Skip to content

Sword of Coming 448

บทที่ 448 บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน

พบเจอกันบนทางแคบ

ทหารม้าไม่ติดอาวุธหนักจำนวนสามสิบกว่าคนกองหนึ่งหยุดม้าลงช้าๆ หิมะเกาะเต็มธนูที่พวกเขาพกไว้บนกาย มองดูแล้วให้ความรู้สึกกร้าวแกร่งผิดไปจากปกติ

มีทหารประมาณครึ่งหนึ่งที่ถือคบไฟไว้ในมือ ทหารม้าหลายคนที่เป็นผู้นำไม่ได้สวมเสื้อเกราะ พวกเขายืนโอบล้อมบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าประดุจหยกคนหนึ่ง ด้วยลมหิมะที่บดบังสายตา คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมจิ้งจอกสีขาวหิมะจึงกำลังหรี่ตามองมาทางม้าสามตัวนั้น เม้มริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสด ถือเป็นคุณชายสะโอดสะองคนหนึ่ง

ผู้ติดตามสามคนที่หยุดม้าขนาบสองฝั่งของคนผู้นี้ ทางฝั่งซ้ายมือคือชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำที่ในมือถือหอกยาว ประกายหอกคมกริบเปล่งแสงวาววับ เมื่อถูกสาดสะท้อนด้วยแสงไฟจากคบเพลิงในมือของทหารม้าที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งแวววาว

และยังมีชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งเหมือนลิงอีกคนหนึ่งที่ยกสองมือกอดอก ไม่มีทั้งธนูหรือดาบ แล้วก็ไม่ได้พกมีดหรือกระบี่ แต่สองฝั่งของอานม้าเขาห้อยศีรษะที่คราบเลือดแข็งเกรอะกรังไว้เป็นจำนวนมาก

ทางฝั่งขวามือมีอยู่คนเดียว อายุประมาณสี่สิบกว่าปี สีหน้าเฉยชา ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวที่สอดอยู่ในฝักไม้ลายต้นสน ด้ามกระบี่เป็นรูปหลิงจือ บุรุษมักจะยกมือขึ้นปิดปากไออยู่บ่อยๆ

ดูเหมือนคนหนุ่มผู้นั้นจะสนิทกับชายวัยกลางคนทางฝั่งขวามือมากที่สุด เขานั่งอยู่บนหลังม้า แต่ร่างกลับโน้มเอียงเข้าหาคนผู้นี้น้อยๆ

หลังจากที่มือกระบี่ผู้นี้ไอก็ชำเลืองตามองม้าสามตัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกว่าก้าว แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย เหมือนอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ คือสองคนหนึ่งผีจริงๆ ผีสาวหน้าตางดงามสวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกตนนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะมาจากกระดาษยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกที่ทำขึ้นด้วยวิธีเฉพาะของสกุลสวี่นครลมเย็น”

มือกระบี่วัยกลางคนยื่นมือออกมาคล้ายจะรับเกล็ดหิมะ คาดไม่ถึงว่าบนฝ่ามือของเขาจะมีภูตตัวจิ๋วที่สูงแค่นิ้วมือ เรือนกายเป็นสีขาวหิมะ ด้านหลังมีปีกที่เต็มไปด้วยขนหนึ่งคู่ ร่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะปรากฏขึ้นมา ขนาดอยู่ใกล้ขนาดนี้ยังแทบมองไม่เห็นเจ้าตัวน้อย คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนของตระกูลเซียน ประโยชน์ของมันก็คล้ายคลึงกับการมองภาพแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือ เพียงแต่ว่าหนึ่งอาศัยเวทคาถา อีกหนึ่งอาศัยสิ่งมีชีวิต

“ลำบากเจ้าแล้ว” บุรุษคลี่ยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่อยู่บนฝ่ามือ หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กลายครามประณีตงดงามใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภูติจิ๋วพุ่งพรวดเข้าไปในขวด จากนั้นบุรุษก็เก็บขวดกระเบื้องกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ

