บทที่ 418 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
โดยไม่ทันรู้ตัว อากาศร้อนก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
การบำรุงด้วยความอบอุ่นในช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันใช้ความขยันหมั่นเพียรชดเชยความโง่เขลา ช่องโพรงสองแห่งที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตจึงเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ
เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกหมัดและฝึกลมปราณ เฉินผิงอันพยายามจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังให้มากเกินไป แต่เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วยามในทุกๆ วันไปนั่งสมาธิเข้าฌาน สำหรับการมาถึงของคอขวดในอนาคต เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจชัดเจนมากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเจ็ดแล้ว ค่อยเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ซึ่งเขาจำเป็นต้องเลือกอีกครั้ง
มีวันหนึ่งเหมาเสี่ยวตงเคยเอ่ยล้อเขาว่า “ตอนที่เจ้าฝึกตนอยู่ในเรือนของชุยตงซาน ไม่เห็นเจ้าจะเสียดายปราณวิญญาณของสำนักศึกษาเลย แต่เหตุใดตอนอยู่บนยอดเขาตงหัว ถึงไม่ยอมดึงปราณวิญญาณไปแม้แต่เสี้ยวเดียว เป็นเพราะอยากจะทำตัวให้เหนือกว่าคนทั่วไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “หลังจากรักษากฎเกณฑ์ใหญ่ไว้ได้แล้ว ก็สามารถเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามและทำตามความรู้สึกของคนทั่วไปได้แล้ว ชุยตงซาน เซี่ยเซี่ย หลินโส่วอีต่างก็สามารถอาศัยขอบเขตของตัวเองมาดูดดึงปราณวิญญาณจากในเรือนแห่งนี้ อีกทั้งทางสำนักศึกษายังยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความผิดโดยปริยาย ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน นี่ก็คงจะคล้ายๆ กับว่า…ภูเขาตงหัวที่อยู่นอกเรือนเล็กก็คือใต้หล้าไพศาล ส่วนเรือนหลังนี้ก็กลายมาเป็นหนึ่งแคว้นหนึ่งสถานที่ คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ขัดต่อเจตจำนงเดิม หรือผิดต่อหลักมารยาทของลัทธิขงจื๊อ ข้าก็จะ…มีอสิระเต็มที่”
เฉินผิงอันเดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุด เพราะมักจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการครุ่นคิดจึงต้องหยุดชะงักก่อนแล้วค่อยเปิดปากพูดใหม่
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ
ดูท่าแล้วคำพูดที่ตนกล่าวไปด้วยความปรารถนาดีตอนที่หลอมวัตถุอยู่บนยอดเขาตงหัวจะไม่เสียเปล่า
เหมาเสี่ยวตงถามอีกว่า “ไม้ที่สูงเด่นเกินไพร ลมต้องพัดให้มันหักโค่นลง คนที่มีคุณธรรมสูงส่งเหนือผู้อื่น ย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าคิดว่าเหตุผลอยู่ที่ตรงไหน?”
เฉินผิงอันตอบ “เดิมทีควรเป็นการตักเตือนวิญญูชนว่าให้รู้จักถ่อมตน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับวิถีทางโลกที่ไม่ดี ส่วนตรงไหนที่ไม่ดี ข้าก็บอกไม่ถูก เพียงแค่รู้สึกว่ายังห่างจากวิถีทางโลกที่ลัทธิขงจื๊อวาดไว้ในใจไกลโขนัก ส่วนทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ อีกอย่างข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้มีปัญหา ง่ายที่จะชักนำให้คนเดินทางผิด หากเอาแต่กลัวว่าจะเป็นไม้เด่นเกินไพรจึงไม่กล้าทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งกว่าคนอื่น กลับจะทำให้คนหลายคนรู้สึกว่าต้องหักโค่นไม้เด่น ต้องไม่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งคือเรื่องที่ทุกคนล้วนทำกัน ในเมื่อทุกคนก็ทำ งั้นข้าก็ทำบ้าง เพราะใช้หลักการเหมือนกับทุกคน ถึงอย่างไรกฎหมายก็ไม่ลงโทษคนหมู่มาก แต่หากสืบสาวเรื่องนี้ให้ถึงแก่นก็ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามของข้า แม้จะบอกว่าแท้จริงแล้วยังสามารถแบ่งแยกย่อยอย่างละเอียดไปได้อีก แตกต่างกันไปตามเวลา สถานที่และบุคคล จากนั้นค่อยขีดเส้นให้ชัดเจน แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามันเปลืองแรงมากอยู่ดี น่าจะเป็นเพราะข้ายังหาวิธีอันเป็นรากลฐานไม่ได้”
คราวนี้เฉินผิงอันก็ยังพูดติดๆ ขัดๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดถามอย่างใคร่รู้ไม่ได้ว่า “หลักการล้ำค่าที่ถูกคนทั้งโลกยกย่องประเภทนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมันสามารถลดความยากลำบากมากมายไปได้จริงๆ ก็เหมือนอย่างที่ข้ามักจะนำมาทบทวนตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่พวกมันสมควรถูกอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยอมรับว่าเป็น ‘กฎเกณฑ์’ จริงๆ หรือ?”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็เปลี่ยนเรื่อง “ม้าขาวไม่ใช่ม้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” (คือปัญหาเชิงตรรกะที่กงซุนหลงนักตรรกวิทยาสมัยโบราณเป็นผู้เสนอขึ้น เขาให้คำนิยามว่าม้าขาวไม่เท่ากับม้า เพราะ ‘ม้า’ คือการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ ให้กับสัตว์ชนิดหนึ่ง ส่วน ‘ขาว’ คือการจำกัดความด้าน ‘สี’ ให้กับม้า กฎเกณฑ์ในการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ กับกฎเกณฑ์การจำกัดความด้าน ‘สี’ นั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นทั้งคำจำกัดความและกฎเกณฑ์ด้านการจำกัดความต่างก็ไม่เหมือนกัน ม้าขาวกับม้าจึงไม่เหมือนกัน)
เฉินผิงอันตอบ “ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่านั่นเป็นเพราะช่วงแรกเริ่มสุดที่อริยะสร้างตัวอักษร มันยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ครบถ้วน ถือเป็น ‘อุปสรรคทางภาษา’ ที่มองไม่เห็นซึ่งทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่าน คนรุ่นหลังสร้างตัวอักษรได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตเคยเป็นปัญหายาก แต่ตอนนี้กลับแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ม้าขาวย่อมต้องเป็นม้าชนิดหนึ่ง แต่ม้าขาวไม่เท่ากับม้า น่าสงสารคนโบราณที่ได้แต่วนเวียน อ้อมไปอ้อมมาอยู่บนคำว่า ‘ไม่ใช่’ นั่น ตามคำบอกของชุยตงซาน นี่เรียกว่า ‘อุปสรรคด้านขั้นตอน’ หากไม่เข้าใจความรู้เรื่องนี้ ต่อให้ตัวอักษรจะมากมายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นพูดเรื่องที่ถูกต้องเรื่องหนึ่ง คนนอกใช้เรื่องที่ถูกต้องอีกเรื่องหนึ่งไปปฏิเสธเรื่องที่ถูกต้องก่อนหน้านี้ คนนอกแค่ฟังปราดๆ แล้วก็ไม่ยินดีจะซักถามให้ละเอียดจนถึงที่สุด แล้วก็จะรู้สึกไปเองว่าฝ่ายแรกผิด นี่ถือว่าเป็นอุปสรรคด้านขั้นตอน และยังมีอีกมากที่ใช้ความเห็นบางส่วนมาสรุปรวมทั้งหมด ขั้นตอนปนกันสับสน ล้วนไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป สำหรับเรื่องนี้ชุยตงซานค่อนข้างจะเดือดดาล บอกว่าบัณฑิตหรือแม้แต่นักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะก็ยากที่จะข้ามผ่านหายนะนี้ไปได้ ยังบอกอีกว่าทุกคนที่อยู่ใต้หล้า ความรู้ประถมวัยที่ควรเรียนรู้มากที่สุดตอนยังเยาว์ก็คือความรู้เรื่องนี้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืน ใช้ได้ผลยิ่งกว่าหลักการเหตุผลสูงๆ ต่ำๆ ทั้งหลายเสียอีก ชุยตงซานยังบอกอีกว่าบทความของอริยะปราชญ์ร้อยสำนัก อย่างน้อยก็มีถึงครึ่งหนึ่งที่ ‘แยกแยะได้ไม่ชัดเจน’ ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้จึงจะมีคุณสมบัติไปทำความเข้าใจกับความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ไม่อย่างนั้นบัณฑิตทั่วไป มองดูเหมือนตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แค่สร้างหอเรือนกลางอากาศ อย่างมากสุดก็เป็นแค่นครจักรพรรดิขาวที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเท่านั้น”
