจี๋ซินเดินห่างมาจากทะเลสาบ มุ่งหน้าตรงไปยังตีนเขา

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม มองส่งคนผู้นี้เดินจากไป

ซ่งจี๋ซินมาถึงหน้าประตูสำนักศึกษาแล้วก็ยิ้มพูดกับจื้อกุย “กลับกันเถอะ”

จื้อกุยถาม “คุณชายอารมณ์ไม่เลวเลย?”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ได้พบเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาได้ดิบได้ดีไม่น้อย คุณชายก็ดีใจเป็นพิเศษ”

จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที

ซ่งจี๋ซินหันกลับไปมองสำนักศึกษาแวบหนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ไม่อยากไปเดินเล่นบ้างจริงๆ หรือ? หากอยากไป คุณชายสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้”

จื้อกุยส่ายหน้า “ไม่อยาก”

ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจ “เจ้าว่าราชครูทั้งสองจะพากันไปยืนอยู่ข้างน้องชายของข้าหรือไม่?”

จื้อกุยปิดปากหัวเราะ “คุณชาย ท่านถามข้ามาหลายรอบแล้วนะ”

ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างจนใจ “ก็คุณชายไม่มั่นใจนี่นา ท่านอาก็ไม่ยอมมอบความมั่นใจนี้ให้ข้า ใต้เท้าราชครูทั้งสองท่านก็ทำตัวลึกลับยากจะหยั่งขนาดนั้น คุณชายอยู่ในเมืองไม่มีรากฐานอะไรเลย เทียบกับปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันยังอยู่ในตรอกหนีผิงก็เรียกว่าตัวเปล่าเล่าเปลือยกว่าด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วเขาก็ยังมีบ้านบรรพบุรุษอยู่หนึ่งหลัง แต่คุณชายไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ บนภูเขาล่างภูเขา นอกจากพวกคนที่เชื่อมั่นในการเดิมพันครั้งใหญ่แล้ว มีใครบ้างที่เห็นดีในตัวของคุณชายเจ้าจริงๆ ?”

จื้อกุยเอ่ยปลอบใจ “ก็ยังมีบ่าวอยู่ข้างกายคุณชายไงล่ะ”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะ ชูแขนขึ้นสูง แบฝ่ามือออก หันหลังมือให้กับแผ่นฟ้า หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง “ถึงอย่างไรคุณชายก็เป็นแค่หุ่นเชิด พวกเขาอยากจะจับวางอย่างไรก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ขนาดเฉินผิงอันยังมีวันนี้ได้ ทำไมข้าถึงจะมีพรุ่งนี้บ้างไม่ได้?”

จื้อกุยยังคงแต่งกายเป็นสาวใช้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง เครื่องประดับที่สวมใส่แค่เพิ่มความหรูหรามากขึ้นเท่านั้น เรือนกายของนางยิ่งสะโอดสะอง นางยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา ดูเหมือนว่าจะค่อนข้าง…น่าขายหน้า?”

ซ่งจี๋ซินหุบมือกลับมา กำหมัดทุบฝ่ามือ หันหน้ามาเอ่ยชื่นชมว่า “คำปลอบใจประโยคนี้ ข้าชอบฟัง!”

……

เมืองหลวงต้าสุย ในขณะที่งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนกำลังจะจัดขึ้น บรรยากาศในช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด

ไช่เฟิงขอลาหยุดกับกองโหราศาสตร์ เพียงแต่ว่าที่จวนตระกูลไช่กลับไม่มีเงาร่างของไช่เฟิง

จางไต้จ้วงหยวนคนใหม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มาปรากฏตัวในสำนักฮั่นหลินที่สูงสง่าที่สุด และเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังอบรมเหล่าผู้มีความรู้มากมายมานานมากแล้ว

ว่ากันว่าซ่งซ่านรองผู้บัญชาการกองทหารราบยังแวะไปเยี่ยมเยือนที่ว่าการกรมอาญามารอบหนึ่ง

ข่าวลือเล็กๆ มากมายแพร่สะพัดไปทั่ววงการขุนนางและหมู่ชาวบ้านของเมืองหลวง

เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาในนามอย่างเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยผู้นั้น มีวันหนึ่งมาเยือนสำนักศึกษากลางดึก ขอเข้าพบรองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงเพียงลำพัง สถานที่ที่พบปะไม่ใช่ห้องหนังสือ แต่เป็นโถงนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาอริยะลัทธิขงจื๊อสามท่าน