คนหนุ่มที่ถูกมือกระบี่คนนี้เรียกอย่างเคารพว่า ‘องค์ชาย’ เลิกคิ้วขึ้นสูง สายตาฉายประกายเร่าร้อน ร่างยิ่งโน้มเอียงไปมากกว่าเดิม พูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเจิง ข้าเคยได้ยินชื่อของสกุลสวี่นครลมเย็นมาก่อน เพียงแต่ว่าเสด็จแม่ตัดใจปล่อยให้ข้าออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาไม่ได้ จึงถูกถ่วงเวลามานานถึงแปดปี ข้าที่อยู่ในจวนของเมืองหลวง เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา แล้วก็เพื่อประหยัดเงินค่าน้ำหมึกให้กับพวกขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการเหล่านั้นจึงไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับเซียนซือบนภูเขาอะไรมาก่อน ยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกนี้คืออะไรกันแน่ มีความมหัศจรรย์ตรงที่ใด ท่านเจิงมีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังเคยเดินทางไกลไปครึ่งทวีปแล้ว ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”

ตอนที่คนหนุ่มกำลังพูด มือกระบี่วัยกลางคนที่อาจเป็นเพราะลมหิมะรุกราน ร่างกายไม่อาจทนรับความทรมานได้ไหวจึงควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาสีเขียวใสแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองออกมาสองเม็ด ยกมือตบเข้าปากเบาๆ สีหน้าของเขาถึงได้แดงปลั่งมีเลือดฝาดขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว บนใบหน้าของชายวัยกลางคนยังคงมีรอยยิ้ม เขากล่าวว่า “สกุลสวี่ได้ครอบครองเนินจิ้งจอกพันปีแห่งหนึ่งที่มีจิ้งจอกเฒ่าอยู่อาศัย มันเป็นพันธมิตรกับสกุลสวี่ ทุกปีจะต้องมอบหนังจิ้งจอกหลายผืนที่มีอายุตั้งแต่ร้อยปีไปจนถึงสามร้อยปีให้นำมาสร้างเป็นยันต์ แล้วเอาออกขายไปตามสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ได้รับความนิยมไปเกินครึ่งทวีป จวนเซียนดินที่ไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินเทพเซียน ส่วนใหญ่ล้วนมีสาวงามหนังจิ้งจอกหลายคนทำหน้าที่เป็นสาวใช้ ยันต์สาวงามนี้ เมื่อสัมผัสกับพื้นก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิต ในกระดาษยันต์ยังสามารถให้ภูตผีจิตหยินพักพิงได้ สาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าก็น่าจะเป็นเช่นนี้ หากเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลสวี่นครลมเย็น ก่อนจะซื้อยันต์หนังจิ้งจอกยังสามารถส่งภาพเหมือนของสตรีที่ตัวเองชื่นชอบไปให้ได้ แล้วสกุลสวี่ก็จะจ้างให้คนนำภาพนั้นสลักลงไปในหนัง ผู้ถวายงานผู้เฒ่าหลายคนที่เชี่ยวชาญวิชานี้ล้วนไม่เคยทำให้คนซื้อผิดหวังมาก่อน”

ชายหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง มอง ‘สตรี’ ที่หยุดม้าอยู่ห่างไปไกลแล้วสายตาก็ยิ่งฉายความกระหายอยากครอบครอง

แม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาตามกฎของบรรพบุรุษ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เคยปล่อยให้เสียเปล่า งานอดิเรกที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือปลอมตัวเป็นบัณฑิตตกอับที่พลาดการสอบเดินทางออกจากกรงขังที่ในประวัติศาสตร์สองครั้งเคยกลายเป็น ‘จวนมังกรซ่อน’ หรือไม่บางครั้งก็แต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวในเมืองหลวง เคยได้ลิ้มรสชาติของสตรีมานับร้อยนับพันรูปแบบ โดยเฉพาะสตรีในครอบครัวของพวกตาแก่ขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการทั้งหลายที่หากพอจะหน้าตาดีสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นสตรีแต่งงานแล้วหรือเด็กสาวก็ล้วนถูกเขาหลอกเอาทั้งตัวและทั้งหัวใจ ดังนั้นฎีการ้องเรียนบนโต๊ะทรงพระอักษรจึงมีมากมายดุจเกล็ดหิมะปลิวปราย เขายังถึงขั้นจงใจหยิบมาอ่านเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ ครอบครัวเชื้อพระวงศ์ที่มองดูเหมือนเข้มงวดน่ากลัวก็ยังคงรักบุตรชายคนเล็กมากที่สุดเหมือนกัน อีกอย่างเสด็จแม่ของเขาก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เสด็จพ่อจึงถูกกำไว้ในมือนางอย่างพอเหมาะพอดี เวลาส่วนตัวที่สามคนในครอบครัวกินข้าวร่วมโต๊ะกัน กษัตริย์ผู้ปกครองหนึ่งแคว้น ต่อให้ถูกเสด็จแม่สัพยอกต่อหน้าเหมือนเขาเป็นลาที่เชื่อฟังตัวหนึ่งก็ยังไม่รู้สึกเสียเกียรติ กลับกันยังหัวเราะเสียงดังชอบใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจฎีกาที่เอามาใช้ฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นรู้สึกว่าหากไม่ถูกเจ้าพวกตะพาบเฒ่าเหล่านั้นด่าสักคำสองคำ เขาจะต้องละอายใจจนไม่อาจเหลือที่ยืนไว้ให้ตัวเอง