เหมาเสี่ยวตงขบคิดอย่างละเอียดแล้วจึงยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่คำพูดที่มาจากความขุ่นเคืองของเจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่คู่ควรให้ขบคิดอย่างจริงจัง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชุยตงซานเต็มใจจะพูด ข้าก็แค่รับฟัง ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็เคยบอกข้าว่าคิดเยอะๆ ในทุกเรื่องย่อมเป็นการดี ต่อให้ผลสรุปที่ได้มาในท้ายที่สุดยังคงเป็นตรงกันข้าม ทว่าเส้นทางในหัวใจที่มองดูเหมือนเดินอ้อมไปรอบหนึ่ง แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เสียเวลาเปล่า”
เหมาเสี่ยวตงปรบมือหัวเราะ “ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็มองเฉินผิงอันด้วยสายตาคาดหวัง หวังว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะพอตระหนักรู้ได้บ้าง
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เขาเข้าใจแล้ว จึงกล่าวว่า “คราวหน้าหากได้พบกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าจะพูดถึงเจ้าขุนเขาเหมาให้มากๆ”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “จำไว้เลยนะว่าอย่าพูดอย่างคลุมเครือ อาจารย์ของข้าไม่ชอบลูกไม้แบบนี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นข้าพูดประโยคว่า ‘อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง’ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องพูดให้เหมือนเดิมทุกประการ จะเสริมเติมแต่งให้ไพเราะขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามพูดแบบวกไปวนมาเด็ดขาด”
เฉินผิงอันบอกว่าตนจำไว้แล้ว
สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงหยิบจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลียื่นส่งให้เฉินผิงอัน
แล้วเหมาเสี่ยวตงก็จากไป
คนกลุ่มนั้นที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ ในสำนักศึกษาซานหยาทุกวันนี้ มีบางคนจิตใจไหวเอียง จึงจำเป็นต้องให้เขาไปปลอบใจ
การที่เขาคอยมาพูดคุยกับเฉินผิงอัน ต่อให้วางมาดเป็นศิษย์พี่ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจิตใจในขณะที่แอบอู้จากงานที่มีสุมหัว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นการทำหน้าที่ของศิษย์พี่ที่สมควรช่วยตรวจสอบซ่อมแซมช่องโหว่ให้กับสภาพจิตใจของเฉินผิงอันด้วย
หลังจากเปิดจดหมายออก เฉินผิงอันก็เห็นลายมือที่คุ้นเคยของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือ เว่ยป้อ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เว่ยป้อ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนมือขายภูเขาใหญ่ทางแถบตะวันตกในราคาถูก
สำหรับเว่ยป้อที่เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาคนแรกสุด และเป็นเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นเสินสุ่ย เฉินผิงอันมีความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ในจดหมายเว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า ก่อนหน้านี้ภูเขาทั้งหมดเก้าลูกซึ่งรวมถึงของสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นกำลังตามหาคนมารับช่วงต่อ หร่วนฉงและตระกูลใหญ่ๆ อย่างสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ต่างก็รับเอาไปครอง ตอนนี้ยังเหลืออีกสองลูก หากเฉินผิงอันต้องการ เขาสามารถออกหน้าช่วยต่อรองราคาให้ได้ อีกทั้งเว่ยป้อยังแนะนำว่าแม้ภูเขาสองลูกนี้จะเป็นของที่คนอื่นเหลือทิ้งไว้ แต่อันที่จริงเฉินผิงอันซื้อมาแล้วก็ยังไม่ขาดทุน ยังบ่นอีกว่าทำไมเฉินผิงอันไม่ส่งจดหมายมาให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถฮุบเอาภูเขาหนิวเจี่ยวมาได้เลย ต่อให้ในกระเป๋าเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนไม่พอ เขาเว่ยป้อก็สามารถออกให้ก่อนได้ พวกเขาสองคนแบ่งภูเขาหนิวเจี่ยวกันคนละครึ่ง ภูเขาหนิวเจี่ยวก็จะได้กลายเป็นท่าเรือตระกูลเซียนที่เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญกึ่งขายกึ่งให้เปล่า!
เฉินผิงอันอ่านจดหมายซ้ำอีกรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้พลาดความนัยที่ซ่อนแฝงอะไรไปจึงเก็บมันเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นไม่เป็นรองจวนตระกูลเซียนชั้นยอดของแจกันสมบัติทวีปก็จริง แต่โชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำกลับถูกแบ่งสรรกันไปแล้วอย่างดุเดือด อีกอย่างอาณาบริเวณก็เล็กเกินไป สำหรับตระกูลเซียนหรือสำนักที่มีคำว่าจง (สำนัก) ในชื่อซึ่งครอบครองพื้นที่ร้อยลี้หรืออาจถึงขั้นพันลี้แล้ว ภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่มีอาณาบริเวณแค่สิบกว่าลี้ก็ยากเกินกว่าจะนำมาทำให้ประสบผลสำเร็จได้จริงๆ แน่นอนว่าหากมีเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือย่อมเพียงพอเหลือแหล่
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเรื่องการซื้อภูเขานั้นทำได้
จึงไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง หยิบพู่กันมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ขอให้เว่ยป้อช่วยพูดคุยเรื่องราคาให้ก่อน
แล้วบอกให้เผยเฉียนวิ่งเอาไปมอบให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
นั่งอยู่ในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างโบราณเรียบง่าย เฉินผิงอันนึกถึงการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย ชุยตงซานหลุดปากพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวน ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าอันที่จริงตำรา ‘ดั้งเดิม’ ของเมธีร้อยสำนักไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นจึงถือโอกาสบอกให้เฉินผิงอันลองไปหาคัมภีร์ของพุทธและเต๋าในหอเก็บตำราของสำนักศึกษามาอ่านหลายๆ เล่ม
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงออกจากห้องหนังสือ ไปรอให้การฝึกหลอมลมปราณช่วงหนึ่งของหลินโส่วอียุติลง แล้วจึงลากเขาไปที่หอเก็บตำราด้วยกัน
ระหว่างทาง หลินโส่วอียิ้มถามว่า “เรื่องนั้น ยังคิดคำตอบไม่ได้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็นึกถึงครั้งแรกตอนที่มาถึงสำนักศึกษาแล้วไปพบหลินโส่วอี ฝ่ายหลังเคยพูดถึงเรื่องที่ตัวเองซาบซึ้งใจ
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกจริงๆ แล้วก็ใคร่รู้อย่างมาก เจ้าอย่าเล่นทายคำปริศนากับข้าอยู่อีกเลย หากเจ้ายังไม่ยอมพูด ก่อนจะไปจากสำนักศึกษาข้าก็ต้องมาเค้นถามเอาจากเจ้าตรงๆ แน่”
หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ยังจำครั้งนั้นที่บนทางภูเขาเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน แล้วหลี่ไหวงอแงจนทุกคนพากันรำคาญได้ไหม?”
