Skip to content

Sword of Coming 427

บทที่ 427 ลงใต้

และในขณะที่จูเหลี่ยนรู้สึกว่าการมาจับผีครั้งนี้คงไม่มีหน้าที่ของตนนั้นเอง ประตูใหญ่ของจวนหลังนั้นก็เปิดออก มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา

จูเหลี่ยนอดไม่ไหวถามว่า “นายน้อย คือคู่รักของผีสาวตนนั้นหรือ? หน้าใหญ่นักเชียว ชายฉกรรจ์ท่านนี้ ดูแล้วไม่ด้อยไปกว่าองค์เทพแม่น้ำป๋ายกู่อย่างฮูหยินเซียวหลวนเลย”

คนที่เดินออกมาคือชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างกำยำ สวมเสื้อเกราะ ตรงแขนมีงูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวหนึ่งรัดพัน ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือออกก็ล้วนมีไอหมอกสีขาวล้อมวนเวียน ประหนึ่งควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ในศาลเจ้า

เฉินผิงอันจำคนผู้นี้ได้ เขาเคยปรากฏตัวบนแม่น้ำซิ่วฮวาพร้อมกับสวี่รั่ว มีความเป็นไปได้มากว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือองค์เทพบางท่านของแม่น้ำซิ่วฮวาหรือไม่ก็แม่น้ำอวี้เย่

เกี่ยวกับแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ ภูเขาฉีตุนและจวนแห่งนี้ ล้วนมีความพิถีพิถันทั้งสิ้น เว่ยป้อเคยเล่าว่านี่คือสถานที่ที่ถูกอำพรางเอาไว้เพื่อสยบโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้นเป็นองค์เทพของแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเหมือนกัน ทว่าเทพแม่น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ เมื่อเทียบกับเทพวารีของต้าหลีที่น่านน้ำซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองมีขนาดพอๆ กันแล้ว กลับมีระดับขั้นสูงกว่าเล็กน้อย

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นพูดเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน ฝ่าสิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่หนึ่งเข้ามาโดยพลการ บุกมาเยือนจวนสกุลฉู่ ตามกฎการแต่งตั้งภูเขาที่ต้าหลีกำหนดไว้ ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งก็ต้องถูกถอดถอนสำมะโนครัว ลบชื่อออกจากผังวงศ์สกุล ถูกเนรเทศไปไกลเป็นพันลี้!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ฮูหยินฉู่ผู้นั้นล่ะ?”

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาโบกมือ “นางไปจากจวนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว เห็นแก่ที่บนร่างเจ้ามีป้ายสงบสุขปลอดภัยอยู่แผ่นหนึ่ง และได้รับการบันทึกลงในเอกสารของกรมพิธีการแล้ว จะอนุญาตให้เจ้ารีบจากไป แต่ห้ามให้มีคราวหน้าอีก”

เฉินผิงอันกุมหมัดถาม “ขอถามท่านเทพวารี ตอนนี้ฮูหยินฉู่ไปอยู่ที่ใด?”

เทพแห่งสายน้ำที่ปรากฎตัวด้วยร่างทองผู้นี้ขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองกระบี่เล่มยาวที่เฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลัง “รู้แค่ว่าฮูหยินฉู่ไปที่สำนักศึกษากวานหู มีบัณฑิตคนหนึ่งตายอยู่ที่นั่น นางต้องการไปเก็บกระดูกของเขากลับมา แต่ช่วงเวลาอันใกล้นี้นางต้องยังไม่กลับมาที่นี่แน่”

เฉินผิงอันถอนหายใจ คงจะมาเสียเที่ยวแล้ว เขารู้สึกเสียดายยันต์กระดาษเหลืองสองแผ่นนั้นเล็กน้อย เอ่ยขออภัยกับเทพวารีท่านนี้ว่า “ครั้งนี้มาเยี่ยมเยือนฮูหยินฉู่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง คราวหน้าจะต้องระวังแน่นอน”

เทพวารีหัวเราะหยัน “ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ?”

ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร เทพวารีก็ชำเลืองตามองผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้น “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนาอย่างนั้นรึ?”

