Skip to content

Sword of Coming 419

บทที่ 419 หลายคนในหลายใต้หล้า

คงเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่คงที่ของสภาพจิตใจเฉินผิงอัน

เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้เรียกเฉินผิงอันมาที่ห้องหนังสือ แต่เลือกช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนพาเฉินผิงอันไปเดินเที่ยวทั่วสำนักศึกษา

เดินเล่นพลางพูดคุยกันไป เหมาเสี่ยวตงมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือยามที่สอนหนังสืออบรมผู้คน เขาจะรักษากฎข้อหนึ่งเอาไว้ ข้าสอนความรู้ที่มีในตำราให้แก่เจ้า พูดถึงหลักการเหตุผลของตัวเอง จะเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาก็ดีหรือเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กก็ช่าง พวกเจ้าลองฟังดูก่อน ถือซะว่าเป็นคำแนะนำอย่างหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมกับเจ้า แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากขึ้น

เฉินผิงอันกับเหมาเสี่ยวตงเดินผ่านโถงนักปราชญ์ที่แขวนภาพอริยะทั้งสามท่านเอาไว้ เดินผ่านหอเก็บตำราที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวแสงดาว เดินผ่านหอพักที่มีเสียงกรนหรือไม่ก็เสียงพึมพำของคนละเมอดังลอยมา

สุดท้ายคนทั้งสองก็เดินมาถึงบนยอดเขา ก้มหน้ามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงต้าสุยไปพร้อมกัน

แถบของคนมีเงิน แสงไฟสว่างไสวเรืองรองติดกันเป็นแถบ แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ก็ราวกับว่ายังสามารถได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะเคล้าเสียงดนตรีบรรเลงของที่แห่งนั้นได้

แถบของคนอยากจนก็มีแสงจันทร์เคียงข้าง แล้วก็มีกลิ่นของอาหารลอยโชยมา

เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “เจ้าขุนเขาเหมา ข้าคิดได้แล้ว หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้น รวบรวมให้ครบห้าธาตุก็เพื่อสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ แต่ข้ายังอยากจะฝึกหมัดให้ดีมากกว่า ถึงอย่างไรการฝึกหมัดก็คือการฝึกกระบี่ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถบ่มเพาะให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ ข้ายังไม่ไปคิดถึงมัน ดังนั้นต่อไปนี้ นอกจากช่องโพรงสำคัญที่น่าจะเหมาะกับการวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุแล้ว ข้าก็ยังจะต้องหล่อเลี้ยงปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่บริสุทธิ์ในร่างขุมนั้นให้เต็มที่ที่สุด”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “วางแผนทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าเป็นไปได้ ส่วนสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะดีหรือร้าย อย่าเพิ่งไปถามหาผลเก็บเกี่ยว แค่ลงมือเพาะปลูกไปก่อนจะดีกว่า”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขายอมรับในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันเป็นเพราะการที่เฉินผิงอันแค่บุกเบิกเปิดจวนห้าแห่ง แล้วประคองสองมือมอบอาณาเขตที่เหลือให้กับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ อันที่จริงไม่ใช่เส้นทางสายขาด

เดิมทีในร่างของมนุษย์ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วก็มีคำเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วยเช่นกัน ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ช่องโพรงลมปราณทั้งหมด ไม่ว่าเจ้าจะบุกเบิกขัดเกลาได้ดีแค่ไหนก็อยู่แค่ในขอบเขตของพื้นที่มงคลเท่านั้น เมื่อสร้างโอสถทองได้สำเร็จถึงจะสามารถสัมผัสกับความลี้ลับมหัศจรรย์ของถ้ำสวรรค์ได้ในชั้นต้น ตำราลัทธิเต๋าบางเล่มมีการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ไว้อย่างชัดเจนนานแล้วว่า ‘ถ้ำโพรงในภูเขา ทอดยาวสู่ฟากฟ้า เชื่อมโยงภูผามากมาย ขานรับกันอยู่ไกลๆ ฟ้าดินร่วมปราณ ผสานรวมเป็นหนึ่ง’

ผู้ที่สร้างโอสถทองจึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า

การที่ประโยคนี้ได้รับความนิยมไปทั่วหล้า ถูกผู้ฝึกลมปราณทุกคนยกย่องให้เป็นประโยคมาตรฐาน แน่นอนว่าต้องมีต้นสายปลายเหตุของมัน

เหมาเสี่ยวตงไม่พูด เพราะขอแค่เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าทีละก้าว สักวันหนึ่งก็จะต้องเดินไปถึงก้าวนั้น พูดไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้ความปรารถนาที่งดงามผุดออกมากะทันหัน กลับอาจจะสั่นคลอนสภาพจิตใจที่กว่าจะสงบนิ่งมั่นคงได้ไม่ใช่ง่ายๆ ของเฉินผิงอันในเวลานี้

การถ่ายทอดวิชาความรู้ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย จะไม่รอบคอบแล้วรอบคอบอีกได้อย่างไร การแกะสลักหยกงามก็ยิ่งต้องค่อยๆ ใช้มีดงัดแกะสิ่งเจือปนออก เก็บไว้เพียงแต่แก่นแท้ที่งดงาม ต้องห้ามทำลายเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของหยกก้อนนั้น เรื่องที่ยากถึงเพียงนี้จะกล้าไม่ขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร?

ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันเองก็ปฏิบัติกับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเผยเฉียนแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าตอนนี้ตัวเฉินผิงอันเองอาจจะยังไม่รู้ก็เท่านั้น

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “เกี่ยวกับประโยคที่อาจารย์กล่าวว่ามนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานชั่วร้าย ลูกศิษย์ในสำนักอย่างพวกเราต่างคนต่างก็เข้าใจไปแตกต่างกันมาตั้งนานแล้ว บางคนเงียบหายไปพร้อมกับอาจารย์ ปฏิเสธตัวเอง เปลี่ยนแปลงความคิดและท่าที บางคนก็ล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก เกิดความสงสัยในตัวเอง บางคนใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง ยกยอว่าตนพิเศษไม่เหมือนใคร กล่าวว่าจะเดินทวนกระแสสถานการณ์ใหญ่ ไม่ยอมร่วมกระทำความชั่วเด็ดขาด จะสืบทอดสายบุ๋นของอาจารย์พวกเราต่อไป เรื่องราวมากมายหลากหลาย จิตใจคนแปรเปลี่ยนได้ง่าย ภายในของสายบุ๋นที่แทบจะขาดสะบั้นของพวกเราก็ยิ่งมีภาพความวุ่นวายที่เกิดจากต่างคนต่างความคิด สายบุ๋นของพวกหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้าอย่างจริงแท้แน่นอน แล้วลองจินตนาการดูสิว่าภายในของพวกเขาจะซับซ้อนแค่ไหน”

เหมาเสี่ยวตงตบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “ภาระหนักหนาและหนทางก็ยิ่งยาวไกลนี่นะ”

เฉินผิงอันยิ้มขื่น “แต่ไหล่มีสองข้าง”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่างข้านี่เรียกว่ามองคนแบกหาบไม่เปลืองแรง มองคลื่นอยู่บนฝั่งรังเกียจว่าน้ำน้อยไป”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ครึ่งประโยคแรกคือคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิดเขาเอง

……

คืนนี้เผยเฉียนกับหลี่ไหวสองคนหลบอยู่นอกเรือนหลังเล็ก คนทั้งสองนัดหมายกันไว้แล้วว่าจะโพกผ้าดำแสร้งทำเป็นนักฆ่า แอบไป ‘ลอบฆ่า’ ชุยตงซานที่ชอบนอนอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต

อ่านนิยายยุทธภพไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะให้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเรียนแล้วนำมาใช้จริง!

เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่ให้หลี่ไหวยืมอย่างใจกว้าง

คนทั้งสองปรึกษากันที่หอพักของหลี่ไหวมาแล้วหนึ่งรอบ รู้สึกว่าจะเดินเข้าไปทางประตูของเรือนพักไม่ได้ แต่ต้องปีนกำแพงเข้าไป ไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดของยอดฝีมือและความอันตรายในยุทธภพได้

หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนอยากจะเข้าร่วมด้วย ทำหน้าที่เป็นทหารทัพหน้าให้แก่องค์หญิงอย่างเผยเฉียน แต่น่าเสียดายที่เผยเฉียนใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลทรงพลังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าพวกเขาเป็นแค่จอมยุทธเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง ฝีมือไม่ยอดเยี่ยมมากพอ สังหารปีศาจใหญ่ไม่ได้ก็ได้แต่พาตัวไปตายเท่านั้น

คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนทางสายเล็กที่เงียบสงบนอกเรือนหลังเล็ก ยังคงใช้วิธีค้ำถ่อเหมือนก่อนหน้านั้น เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงก่อน จากนั้นจึงโยนไม้เท้าเดินป่าที่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงในมือให้กับหลี่ไหวที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ด้านล่าง

หลี่ไหวกระโดดขึ้นบนกำแพงได้อย่างไม่มีผิดพลาด เผยเฉียนมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่ไหวจึงยืดอดตั้ง ลูบเส้นผมเลียนแบบคนบางคน

เพียงแต่ว่าตอนที่คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนพื้น เผยเฉียนประหนึ่งแมวตัวเบาไร้เสียง แต่หลี่ไหวกลับร่วงลงมาดังตุ้บเสียงไม่เบา

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หลี่ไหว เจ้าทำอะไรน่ะ เสียงดังขนาดนี้ คิดจะตีฆ้องลั่นกลองหรือไงกัน? แบบนั้นเขาเอาไว้ใช้ในสนามรบ ไม่ใช่เอามาลอบฆ่าปีศาจใหญ่อย่างลับๆ ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ เอาใหม่!”