เฉินผิงอันย้อนนึก “พอจะจำได้รางๆ ว่าตอนหลังข้ารับปากหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือให้เขาใบหนึ่งเหมือนกัน เขาถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่อาละวาดอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ต้องหวังว่าจะได้เดินทางกันต่อเลย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่ไหวรู้ความขึ้นเยอะเลย”
หลินโส่วอีถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องจำได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องเล็กแค่นั้น เจ้าเก็บเอาไปใส่ใจจริงๆ หรือ?”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ตอนนั้นข้าไม่เข้าพวกที่สุด หลี่เป่าผิงเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อย หลี่ไหวสนิทสนมกับเจ้าที่สุด ต่อให้เป็นอาเหลียงก็ยังชอบคุยเล่นกับพวกเขาสองคนไปเรื่อยเปื่อย จูลู่กับจูเหอก็ยิ่งเป็นพ่อลูกกัน มีเพียงข้าหลินโส่วอีที่ดูเหมือนอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางมากที่สุด แม้ว่าภายนอกข้าจะแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ แต่หากจะบอกว่าในใจไม่มีความผิดหวังเลย จะเป็นไปได้อย่างไร? ดังนั้นจึงมีระยะเวลานานมากช่วงหนึ่งที่ข้าถึงกับสงสัยว่าตัวเองควรจะติดตามพวกเจ้าไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุยดีหรือไม่?”
ในขณะที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ หยกงามด้านการฝึกตนของสำนักศึกษาที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิ้มไม่ชอบพูดคุยอย่างหลินโส่วอีกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น “จากนั้นเจ้าที่นั่งยองอยู่บนทางดินก็หันหน้ามาพูดกับข้าสองประโยคว่า ‘ทำให้เจ้าด้วยใบหนึ่งดีไหม?’ ‘ถึงอย่างไรก็ต้องทำอยู่แล้ว’”
หลินโส่วอีก้าวเดินอย่างเชื่องช้า “ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตอบรับ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าหากไม่พูดแบบนี้ เจ้าก็ต้องไม่ยอมรับไปแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าทำหีบหนังสือให้หลี่ไหวแล้ว มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่มี ข้ากังวลว่าเจ้าจะห่างเหินกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหวด้วยเหตุนี้ บอกตามตรง ตอนนั้นข้าเคยคิดพิจารณาถึงนิสัยใจคอของเจ้าก็จริง แต่ที่คิดมากกว่านั้นก็คือ ในบรรดาคนทั้งสาม เจ้าหลินโส่วอีมีอายุมากที่สุด แถมนิสัยยังสุขุมมั่นคง วันหน้าเมื่อมาถึงสำนักศึกษาแล้วข้าต้องจากไป ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ อันที่จริงข้าเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่ยังเดินทางแล้ว แต่ข้าคนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นับว่าไม่เลว นั่นคือหากคนอื่นดีต่อข้า ข้าจะไม่มีทางเกิดความไม่พอใจเพียงเพราะว่าเขาดีต่อคนอื่นมากกว่า”
รอยยิ้มของหลินโส่วอียิ่งฉีกกว้าง “ภายหลังตอนที่อยู่บนเรือข้ามแม่น้ำ เจ้าทำหีบหนังสือใบเล็กให้หลี่ไหวก่อน ส่วนของข้าเป็นใบสุดท้าย และแน่นอนว่าหีบหนังสือใบนั้นเจ้าเฉินผิงอันย่อมทำได้คล่องมือมากที่สุด ซึ่งความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นหีบหนังสือใบที่ดีที่สุด เวลานั้นข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เจ้าเฉินผิงอันพูดไม่มาก แต่อันที่จริงกลับนิสัยไม่เลว ดังนั้นพอมาถึงสำนักศึกษา หลี่ไหวถูกคนรังแก แม้ว่าข้าจะออกแรงไม่มาก แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วข้าก็ไม่ได้เอาแต่หลบเลี่ยง เจ้ารู้ไหม เวลานั้นข้าได้เห็นเส้นทางการฝึกตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นข้าจึงวางเดิมพันลงบนอนาคตทั้งหมด คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดว่าอย่างมากก็ถูกคนทำให้พิการ ตัดขาดเส้นทางการฝึกตน จากนั้นก็เป็นบุตรนอกสมรสที่พ่อแม่ดูแคลนไปตลอดชีวิตอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นคนที่เจ้าเฉินผิงอันไม่ดูแคลนให้ได้เสียก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ข้าจดจำไว้ในใจแล้ว”
หลินโส่วอียกยิ้ม “ดังนั้นคราวก่อนหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดลอบสังหารในเรือนเล็กไปแล้ว พอเจ้าเฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนก็จงใจมานั่งอยู่ข้างกายข้าหลินโส่วอี ข้ารู้ดี เจ้าเฉินผิงอันเองก็รู้ อันที่จริงนอกจากเจ้าคนที่ไม่แยแสสิ่งใดอย่างหลี่ไหวแล้ว ต่อให้เป็นเผยเฉียน ทุกคนในเรือนก็ล้วนต้องรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกมานั่งอยู่ข้างกายข้าแค่คนเดียว เป็นเพราะเจ้ากลัวว่าข้าที่เดินบนเส้นทางการฝึกตนมาแต่เนิ่นๆ จะมีจิตใจหยิ่งทระนง ทว่าในศึกครั้งนั้นกลับทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ข้างๆ ดังนั้นข้าต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมาก กลัวว่าข้าหลินโส่วอีจะยิ่งห่างเหินกับพวกเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ”
เฉินผิงอันหยุดเดิน เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพวกนี้ เพียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้าที่สุดด้วยเรื่องอะไร? ตอนนี้ถึงตาเจ้าต้องเดาบ้างแล้ว”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”
หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”
แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”
หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”
หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”
หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”
หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน
นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง
คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน
หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป
……
ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”
เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว
จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว
เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย
เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”
“ไม่”
สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด
เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”
เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”
หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ
และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า
เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”
เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”
เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ
เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว
เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”
เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ
เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล
สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”
เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด
เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน
แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”
เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”
เสียงปังดังสนั่น
ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา
งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”
แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ
ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”
แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย
ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก
บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง
บนเกาะนอกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
วันนี้บุรุษที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อเอ่ยปฏิเสธแขกอีกคนหนึ่งที่จะมาเยี่ยมเยือน ปล่อยให้ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาซึ่งเป็นสายของหย่าเซิ่งต้องกินน้ำแกงประตูปิด (เปรียบเปรยถึงแขกที่เจ้าบ้านไม่ให้การต้อนรับ)
หากเป็นก่อนหน้านั้น ต่อให้บุรุษลัทธิขงจื๊อจะไม่เต็มใจ ‘เปิดประตู’ แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องปรากฏตัว ทว่าคราวนี้กลับไม่แม้แต่จะออกมาพบหน้า
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนั้นจึงได้แต่กลับไปพร้อมกับความผิดหวัง ลึกๆ ในใจก็อดที่จะกลัดกลุ้มไม่ได้
ไม่รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตท่านนั้นถึงไม่รับน้ำใจคนอื่น ยากจะใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนี้
บุรุษชุดลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ในกระท่อมที่ปีนั้นจ้าวเหยามาพักอาศัย ภูเขาตำรามีเส้นทางให้เดิน
เขายืนอยู่มุมหนึ่งท่ามกลางกองหนังสือ กำลังเปิดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ดึงออกมาอย่างไม่ใส่ใจ อริยะลัทธิขงจื๊อที่เขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมา สายบุ๋นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว เพราะอายุยังน้อยแต่กลับต้องตายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างกะทันหัน ส่วนลูกศิษย์ก็ยังไม่สามารถคว้าจับแก่นสำคัญที่แท้จริงของสายบุ๋นเอาไว้ได้ แค่ร้อยปี ควันธูปของสายบุ๋นก็ต้องขาดสะบั้นลง ณ บัดนี้
เขาวางหนังสือลง เดินออกจากกระท่อมมาหยุดอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยามาที่นี่ได้อย่างไร มาได้เพราะการปกป้องคุ้มครองจากเศษซากวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่
ไม่อย่างนั้นขนาดเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษายังต้องเคาะประตูก่อนถึงจะเข้ามาได้ จ้าวเหยาที่ลอยตามกระแสคลื่นจะมาถึงที่แห่งนี้โดยบังเอิญได้อย่างไร
เขาดึงสายตากลับมา มองไปทางริมหน้าผา ตอนนั้นจ้าวเหยาคิดจะก้าวเท้าออกไปให้พ้นจากหน้าผาแห่งนี้
เขาย่อมไม่ใส่ใจ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาส่งสายตามาให้ตน
เขาถึงได้เปิดปากเกลี้ยกล่อมจ้าวเหยา
และหลังจากที่จ้าวเหยาไปจากเกาะ เขากับบุรุษวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่พาจ้าวเหยามาส่งที่นี่ก็เคยสนทนากันครั้งหนึ่ง
เขาถามว่า “ในเมื่อเป็นห่วงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวมาพบเขา”
คนผู้นั้นตอบ “จ้าวเหยาอายุยังน้อย หากพบข้าก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกผิด ปมในใจบางอย่างจำเป็นต้องให้เขาคลายออกด้วยตัวเอง เมื่อได้เดินทางไกลยิ่งกว่าเดิม ไม่ช้าก็เร็วต้องคิดตก”
เขาถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนไม่กลัวว่าต่อให้ตาย จ้าวเหยาก็ยังไม่รับรู้ความคิดของเจ้าหรอกหรือ? จ้าวเหยามีพรสวรรค์ไม่เลว คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าดึงเอาโชคชะตาบุ๋นจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง เก็บซ่อนปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดไว้ในที่ทับกระดาษไม้รูปมังกร รอให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของจ้าวเหยาแตกหน่อเขียวขจีอีกครั้ง แต่เจ้าไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเหยาจะทุ่มเทแรงใจให้สายบุ๋นสายอื่น หรืออาจถึงขั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับลัทธิเต๋าโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรหรอกหรือ?”
ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่ลูกศิษย์ของข้าคนนี้มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว จะสืบทอดสายบุ๋นของข้าหรือไม่ เมื่อเทียบกับการที่จ้าวเหยาสามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างสงบสุขปลอดภัยไปตลอดชีวิตแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เขากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ฉีจิ้งชุน น่าเสียดายเจ้ายิ่งนัก”
ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้บัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่เคยใช้หนึ่งกระบี่ผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอท่านนี้พลันรู้สึกว่าคนที่รู้ใจตน ขาดหายไปอีกคนหนึ่งแล้ว
ภูเขาเมฆาเรืองแจกันสมบัติทวีป
ไช่จินเจี่ยนที่ได้ยึดครองจวนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง วันนี้ขณะที่นั่งฝึกตนอยู่บนเบาะ นางพลันลืมตาขึ้น ลุกยืนและเดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เทพธิดาไช่ที่พัฒนารุดหน้าอย่างไม่มีหยุดยั้งตลอดเส้นทางการฝึกตน และนิสัยก็ยิ่งสงบเย็นชามากขึ้นทุกขณะคล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคลี่ยิ้มออกมา
ปีนั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่นางนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ขณะที่มอบภาพวาดแห่งแม่น้ำกาลเวลาภาพแรกให้กับนาง เขาได้ทำเรื่องหนึ่งที่ไช่จินเจี่ยนรู้สึกเหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ
อาจารย์ฉีที่มีความรู้ความสามารถดุจเทพยดา ไร้ซึ่งตำหนิข้อบกพร่องในใจของนาง ได้ถามนางด้วยความจริงใจราวกับว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่กำลังขอความรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ‘หากเจ้าสามารถมอบม้วนภาพนี้ไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะเป็นการวาดงูเติมขาหรือไม่? กลับจะทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า?’