ทว่ามีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้มานานเกินไปก็มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง

เขาคือคนที่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางได้ แล้วก็ทนรับความยากลำบากในการฝึกฝนเรือนกายและการฝึกหมัดฝึกเดินไม่ไหว จะให้เป็นปรมาจารย์ในยุทธภพจริงๆ ก็ทำไม่ได้ ส่วนเรื่องที่จะให้เขานำทัพทำสงคราม ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เขาก็ยิ่งไม่มีอารมณ์

ดังนั้นเขาจึงอดตำหนิเสด็จแม่ไม่ได้ รัชทายาทไม่ใช่เขา แม้แต่ตำแหน่งเสียนอ๋องก็ยังไม่ใช่ของเขา นี่เสด็จแม่รักเขาจริงๆ หรือ? ไม่ใช่แค่จงใจเลี้ยงเขาให้เป็นเศษสวะอยู่ข้างกายหรอกนะ? พี่ชายสองคนของเขาล้วนเป็นกากเดนที่อดีตฮองเฮาทิ้งเอาไว้ หันมามองสภาพอันน่าสังเวชของตนในเวลานี้ที่ถูกเสด็จแม่หาข้ออ้างทำให้กลายเป็นเหมือนสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง มีบ้านก็กลับไปไม่ได้ ได้แต่เตร็ดเตร่ไปมาอยู่นอกเมืองหลวง หญิงสาวชาวบ้านที่มีกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็กินจนเอียนแล้ว ต่อให้สตรีพวกนี้จะงดงามแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้จักปรนนิบัติคนอื่นอย่างสตรีในตระกูลชนชั้นสูง หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอว่า ตอนที่ตนแอบออกมาจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ เสด็จแม่ยังออกคำสั่งเด็ดขาดว่า เขาต้องนำพาคนไปสังหารกองลาดตระเวนของต้าหลีด้วยตัวเองให้จงได้ นี่ไม่ใช่บีบให้เขาไปตายหรอกหรือ? อันที่จริงเขาไม่เห็นดีกับราชวงศ์จูอิ๋งที่ดีแต่วางท่าใหญ่โตไปวันๆ ส่วนลึกในใจของเขาอยากสวามิภักดิ์ต่อคนเถื่อนต้าหลีที่กองกำลังแข็งแกร่งมากกว่า หากตอนนี้เขาเป็นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ป่านนี้ก็คงเปิดประตูใหญ่ของเมืองหลวงให้ซูเกาซานผู้นั้นจูงม้าเข้าเมืองมาตั้งนานแล้ว สงครามน่าสนุกตรงไหน เขาอยากเห็นภาพการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นมากกว่า นั่นต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริง การเข่นฆ่าสังหารบนหลังม้าก็แค่มดสองรังต่อสู้กันไม่ใช่หรือ?