จูเหลี่ยนลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอัน “นายน้อย ขอให้ข้าได้ต่อสู้สักครั้งเถอะ หน้าตาท่าทางของเจ้าหมอนี่กวนโอ้ยยิ่งนัก กลับไปข้าจะต้องชดใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองให้นายน้อยแน่นอน”

เฉินผิงอันใช้สายตาบอกเป็นนัยกับจูเหลี่ยนว่าอย่าใช้สิ่งนี้มาหยั่งเชิงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เพราะผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นน่าจะไม่อยู่ที่จวนจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าวกับเทพวารีว่า “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”

และเวลานี้เอง ทางด้านหลังของจวนตระกูลฉู่ก็มีควันดำตลบอบอวลขุมหนึ่งผุดขึ้นมาด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ควันกลุ่มนั้นพุ่งกรูกันมาถึง สุดท้ายเมื่อสัมผัสกับพื้นก็กลายร่างมาเป็นคนที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าจวนกู้ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังซ่อมแซมรากฐานภูเขาและสายน้ำหรอกหรือ?”

ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจวนคนปัจจุบันจะเป็นเทพหยินแซ่กู้ที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาไปตลอดทาง อีกทั้งยังเป็นบิดาของกู้ช่าน

วัตถุหยินพยักหน้าให้เฉินผิงอัน จากนั้นค่อยหันไปคลี่ยิ้มบางๆ อธิบายกับเทพวารี “ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนทำลายสิ่งกีดขวาง คิดได้ว่าใต้เท้าเทพวารีมาตรวจสอบความก้าวหน้าอยู่ที่จวนพอดีก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ว่านึกถึงความวุ่นวายภายในของต้าหลีทุกวันนี้แล้วก็กังวลว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของต้าสุยที่คิดจะทำลายรากฐานของสถานที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคยที่มาเยี่ยมเยือน”

เทพวารีหรี่ตาลง “ปีนั้นเจ้าจวนกู้ปกป้องพวกเฉินผิงอันเดินทางไปต้าสุย พูดได้ว่าคุ้นเคยกันจริง ไม่ทราบว่าเจ้าจวนกู้จะยังเชิญให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับสหายด้วยหรือไม่?”

เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อเป็นเจ้าจวนกู้แล้ว ข้าก็ย่อมไม่กล้าถ่วงเวลาธุระสำคัญที่อยู่ในมือตัวเอง แค่จะพูดคุยกับเฉินผิงอันสักสองสามคำ แล้วส่งเขาออกไปจากอาณาเขตของจวนสกุลฉู่ก็เท่านั้น”

“การซ่อมแซมสายน้ำและรากภูเขาเป็นงานละเอียดที่ไม่อาจหยุดลงกลางคัน หวังว่าเจ้าจวนกู้จะไม่เสียเวลานานนัก ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องทำงานตามหน้าที่ บันทึกเรื่องนี้ลงไปในรายงาน” เทพวารีทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็หมุนตัวก้าวยาวๆ เข้าไปในจวน

เทพหยินสกุลกู้กุมหมัดขอบคุณ จากนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก่อนที่เฉินผิงอันซึ่งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนดีใจจะเปิดปากพูด เขาก็รีบพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ช่วยไม่ได้ คุ้มครองพวกเจ้าไปส่งในปีนั้นทำให้ได้รับคุณความเหนื่อยยากมาจากที่ว่าการกรมพิธีการ จึงได้สถานะเทพภูเขาที่ไม่ดีไม่เลวมาครอง ดังนั้นหลายๆ เรื่องจึงไม่อาจทำตามใจปรารถนา ไม่สามารถเชิญเจ้าไปเป็นแขกในจวนได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก ที่นี่ก็ไม่ถือว่าห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไกลนัก”

เทพหยินแซ่กู้พลันโค้งตัวลงต่ำจนสุด จากนั้นก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “เดินทางไกลคราวก่อน ข้าจากมาโดยไม่ลา เนื่องจากมีภารกิจติดตัว จึงไม่กล้าพูดเรื่องส่วนตัวโดยพลการ ตอนนี้ได้เป็นหนึ่งในองค์เทพของต้าหลีแล้ว แม้ว่าจะมีหน้าที่ติดตัว ไม่อาจออกจากพื้นที่ของตัวเองได้โดยไม่มีความจำเป็น แต่ก็ขออาศัยโอกาสนี้เล่าให้เจ้าฟังอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป ก็ถือว่าเป็นการลดเรื่องในใจไปได้เรื่องหนึ่ง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เทพหยินแซ่กู้ที่มีใบหน้าประดับรอยยิ้มก็โคจรวิชาอภินิหาร ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีล่องลอยพร่าเลือนเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัด เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดว่าค่อนข้างเหมือนใคร?”

เฉินผิงอันมองประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คงจะไม่ใช่?”

เทพหยินแซ่กู้หัวเราะเสียงดังกังวาน กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เฉินผิงอัน หากไม่มีเจ้า กู้ช่านก็ไม่มีทางได้รับโชควาสนาใหญ่ครั้งนั้นไปเปล่าๆ ! บุญคุณที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้านี้ ข้าผู้แซ่กู้ตอบแทนด้วยความตายก็ยังไม่มากเกินไป!”

เป็นนานเฉินผิงอันก็ยังไม่คืนสติกลับมา เขากล่าวว่า “มิน่าเล่าปีนั้นถึงมักจะรู้สึกว่าท่านชอบแอบมองข้าเป็นประจำ ตอนนั้นยังเข้าใจผิดคิดว่าท่านมีเจตนาร้าย ท่านอากู้ ท่านควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้!”

หลังจากนั้นก็พูดคุยเรื่องยิบย่อยของคนรู้จักในตรอกหนีผิง เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่มีสิ่งกีดขวางระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เทพหยินแซ่กู้ยิ้มขื่นกล่าวว่า “ไม่กล้าละเมิดกฎ ใช่แล้ว ก็เหมือนอย่างที่เทพวารีกล่าว จวนสกุลฉู่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี รากฐานภูเขาและแม่น้ำจึงพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี มีสภาพเหมือนรากบัวที่ถูกตัดขาดจนเหลือแค่ใยแล้ว ข้าไม่อาจออกมานานนัก ข้าคงไม่ไปส่งไกลกว่านี้แล้ว แยกกันตรงนี้แล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ครั้งนี้ข้ากลับมาจากนครมังกรเฒ่า เพราะทะเลสาบเจี่ยนหูตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป สงครามลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง เรือข้ามฟากตระกูลเซียนต่างก็ไม่ยินดีไปเสี่ยงอันตราย ข้าคิดว่าอีกไม่นานก็จะไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู ไม่ทราบว่าท่านอากู้รู้หรือไม่ว่าตอนนี้กู้ช่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นดีต่อเขาหรือไม่?”

เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “พวกเขาสองแม่ลูกสบายดีนักล่ะ เสี่ยวช่านกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสกัดคงคาเจินจวิน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วง ไม่อย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้อย่างไร”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ท่านอากู้ได้เลื่อนตำแหน่งเทพในเร็ววัน!”

เทพหยินแซ่กู้เอ่ยเตือนเสียงเบา “ใช่แล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าตอนนี้ทางบ้านเกิด กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนจำนวนมากที่ปีนั้นซื้อภูเขาไว้ได้เริ่มขายต่อเปลี่ยนมือกันแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรรีบกลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อภูเขาสักลูกสองลูกมาในราคาถูกได้ โอกาสอันดีเช่นนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ก็เลยส่งจดหมายกระบี่บินไปที่ภูเขาพีอวิ๋น บอกให้เว่ยป้อช่วยดูให้”

เทพหยินสกุลกู้โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาก็ปรากฎเป็นประตูใหญ่บานหนึ่ง เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในนั้น ก่อนจะหันหน้ามากุมหมัดบอกลาเทพหยินแซ่กู้

กลับมาเดินบนทางภูเขาอีกครั้ง เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าท่านอากู้จะกลายมาเป็นเทพหยิน แล้วยังได้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาสามคนจะได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อไหร่”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แม้จะไม่ได้พบผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้น แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยว ก็เหมือนอย่างที่นายน้อยเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าเดิมทีภูเขาฉีตุนก็เป็นสถานที่เงียบเหงาเปลี่ยวร้างซึ่งเว่ยป้อตกต่ำกลายไปเป็นเทพเจ้าที่ระดับปลายแถว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่แห่งปาฏิหาริย์ที่ทำให้เขากลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีได้ในก้าวเดียวเช่นกัน ดังนั้นคำว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดาก็เป็นเช่นนี้เอง”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ไปกันเถอะ ไปเมืองหงจู๋กัน”

คนทั้งสองเพิ่มความเร็วฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ที่เผยเฉียนกับสือโหรวนำไปก่อนแล้ว

จนกระทั่งเดินออกไปจากแถบภูเขาแห่งนั้นได้หลายสิบลี้ คนทั้งสองคุยเล่นกันไปตลอดทาง จูเหลี่ยนชะลอฝีเท้า ใช้ความสามารถของผู้ฝึกยุทธที่รวมเสียงให้กลายเป็นเส้นถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย หลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อ?”