จนถึงตอนนี้ไช่จินเจี่ยนก็ยังจดจำอารมณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นความรู้สึกที่แทบไม่ต่างหากผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ห้าอสนีที่ฟาดผ่าลงบนศีรษะ
อาจารย์ฉีเห็นนางเผยสีหน้าอึ้งตะลึงออกมาเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า ‘เรื่องราวระหว่างชายหญิงบนโลก ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว’
ไช่จินเจี่ยนตีหน้าเคร่ง พยายามทำหน้าให้ขึงตึง
ฉีจิ้งชุนกล่าวอย่างจนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”
สุดท้ายไช่จินเจี่ยนไม่ได้หัวเราะออกมา กลับกันนางยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ เอาแต่เหม่อมองอาจารย์ฉีผู้นั้น พอคืนสติ ไช่จินเจี่ยนจึงให้คำตอบไปว่า “หากไม่ชอบ ทำเรื่องพวกนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ จะวาดงูเติมขาหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่หากเดิมทีก็ชอบอยู่แล้ว เห็นภาพเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งชอบมากกว่าเดิม”
ตอนนั้นพอได้ยินคำพูดของไช่จินเจี่ยน ดูเหมือนน้ำหนักที่กดทับอยู่บนบ่าของอาจารย์ฉีจะเบาลงไปเยอะ เขาพลันคลี่ยิ้มออกมา
รอยยิ้มของอาจารย์ฉีในเวลานั้นทำให้ไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่า ที่แท้ต่อให้จะมีความรู้สูงส่งแค่ไหน บุรุษผู้นี้ก็ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์
ไช่จินเจี่ยนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยี ทั้งที่กำลังมองไปไกล แต่แท้จริงแล้วทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามที่อยู่นอกหอชมวิวกลับไม่อยู่ในสายตานางเลย
แอบชอบบุรุษที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้ดีว่าเขาไม่มีทางชอบตน แต่ไช่จินเจี่ยนก็ยังรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด
บนเส้นทางของการฝึกตน วันหน้าไม่ว่าจะผ่านไปหนึ่งร้อยปีหรือหนึ่งพันปี ไช่จินเจี่ยนก็ยังยินดีที่จะคิดถึงเขาในช่วงเวลาที่รอบกายเงียบสงบไร้ผู้คน
……
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับทิศใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง
หลิ่วชิงซานซื้อเหล้ากาใหญ่ นั่งอยู่ริมลำคลอง กระดกเหล้าดื่มอึกแล้วอึกเล่า
หลิ่วป๋อฉีรู้ว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้
ความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะฝันร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลกในแคว้นชิงหลวนเรื่องนั้น
นางแย่งกาเหล้าในมือหลิ่วชิงซานมา พูดเสียงหนักว่า “ข้าแทบไม่เคยเล่าเรียนหนังสือ ไม่อาจพูดหลักการยิ่งใหญ่อะไรออกมาได้ ส่วนเจ้าก็เป็นบัณฑิต จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมฟังข้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องหนึ่ง!”
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาอย่างหลิ่วป๋อฉี มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกดเทพเจ้าจิ้งดาบพกตรงเอว ยามที่พูดสีหน้านางฉายประกายของความเฉียบคม “ในใต้หล้านี้คนที่ทั้งโง่ทั้งชั่วร้ายมีมากมาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าพวกเขาเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ พบเจอกับคนหรือเรื่องราวที่ดีหน่อยก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น หากไม่ครอบครองก็ทำลายทิ้ง นับจากวันนี้ไป หากเจ้ายินดีจะใช้เหตุผลพูดคุยกับคนจำพวกนี้ก็พูดไป เพียงแต่ว่าหากสุดท้ายแล้วยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้าจะเป็นคนคุยเอง”
หลิ่วชิงซานเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงต้องทำเช่นนั้น หากข้าอยากพูดถึงหลักการของการเป็นบุตรกับพี่ใหญ่ที่ข้าเคารพรักที่สุดล่ะ ข้าควรจะทำอย่างไร? ข้ารู้ว่าไม่ว่าเรื่องไหนข้าก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ข้าแค่อยากกลับบ้านไปคุยกับเขาเรื่องนี้ ได้หรือไม่?”
หลิ่วป๋อฉีส่ายหน้าปฏิเสธอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางที่ตามใจหลิ่วชิงซานทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ยอมลงให้เขา “อย่าไปพูดเรื่องนี้เลย เจ้าอดทนเอาไว้เถอะ”
หลิ่วชิงซานพึมพำ “ทำไมล่ะ?”
หลิ่วป๋อฉีกล่าว “เรื่องนี้ ทั้งสาเหตุและเหตุผล ข้าล้วนไม่เข้าใจ แล้วข้าก็ไม่อยากพูดจาส่งเดชเพียงเพื่ออยากช่วยให้เจ้าคลายปมในใจ แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าต้องเจ็บปวดมากกว่าเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าการกลับไปสาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาทำให้เจ้าสบายใจ เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าจะไม่รั้งเอาไว้ แต่ข้าจะดูแคลนเจ้า ที่แท้เจ้าหลิ่วชิงซานก็เป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ จิตใจคับแคบยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!”
หลิ่วชิงซานมีสีหน้าทึ่มทื่อ
หลิ่วป๋อฉีกระวนกระวายเล็กน้อย เลือกถามไปตรงๆ ว่า “ข้าพูดแรงเกินไปหรือเปล่า?”
หลิ่วชิงซานมองนางอย่างอึ้งตะลึงอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ ปาดมือเช็ดน้ำตาน้ำมูกสะเปะสะปะ “ไม่หรอก”
หลิ่วป๋อฉีถึงได้คืนกาเหล้าให้กับหลิ่วชิงซาน “ทีนี้ก็ดื่มได้แล้ว”
หลิ่วชิงซานเองก็ไม่เกรงใจ รับกาเหล้ามายกกระดกเข้าปากอึกใหญ่
ดื่มจนกระทั่งเขาฟุบอยู่ริมลำคลอง อาเจียนไม่หยุด
หลิ่วป๋อฉีตบหลังของเขาเบาๆ “หากยังอยากดื่ม ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้าเพิ่ม”
หลิ่วชิงซานส่ายหน้าเบาๆ
สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย หลิ่วป๋อฉีก็แบกหลิ่วชิงซานเดินไปบนถนนใหญ่
……
บนถนนนอกอำเภอแห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน หลังจากฝนใหญ่ตกไป พื้นดินก็เฉอะแฉะ น้ำท่วมขังเจิ่งนอง
รถม้าคันหนึ่งที่สารถีเป็นผู้เฒ่าชะลอความเร็วลง ครู่หนึ่งต่อมาก็เพิ่มความเร็วควบม้าตรงไปยังอำเภอ
หวังอี้ฝู่ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเดียวกับนายอำเภอหลิ่วชำเลืองตามองหลิ่วชิงเฟิงที่กำลังหลับตาพักผ่อน
หวังอี้ฝู่คือหนึ่งในคนสองคนที่ถูกราชครูชุยฉานส่งตัวมายังแคว้นชิงหลวนอย่างลับๆ ตอนนี้ในนามเขาคือหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่เป็นเลขาธิการฝ่ายบู๊ของหลิ่วชิงเฟิง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถูกลอบฆ่า
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ชุยฉานให้ความสำคัญกับนายอำเภอเล็กๆ ของแคว้นเล็กๆ ผู้นี้มากแค่ไหน
หวังอี้ฝู่รู้ดีว่าบนเส้นทางด้านหลังรถม้ามีเด็กและสตรีกำลังเดินอย่างโซซัดโซเซ
หวังอี้ฝู่เองก็หลับตาลง
แม่ทัพใหญ่สิ้นชาติของราชวงศ์สกุลหลูอย่างเขา ในที่สุดก็เริ่มรอคอยอยากจะเห็นแล้วว่าในอนาคตขุนนางบุ๋นแห่งแคว้นชิงหลวนผู้นี้จะเดินไปได้สูงแค่ไหน
……
ชายแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์จูอิ๋ง
เกิดความวุ่นวายโกลาหล
บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่งมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักเล็กหลายท่านปิดบังตัวตน แสร้งแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คอยแอบจับตามองขบวนรถของขุนนางกลุ่มหนึ่งที่หนีภัยพิบัติมาทางใต้
แล้วก็มาเจอกับหม่าขู่เสวียนเข้าพอดี ผู้ฝึกลมปราณหนึ่งในนั้นกำลังกระชากผมของสตรีแต่งงานแล้วที่แต่งกายหรูหรา ลากนางออกมาจากห้องโดยสารรถม้า บอกว่าอยากจะลองลิ้มรสชาติของฮูหยินเจ้าเมืองดูสักที
ตอนแรกหม่าขู่เสวียนไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก เอาแต่เดินทางของตัวเองต่อไป ผลกลับกลายเป็นว่าถูกผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งมาขวางทาง หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยไปสองหมัด สังหารคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนสุดท้ายที่หนีรอดไปอย่างกระเซอะกระเซิง หม่าขู่เสวียนไม่ได้สนใจ
ผู้ฝึกลมปราณน่าสงสารที่เหลือเพียงครึ่งชีวิตคนนั้นถูกหม่าขู่เสวียนกระทืบหน้าอก เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนเลวเป็นกันอย่างนี้หรือ? เป็นคนเลวแล้ว จะดีจะชั่วดวงตาก็ควรมีแววบ้างกระมัง เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกหรือ?”