แต่การออกจากบ้านมาผ่อนคลายอารมณ์ครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เลว เพราะตนได้เจอกับผีงามหนังจิ้งจอกที่แทบไม่ต่างอะไรจากคนเป็นๆ

องค์ชายหนุ่มอารมณ์ดีอย่างยิ่ง

ม้าสามตัวของฝ่ายตรงข้ามหยุดนิ่งอยู่นานแล้ว และก็คุมเชิงอยู่กับกองทัพม้าที่ฝีมือแกร่งกล้าทั้งอย่างนี้

องค์ชายที่มีนามว่าหันจิ้งซิ่น คือเชื้อพระวงศ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในราชสำนัก เวลานี้รอยยิ้มของเขายิ่งกดลึกเข้มข้น

นับว่ามีความกล้าหาญ เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นไม่ยอมหลบทางให้แต่โดยดี

ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ได้ครอบครองสาวงามหนังจิ้งจอก หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ขื่อไร้แปของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลในขอบเขตแคว้นสือหาว อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน นี่ก็พอจะเข้าใจได้

น่าเสียดายก็แต่เมื่ออยู่ในป่าชานเมืองเช่นนี้ สถานะหรือตัวตนล้วนใช้ไม่ได้ผล

สังหารคนในค่ำคืนที่ลมหิมะพัดกระโชก หันจิ้งซิ่นรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด การไล่ฆ่าที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานก็แค่เป็นการทะเลาะวิวาทกันเล็กๆ น้อยๆ ก็แค่สังหารขุนนางฝ่ายตรวจการที่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับคืนสู่บ้านเกิด จากนั้นก็เดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้อย่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลานเท่านั้น จะโทษก็โทษที่เมล็ดพันธ์เขาไม่ดี ให้กำเนิดบุตรสาวที่รูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวาไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้รับสตรีที่หน้าตาพอจะเข้าทีมาเป็นภรรยา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันแล้ว ด่าตนได้คล่องปากขนาดนั้น แม้แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ของตนก็ยังไม่ละเว้น ต้องเดือดร้อนไปพร้อมกับตนด้วย ส่วนเขาก็ได้ชื่อเสียงดีงามในหมู่ปัญญาชนว่าเป็นขุนนางผู้มีวาจาเก่งกล้าไปเปล่าๆ หากแค่นี้ก็ยังพอทำเนา ตาแก่นั่นไม่ได้เป็นขุนนางแล้ว แต่ตลอดทางที่เดินทางไปยังชอบบ่นนั่นบ่นนี่ ไม่เพียงแต่เดินทางอืดอาดเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพัก ยังจะคอยปรึกษาถกเถียงปัญหาปัจจุบันแล้วหาทางแก้ไขกับพวกปัญญาชนที่ไม่มีปัญญาจะเป็นขุนนางอีกด้วย

หันจิ้งซิ่นที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงคิดจะเป็นลูกกตัญญูดูสักครั้ง เขาจึงไล่ตามกองทหารคุ้มกันกองนั้นไป แล้วคว้านท้องตาแก่จนเละด้วยมือตัวเอง ต้องฟังคำตำหนิมานานหลายปีจนหูด้านชาไปหมดแล้ว ก็เลยอยากจะดูว่าในท้องเจ้านั่นจะมีคำบ่นคำตำหนิอยู่มากแค่ไหน เพียงแต่เขารู้สึกว่าตัวเองจิตใจมีเมตตายิ่งนัก พอเห็นตาแก่กุมท้องอยู่ในกองหิมะ น่าเวทนาอย่างยิ่ง ก็เลยเงื้อดาบฟันคอตาเฒ่าเสียขาด และตอนนี้หัวของอีกฝ่ายก็แขวนอยู่ด้านหนึ่งของอานม้าปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านนั้น ระหว่างทางที่เดินทางกลับท่ามกลางลมหิมะ หัวนั่นอ้าปากค้างแต่ไร้คำพูดใดๆ หลุดออกมา นี่ทำให้หันจิ้งซิ่นรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

หันจิ้งซิ่นเล่นหยกประดับชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ นี่ก็เป็นแค่สิ่งของบนภูเขาที่ได้มาโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่แท้จริง เพียงแต่ว่าเมื่อกุมอยู่ในมือ หน้าหนาวจะอุ่นร้อน หน้าร้อนจะเย็นสบาย ว่ากันว่ามาจากภูเขาเมฆาเรือง พอจะถือว่าเป็นวัตถุวิเศษได้ มือข้างที่ว่างอยู่ของหันจิ้งซิ่นยกขึ้นโบก บอกเป็นนัยให้ม้าสามตัวนั้นหลบทางไป

ม้าสามตัวค่อยๆ หันหัวขยับเปิดทางให้จริงๆ

หันจิ้งซิ่นอารมณ์ดีโดยพลัน ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนที่ไร้เดียงสาขนาดนี้อยู่จริงหรือ?