เฉินผิงอันเองก็ใช้การรวมเสียงให้กลายเป็นเส้น ตอบด้วยสีหน้าปกติ “ไม่รีบร้อน ไปถึงเมืองหงจู๋แล้วค่อยวางแผนขั้นถัดไป ไม่อย่างนั้นท่านอากู้อาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่”

……

หน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลฉู่

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาสีหน้ามืดทะมึน มองเจ้าจวนที่เดินกลับมาช้าๆ ตวาดกร้าวว่า “กู้เทา ข้าบอกให้เจ้าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสายหลักของโชคชะตาน้ำของจวน ห้ามห่างออกไปแม้แต่ก้าวเดียว! เจ้ากลับวิ่งออกมาเองโดยพลการอย่างนั้นรึ?!”

แขนของเทพวารีข้างที่มีงูเขียวรัดพันพลันสั่นสะเทือน งูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวนั้นร่วงลงพื้นแล้วขดกาย กลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดลำตัวหนาใหญ่เท่าถังน้ำ จากนั้นมันก็เลื้อยออกไปช้าๆ ขดตัวล้อมให้เจ้านายและเจ้าจวนผู้นั้นอยู่ในวงขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะชูคอ มองจับจ้องเทพหยินแซ่กู้ด้วยสายตาเย็นชา

เทพวารียื่นมือไปคว้าจับ ในมือก็มีหอกยาวที่ทำจากเหล็กกล้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา แสงสีทองที่วนเวียนอยู่รอบทวนประหนึ่งสายน้ำที่ไหลริน เขาหัวเราะหยันกล่าวว่า “ราชครูมีคำสั่ง ขอแค่เจ้ามีการกระทำใดที่เกินขอบเขตแม้แต่นิด ข้าก็สามารถสลายจิตวิญญาณของเจ้าได้ครึ่งหนึ่ง! หากเจ้าไม่ยอมแพ้ก็ลองอาศัยจวนตระกูลฉู่แห่งนี้มาต่อต้านดูได้”

เทพหยินแซ่กู้ไม่สะทกสะท้าน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “การที่ปรากฏตัวครั้งนี้ก็เพื่อพูดความลับนั่นออกไป เป็นเพราะเก็บกลั้นมานาน หากไม่พูดก็อึดอัดใจ เทพวารีมาเยือนครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่ง อีกทั้งยังได้บอกเตือนข้าก่อนแล้ว ข้ายอมรับการลงทัณฑ์! แต่ข้าหวังว่าก่อนที่เทพวารีจะลงโทษข้า จะช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดแม้แต่พบหน้าเฉินผิงอัน ข้าก็ยังทำไม่ได้? หวังว่าใต้เท้าเทพวารีจะช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจ ไม่อย่างนั้นต่อให้กายข้ายอมรับการลงทัณฑ์ ใจข้ากลับไม่ยินยอม!”

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาจ้องเทพหยินตนนี้เขม็ง เขาไม่ได้กำลังสองจิตสองใจว่าควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเทพหยินที่เป็นเจ้าของจวนตนนี้ไปดีหรือไม่ แต่กำลังลังเลว่าควรจะทำลายจิตวิญญาณทั้งหมดของอีกฝ่ายเลยดีไหม

ความเป็นความตายของกู้เทาอยู่ระหว่างทางเลือกสองทางนี้

หายนะครั้งนี้ย่อมไม่อาจหลีกหนีไปได้ แต่ตอนนี้ยังจำเป็นต้องให้กู้เทาซ่อมแซมชดเชยโชคชะตาของจวนสกุลฉู่จริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ที่นี่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ในฐานะองค์เทพองค์แรกของห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลี เว่ยป้อจึงยิ่งแสดงให้เห็นบารมีอันสูงศักดิ์ขององค์เทพมากขึ้นทุกที ดังนั้นควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของกู้เทาเมื่อไหร่ นอกจากจะต้องสอบถามใต้เท้าราชครูแล้ว ตามกฎเกณฑ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของต้าหลี เขาก็ยังจำเป็นต้องรายงานให้เว่ยป้อทราบด้วย