หม่าขู่เสวียนกระทืบจนหน้าอกของคนผู้นั้นทะลุ
จากนั้นเขาก็ออกเดินทางต่อ
คาดไม่ถึงว่าในบรรดาญาติของสตรีที่อาภรณ์ถูกฉีกกระชากยุ่งเหยิงคนนั้นจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง หันมาซักไซ้กล่าวโทษหม่าขู่เสวียนอย่างขุ่นเคืองว่าเหตุใดถึงไม่ฆ่าเจ้าคนสุดท้ายผู้นั้น จะเลี้ยงเสือไว้เป็นภัยให้ตัวเองทำไม?
หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเด็กหนุ่มคนนั้นตาย แล้วถึงได้เดินผ่านขบวนรถที่กลุ่มคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “คนโง่ที่ทำเรื่องโง่ สมควรตายยิ่งกว่าคนชั่ว”
หลังจากเดินห่างไปไกลแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นถึงปรากฏตัว ขมวดคิ้วกล่าว “เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความคนนั้นไม่ได้มีโทษทัณฑ์ร้ายแรงถึงตาย”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “เดิมทีทุกคนควรต้องตายทั้งหมด นี่ไม่ควรขอบคุณที่ข้ายอมออกหน้าผดุงคุณธรรมอย่างที่หาได้ยากหรอกหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วฟุบตัวอยู่บนศพของลูกชายร่ำไห้ปานจะขาดใจ สำหรับคนหนุ่มสติวิปลาสที่เห็นชีวิตคนเป็นดั่งต้นหญ้าผู้นั้น นางทั้งเคียดแค้นและหวาดเกรง
สำนักตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าหลีมากที่สุด ตำหนักฉางชุน
การป้องกันเป็นไปอย่างเข้มงวด
องค์ชายซ่งเหอกำลังยืนอยู่บนยอดเขากับมารดาของเขา ยิ้มถามว่า “เสด็จอาคิดจะชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”
แต่ไม่นานตัวซ่งเหอเองก็ส่ายหน้า “แต่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ด้วยหรือ? แค่ลอบฆ่าก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง? นักรบเดนตายของต้าหลี กากเดนราชวงศ์ก่อนของราชวงศ์สกุลหลูต่างก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? ท่านแม่ ข้าเดาว่าตอนนี้อย่าว่าแต่กองทัพชายแดนต้าหลีเลย ต่อให้เป็นในราชสำนักก็คงมีคนไม่น้อยที่สนับสนุนให้เสด็จอาขึ้นครองราชย์กระมัง คนที่เอนเอียงมาทางข้ากับท่านแม่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่มีประโยชน์”
สตรีแต่งงานแล้วของต้าหลีที่สูญเสียอำนาจทั้งหมดไปยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ อย่าได้ดูแคลนเสด็จอาของเจ้าเช่นนี้ เขาเป็นคนจิตใจทะเยอทะยานนักล่ะ ไม่เห็นบัลลังก์มังกรตัวนั้นอยู่ในสายตาหรอก”
ซ่งเหอไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก
ไม่เห็นอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ใครเล่ารังเกียจที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตัวนั้น?
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “ในราชสำนักของต้าหลี จิตใจชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ได้”
ซ่งเหอหันหน้ากลับมา “จิตใจชาวบ้าน? ท่านแม่ ท่านพูดมาโดยตลอดไม่ใช่หรือว่าคนพวกนั้นคือมดตัวน้อยที่โง่เง่าไม่รู้ความ?”
สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิก “คำพูดพวกนี้ พวกเราแม่ลูกพูดคุยกันย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากไปอยู่ที่อื่นต้องจำไว้ว่า รู้แล้วก็คือรู้แล้ว อย่าได้พูดมันออกมา วันหน้ารอให้เจ้าได้เป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองทั้งทวีปเมื่อไหร่ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะแกล้งโง่ กับเสด็จอาเทพสงครามผู้องอาจเป็นเช่นนี้ กับขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็เป็นเช่นเดียวกัน”
ซ่งเหอเอ่ยถาม “แล้วกับคนบนภูเขาล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วลังเลเล็กน้อย
ซ่งเหอกล่าว “อันที่จริงข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จพ่อถึงต้องคอยงัดข้อกับเทพเซียนพวกนั้นด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อขอบเขตสูงแล้ว ใครเล่าจะยินดีถูกกษัตริย์ของโลกมนุษย์คนหนึ่งคอยพันธนาการมือเท้า? หากวันหน้าข้าได้เป็นฮ่องเต้จริงๆ แล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงนโยบายแคว้นที่กำหนดมาไว้แล้ว ท่านว่าจะมีขั้วอำนาจหรือตระกูลเซียนเข้ามาสวามิภักดิ์กับข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ละคนจะพากันมาโอบล้อมอยู่รอบบัลลังก์มังกรของข้าหรือไม่? ไม่แน่ว่าข้าอาจสามารถอาศัยสิ่งนี้ค่อยๆ ควบคุมราชครูและเสด็จอาก็ได้นะ?”
สตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังมีเรือนกายเล็กเตี้ยแต่กลับอวบอิ่มน่าหลงใหล ถอนหายใจกล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ คำพูดโง่ๆ เช่นนี้วันหน้าอย่าได้พูดอีก ทางที่ดีที่สุดก็อย่าคิดเลยจะดีกว่า”
ซ่งเหอร้องอ้อหนึ่งที “ก็ได้ ข้าเชื่อฟังท่านแม่”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน
ในเรื่องนี้เหอเอ๋อร์ของนางน่ารักที่สุด เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเรื่องใด แม่ลูกก็ล้วนสนิทสนมร่วมใจกันได้เสมอ
ส่วนบุตรอีกคนนั้น
นางจงใจไม่ให้ตัวเองไปคิดถึง
……
สำนักกระบี่หลงเฉวียน
หร่วนซิ่วยืนอยู่ในลานบ้านของตัวเอง กินขนมที่ซื้อมาจากตรอกฉีหลง
ในลานบ้าน ลูกเจี๊ยบเติบโตกลายเป็นแม่ไก่ แล้วก็ให้กำเนิดลูกฝูงใหม่อีกครั้ง แม่ไก่และลูกเจี๊ยบจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หมาพันธ์พื้นบ้านที่สติปัญญาเปิดโล่งมีแววว่าจะยึดครองภูเขาเป็นราชา ยามอยู่ในภูเขาใหญ่แถบตะวันตกมันทำตัวดุร้ายเอาแต่ใจไปทั่ว โชคดีที่เคยเจอกับความยากลำบากมาก่อนจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก เวลาเจอคนในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี
หร่วนซิ่วกินขนมหมดแล้วก็เก็บผ้าเช็ดหน้า ปัดมือ
พุ่งทะยานร่างขึ้นไปเบื้องบน
มาเยือนหน้าผาที่สลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร นางมาหยุดอยู่บนยอดเขาของหน้าผาแล้วเดินลงไปเบื้องล่าง
จากนั้นก็เดินจากด้านล่างหน้าผาย้อนกลับมาทางเดิม
……
วันนี้เฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองหลวงต้าสุย
ชุยตงซานยืนอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ชำเลืองตามองม้วนภาพตระกูลเซียนที่วางกองกันไว้อย่างไม่ใส่ใจ แล้วค่อยมองไปยังตำราสองสามเล่มที่เฉินผิงอันยืมมาจากหอเก็บตำรา
บนโต๊ะยังมีแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นและมีดแกะสลักของเฉินผิงอัน บนแผ่นไม้ไผ่ล้วนเป็นตัวอักษรที่เขาคัดลอกมาจากตำราเหล่านั้น ซึ่งถูกวางทิ้งไว้ยังไม่ได้เก็บเอาไป
ชุยตงซานรู้สึกอารมณ์ดีนิดๆ
หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวต่างก็เห็นที่นี่เป็นถิ่นของตัวเอง
แล้วเฉินผิงอันจะไม่คิดแบบนี้เหมือนกันได้อย่างไร?
แต่ถึงอย่างไรวันนี้อารมณ์ของชุยตงซานก็ยังไม่เบิกบานเต็มที่ เพราะความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความจนใจ
สิ่งที่ทำได้ ไม่ว่าจะทางแจ้งหรือทางลับ เขาก็ล้วนทำไปหมดแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าจะยังยากอยู่มาก
เขาจึงออกจากห้องหนังสือมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงระเบียงไม้ไผ่มรกต เอาฝ่ามือยันพื้น ยิ้มบางๆ “เจ้าตัวน้อย ออกมาเถอะ”
จากนั้นชุยตงซานก็พลันยกชายแขนเสื้อสะบัด
เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งถูกกระชากออกมา ร่างของมันโอนเอน หัวสมองมึนงง
หลังจากคนจิ๋วดอกบัวสังเกตเห็นว่าเป็นชุยตงซานก็เตรียมจะหนีกลับลงไปใต้ดิน
ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ว่ามันจะกระโดดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ จึงคิดจะวิ่งออกไปจากระเบียง ไปลองดูที่ลานบ้าน
เพียงแต่มันเหมือนพุ่งชนกำแพงจึงเซถอยกลับเข้ามาในระเบียงอีกครั้ง
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าโง่น้อย”
คนจิ๋วดอกบัวนั่งลงบนพื้น ไหล่ลู่คอตก
ชุยตงซานมองมัน
แล้วก็ให้นึกถึงตัวเอง
ปีนั้นตอนไปขอเล่าเรียน อาศัยอยู่ในตรอกเก่าโทรมกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่ยังไม่ร่ำรวย แม้ว่าปีนั้นตนจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่อันที่จริงก็เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่เป็นเพราะตอนแรกซิ่วไฉเฒ่าตั้งกฎเกณฑ์ยิบย่อยมากมายขนาดนั้น พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์มีหรือจะต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถยากเข็ญปานนั้น? แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม? ต่อมาในที่สุดก็มีวันหนึ่ง เขาคิดอยากจะหาเงินกลับมาให้ได้เยอะๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าขับไล่จากสำนักเพราะไม่ทำตามกฎที่วางไว้หรือไม่ เขาก็ไม่สนใจแล้ว คนเป็นจะอั้นเยี่ยวจนตายไม่ได้! เพียงแต่เมื่อเขานำเงินถุงใหญ่กลับมา ซิ่วไฉเฒ่าที่สีหน้าไร้อารมณ์กลับเอ่ยแค่สองประโยค ประโยคแรกคือนับจากนี้ไปพวกเขาจะไม่ใช่อาจารย์และศิษย์กันอีก ประโยคที่สองก็คือไม่ว่าเงินเหล่านั้นจะได้มาจากไหนก็หวังว่าเขาจะส่งกลับคืนไปที่นั่น เพราะเงินพวกนี้เป็นทรัพย์สินที่ลูกศิษย์ของเขาได้มาอย่างไร้คุณธรรม ทว่านับแต่นี้ไป เจ้าชุยฉานจะชอบหลอกลวงหรือชอบปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่น เขาซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขายังสอนให้ดีไม่ได้ ยังคุมไม่อยู่ ย่อมไม่มีความสามารถมากพอจะห้ามปรามได้
ตอนนั้นชุยฉานที่ยังเด็กก็เหมือนคนจิ๋วดอกบัวในเวลานี้ที่ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาด้วยความอัดอั้น
สภาพจิตใจอาจจะไม่เหมือนกัน ทว่าท่าทางน่าสงสารนั้นกลับเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ชุยตงซานจำได้ว่าชุยฉานที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่ได้ร้องไห้โวยวายขอร้องซิ่วไฉเฒ่าว่าอย่าขับไล่เขาออกจากสำนัก เพราะเขาก็พูดแค่สองประโยคเหมือนกัน เงินนี้ข้าเอากลับคืนไปได้ แต่หวังว่าท่านจะเก็บเอาไว้สองก้อน เดิมทีก็เป็นเงินค่าเรียนครึ่งปีที่ติดค้างเอาไว้ ถือซะว่าชดใช้คืนให้หมดแล้ว ประโยคที่สองเด็กหนุ่มชุยฉานบอกกับซิ่วไฉเฒ่าว่าให้เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อพู่กันดีๆ มาสักสองสามเล่ม ขนาดพู่กันที่เหลือแต่ด้ามโล้นๆ ด้ามหนึ่งยังตัดใจทิ้งไม่ลง ต่อให้ในท้องพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ท่านจะเขียนบทความออกมาได้อย่างไร
วันนั้นซิ่วไฉเฒ่าบอกให้ชุยฉานรออยู่ในห้องที่มีแต่กำแพงสี่ด้าน
ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกจากบ้านไปแล้วก็แอบไปทอดถอนใจอยู่ในตรอกคำรบหนึ่ง สุดท้ายตีหน้าประจบไปขอยืมเงินส่วนหนึ่งมาจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง ถูกสตรีปากร้ายที่เดิมทีก็ขัดหูขัดตากับความยากจนข้นแค้นของเขาด่าสาดเสียเทเสีย พูดประโยคหยาบคายบาดหูเป็นกระบุงโกย ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่ตอบโต้ เพียงแค่ส่งยิ้มขออภัย ซิ่วไฉเฒ่าใช้เงินทั้งหมดไปซื้อไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันแล้วเดินอาดๆ กลับเข้ามาในห้อง ไม่พูดเรื่องที่จะขับไล่ชุยฉานไปอีก เพียงแค่กวักมือเรียกให้ชุยฉานมานั่งลงกินไก่ย่าง
คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะที่ผุพัง ชุยฉานกินไปได้พักหนึ่งก็ถามว่าทำไมซิ่วไฉเฒ่าถึงไม่กิน
ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าช่วงนี้ปวดฟัน กินของมันเลี่ยนไม่ได้
เด็กหนุ่มชุยฉานก้มหน้ากินต่อ ถามซิ่วไฉเฒ่าว่ายืมเงินมาแล้ว เอาไปซื้อพู่กันมาหรือยัง?