ทางฝั่งนั้น

หม่าตู่อี๋เอ่ยเตือนเสียงเบา “ท่านเฉิน อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนของทางการที่ยึดมั่นในหลักทำนองคลองธรรมสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ทั้งหม่าตู่อี๋และเจิงเย่รู้สึกไม่คุ้นเคย ทว่ากลับเข้ากับลมหิมะหนาวเย็นเสียดกระดูกในคืนนี้ได้ดีที่สุด

“ข้ารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมเลิกรา ลองแสร้งทำเป็นถอยให้เขาสักก้าวหนึ่ง ตอนที่พวกเขาลงมือจะได้ยิ่งใจกล้ามากกว่าเดิม”

เจิงเย่สีหน้าแข็งค้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวของลมหิมะที่ทำให้หน้าแข็ง หรือเพราะตกใจประโยคนี้กันแน่

เฉินผิงอันไม่ได้หันไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีท่าทางขลาดกลัว เพียงเอ่ยเนิบช้าว่า “ความสามารถไม่พอ คนที่ตายก็คือพวกเราสองคน หม่าตู่อี๋ยิ่งน่าอนาถ มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย แค่ข้อนี้ยังคิดไม่เข้าใจ วันหน้าก็ตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาให้ดีเถอะ อย่าออกมาท่องยุทธภพเลย”

หันจิ้งซิ่นทำท่ามืออีกครั้ง ทหารม้าด้านหลังก็พากันกรูออกมาอย่างคล่องแคล่ว แต่กลับไม่ได้เริ่มโจมตี ทำเพียงแค่ตีวงเป็นรูปหน้าพัดเล็กๆ ขัดขวางทางไปของอีกฝ่าย

เห็นได้ชัดว่า

การที่บอกให้ม้าสามตัวหลีกทางก็เป็นแค่การละเล่นเล็กๆ เหมือนแมวจับหนูเท่านั้น คืออาหารเรียกน้ำย่อยที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อาหารจานหลักที่แท้จริงต้องไม่รีบยกขึ้นโต๊ะทันที

เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจิงเย่ หากคืนนี้ข้ากับหม่าตู่อี๋ไม่อยู่ข้างกายเจ้า มีแค่เจ้ากับซูซินไจสองคนกับม้าสองตัวเท่านั้นที่เผชิญหน้ากับกองทหารกลุ่มนี้ เจ้าควรจะทำอย่างไร?”

เจิงเย่แค่ใช้ความคิดเล็กน้อย หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาทันที

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก

หลักการเหตุผลบางอย่างก็ไม่ชวนให้คนชื่นชอบเช่นนี้ คนอื่นพูดมากแค่ไหน ขอแค่คนฟังไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อนก็ยากที่จะมีความรู้สึกร่วมได้ เว้นเสียจากว่าหายนะมาเยือนจริงๆ

แต่คนที่ฟังเหตุผลหลักการบางอย่างไม่เข้าหู แท้จริงแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง

เพราะคนที่ผ่านประสบการณ์โชคร้ายมาแล้ว ขอแค่เจอกับเรื่องราวคล้ายคลึงกันก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นพูดอะไร เพราะในใจจะตระหนักรู้ได้เองก่อนแล้ว

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งคิดก็ยิ่งสะพรึงกลัวก็คือ เขาค้นพบว่าเมื่อเทียบกับคนดีที่มีจิตใจดีงามแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่เต็มไปด้วยจิตคิดร้ายต่อโลกใบนี้จะสามารถอดทนต่อความยากลำบากแล้วจดจำฝังใจได้ดียิ่งกว่า ถึงขั้นที่ว่าเมื่อต้องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่ฉลาดกว่า ไม่ได้รับความสุขที่เดิมทีก็ไม่ใช่ของตัวเอง พวกเขาก็จะเริ่มใคร่ครวญถึงหลักการเหตุผลในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกใบนี้ ครุ่นคิดหาวิธีในการคลี่คลายแก้ไขสถานการณ์ยากลำบากหลากหลายรูปแบบอย่างจริงจัง เหมือนจิ้งจอกห่มหนังเสือเพื่อข่มขู่รังแกผู้อื่น สี่ตำลึงปาดพันชั่ง (เป็นศัพท์ทางวิชาไทเก๊ก คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า) พิจารณาว่าควรจะทำลายคนอื่นเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตนได้อย่างไร ทำอย่างไรให้คนหนึ่งบรรลุเซียนแล้วหมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย ทุกอย่างล้วนต้องดูที่สภาพจิตใจของคนและการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย…

เฉินผิงอันหวังว่าความคิดของตัวเองจะผิด ยิ่งผิดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

เหตุใดต้องเรียกร้องให้คนดีจำเป็นต้องฉลาดกว่าคนเลว ถึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้?