นี่เรียกว่าขุนนางประจำอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่

หากไม่เป็นเพราะตั้งแต่ต้นจนจบกู้เทาไม่เคยเปิดเผยท่าทีว่าจะโน้มน้าวให้เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซู กลับกันยังเกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันกลับไปซื้อภูเขาที่บ้านเกิดด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้กู้เทาก็คงจิตวิญญาณแหลกสลายไปนานแล้ว

นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ข่าวคราวส่วนใหญ่จากทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้เทาได้รับมาเป็นการส่วนตัว อันที่จริงล้วนเป็นข่าวที่สายลับของต้าหลีต้องการให้เจ้าจวนท่านนี้รับรู้

อยู่ดีๆ เทพวารีก็ขว้างทวนยาวในมือออกไป ทวนยาวแทงทะลุหน้าท้องของเทพหยินไปปักตรึงฝังอยู่บนพื้นดิน แสงสีทองบนทวนยาวเปล่งประกายเผาไหม้รูโหว่บนร่างของกู้เทา ขนาดมีร่างกายอย่างกู้เทาที่เปลี่ยนจากวัตถุหยินมาเป็นองค์เทพร่างทองก็ยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี

กู้เทาเองก็กระดูกแข็งไม่น้อย เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ใบหน้าเริ่มบิดเบือน ควันดำทั่วร่างซัดตลบและเริ่มสลายออก

เทพวารียื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วปาดหนึ่งครั้ง ม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งก็ถูกคลี่ออก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในอาณาเขตของจวนสกุลฉู่เริ่มเกิดการไหลรินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามจิตใจของเทพวารีท่านนี้ ไม่ว่าจะเรื่องราวหรือบุคคลที่อยู่บนภาพวาดล้วนปรากฏเด่นชัดทั้งหมด

แล้วเขาก็คลี่ภาพอีกม้วน นั่นเป็นภาพในอาณาเขตของแม่น้ำซิ่วฮวา

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง “ขอแค่มีต้นตอน้อยนิดที่ทำให้ข้าเกิดความสงสัย ข้าก็ยินดีฆ่าเจ้าผิดมากกว่าจะปล่อยเจ้าไป!”

กู้เทาที่หน้าท้องถูกทวนยาวสีทองทะลุผ่านกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?! ใต้เท้าราชครูหรือจะยอมให้เจ้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจ้าแอบหลงรักฮูหยินฉู่มานานหลายร้อยปีแล้ว?! ทำไม ตอนนี้ข้าได้ยึดครองจวนของฮูหยินฉู่ เจ้าเห็นข้าก็เลยขัดหูขัดตา คิดจะกำจัดข้าเพื่อให้ตัวเองสบายใจ? คิดจะใส่ร้ายคนอื่นยังกลัวว่าจะหาข้ออ้างไม่ได้อีกหรือ? ดีๆๆ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ถึงจิตใจของเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอย่างเจ้าแล้ว!”

เทพวารีไม่สนใจกู้เทาที่เป็นเดือดเป็นแค้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่บนม้วนภาพวาด สังเกตสีหน้า ท่าทางและคำพูดของคนทั้งสองโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลุดรอดไป

ส่วนเรื่องที่ว่าใต้เท้าราชครูคิดจะทำอะไร เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาไม่สนใจ เป็นเพราะเขาไม่กล้ามีความคิดที่จะไปสืบเสาะไล่เรียง ไม่กล้าแม้แต่น้อย

ตลอดเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมาของต้าหลี

สำหรับราชครูที่คอยยืนอยู่ในเงาของฮ่องเต้มาตลอดเวลาท่านนี้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาเดินออกมาจากเงาก็ล้วนก่อให้เกิดลมคาวฝนเลือด หัวคนกลิ้งหลุนๆ ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีอำนาจหรือเซียนซือบนภูเขาก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นขุนนางคนสำคัญของศูนย์กลาง ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาหรือเซียนดินที่มีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ตาม

หากไม่หายเข้ากลีบเมฆก็มีจุดจบที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

เทพวารีกวักมือหนึ่งครั้ง บังคับให้ทวนยาวกลับเข้ามาอยู่ในมือ “เจ้าจงรีบกลับเข้าไปใต้ดินของจวน ซ่อมแซมส่วนที่เหลือของโชคชะตาซะ จงรอฟังคำสั่งต่อจากนี้ จะเป็นหรือตาย เจ้าก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีแล้วกัน”

กู้เทาเอามือกุมท้อง ร่างทองได้รับบาดเจ็บ ตบะเสียหาย ทำให้เทพหยินท่านนี้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด “เจ้าน่าจะรู้รากฐานของข้าอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!”

เทพวารีตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยชา “ที่พึ่งใหญ่ที่สุดของต้าหลีพวกเรา คือกฎหมายที่ราชครูช่วยตั้งให้แก่ฮ่องเต้”

……

เดินเลียบแม่น้ำซิ่วฮวาที่สายน้ำไหลรินเอื่อยเฉื่อยมาจนถึงเมืองหงจู๋ที่ยังคงครึกครื้นเฉกเช่นในอดีต

เฉินผิงอันเคยซื้อตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มหนึ่งให้หลี่ไหวจากร้านหนังสือของที่นี่

เผยเฉียนและสือโหรวไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเคยมาเข้าพัก

พอเข้ามาในห้อง เผยเฉียนที่กำลังจะอ้าปากเล่าถึงสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองหงจู๋แห่งนี้ เห็นสีหน้าของเฉินผิงอันแล้วก็เงียบกริบทันที

จูเหลี่ยนปิดประตูลง ยืนอยู่ใกล้กับประตู เฉินผิงอันยังคงเงียบขรึมไม่พูดไม่จา

ประโยคแรกที่เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นมาก็เข้าประเด็นทันที “ข้าคิดว่าจะยังไม่กลับไปเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อน จูเหลี่ยน เจ้าคุ้มครองเผยเฉียนและสือโหรวไปส่งที่ภูเขาลั่วพัว ที่แคว้นหวงถิงมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะลองไปดูว่าที่นั่นมีเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังทะเลสาบเจี่ยนซูหรือไม่ หากไม่ได้จริงๆ ก็เดินเท้าไปทะเลสาบเจี่ยนซู หากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว คิดจะไปที่นั่นอีกกลับจะยิ่งยาก”

จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “บ่าวเฒ่าเป็นวิชาแปลงโฉมที่ฝีมือถือว่าพอจะใช้ได้อยู่บ้าง ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าปลอมตัวเป็นนายน้อย ส่วนนายน้อยก็ปลอมตัวเป็นใครก็ได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ให้นายน้อยไปจากเมืองหงจู๋ก่อน พวกเรารั้งรออยู่ที่นี่สักสองสามวัน แบบนี้น่าจะเหมาะกว่า อาจไม่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้เสมอไป แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

สือโหรวมึนงงไม่เข้าใจ

เผยเฉียนก็ยิ่งสับสน

จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “นายน้อย ท่านบอกเองว่า ทุกเรื่องไม่ควรร้อนใจ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นนายน้อยที่รอบคอบ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพอไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน การประลองฝีมือของชุยตงซานครั้งนี้ เขาคงต้องแพ้แน่ๆ”

จากการที่เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาปรากฏตัว จนมาถึงท่านอากู้ที่ตามมาในภายหลัง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยเสี้ยวหนึ่ง

ดังนั้นตอนนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกที่จะเงียบงัน รอจนท่านอากู้เปิดปากพูดเอง ไม่ใช่ว่าพลั้งเผลอหลุดปากออกมา

แล้วก็จริงดังคาด

ในคำพูดของท่านอากู้มีความนัยซ่อนแฝง ‘เป็นครั้งแรก’ ที่เขาเปิดเผยสถานะบิดาของกู้ช่าน

เฉินผิงอันจึงร่วมเล่นละครไปพร้อมกับท่านอากู้ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยเตือนเฉินผิงอันด้วยความหวังดีว่าให้รีบกลับไปซื้อภูเขาที่เขตการปกครองหลงเฉวียน

หรือบอกว่าสองแม่ลูกอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซูปลอดภัยดีอะไรนั่น

ขอแค่เฉินผิงอันฟังออกว่าเป็นความหมายในทางตรงกันข้ามทั้งหมดก็จะรู้ได้เอง

นอกจากนี้จิตของคนทั้งสองก็เชื่อมโยงถึงกัน ต่างคนจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความแม้แต่คำเดียว หรือแม้แต่จะสบตาบอกเป็นนัยแก่กันสักครั้งก็ยังไม่ทำ

เพราะเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นต้องแอบจับตามองอยู่อย่างแน่นอน