ครึ่งคืนหลังของคืนนั้น เหมาเสี่ยวตงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด แค่เรียกให้เฉินผิงอันออกจากสำนักศึกษาไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย เมื่อเทียบกับการเป็นสิงโตอ้าปากเขมือบในครั้งแรกแล้ว คราวนี้เหมาเสี่ยวตงนำเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ซึ่งสามารถบรรจุชะตาบุ๋นมามากกว่าที่ขอไว้ในคราวแรกเสียอีก

หลังกลับมาถึงภูเขาตงหัว เหมาเสี่ยวตงก็พาเฉินผิงอันมาที่ยอดเขา หยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา ใช้ท่วงท่าของอริยะนั่งพิทักษ์สำนักศึกษา

เฉินผิงอันหยิบวัตถุดิบวิเศษสามสิบกว่าชิ้นที่เหมาเสี่ยวตงช่วยเตรียมให้ออกมา สองชิ้นสุดท้ายที่เนิ่นนานกว่าจะมาถึง ชิ้นหนึ่งคือเขาควายพันปี ชิ้นหนึ่งคือดาบประจำกายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ของอริยะบู๊ท่านหนึ่งในศาลบู๋ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในภาคกลางแจกันสมบัติทวีป ด้านในมีปราณสังหารที่เข้มข้น เกี่ยวกับเรื่องการหลอมวัตถุดิบเหล่านี้ เหมาเสี่ยวตงไม่เคยแสร้งทำตัวสูงส่ง แต่เลือกที่จะบอกประวัติความเป็นมา ราคาและความพิเศษของวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียดมาตั้งแต่แรก

เนื่องจากการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำครั้งแรกที่นครมังกรเฒ่ามีฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดเตรียมให้ ดังนั้นครั้งนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณถึงต้องเผาผลาญเงินทองและเวลามากขนาดนั้น หากเป็นผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่คิดจะทำให้สำเร็จ นอกจากต้องอาศัยเงินทองแล้ว ยังต้องมีโชคอีกด้วย หากโชคไม่ดี ขาดวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญไป ก็จะเป็นเหตุให้การหล่อหลอมหยุดชะงักไม่เดินหน้า และบนเส้นทางของการฝึกตน ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว ความเสียหายที่มองไม่เห็นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณก็ยังร้อนใจจนแทบบ้า

หากโชคดีหน่อยก็แค่ต้องเจ็บตัว ยกตัวอย่างเช่นได้วัตถุที่เหมาะสมกับการหล่อหลอมมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็พอจะประมาณการราคาของวัตถุที่ช่วยในการหล่อหลอมคร่าวๆ เดิมทีวางแผนไว้ว่าต้องใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืช นี่คือราคาแท้จริงของวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นต้องจ่าย ทว่าต่อให้ได้เจอกับวัตถุดิบวิเศษทุกชิ้นแล้ว แต่จะทำให้มันกลายเป็นของในมือของตนได้อย่างไร? ผู้ฝึกตนอิสระตามแม่น้ำและขุนเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะแย่งชิงมา เพราะเลื่อมใสในคำว่าฆ่าคนชิงทรัพย์สวมเข็มขัดทอง (เปรียบเปรยว่าคนทำชั่วได้ดี) แล้วค่อยพูดให้ตัวเองดูดีว่าหากไม่รับของที่สวรรค์ประทานมา กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ เซียนซือในเทียบวงศ์ตระกูลมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะอาศัยการซื้อ อาศัยควันธูป ใช้เงินเทพเซียนมาซื้อขายกับคนอื่น หรือไม่ก็ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ หากไม่มีเส้นสายความสัมพันธ์ก็สามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่หาซื้อจากร้านเทพเซียนขนาดใหญ่อย่างหอหลิงจือภูเขาห้อยหัว ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียน หอชิงฝู เป็นต้น นี่ยังไม่นับเป็นอะไร สถานการณ์ที่สิ้นเปลืองเงินที่สุดก็คือวัตถุดิบวิเศษที่ต้องการเป็นผลผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในร้านเทพเซียนต่างก็มีหออภินิหารเป็นของตัวเอง พวกเขาจะบอกให้คนที่ยินดีทุ่มเงินซื้อเสนอราคามา จากนั้นก็เอาวิธีขูดเลือดขูดเนื้อของสำนักการค้ามาใช้ หากเดินมาถึงก้าวนี้ ราคาสุดท้ายในการซื้อขาย หากมากกว่าราคาประเมินการแรกเริ่มสุดของผู้ฝึกลมปราณหนึ่งเท่าตัวก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนที่ชอบปั่นราคา หากเล็งเห็นแล้วว่าคนผู้นั้นต้องการอย่างแท้จริงก็จะจงใจทำเรื่องชั่วร้ายให้คนสะอิดสะเอียน วัตถุที่เดิมทีมีราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยก็อาจถูกปั่นราคาไปถึงสามสี่เงินร้อนน้อย คนซื้อที่น่าสงสารจะซื้อหรือไม่? ไม่ซื้อ ของดีหลายอย่างมักจะไม่ได้มีมาให้พบบ่อยๆ หากถ่วงเวลาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตนให้ล่าช้า ต้องทำอย่างไรจึงจะดี?

แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างตระกูลเซียนบนภูเขาด้วยกัน โดยทั่วไปแล้วยิ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ยิ่งปัดแข้งปัดขากันรุนแรงมากขึ้น ใครเล่าจะยินดีเห็นภูเขาแห่งอื่นมีห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเซียนดินที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน? อาจไม่ถึงขั้นต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่การลอบกัดกันอย่างลับๆ ย่อมเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน

ดังนั้นหลังจากที่เหมาเสี่ยวตงรวบรวมวัตถุดิบวิเศษทั้งหมดมาได้ครบ เฉินผิงอันที่รู้สึกโล่งใจก็กลัดกลุ้มไปในเวลาเดียวกันด้วย

วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามควรจะหลอมอย่างไร?

ตามแผนการที่วางไว้แต่เดิม เวลานั้นตนน่าจะอยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้ว

หรือว่าจะต้องเปลี่ยนความคิด นำรายได้ส่วนที่เหลือจากศึกนครมังกรเฒ่าที่ต้าหลีต้องชดใช้ให้มาทุบหม้อขายเหล็ก รอหลอมวัตถุชิ้นที่สามบนภูเขาลั่วพั่วให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากดุจก้อนเมฆ?

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ ได้แต่บอกตัวเองว่าเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ไว้ค่อยกลัดกลุ้มวันพรุ่งนี้

ยังไม่ทันหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็เริ่มคิดถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามแล้ว แบบนี้ไม่เหมาะ เรื่องในวันนี้ทำให้เสร็จในวันนี้ ทำเรื่องในวันนี้ให้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบเสียก่อน นี่จึงจะเป็นการก้าวเดินบนมหามรรคาที่แท้จริง

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายลงไป กลั้นหายใจทำสมาธิ สุดท้ายหยิบเตาตู้ทองห้าสีภาชนะหลอมวัตถุที่ได้มาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวใบถงทวีปออกมา

จากนั้นก็เริ่มท่องบทการหล่อหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้อยู่ในใจหนึ่งรอบ

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ

พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

เรื่องของการฝึกตนเป็นเรื่องของใครของมัน

ต่อให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาก็ทำแค่ไขข้อข้องใจให้ไม่กี่คำ ชี้แนะไม่กี่ประโยคก็ถือว่าพอสมควรแล้ว

ยิ่งผู้ปกป้องมรรคาก็ยิ่งไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ อย่างมากสุดก็แค่พยายามรักษารากฐานมหามรรคาของคนผู้นั้นเอาไว้ หากเขาโชคร้ายล้มเหลวในการหล่อหลอม ก็แค่รักษาคำว่า ‘ขุนเขาเขียวยังคงอยู่’ ที่ผู้ปกป้องมรรคาแสวงหาไว้เท่านั้น

ด้านหน้าเฉินผิงอันวางวัตถุดิบวิเศษหลากหลายชนิดไว้จนเต็ม เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางเหมาเสี่ยวตงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “เจ้าขุนเขาเหมา อันที่จริงข้ามีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ถามมาสิ”

เฉินผิงอันถามว่า “ในเมื่อใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์เก้าทวีป แล้วทำไมถึงไม่ใช่เจ็ดร้อยยี่สิบแห่ง? เป็นเพราะศาลบุ๋นในแผ่นดินกลางทำไม่ได้ หรือเป็นเพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่เต็มใจทำเช่นนี้?”

ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าได้แต่พูดถึงความเข้าใจของตัวข้าเอง เจ้าเอาไปพิจารณาดู ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง แต่สามารถมองเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะทำให้เจ้าเข้าใจวิถีของโลกใบนี้มากขึ้น ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ตกลง!”

เหมาเสี่ยวตงถึงได้เอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเคยขอความรู้จากคนอื่นมาก่อน ตอนนี้คนทั่วไปอาจจะจำได้ไม่มากแล้ว เมื่อนานมากมาแล้ว อืม ก่อนจะเกิดศึกตรีจตุขึ้น ภายใต้คำแนะนำของบรรพบุรุษท่านหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ผู้สร้างหลักความรู้ที่มีชื่อเสียงใหญ่ในอดีต ภายใต้การสนับสนุนของสกุลหลิว รวมไปถึงภายใต้การพยักหน้าตอบรับของหย่าเซิ่ง ธวัลทวีปทางทิศเหนือจึงเคยมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตอนนั้นถูกเรียกขานว่า ‘แคว้นไร้ทุกข์’ ปรากฏขึ้น ประชากรมีประมาณสิบล้านกว่าคน ไม่มีผู้ฝึกลมปราณ ไม่มีเมธีร้อยสำนัก ไม่มีแม้แต่สามลัทธิ ผู้คนไม่ต้องกังวลกับการกินอยู่ ทุกคนเล่าเรียนหนังสือ ความรู้และหลักการทั้งหมดที่เหล่าอาจารย์ถ่ายทอดให้ล้วนเป็นแก่นของสี่ความรู้ที่ยิ่งใหญ่และของเมธีร้อยสำนัก แต่พยายามให้ไม่เกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์พื้นฐานของความรู้แต่ละสาย หลักๆ แล้วใช้ตำราของลัทธิขงจื๊อ ส่วนตำราของร้อยสำนักที่เหลือก็เป็นตัวช่วยเสริม”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็ชะลอการพูดลง

เขาพูดช้ามากและจริงจังอย่างยิ่ง

เป็นเหตุให้แม้ในเวลานี้เหมาเสี่ยวตงจะมีฐานะเป็นอริยะสำนักศึกษาก็ยังดูเปลืองแรงอย่างเห็นได้ชัด

เฉินผิงอันเปิดปากถาม “อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนก็คือวิญญูชนและนักปราชญ์ที่คัดเลือกมาจากสำนักศึกษามาอย่างตั้งใจงั้นหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว เพราะต่อให้ประสบความสำเร็จ อย่างมากสุดประเพณีนิยมของหนึ่งแคว้นก็จะเปลี่ยนเป็นของหนึ่งทวีป ทว่ากลับจะทำให้อีกแปดทวีปที่เหลือหิวตาย ใช้โชคชะตาบุ๋นของแปดทวีปมาประคับประคองความสงบสุขของหนึ่งทวีป มีความหมายที่ใด? ดังนั้นภายใต้การจับตามองของแต่ละฝ่าย สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปจึงเตรียมการลับๆ มาล่วงหน้าเกือบสี่สิบปี ไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนต้องให้ได้รับการยอมรับจากตัวแทนของเมธีร้อยสำนัก ขอแค่มีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ นี่ก็คือครั้งเดียวที่หลี่เซิ่งยอมเผยโฉมเพื่อเสนอข้อเสนอเพียงหนึ่งเดียว”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดไม่สมดังใจปรารถนา?”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเกิดศึกตรีจตุตามมาในภายหลัง”

เฉินผิงอันจมอยู่ในภวังค์ความคิด ใคร่ครวญว่าเหตุใดถึงได้ล้มเหลว

ความคิดของเขายุ่งเหยิงพัวพันกันเป็นปม

เหมาเสี่ยวตงพูดเบาๆ “นับแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปจนถึงหลี่เซิ่ง ท่านหนึ่งคือผู้บรรยายคุณธรรมเมตตาธรรม อีกท่านหนึ่งคือผู้สร้างกรอบของกฎเกณฑ์ เพราะอะไร?”