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที แล้วชี้คนหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางกองทหารเบื้องหน้าให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดู “พวกเจ้าอาจจะไม่ทันได้สังเกต หรือไม่มีโอกาสที่จะได้เห็น ในรายงานเกาะปุยหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้า ข้าเคยเห็นหน้าของคนผู้นี้มาก่อนสองครั้ง ดังนั้นจึงรู้ว่าเขาชื่อหันจิ้งซิ่น คือน้องชายต่างมารดาขององค์ชายหันจิ้งหลิง มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของแคว้นสือหาวอย่างมาก ยิ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ที่ฮองเฮาแคว้นสือหาวรักและตามใจมากที่สุด”

เฉินผิงอันถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน “และข้าเองก็เคยคบค้าสมาคมกับองค์ชายที่มีสถานะเท่าเทียมกับกับหันจิ้งหลิง หันจิ้งซิ่น ซึ่งพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน แต่อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งของใบถงทวีปที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าเฉวียน แต่เมื่อเทียบกับสองพี่น้องคู่นี้แล้ว คู่พี่น้องที่ใบถงทวีปเหมือนจะฉลาดกว่ามาก ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ตาม จะดีหรือเลว อย่างน้อยก็ยังรู้จักใช้แผนการเล่นงานคนอื่น แต่ลูกชายคนสุดท้องของฮ่องเต้แคว้นสือหาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ดูเหมือนจะชอบใช้วิธีปะทะกันซึ่งๆ หน้ามากกว่า”

สีหน้าของหม่าตู่อี๋เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีใครรู้สถานะที่แท้จริงของเจ้า และไม่มีทางเดือดร้อนไปถึงครอบครัวเจ้า”

หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างเดือดดาล “เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้ามาบอกข้าด้วยหรือ? ข้ากังวลว่าเจ้าจะอวดเก่ง แล้วต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เปล่าๆ ต่างหาก ถึงเวลานั้น…จะยังเดือดร้อนให้ข้าถูกองค์ชายบ้าตัณหาผู้นี้ลักพาตัวไปด้วย!”

เฉินผิงอันย่อมรู้อยู่แล้วว่าหม่าตู่อี๋เป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจากใจจริง ส่วนประโยคครึ่งหลังของนางนั้น บางทีอาจเป็นเพราะสตรีหน้าบางก็เลยจงใจเปลี่ยนความหวังดีมาเป็นถ้อยคำแย่ๆ แทน

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้นาง “ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เคยบอกให้พวกเจ้าหันหลังหนีไป ใช่ไหม?”

ตอนนี้ในหัวสมองของเจิงเย่เต็มไปด้วยแม่นางซู คิดว่าหากเหตุการณ์สมมติที่ท่านเฉินพูดถึงปรากฏขึ้นจริง ตนควรจะรับมืออย่างไร หัวสมองของเขาเหลวเป็นแป้งเปียกไปแล้ว จึงไม่เข้าใจความนัยในคำพูดนี้ของท่านเฉิน

ทว่าหม่าตู่อี๋กลับเป็นสตรีฉลาดเฉลียวที่มีจิตใจรอบคอบละเอียดอ่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ทั้งที่อายุยังน้อย หากไม่เป็นเพราะเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นที่เผชิญหน้ากับเจียวหลงตัวนั้น ไม่รู้ว่านางเสียสติหรืออย่างไร ถึงได้ยืนกรานไม่ถอยหนี ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้นางก็มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ตำแหน่งสูงถึงการได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของทะเลสาบซูเจี่ยนไปแล้ว ถึงเวลานั้นแค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรพจารย์ในสำนักและผู้ฝึกตนของเกาะใหญ่แห่งต่างๆ เมื่อได้ครอบครองเกาะแห่งหนึ่ง อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือว่าได้ ‘ก่อสำนักตั้งพรรค’ แล้ว

แม้ว่าหม่าตู่อี๋จะฟังความหมายของเฉินผิงอันออก แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านเฉินจะงัดข้อกับองค์ชายผู้นี้ให้ถึงที่สุดจริงหรือ?”