หลังจากนั้นก็เป็นจูเหลี่ยนที่ช่วยแต่งเสริมรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีกับหญิงสาวชาวเรือที่มีเฉพาะในเมืองหงจู๋เสียก่อน ที่นั่นมีสายตาผู้คนมากมาย เหมาะแก่การแอบจับตามองคนอย่างลับๆ มากที่สุด เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่จำเป็นต้องสวมระหว่างเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูตัวนั้นออก เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวตัวหนึ่งแทน เพื่อสะดวกให้จูเหลี่ยนปลอมกายเป็นเฉินผิงอันยามไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว หากไม่มีชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสะดุดตามากเกินไป

จูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็ช่วยกันตรวจสอบชดเชยหาช่องโหว่อยู่เช่นนี้

เผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย ไม่คิดจะพูดจาสอดแทรกมุกตลกในช่วงเวลาเช่นนี้

สือโหรวยืนคุ้มกันอยู่ตรงตำแหน่งหน้าต่าง

นางไม่รู้สึกอีกแล้วว่าการที่จูเหลี่ยนเสนอให้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นการใช้ความต้องการส่วนตัวมาเบียดบังงานส่วนรวม

คืนนี้เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพากันออกไปจากโรงเตี๊ยม ดื่มเหล้าเคล้านารีกันไปรอบหนึ่ง เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม จูเหลี่ยนประหนึ่งปลาได้น้ำ พูดคุยกับหญิงสาวชาวเรืออย่างถูกคอจนทำให้ดรุณีน้อยนางนั้นเกิดความรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเกิดช้าไป

วันที่สองเฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปเดินเล่นทั่วเมืองหงจู๋ ซื้อของสารพัดอย่างเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเกิด อีกทั้งยังใกล้จะเข้าหน้าหนาว จึงสามารถเริ่มเตรียมของสำหรับปีใหม่ไว้ได้แล้ว

บุรุษวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งออกจากเมืองหงจู๋ไปอย่างเงียบเชียบ

ไม่ได้โดยสารเรือล่องไปตามตอนล่างของแม่น้ำซิ่วฮวา แต่เดินไปบนถนนทางหลวงที่จอแจไปด้วยผู้คนเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังชายแดน เมื่อไปใกล้ด่านพรมแดนก็ไม่ได้ใช้เอกสารผ่านด่านผ่านเข้าไปในแคว้นหวงถิง แต่เหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ชอบพันธนาการ เดินทางข้ามผ่านภูเขาสูงตระหง่านอย่างผ่อนคลาย แล้วจากนั้นก็เร่งเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน

มาถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิงด้วยเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ชายวัยกลางคนไม่ได้สอบถามเอาจากผู้ดูแลท่าเรือ เพียงแค่อาศัยฟังคนอื่นพูดคุยกันจนได้รู้ว่าตอนนี้ที่ท่าเรือไม่มีเรือข้ามฟากตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู เส้นทางเดินเรือสายนั้นหยุดเดินทางไปนานแล้ว จึงเลือกเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางไปยังภูเขากูซู ว่ากันว่าเมื่อเปลี่ยนเรือที่ภูเขากูซูก็จะสามารถเดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งได้ หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องเดินเท้าไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูเท่านั้น

บุรุษจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งเช่าห้องเดี่ยวของเรือข้ามฟากแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ภายใน

พอไปถึงภูเขากูซู บุรุษก็ได้ยินข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่เรือที่เดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งแห่งนั้นก็ยังหยุดเดินทางไปด้วย

บุรุษหยุดพักอยู่ที่ภูเขากูซูหนึ่งวัน เดินทางเตร็ดเตร่ไปทั่ว สุดท้ายจึงทุ่มเงินก้อนใหญ่ ใช้เงินเทพเซียนเช่าเรือส่วนบุคคลลำหนึ่งที่ราคาสูงกว่าเรือลำอื่นทั่วไปซึ่งไม่เต็มใจจะรักษากฎตายตัวมากนัก โดยจ่ายค่าเช่าไปก่อนครึ่งหนึ่ง ภายใต้สายตาของเจ้าของเรือที่มีใบหน้าประจบสอพลอแต่แววตากลับฉายชัดว่ากำลังมองคนโง่ บุรุษก้าวขึ้นเรือลำนั้น บนเรือมีเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียว

รอบกายรายล้อมไปด้วยคนเลว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุรุษยังมีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอจึงสัมผัสอะไรไม่ได้ หรือเป็นเพราะฝีมือสูงและใจกล้า ถึงได้จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ในขณะที่ทางเรือข้ามฟากมาแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสารว่าต้องการจอดเทียบท่าเพื่อเติมเสบียง ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็ยอมออกมาจากห้องพัก เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีขาว สะพายกระบี่เล่มยาว บนผมปักปิ่นเล่มหนึ่ง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