หลี่ไหวรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ตอบโต้ เพียงถามเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะออกจากเรือนไปข้างนอกอย่างไร?”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เดินออกทางประตูใหญ่สิ ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ล้มเหลวไปแล้ว”

คนทั้งสองเดินออกไปจากประตูเรือนที่เดิมทีก็ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ ไปหยุดอยู่บนทางสายเล็กนอกกำแพงเรือนอีกครั้ง

ชุยตงซานที่นอนอยู่ในระเบียงเหลือกตามองบน

เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ พูดท่องประโยคโหมโรงว่า “ข้าคือชาวยุทธที่อำมหิตเลือดเย็นคนหนึ่ง”

หลี่ไหวเลียนแบบทันที “ข้าคือนักฆ่าไร้ความเมตตา ข้าฆ่าคนตาไม่กะพริบ ข้าสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพ…”

เผยเฉียนไม่พอใจเท่าไหร่ “พูดมากขนาดนี้ทำไม กลับจะทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง เจ้าเห็นจอมยุทธที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหนังสือไหม ฉายาของพวกเขามากสุดก็แค่สี่ห้าคำ มากเกินไป มันเข้าท่างั้นรึ?”

หลี่ไหวรู้สึกว่ามีเหตุผล แสร้งทำเป็นว่าตัวเองสวมงอบอยู่บนศีรษะ จึงยื่นมือไปจับประคองงอบเลียนแบบคนบางคน มือหนึ่งประคองจับกระบี่ไม้ไผ่ที่รัดไว้ตรงเอว “ข้าคือนักฆ่าและมือกระบี่ที่ไร้เมตตาปราณี”

คนทั้งสองทยอยกันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา คราวนี้ตอนที่พลิ้วกายลงพื้น ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ทำพลาด

จากนั้นเผยเฉียนและหลี่ไหวก็ม้วนตัวตีหลังกาอยู่ในลานบ้านตามหลังกันไป

นี่เป็นขั้นตอนที่คนทั้งสอง ‘วางแผนกันมานานแล้ว’ ไม่อย่างนั้นหากอยู่ดีๆ วิ่งพรวดไปบนบันได จ้วงดาบแทงกระบี่ใส่ชุยตงซาน ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าจืดชืดไร้รสชาติเกินไปหน่อย

หลังจากยืดตัวขึ้นแล้ว คนทั้งสองก็เดินย่องไปที่บันได ต่างคนต่างยื่นมือมากุมกระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ เผยเฉียนกำลังจะชักดาบฟัน ‘ปีศาจใหญ่’ ที่ชื่อเสียงชั่วช้ากระฉ่อนไปทั่วยุทธภพ หลี่ไหวดันโพล่งขึ้นมาเสียก่อนว่า “เจ้าปีศาจตายซะเถอะ!”

เผยเฉียนหยุดเท้ากึก หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่ไหวอย่างโกรธเคือง หลี่ไหวอึ้งงันอยู่กับที่ทันที “อะไร?”

เผยเฉียนถาม “เจ้าเป็นนักฆ่าที่ไปมาไม่ทิ้งร่องรอยไม่ใช่หรือ ก่อนฆ่าคนนักฆ่าจะต้องตะโกนโหวกเหวกทำไม?”

หลี่ไหวพลันกระจ่างแจ้ง

เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที “ต้องเอาใหม่อีกรอบแล้ว!”

หลี่ไหวพูดขอโทษไม่หยุด

คนทั้งสองไม่เห็น ‘ปีศาจ’ ตนนั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

คนทั้งสองวิ่งไปที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างระอาใจว่า “ปีศาจใหญ่ที่รอความตายอย่างข้าเหนื่อยกว่าพวกเจ้าแล้วนะ”

ออกจากเรือนมา เผยเฉียนก็เอ่ยสั่งสอนทันที “หลี่ไหว หากเจ้ายังทำตัวเหลวไหลอีก วันหน้าข้าจะไม่พาเจ้าออกไปท่องยุทธภพด้วยกันแล้ว”

หลี่ไหวพูดรับรอง “จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!”

เผยเฉียนพลันถามว่า “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ตำแหน่งในพรรคสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากสร้างคุณความชอบที่โด่งดังไปทั้งยุทธภพครั้งนี้แล้ว เจ้าว่าพี่หญิงเป่าผิงจะเลื่อนขั้นให้ข้าเป็นหัวหน้าสาขาน้อยหรือไม่?”

หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่นอน! หากหลี่เป่าผิงให้รางวัลและลงโทษไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถยกตำแหน่งหัวหน้าสาขาให้เจ้าได้ ข้าเป็นรองหัวหน้าก็พอแล้ว”

เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวเจ้าฝีมือธรรมดา แต่กลับเป็นจอมยุทธผู้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง”

หลี่ไหวโต้กลับ “นักฆ่า มือกระบี่!”

ผลคือศีรษะของทั้งสองคนต้องกินมะเหงกกันไปคนละลูก “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก มาทำอะไรกันอยู่ที่นี่?”

พอเผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันก็กระทืบเท้าหลี่ไหวทันที หลี่ไหวพูดอย่างห้าวเหิมว่า “ข้าเป็นคนชวนเผยเฉียนให้มาขจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา สังหารพญามารชุยตงซานร่วมกับข้าเองล่ะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ยกพญามารให้จอมยุทธใหญ่ผู้มีวิชายุทธล้ำเลิศจัดการเถอะ ตอนนี้ความสามารถของพวกเจ้าสองคนยังไม่มากพอ ไว้ค่อยว่ากัน”

เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่คืนมาจากหลี่ไหวแล้วไปนอนในห้องด้านข้าง ก่อนหน้านี้นางล้วนนอนอยู่ในหอพักของหลี่เป่าผิง เพียงแต่วันนี้เป็นข้อยกเว้น