เหมาเสี่ยวตงถามเองตอบเอง “ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ข้าเองก็เคยขอความรู้จากคนผู้นั้นมาก่อนว่า ทำไมหลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งได้สร้างระบบดั้งเดิมและได้รับการยกย่องให้เป็นระบบเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลแล้ว ถึงยังยอมรับเมธีร้อยสำนักไว้ได้อีก? เหตุใดถึงไม่เหลือแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อไว้อบรมสั่งสอนปวงประชาอย่างเดียว? คำตอบของคนผู้นั้นทำให้คนหัวทึบเหมือนตอไม้อย่างข้าพลันกระจ่างแจ้ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟ้าดินก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นบอกว่าเพราะมรรคาจารย์เต๋าได้เห็นหนึ่งนั้น (หนึ่งนั้นในที่นี้มาจากภาษาจีนว่า 那个一 ‘น่าเก่ออี’ ซึ่งอีหรือหนึ่งสามารถตีความได้หลากหลาย ในเนื้อเรื่องยังไม่เฉลยว่าหนึ่งที่ว่านี้คืออะไร) จลาจลความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ปีศาจจนสิ้น ศาสดาพุทธเองก็ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคที่เป็นการทำนายบอกว่าสักวันหนึ่งยุคแห่งความเสื่อมจะมาถึง ‘กาลต่อจากนี้ ผู้บวชเป็นพระ แม้จะโกนผมโกนเครา สวมห่มจีวร แต่พวกเขากลับทำลายกฎเกณฑ์ ไม่ดำรงอยู่ในหลักธรรม’”

เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “เจ้าคิดว่าทั้งสามท่านนี้ต้องการอะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าไม่รู้

เหมาเสี่ยวตงจึงกล่าวว่า “คนผู้นั้นบอกข้าว่า เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่บางทีอาจเป็นเพราะหวังให้สรรพชีวิตบนโลกใบนี้มีอิสระเสรีที่ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง ความอิสระเสรีที่เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติมก็สามารถบรรลุถึงได้”

เหมาเสี่ยวตงถาม “เข้าใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ไม่เข้าใจ”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าไม่จำเป็นต้องซักไซ้หาคำตอบของคำถามประเภทนี้ในเวลานี้”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นห่างจากพื้นชุ่นกว่า จากนั้นก็ยกขึ้นสูงอีกสองครั้ง “ความรู้มากมายในทุกวันนี้ การรู้รากฐานและความหมายที่แท้จริงของพวกมันจำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินขึ้นสูงไปทีละก้าว ถ้าเช่นนั้นคนผู้หนึ่งไม่ว่าจะยืนอยู่สูงแค่ไหน จิตใจก็ล้วนมั่นคงได้เสมอ ไม่ต้องไปสนใจพวกวิชานอกรีตที่สะเปะสะปะยุ่งเหยิงเหล่านั้น อย่างน้อยบัณฑิตอย่างพวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนี้”

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องที่ตนพูดคุยกับเหยาจิ้นจือบนยอดเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียน เกี่ยวกับวงกลมที่จากในไปนอก จากเล็กไปใหญ่ก็พลันคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

เหมาเสี่ยวตงกลับมานั่งที่เดิม ยิ้มถามว่า “เข้าใจจริงรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจจริงๆ”

เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี มีครบทั้งสามอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มหลอมวัตถุได้แล้ว”

เฉินผิงอันหลับตาลงก่อน ครั้นจึงสูดลมหายใจเบาๆ หนึ่งที

หัวใจบุ๋นสีทองดวงหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่เบื้องหน้าเขา

เฉินผิงอันยังคงไม่รีบร้อนใช้ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์ไป ‘เปิดเตาจุดไฟ’ แต่เขากลับหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งตอนที่ตนยังอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม

วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัว ส่องไฟตามเสาคาน กิ่งไม้ท้อตีผนัง งูและแมลงไร้ที่หลบซ่อนในโลกมนุษย์…

นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดที่เฉินผิงอันออกท่องยุทธภพ

เวลานั้นเขายังไม่พบเจอใครหลายๆ คน

แต่พอเดินไปทีละก้าวก็เริ่มพบไปทีละคน

ฝึกวิชาหมัดไม่เหน็ดเหนื่อย เรียนหนังสือก็คุ้มค่ามาก

ที่แท้การยืนหยัดที่จะใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้อื่นก็ใช่ว่าจะสบายใจทุกครั้งไป แต่กลับไม่เคยทำให้เสียใจภายหลัง

ที่แท้ข้าเฉินผิงอันก็มีวันนี้ได้เหมือนกัน

ที่แท้แม่นางหนิงก็สายตาดีขนาดนี้เชียวหรือ?