เขาเดินตรงไปหาเจ้าของเรือที่มีตบะขอบเขตชมมหาสมุทรโดยตรง ตบกาเหล้าสีชาดที่ธรรมดาอย่างยิ่งในสายตาของผู้ฝึกตนทั่วไป กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขากล่าวว่า “เงินเทพเซียนนั้นหาง่าย แต่หากสิ้นใจก็ไร้ชีวิตให้ใช้เงิน”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เป็นเจ้าของเรือซึ่งเกิดใจคิดสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ก็มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระเช่นกัน ในเมื่อถูกผู้โดยสารมองความคิดออกแล้วก็คร้านที่จะปกปิดไว้อีก เขาชำเลืองตามองน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนั้น ยิ้มกล่าวว่า “ลูกค้าคงไม่รู้ว่าหากอิงตามราคาของคนอาชีพอย่างพวกเรา น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของข้าบวกกับเรือลำนี้เสียอีก เจ้าคิดว่า…”

ไม่รอให้ผู้ฝึกตนเฒ่าพูดจบ กระบี่บินก็พุ่งวาบออกไป

ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ป่ายปีนจนมาถึงขอบเขตชมมหาสมุทร สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขาแล้ว ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา บังเอิญที่เขามีสมบัติวิเศษก้นกรุชิ้นหนึ่งที่พอจะต้านทานมันได้พอดี

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าอาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตหลบเลี่ยงกระบี่บินเล่มนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมีกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งปักตรึงเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขา

ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แต่หากเขามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ปลายกระบี่แทงลึกลงมาอีกนิด เขาก็ต้องตายแน่ๆ

ในขณะที่ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้ตกตะลึงว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งถึงมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม

หมัดหนึ่งก็พุ่งมาถึง

ต่อยให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณทั้งหมดของผู้ฝึกตนเฒ่าระเหยเป็นน้ำเดือด

แล้วก็ตามมาอีกหมัด

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่สามารถใช้ปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยงหลอมเรือนกายของตัวเองจนร่างกายแข็งแกรงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่ง เวลานี้ก็ยังถูกหมัดต่อยจนสำลักน้ำดี ล้มตึงแล้วลุกไม่ขึ้นอีก

กระบี่บินสองเล่มก็ยิ่งปักตรึงเข้าไปในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตสองแห่งของผู้ฝึกตนเฒ่า ปั่นป่วนให้ช่องโพรงทั้งสองเละเทะ เป็นเหตุให้ขอบเขตชมมหาสมุทรของเจ้าของเรือถดถอยกลับไปที่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยตรง ผู้ฝึกตนเฒ่าร้องโหยหวนคร่ำครวญไม่หยุด

คนผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้าน เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลง พูดกับคนที่เหลือว่า “รีบออกเดินทางต่อ”

หลังจากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็ไปนั่งอยู่ในมุมเล็กๆ ของห้องห้องหนึ่งที่นับว่ากว้างขวาง กระบี่บินสองเล่มบินล้อมวนอยู่รอบด้านอย่างเชื่องช้า

ผู้โดยสารคนนั้นกลับเอาแต่นั่งเปิดตำราอ่านอยู่ตรงนั้น

ผู้ฝึกตนเฒ่าปลุกความกล้าถามว่าตนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ขอบเขตถ้ำสถิตต้องถูกทำลายลงไปด้วย

บุรุษคนนั้นพยักหน้า ไม่มีความเห็นต่าง

หลังจากนั้นบุรุษก็อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า มีบ้างบางครั้งที่งีบหลับ บางครั้งก็ลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินพลางออกหมัดช้าๆ

เมื่อเรือข้ามฟากมาถึงแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในชายแดนแล้ว ก่อนที่บุรุษคนนั้นจะลงจากเรือก็จ่ายเงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งก้อน

หลังจากสอบถามผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีสีหน้าอ่อนระโหยจนรู้ถึงทิศทางที่ตั้งของทะเลสาบเจี่ยนซูคร่าวๆ แล้ว คนผู้นั้นก็ปลดกระบี่ยาวที่สะพายไว้ด้านหลัง แล้วโยนมันขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับฝักกระบี่

ครั้นจึงขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version