เฉินผิงอันพาหลี่ไหวกลับไปที่หอพัก

เจอกับอาจารย์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ลาดตระเวนยามดึก บังเอิญเป็นคนคุ้นเคยพอดี เขาก็คือคนเฝ้าประตูแซ่เหลียงผู้นั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไร้แซ่ไร้นาม เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้างที่จะช่วยหลบเลี่ยงการถูกลงโทษให้แทนหลี่ไหว

อาจารย์ผู้เฒ่าพูดง่าย ไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังรั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง

หลี่ไหวรู้สึกมีหน้ามีตาอย่างมาก ใจนึกอยากจะให้คนทั้งสำนักศึกษาได้มาเห็นภาพนี้ แล้วก็อิจฉาที่เขามีเพื่อนเช่นนี้

เฉินผิงอันบอกลากับอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็ลูบศีรษะหลี่ไหว พูดประโยคหนึ่งที่ตอนนั้นหลี่ไหวฟังไม่เข้าใจ “เรื่องแบบนี้ข้าทำได้ แต่เจ้าต้องห้ามคิดว่าสามารถทำได้บ่อยๆ”

หลี่ไหวกล่าว “วางใจเถอะ วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจเรียนแน่”

เฉินผิงอันพูดต่อว่า “เรียนหนังสือได้ดีหรือไม่ ฉลาดหรือไม่ นี่คือเรื่องหนึ่ง ท่าทีที่มีต่อการเรียน โดยภาพรวมแล้วสำคัญกว่าผลสำเร็จของการเรียนหนังสือเสียอีก นี่ก็คืออีกเรื่องหนึ่ง บนเส้นทางของชีวิตคน เห็นได้ชัดว่าผลกระทบที่มีต่อคนนั้นยาวไกลมากกว่า ดังนั้นตอนที่อายุยังน้อยจึงต้องตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย วันหน้าต่อให้ไม่เรียนแล้ว ไม่คบค้าสมาคมกับตำราของอริยะปราชญ์แล้ว รอให้เจ้าไปทำเรื่องอื่นที่เจ้าชื่นชอบ เจ้าก็ยังจะตั้งใจทำเพราะความเคยชินอยู่ดี”

หลี่ไหวคล้ายจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันเดินพลางวาดเส้นเส้นหนึ่งเบื้องหน้าตัวเองอย่างง่ายๆ “ยกตัวอย่างเช่น นี่คือเส้นหนึ่งบนเส้นทางชีวิตของพวกเราทุกคน ความเป็นไปเป็นมา สภาพจิตใจ นิสัย หลักการเหตุผล ความรู้ทั้งหมดของพวกเรา ล้วนจะขยับเข้ามาใกล้เส้นนี้โดยที่เราไม่อาจบังคับได้ นอกจากอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมต้องมีวันหนึ่งที่หากมองภายนอกจะเห็นว่ายิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลไปจากการเรียนหนังสือ ไกลจากตำราและหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์มากขึ้นทุกที แต่สำหรับท่าทีหรือขั้นตอนต่างๆ ที่พวกเรามีต่อการใช้ชีวิตกลับดำรงอยู่บนเส้นนี้มานานแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าก็จะยังเดินหน้าไปตามเส้นทางนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่อิทธิพลที่เส้นนี้มีต่อพวกเราจะติดตามพวกเราไปตลอดชีวิต”

จากนั้นเฉินผิงอันก็วาดวงกลมวงหนึ่งล้อมปลายด้านหน้าของเส้นนั้น “ทางที่ข้าเดินผ่านมาค่อนข้างไกล ได้รู้จักกับคนมากมาย แล้วก็เข้าใจนิสัยเจ้าดี ดังนั้นข้าจึงสามารถพูดขอร้องอาจารย์ผู้เฒ่าให้ไม่ลงโทษเจ้ากับการที่เจ้าไม่รักษากฎห้ามเข้าออกยามวิกาลในคืนนี้ แต่ตัวเจ้าเองกลับพูดไม่ได้ เพราะอิสระของเจ้าในเวลานี้…มีน้อยกว่าข้ามาก เจ้ายังไม่สามารถไปงัดข้อกับ ‘กฎเกณฑ์’ ได้ เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง”

หลี่ไหวจ้องเฉินผิงอันตาค้าง แล้วจู่ๆ ก็หน้าม่อยหม่นหมอง “ข้าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะจดจำไว้ได้แล้ว เฉินผิงอัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าจะไปจากสำนักศึกษาแล้วล่ะ? ฟังแล้วเหมือนคำสั่งเสียก่อนตายเลยนะ?”