เหมาเสี่ยวตงดุอย่างขุ่นเคือง “สภาพจิตใจลิงโลดเกินไปแล้ว รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”

เหมาเสี่ยวตงเกือบจะยกไม้บรรทัดฟาดออกไป พูดสั่งสอนอย่างกรุ่นโกรธว่า “ต่อให้มีแม่นางที่ชื่นชอบก็ควรจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปนึกถึง! ถึงเวลานั้นใครจะไปสนว่าเจ้าจะคิดถึงนางสักกี่ชั่วยาม จะอารมณ์ดีจนมีบุปผาผลิบานอยู่ในใจเลยหรือไม่?! ไม่รู้จักหนักจักเบาเสียเลย!”

เฉินผิงอันรีบเช็ดใบหน้าอย่างขลาดๆ เก็บรอยยิ้มลงไปแล้วเริ่มทำจิตใจให้สงบนิ่งมั่นคงอีกครั้ง

มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงโมโหอย่างมาก แต่อันที่จริงในใจกลับแอบหัวเราะ พูดกับตัวเองว่า อาจารย์ เรื่องนี้ศิษย์ทำได้ดีหรือไม่? จะขอคำชมจากอาจารย์สักคำคงไม่มากเกินไปกระมัง?

……

ขณะที่เฉินผิงอันกำลังนั่งตรงข้ามกับเหมาเสี่ยวตงอยู่บนยอดเขาภูเขาตงหัว

ในสำนักศึกษาก็มีคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่งจิ้งผู้รอบรู้ที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีและหลินโส่วอีที่ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว

เวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัดและหยุดนิ่ง เป็นลางว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลากำลังจะเผยตัว ต่งจิ้งขมวดคิ้ว มองเห็นว่าแสงสว่างทางจิตวิญญาณของหลินโส่วอีกำลังจะหยุดตามไปด้วย เขาจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นค่อนข้างกินแรงผู้รอบรู้ท่านนี้อยู่มาก

ต่งจิ้งกล่าวเสียงทุ้มหนัก “อย่าวอกแวก ทำให้เหมือนการอ่านหนังสือ เมื่อพบเจอบทความอริยะปราชญ์ที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย จิตใจสามารถจมจ่อมไปกับมัน นั่นถือเป็นความสามารถ หากดึงออกมาได้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่หนอนหนังสือไปชั่วชีวิต จะมีโอกาสขานรับกับความรู้ของอริยะปราชญ์ได้อย่างไร?!”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ

ต่งจิ้งพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ไม่ต้องรีบร้อน พยายามบุกเบิกช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกสองแห่ง การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะไม่สายไป การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเรา พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลัทธิขงจื๊อได้กลายเป็นระบบหลักดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาลแล้ว การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกฝนหาวิชาความรู้นั่นเอง หลินโส่วอี ข้าถามเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่คนมากมายบนโลกรู้จักหลักการเหตุผลในตำราหลายเล่ม แต่กลับยังคงเลอะเลือนมึนงง หรืออาจถึงขั้นไม่อาจหยัดยืนได้ตรง?”

หลินโส่วอีตอบเสียงทุ้ม “ไม่รู้รากฐานต้นตอของหลักการเหตุผลหรือความรู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าควรจะใช้หลักการเหตุผลมาอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกอย่างไร เป็นเหตุให้เมื่อได้รับคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำหนักดุจทองพันชั่งมาอยู่ในมือ แต่กลับเป็นเหมือนปุยฝ้ายที่ไม่เกาะเป็นกลุ่มก้อน เมื่อลมพัดมาก็พร้อมที่จะปลิวปรายไปตามสายลม ไม่อาจป้องกันความหนาว ถึงเวลาก็ได้แต่บ่นว่าหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผล เหลวไหลสิ้นดี”

“เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ผิดนั้นอยู่ที่ว่าหลักการความรู้มากมายของอริยะปราชญ์ เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกใช้สองมือคว้าจับไว้ได้ แต่พวกมันจะไปพักพิงอยู่มุมหนึ่งในใจเงียบๆ”

ต่งจิ้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะพูดประโยคของอริยะปราชญ์กับเจ้าแค่ประโยคเดียว พวกเรามาหาความรู้จากประโยคนี้กัน”

หลินโส่วอีนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “พร้อมฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์”

ต่งจิ้งเอ่ยถาม “อริยะเคยกล่าวไว้ว่า วิญญูชนมิใช่ภาชนะสิ่งของ จะอธิบายอย่างไร? สถานศึกษาหลี่จี้อธิบายไว้อย่างไร? สกุลเฉินผู้มากความรู้อธิบายอย่างไร? สำนักศึกษาเอ๋อหูอธิบายไว้อย่างไร? แล้วพรรคถงเฉิงในอดีตของแคว้นชิงหลวนล่ะอธิบายอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นตัวเจ้าเองจะอธิบายอย่างไร?”