ซิ่วไฉเฒ่าตบท้อง บอกว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในนี้ หนีไปไหนไม่ได้ เขียนช้าหน่อยจะเป็นไรไป แถมยังเขียนบทความได้เยอะๆ ในรวดเดียวด้วย
อันที่จริงชุยฉานรู้ดีว่าซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่กำลังพูดจาอย่างห้าวเหิมนั้นกำลังปกปิดเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากของตัวเอง
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ ว่า เสี่ยวฉาน ไก่ย่างครึ่งตัวนี้ เจ้าก็ดี อาจารย์ก็ช่าง พวกเราล้วนได้แต่ใช้เงินไปซื้อมา แต่ความรู้ในท้องของอาจารย์ไม่ที่ถูกที่ถูกเวลาเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้เลย เอาไปได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่มีค่านัก แต่บัณฑิตอย่างพวกเรา ขอแค่หนึ่งวันที่ยังไม่หิวตายก็ยังต้องมีหลักการเหตุผลไปหนึ่งวัน
อันที่จริงวันนั้นต่างหากที่เป็นครั้งแรกที่ชุยฉานออกห่างไปจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ตาม
เพียงแต่ว่าภายหลังมีศิษย์น้องจั่วโย่วและฉีจิ้งชุนมาเพิ่ม ลูกศิษย์ในสำนักเหวินเซิ่ง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อทุกคนต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้
ชุยฉานไม่พูด ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่พูด
……
วันนี้ ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะศีรษะคนจิ๋วดอกบัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้า เกี่ยวกับอาจารย์ของข้า เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
เจ้าตัวน้อยลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
ชุยตงซานจึงเอ่ยขึ้นเนิบช้าว่า “อาจารย์ของข้ามีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ที่นั่นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในปลูกเมล็ดพันธ์ดอกบัวสีทอง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโอกาสในการบรรลุมรรคาของเจ้า ยกตัวอย่างเช่นกลายเป็นภูตตนแรกที่ฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีป เมื่อถึงเวลานั้นภูเขาลั่วพั่วก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพราะเรื่องนี้ไปด้วย สามารถรวบรวมปราณวิญญาณและโชควาสนาในจำนวนมากและทำให้พวกมันมั่นคงขึ้นโดยอาศัยเจ้า เรื่องของการฝึกตน ด่านบางด่าน คนที่มาก่อนก็ได้ก่อน หากช้าไป แม้แต่โอกาสจะไปนั่งยองในห้องส้วมก็ยังไม่มี”
คนจิ๋วดอกบัวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นชูแขนขึ้น กำหมัดแน่น น่าจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองกระมัง?
แต่ชุยตงซานกลับส่ายหน้า “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้องเจ้า วันใดวันหนึ่งในอนาคต ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แล้วมีคนพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ส่วนเจ้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย รู้สึกว่าควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่ออาจารย์ของข้าบ้าง…”
ชุยตงซานเพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “เจ้าห้ามทำเด็ดขาด!”
คนจิ๋วดอกบัวยิ่งสับสนไม่เข้าใจ
ชุยตงซานชี้ไปที่หัวใจตัวเอง จากนั้นค่อยชี้ไปที่เจ้าตัวจิ๋ว ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคือแดนสุขาวดีนอกโลกในใจอาจารย์ข้า”
เจ้าตัวน้อยเอียงศีรษะ แสดงให้รู้ว่าตัวเองฟังไม่เข้าใจ
ชุยตงซานหันหน้ากลับไป เงยหน้ามองทิศไกล “เขามองเห็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของฟ้าดินที่อยู่ในใจของเขาจากตัวของเจ้า อืม อย่างน้อยเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับว่าเจ้าคือดอกไม้ดอกหนึ่งที่ผลิบานขึ้นมาบนความยากลำบากทั้งหมดที่อาจารย์ของข้าเคยประสบในวัยเยาว์ยามที่เขามองย้อนกลับไปดู เมื่อเห็นเจ้า จิตใจของอาจารย์ก็จะสงบ ที่แท้ใต้หล้านี้เขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเจ้าโง่ที่เหมือนเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยนอยู่อีกคน แล้วก็โชคดียิ่งนักที่พวกเจ้าได้มาพบเจอกัน ถึงขั้นที่ว่าวันใดวันหนึ่งด้วยความจนใจหน่ายใจกับความซับซ้อนวุ่นวายของวิถีทางโลก อาจารย์ของข้าอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้ายังไม่เปลี่ยน จิตใจของอาจารย์ก็จะค่อนข้างสงบ เปลี่ยนไปน้อยหน่อย ช้าหน่อย”
ชุยตงซานดึงสายตากลับคืนมา “แต่หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะสูญเสียโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าไป”
คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าอย่างแรง
คล้ายกำลังบอกว่าไม่เป็นไร
ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใส โน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นนิ้วก้อยออกมา “งั้นพวกเรามาเกี่ยวก้อยกัน”
คนจิ๋วดอกบัวที่มีแขนเพียงข้างเดียวยกแขนข้างนั้นขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับชุยตงซาน นิ้วมือของทั้งสองมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันมาก มองดูแล้วจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ
ชุยตงซานค้อมตัวอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “เกี่ยวก้อยร้อยปีไม่เปลี่ยน อืม หากเป็นไปได้ พันปีหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยน”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง
ชุยตงซานพลันเผยสีหน้าอำมหิตดุดัน “หากวันใดเจ้าผิดคำพูด ข้าจะตีเจ้าให้ตาย จับตัวเจ้าวางไว้บนเขียงแล้วสับๆๆ เจ้าออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นเอาไปต้มน้ำแกง ใส่ต้นหอมโรยเกลือ…”
พูดมาได้แค่ครึ่งเดียวชุยตงซานก็หัวเราะตลกตัวเอง แล้วจึงทำหน้าผี แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สาแก่ใจมากพอจึงเอานิ้วของมือสองข้างฉีกปากดันจมูก ทำหน้าเหมือนสัตว์ประหลาด
คนจิ๋วดอกบัวหัวเราะคิกคัก แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น กางแขนขาอ้าแล้วปัดป่ายดีดดิ้นอย่างร่าเริง
ชุยตงซานเองก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น
ภูเขาลั่วพั่วก็มีภูติจิ๋วตัวนี้อาศัยอยู่ตลอดเวลา
มันไร้ทุกข์ไร้กังวล บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ไม่ว่าในอนาคตเฉินผิงอันจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลแล้วย้อนกลับคืนมายังบ้านเกิดก็จะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่กับเจ้าตัวน้อยเพียงลำพังเพื่อพูดคุยเรื่องที่อยู่ในใจกับมัน