คนทั้งสองเดินมาใกล้ถึงหอพักของหลี่ไหวแล้ว เฉินผิงอันถีบเข้าที่ก้นหลี่ไหวหนึ่งที พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “ไสหัวไปเลย”

หลี่ไหวลูบก้นเดินตรงไปยังประตูหอพัก แล้วจึงหันหน้ากลับมามอง

เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือให้เขา

มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ

เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน หลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยต่างก็กำลังฝึกตน

หากผู้ฝึกลมปราณเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้วละก็ ก่อนที่จะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง การฝึกตนมักจะไม่เลือกช่วงเวลากลางวันกลางคืน

ไม่อาจไม่ตัดขาดต่อเรื่องราวทางโลก เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้กิเลสปรารถนาได้

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

แล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านด้วยท่าเดินกลับหัว

ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งมาหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะภายใน เส้นชีพจรและโครงกระดูกด้วยความอบอุ่น

ว่ากันว่าหลังจากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดร่างทองแล้ว จะเรียกว่าใช้ลมปราณเป็นเก้า นั่นก็คือสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตอันเลิศล้ำที่ไม่ต้องมีลมปราณออกหรือเข้าจากจมูก

เมื่อไปถึงขอบเขตสิบ หรือก็คือขอบเขตสุดท้ายของผู้เฒ่าแซ่ชุย หลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้ง ก็จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าฟ้าดินขนาดเล็ก ประหนึ่งทวยเทพบรรพกาลองค์หนึ่งที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

ผู้ที่ใช้ลมปราณได้อย่างเชี่ยวชาญจะสามารถควบคุมน้ำทำให้น้ำในแม่น้ำไหลทวนกระแส ควบคุมน้ำให้ทะเลสาบมหาสมุทรเดือดพล่าน ต่อให้อยู่ท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ เชื้อโรคทั้งหลายก็ไม่อาจกล้ำกราย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจรุกราน

ก็คือหลักการนี้

เฉินผิงอันพลันนึกถึงสตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญบนถนนในช่วงที่เดินทางไปภูเขาห้อยหัว

ตอนนั้นสายตาของเฉินผิงอันยังตื้นเขิน มองความลี้ลับอะไรมากมายไม่ออก ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง!

ผู้ฝึกยุทธผสานมรรคา ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง

ชุยตงซานไม่ได้อยู่ในเรือน

เขามาปรากฎตัวบนยอดเขาตงหัว

ยืนอยู่กับเหมาเสี่ยวตง

ชุยตงซานเอ่ยประโยคที่ไม่ค่อยจะเกรงใจนัก “หากพูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ เจ้าด้อยกว่าฉีจิ้งชุนมากนัก เจ้าได้แต่ซ่อมแซมแก้ไขบ้านเรือน ผนังสี่ด้านหรือหน้าต่าง แต่ฉีจิ้งชุนกลับสามารถช่วยสร้างบ้านให้กับลูกศิษย์ของตัวเองได้”

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ตอบโต้ชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “จ้าวเหยาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่มาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว นิสัยอ่อนโยน จึงต้องสอนให้เขารู้จักสละสิ่งของบางอย่าง เข้าใจถึงความยากลำบากทุกข์ทนบนโลกใบนี้ เขาถึงจะได้รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมืออย่างแท้จริง ซ่งจี๋ซินมองดูเหมือนยโสโอหัง เฉียบคม ทว่าในใจกลับมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ขี้ขลาด จำเป็นต้องใช้ความรู้บางอย่างของสำนักนิติธรรมที่ใกล้เคียงกับลัทธิขงจื๊อมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของเขา แยกแยะกฎเกณฑ์ให้ได้อย่างชัดเจน การที่จะปกครองบ้านเมือง จำเป็นต้องละทิ้งความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ และช่วงชิงเอาสติปัญญาขั้นสูงมาใช้ แต่ก็ต้องไม่ห่างเหินจากลัทธิขงจื๊อมากเกินไป อีกทั้งสุดท้ายยังต้องเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องด้วย ส่วนอาจารย์ของข้าเคยชินกับการที่ไม่มีอะไรแล้ว ในใจของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ก็เพราะไม่มีที่พึ่งพา ดังนั้นจึงควรต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะหยิบบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็เล่าเรียนศึกษาความรู้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยนำหลักการเหตุผลที่ตัวเองวิเคราะห์ใคร่ครวญออกมาได้มาทำเป็นหินทับท้องเรือยามที่เรือลำน้อยล่องอยู่กลางนาวาแห่งความขมขื่น นี่เรียกว่าสอนตามความสามารถของผู้เรียน การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น”

ในที่สุดเหมาเสี่ยวตงก็เปิดปากพูด “ข้าสู้ฉีจิ้งชุนไม่ได้ ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าสู้เจ้าชุยฉานไม่ได้”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เอาตัวมาเปรียบเทียบกับคนอย่างข้า เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาไม่รังเกียจว่าจะเสียหน้าบ้างรึ?”

เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก รังเกียจที่จะพูดต่อปากต่อคำ

ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “จะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่? ถึงเวลานั้นข้าจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้เจ้า”

เหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีจะตอบคำถามข้อนี้ อารมณ์ของเขาเวลานี้ค่อนข้างหนักอึ้ง “ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเกิดปัญหาใหญ่หรือไม่? ตอนนี้เมธีร้อยสำนักลิงโลดกันขนาดนี้ ต่างพากันวางเดิมพันกับราชวงศ์โลกมนุษย์แห่งต่างๆ ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์อย่างมาก ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า…”

เหมาเสี่ยวตงไม่พูดต่ออีก

ชุยตงซานกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าใช้นักโทษกลุ่มนั้นไปต้านทานเผ่าปีศาจ คือเรื่องที่พวกเราเก้าทวีปใหญ่เคยชินคิดว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินและต้องเป็นหน้าที่ของพวกผู้ฝึกกระบี่ ส่วนความจริงและผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูกันไป”