หลินโส่วอีมั่นใจเต็มเปี่ยม เตรียมจะตอบคำถามที่มาเป็นชุดนี้

แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าอาจารย์ต่งหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่มีสมาธิยิ่งกว่าเขาหลินโส่วอีเสียอีก

หลินโส่วอีลังเลเล็กน้อย เห็นว่าอาจารย์ต่งไม่มีท่าทีจะถอนสายตากลับมาจึงหันหน้าตามไป

จึงได้เห็นว่ามีศีรษะหนึ่งห้อยพาดอยู่นอกหน้าต่าง

ต่งจิ้งกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ชุยตงซาน เจ้ากำลังทำอะไร?!”

ชุยตงซานทำสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าก็แค่กลัวว่าหากหลินโส่วอีถามหลักการเหตุผลที่เจ้าต่งจิ้งตอบไม่ได้ จะเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วน ก็เลยเตรียมมาช่วยเจ้าคลี่คลายสถานการณ์ไงเล่า”

ต่งจิ้งยื่นนิ้วชี้หน้า จ้องตาอีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้!”

การถ่ายทอดความรู้เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง แต่กลับต้องมาถูกเจ้าขี้หนู (เป็นคำด่า เปรียบเปรยถึงพวกมือไม้พายเอาเท้าราน้ำ) ที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องระบือไปทั้งสำนักศึกษาผู้นี้มาก่อกวนเสียได้

ชุยตงซานเอาสองมือเกาะทาบขอบหน้าต่างไว้ตลอดเวลา สองเท้าลอยพ้นจากพื้น กะพริบตาปริบๆ “หากข้าไม่ไป เจ้าจะลงไม้ลงมือกับข้าหรือ?”

ต่งจิ้งรีบสงบจิตใจ เตรียมจะใช้เหตุผลมาสยบอีกฝ่าย จากนั้นค่อยยกเอาบารมีอำนาจของเจ้าขุนเขาเหมามาข่มขู่คนผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะคลายสองมือออก และในที่สุดศีรษะนั้นก็ผลุบหายไปแล้ว

ต่งจิ้งแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา

ผลกลับกลายเป็นว่าชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้นมาหนึ่งที เอาแขนวางไว้บนขอบหน้าต่าง หัวเราะฮ่าๆ “ข้ามาอีกแล้ว”

ต่งจิ้งตวาดอย่างเดือดดาล “ชุยตงซาน เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนก่อกำเนิด กลับมาทำเรื่องแบบนี้ ว่างนักหรือไง?!”

ชุยตงซานพูดอย่างมีเหตุมีผล “ก็ข้าว่างจนใกล้จะเบื่อตายอยู่แล้วไงล่ะ ถึงได้มาหาเจ้าเพื่อชวนคุย ไม่อย่างนั้นข้าจะมาทำไมเล่า”

ต่งจิ้งลุกขึ้นยืน “ตีกันสักรอบไหม?!”

ชุยตงซานส่ายหน้า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”

ต่งจิ้งโมโหจนต้องก้าวยาวๆ ตรงไปหาอีกฝ่าย

พวกคนที่ฝึกวิชาสายฟ้า โดยเฉพาะเซียนดิน จะมีสักกี่คนที่นิสัยดี

ชุยตงซานใช้ปลายเท้าแตะบนผนังแล้วพลิ้วกายไปด้านหลัง โบกมือบอกลา

หลินโส่วอีได้แต่ยิ้มจืดชืด

ต่งจิ้งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่าชุยตงซานจากไปไกลแล้วจริงๆ เขาจึงยืนรออยู่นานมากกว่าจะย้อนกลับมานั่งที่เดิม

ชุยตงซานเองก็ไม่ได้ตอแยอีกฝ่ายต่อ เขาเดินอาดๆ ไปเยือนห้องเรียนและหอพักอีกหลายแห่ง เห็นหลี่ไหวที่กำลังงีบหลับในห้องเรียน ชุยตงซานจึงประทานมะเหงกให้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้เป็นรางวัลสองสามที เดินมานั่งบนโต๊ะเล็กตรงหน้าหญิงสาวที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยซึ่งร่างหยุดนิ่งท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา แล้วช่วยจัดทรงผมที่เขาคิดว่าเหมาะกับบุคลิกของนางมากกว่าให้กับนาง จากนั้นก็ไปเยือนหอพักแห่งหนึ่ง เห็นเด็กสาวหน้าตางดงามที่กำลังแอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ จึงหยิบพู่กันมาแต้มหมึกแล้วปาดไปบนคำบรรยายน่าขัดเขินที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดหลายจุดในหนังสือให้ดำเป็นปื้น…

เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานเบื่อมากจริงๆ

เดินเตร็ดเตร่ไปมา สุดท้ายชุยตงซานก็ชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์บนยอดเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่เรือนหลังเล็กของตัวเอง ไปนอนหลับอยู่กลางระเบียงไม้ไผ่มรกต

สือโหรวที่ ‘สวม’ ชุดคราบร่างเซียนสามารถเดินได้ตามปกติแล้ว

เซี่ยเซี่ยที่ไม่มีตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายคอยพันธนาการตบะ คิดจะเดินค่อนข้างยากลำบาก แต่แค่นั่งรับสัมผัสกับความลี้ลับของแม่น้ำแห่งกาลเวลากลับยังทำได้

อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ดีดตัวผลุงขึ้นมาในท่าปลากระโดดหงายท้อง เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันทำเอาเซี่ยเซี่ยกับสือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง

ชุยตงานพลันนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วขึ้นมาได้ คราวนั้นตอนที่อยู่หน้าประตูสำนักศึกษา นางทำท่ามือที่น่ากลัวใส่ตน

มองดูเหมือนเด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

ชุยตงซานทิ้งตัวหงายไปด้านหลังดังตุ้บ ปากก็ปล่อยเสียงหึๆ ฮ่าๆ พลางออกหมัดตามไปด้วย ก่อนจะจุ๊ปากพูดว่า “ผู้ร่วมครองยุทธภพนี่เอง มิน่าเล่าจิตใจถึงสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า”

แล้วชุยตงซานก็หลับตานอนต่อ

เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวหันหน้ามองไปทางยอดเขาภูเขาตงหัวแทบจะเวลาเดียวกัน

ไม่รู้ว่าเหตุใดกระแสน้ำแห่งกาลเวลาของทางฝั่งนั้นคล้ายจะอาบย้อมไปด้วยสีทองอร่ามที่ยิ่งใหญ่ไพศาลชั้นหนึ่ง

เพียงแต่ว่าสือโหรวกลับต้องหันขวับมาชำเลืองตามองชุยตงซานอย่างรวดเร็ว

วันนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันพูดคำว่า ‘ขอคิดดูอีกหน่อย’ นางเห็นชัดเจนว่าชุยตงซานที่หันหลังให้เฉินผิงอันน้ำตานองเต็มใบหน้า

ทั้งๆ ที่ชุยตงซานกำลังหลับ แต่เสียงดีดนิ้วกลับดังขึ้น

ในท้องของสือโหรวพลันมีเสียงเหมือนฟ้าคำราม เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยได้พบพานมาหลายร้อยปีแล้ว

ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มตาหยีพลางเอ่ยเตือน “อย่ามาปล่อยเรี่ยราดในเรือนข้า รีบไปหาห้องส้วมซะ ไม่อย่างนั้นหากข้าไม่รมควันเจ้าให้ตาย ก็จะซ้อมเจ้าให้ตาย!”

สือโหรวทั้งเจ็บแค้นและเศร้าใจ รีบวิ่งปรื๋อจากไป

ชุยตงซานกลิ้งตัวอยู่ในระเบียงไม่หยุด ปากก็พูดไปด้วยวา “เซี่ยเซี่ย เจ้าจะไปหาคุณชายที่ช่วยเจ้าเช็ดถูระเบียงแบบนี้ได้ที่ไหนอีก ว่าไหม?”

เซี่ยเซี่ยได้แต่เอ่ยคล้อยตาม “เซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย”

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งยองบนระเบียง แล้วก็ทำท่าว่ายน้ำ ว่ายจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวกลับ ว่ายวนกลับมาอีกหนึ่งรอบ ปากคลอเพลงซ้ำไปซ้ำมา “คางคกไม่กินน้ำ ปีแห่งความสงบสุขหนอปีแห่งความสงบสุข…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version