เหมาเสี่ยวตงหันหน้ามามองเขา

ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล “ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ หากเจ้าคือกากเดนเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้าอยากจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่รากหรือไม่? หากเจ้าคือชาวบ้านพลัดถิ่นหรือนักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในกรงขังแห่งหนึ่ง จะอยากหันกลับมาพูด…ความในใจที่เก็บกลั้นมานานปีกับใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีอริยะสามลัทธิเฝ้าพิทักษ์มาโดยตลอด”

ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “ไม่พูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่ง เอาแค่ครึ่งเดียว ขอแค่เต็มใจร่วมมือกัน และยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย การที่จะบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วค่อยกลืนกินทวีปทั้งหลายในใต้หล้าไพศาล เป็นเรื่องยากนักหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงกล่าว “ข้าคิดว่าไม่ง่าย”

ชุยตงซานไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยเพียงว่า “ลองเปิดตำราประวัติศาสตร์อ่านให้มากๆ ก็จะรู้คำตอบเอง”

เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย “ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีเฉินฉุนอันที่บนไหล่แบกดวงตะวันและดวงจันทรา!”

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ในตำราประวัติศาสตร์ก็มีคนบางส่วนที่ตายเร็ว ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามหอมขจรพันปี ตายช้า ทิ้งชื่อเสียงเน่าเหม็นฉาวโฉ่หมื่นปี”

เหมาเสี่ยวตงกำลังจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ชุยตงซานกลับหันหน้ามายิ้มให้เขาเสียก่อน “ข้าก็พูดไปส่งเดช นี่เจ้าคิดจริงจังด้วยหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หากความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าพูดเหลวไหล ถึงเวลานั้นข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”

ชุยตงซานยกยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตบะสูงแล้ว ความใจกว้างก็เพิ่มมากตามไปด้วย”

เหมาเสี่ยวตงทอดสายตามองออกไป

ใต้หล้าไพศาลมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ก็ย่อมมีไฟสงครามและความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังถือว่าสงบสุขสันติเหมือนอย่างเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พวกเด็กได้เห็นภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ภาพคนอดยากหิวโหยยาวไกลเป็นพันลี้จากแค่ในตำราเท่านั้น ทุกๆ วันพวกผู้ใหญ่ก็แค่ต้องคิดเรื่องกินเรื่องอยู่ บัณฑิตยากจนที่ตรากตรำเล่าเรียนต่างก็อยากเป็นชาวนาในยามเช้า เป็นขุนนางในยามเย็น ปัญญาชนส่วนใหญ่ที่ได้เป็นขุนนางแล้ว ต่อให้ต้องตกอยู่ในอ่างย้อมสีขนาดใหญ่ (เปรียบเปรยถึงว่าถูกสิ่งไม่ดีแพร่มาสู่ตัว) ที่คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิมอย่างวงการขุนนาง ทว่าบางครั้งยามพลิกอ่านตำราช่วงดึกที่เงียบสงัดก็อาจจะยังรู้สึกละอายใจต่อคำสอนของอริยะปราชญ์ วาดฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ยาวไกล

ชุยตงซานมองลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายบุ๋นซึ่งเขาเคยดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันเขย่งปลายเท้า ตบไหล่เหมาเสี่ยวตง “วางใจเถอะ ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ยังมีคนอย่างอาจารย์ของข้า ศิษย์น้องเล็กของเจ้า อีกอย่างก็ยังมีเวลาให้พวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหว หลินโส่วอีเติบโต ใช่แล้ว มีประโยคหนึ่งพูดไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ?”

เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคมีชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นของอาจารย์ตน “สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม”

ชุยตงซานกระแอมหนึ่งที “บอกตามตรง ปีนั้นที่ซิ่วไฉเฒ่าสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เป็นข้าที่มีคุณความชอบใหญ่หลวง งั้นเดี๋ยวข้าเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้เจ้าฟังดีกว่า ตอนนั้นข้ากับซิ่วไฉเฒ่าเดินผ่านโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง เจอกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามทรวดทรงอ้อนแอ้น…”

เหมาเสี่ยวตงคว้าไหล่ของชุยตงซานแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรงจนร่างของชุยตงซานลอยหวือตกลงไปจากยอดเขาภูเขาตงหัว เขาผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบน้อย พูดจาเหลวไหลจนติดลมเลยรึ?”

……

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภา

หุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งที่ลักษณะคล้ายบ่อโบราณ

ถูกใต้หล้าแห่งนี้เรียกขานว่าตำหนักอิงหลิง (วิญญาณวีรบุรุษ)

เล่าลือกันว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นซากสมรภูมิรบหลังจากที่บรรพบุรุษของปีศาจใหญ่ที่มีพลังการต่อสู้เทียมฟ้าท่านหนึ่งต่อสู้กับนักพรตน้อยขี่วัวซึ่งเดินทางมาไกลเหลือทิ้งไว้หลังจากเปิดศึกใหญ่ต่อกัน

ในใต้หล้าแห่งนี้ศึกครั้งนั้นถูกนำมาบรรยายอย่างยิ่งใหญ่ดุเดือด มีเพียงปีศาจใหญ่เพียงหยิบมือที่รู้ความจริงว่า ในความเป็นจริงแล้วศึกใหญ่นั้นคือเรื่องจริง แต่กลับไม่ใช่ศึกระหว่างปีศาจใหญ่กับนักพรตที่ขี่วัวดำเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ แต่คือศึกอันน่าอนาถที่เกิดขึ้นมานานยิ่งกว่านั้น ก็แค่ว่าตอนนั้นมีปีศาจใหญ่ที่วัยวุฒิสูงมากคนหนึ่งปีนป่ายมาหลายพันปี กว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการจนปีนจากก้นบ่อมาถึงปากบ่อได้ แต่กลับต้องมาถูกนักพรตที่ยืนอยู่บนปากบ่อ ใช้นิ้วข้างหนึ่งกดลงเบาๆ ดีดมันให้ร่วงกลับลงไปในก้นบ่ออีกครั้ง

ตอนนี้บนอากาศเหนือผนังสี่ด้านของ ‘บ่อน้ำ’ แห่งนี้มีเก้าอี้นั่งขนาดมหึมาเรียงกันล้อมเป็นวง

มีทั้งหมดสิบสี่ตัว แต่ละตัวสูงต่ำไม่เท่ากัน

มีทั้งขุนเขากลับหัวปริแตกลักษณะคล้ายแท่นสูง มีทั้งหอแก้วเรือนหยกที่เล่าลือกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ ยิ่งมีทั้งโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

มีบัลลังก์แห่งหนึ่งที่เกิดจากกระดูกขาวโพลนจำนวนมากทับถมกันเป็นกระดูกใหญ่มโหฬาร มีปีศาจใหญ่กระดูกขาวที่กระดูกโปร่งใสราวกับหยกตนหนึ่งนั่งอยู่ ในมือของปีศาจถือจอกเหล้า ใต้ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนหัวกะโหลกหัวหนึ่ง ขยับเท้าหมุนมันเบาๆ

มีเสากลมสูงพันจั้งสลักอักขระโบราณเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า งูยาวสีแดงสดขดตัวล้อมวนรอบเสา พร้อมกับไข่มุกเจียวหลงที่หม่นหมองไร้ประกายหลายเม็ดบินวนเวียนอย่างเชื่องช้า

ชุดคลุมยาวสีเทาที่ขาดวิ่น ด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด พลิ้วโบกสะบัดไปตามสายลม

เรือนกายล่ำสันกำยำสวมเกาะสีทอง บนใบหน้าสวมหน้ากากมีแสงสีทองเหมือนสายน้ำไหลหลั่งรินออกมาจากตามร่องของเสื้อเกราะ คล้ายดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่งที่ถูกพันธนาการอยู่ในบ่อลึก

มีสตรีสวมมงกุฎราชันย์ สวมชุดคลุมมังกรสีทอง หัวเป็นคนร่างเป็นเจียว หางยาวตรงดิ่งทิ้งตัวลงไปในหุบเหวลึก มีสตรีร่างเล็กบางจำนวนนับไม่ถ้วนที่เมื่อเทียบกับร่างใหญ่โตมโหฬารของปีศาจสาวแล้วก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารกอดผีผาไว้ในอ้อมอก แถบผ้าหลากสีที่ล้อมวนอยู่รอบเรือนกายอรชรของพวกนางมีมากนับร้อยเส้น ปีศาจสาวเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาบดบี้สตรีอุ้มผีผาแต่ละตน นักพรตสวมชุดคลุมนักพรตสีขาวหิมะ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด เรือนกายสูงสามร้อยจั้ง แต่เมื่อเทียบกับ ‘เพื่อนบ้าน’ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งอื่นๆ แล้ว ร่างก็ยังคงเล็กจ้อย เพียงแต่ว่าด้านหลังของเขามีจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่งลอยขึ้นมา

มียักษ์สามเศียรหกกร ร่างกำยำ เปิดเปลือยหน้าอก นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะใบหนึ่งที่เกิดจากตำราสีทองวางซ้อนทับกันเป็นชั้น ตรงหน้าอกของเขามีบาดแผลที่น่าพรั่นพรึง เกิดจากโดนกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัน

ปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทุกคน ไม่มีคนใดเคยเข้าร่วมการเข่นฆ่าสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน

คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเก็บซ่อนอำพรางตัวที่เวลานี้ต่างก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลจำศีลอันยาวนาน

มีเพียงส่วนน้อยที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกลพันหมื่นปี แต่กลับไม่เคยสนใจศึกสงครามที่เกิดขึ้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เลือกที่จะมองดูดายอยู่เฉยๆ มาตลอดเวลา

ปีศาจใหญ่สองตนที่ตอนนั้นไปเยี่ยมเยือนผู้เฒ่าตาบอดที่ขุนเขาใหญ่สิบหมื่นไม่มีคุณสมบัติจะมาปรากฏตัวที่นี่

ตำแหน่งที่นั่งทั้งสิบสี่ที่นั่งโอบล้อมก้อนหินก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ

เมื่อเงาร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นกลางหินก็มีปีศาจบรรพกาลสองตนรีบเผยกายทันที ราวกับว่าไม่กล้าจะเผยตัวทีหลังผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน

ยังเหลืออีกตำแหน่งหนึ่งที่ว่างอยู่ มีเพียงดาบหนึ่งเล่มวางอยู่ตรงนั้น

ตำแหน่งนั้นคือบัลลังก์ที่สูงเป็นอันดับสามนอกเหนือจากของผู้เฒ่า ซึ่งเพิ่งปรากฎขึ้นใหม่ในตำหนักอิงหลิงหุบเหวลึกแห่งนี้

ผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไร

ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงยิ่งกว่าสถานที่ใดๆ

เจ้าของดาบเล่มนั้นเคยแอบต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่สองครั้ง แต่กลับเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องแล้วไปดื่มเหล้าด้วยกัน และยามใดที่มีเวลาว่างรู้สึกเบื่อหน่ายก็จะแล่นไปเยือนภูเขาใหญ่สิบหมื่นเพื่อช่วยผู้เฒ่าตาบอดเคลื่อนย้ายภูเขา

ตำแหน่งที่เป็นรองแค่ผู้เฒ่าคือ ‘ชายวัยกลางคน’ สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่กำลังนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้เผยร่างจริงของเผ่าปีศาจ ร่างของเขาจึงเล็กดุจเมล็ดงา

ตำแหน่งของคนผู้นี้สูงกว่าดาบเล่มนั้นเสียอีก

ปีศาจใหญ่ทุกคนที่นั่งประจำที่ รวมไปถึงปีศาจใหญ่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านนั้นต่างก็พากันลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องรอเขา เริ่มคุยกันได้เลย”

เหล่าปีศาจถึงได้พากันนั่งลง

ผู้เฒ่ามองไปยังปีศาจใหญ่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนนั้น “อันดับต่อไปเจ้าพูดอะไร ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จะทำอย่างนั้น ใครไม่ทำตาม ข้าจะพูดเกลี้ยกล่อมเอง ใครที่รับปากว่าจะทำ หลังจบเรื่อง…”

ปีศาจใหญ่ชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ พูดเสริมว่า “ภายนอกเชื่อฟัง ลับหลังขัดขืน”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง”

……

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ด้านหลังบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งมีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ลักษณะคล้ายเด็กรับใช้ติดตามมา

ชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินกะเผลกอยู่ด้านหลังกลับสวมเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มมีสีสันต่างออกไป เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ย่อมต้องถูกดูแคลนว่าเป็นเศษสวะ

ฟ้าดินกว้างใหญ่ที่แร้นแค้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสกปรกขุ่นมัวแห่งนี้ การที่เดินทางท่องไปทั่วด้วยร่างของมนุษย์ได้นั้น เดิมทีก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง

บุรุษผู้นี้เคยต่อสู้กับอาเหลียง แล้วก็เคยดื่มเหล้าด้วยกัน บนร่างของเด็กหนุ่มรัดกลไกของสำนักโม่ที่มีชื่อเรียกว่าชั้นวางกระบี่เอาไว้ มองปราดๆ หากใส่กระบี่ยาวไว้จนเต็ม ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็จะคล้ายนกยูงรำแพนหาง

ในใต้หล้าไพศาล เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถูกหลิวโยวโจวผู้เป็นสหายลากตัวไปเที่ยวด้วยกันทั่วสารทิศ เฉาสือไม่เคยไปเยือนศาลบู๊ ไปแค่ศาลบุ๋นเท่านั้น

ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ยามที่ต้องใช้มือเปล่ากำจัดปีศาจปราบมาร สังหารผู้ฝึกตนชั่วช้าโอสถทอง หลิวโยวโจวแค่ยืนชมงิ้วอยู่ข้างๆ ปรบมือร้องไห้กำลังใจก็พอ

ปีนั้นตอนที่เดินผ่านประตูใหญ่ระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัว เฉาสือก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตห้า ตอนที่เดินทางผ่านเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของแผ่นดินกลาง เขาก็แค่ฝึกหมัดเหมือนเวลาปกติ แต่กลับเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหกได้อย่างเงียบเชียบ

ชะตาบู๊มากไพศาลที่ท่วมท้นไปทั่วร่างของเขาแผ่กระจายออกไปสี่ทิศ ถึงขนาดทำให้ศาลบู๊แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงสั่นโยกจะพังถล่ม ชะตาบู๊ของเขายังคงไหลหลากเหมือนน้ำท่วม ถึงขนาดเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับชะตาบู๊ของแคว้นนี้ให้มากขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี

ใต้หล้ามืดสลัว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจ เดินขึ้นเขาไปตีกลองสวรรค์

ฟ้าดินเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยีมาปรากฏกายข้างกายเด็กหนุ่ม ทำหน้าที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์

ห้านครสิบสองชั้นของป๋ายอวี้จิง ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุด

นับจากนี้ไป มรรคาจารย์เต๋าจะมีลูกศิษย์คนสุดท้ายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

แจกันสมบัติทวีป สำนักศึกษาซานหยาของราชวงศ์ต้าสุย

เผยเฉียนกับหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยสองคนนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงของยอดเขา มองไปเบื้องล่างต้นไม้ด้วยกัน

เฉินผิงอันกำลังฝึกหมัด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version