จากนั้นนางก็รีบร้อนอธิบายว่า “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ช่วยพูดแทนทหารม้ากองนั้น เพียงแต่ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเราไม่ค่อยสนับสนุนในหลักใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา หากไม่ลงมือก็คือลงมือแล้วต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก ถ้าเกิดความขัดแย้งกับหันจิ้งซิ่นผู้นี้ขึ้นมา แล้วหลังจากนี้พวกเรายังต้องไปเยือนใจกลางแคว้นสือหาว รวมไปถึงมณฑลอีกหลายแห่งของทางทิศเหนือ จะมีปัญหาหรือไม่? จะถ่วงรั้งงานใหญ่ของท่านเฉินหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองหาวิธีก็แล้วกัน การฆ่าคนไม่เคยใช่เป้าหมายของข้า แต่หันจิ้งซิ่นผู้นี้ หลังจากที่เขาออกจากเมืองหลวงก็คล้ายจะฆ่าคนเพื่อความบันเทิงมาโดยตลอด แถมยังเสพติดการฆ่าคนไปแล้ว ในกลุ่มผู้ติดตามของเขายังมีคนแขวนศีรษะของคนที่ฆ่ามาได้ไว้ข้างอานม้า ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะใช่กองลาดตระเวนของต้าหลี นี่หมายความว่าเขาไม่ได้จะเอาไปเป็นหลักฐานเพื่อขอคุณความชอบทางการทหาร แต่เป็นการฆ่าคนเพื่อระบายความแค้น”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นวาดเส้นเส้นหนึ่งกลางอากาศอย่างเรียบง่าย

คราวนี้ไม่เพียงแต่เจิงเย่เท่านั้นที่ไม่เข้าใจ แม้แต่หม่าตู่อี๋ที่บนไหล่ทั้งสองข้างมีหิมะเกาะเต็มก็ยังมึนงงไปด้วย

เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง ก่อนหันไปพูดกับหม่าตู่อี๋ว่า “ลืมไปว่าสามารถเก็บเจ้าไว้ในชายแขนเสื้อได้”

หม่าตู่อี๋ปิดปากหัวเราะคิกคัก

ทางฝั่งของหันจิ้งซิ่น พอเห็นท่วงท่ามีเสน่ห์ของผีสาวที่งดงามตนนั้น ในใจก็พลันเดือดพล่าน รู้สึกว่าการที่ต้องมายืนตากหิมะใหญ่เท่าขนห่านคืนนี้ไม่ได้เสียเปล่า

เขายิ้มถาม “สังหารผู้ฝึกตนที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาแค่ไม่กี่คน จะสร้างปัญหาให้ท่านเจิงหรือไม่?”

มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “สังหารผู้ฝึกตนไม่เป็นปัญหา หิมะใหญ่ครั้งนี้สามารถช่วยอำพรางได้มาก แค่ทำลายศพและหลักฐานอย่างระมัดระวังหน่อยก็ได้แล้ว ปัญหาอยู่ที่กองทหารที่ห่างไปไกลหลายสิบลี้นั่น ตอนนั้นองค์ชายไม่ได้จงใจอำพรางศพ ย่อมง่ายที่จะทำให้คนมีใจสืบสาวเบาะแสมาจนเกิดความสงสัยในตัวองค์ชายได้ เมื่อสองอย่างนี้มารวมกัน และถ้าคนบนหลังม้าสามตัวนี้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักใหญ่ที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์หรือเป็นผู้ฝึกตนอิสระของเกาะใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจริงๆ คนที่เดือดร้อนจะมีแค่องค์ชายเท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้องค์ชายมีสามทางเลือก”

“ข้อแรก ในเมื่อพวกเราตั้งขบวนรบใหญ่แล้วก็ลองเลียนแบบอีกฝ่าย ยอมถอยหนึ่งก้าว ให้คนไปบอกสถานะขององค์ชายให้ผู้ฝึกตนหนุ่มที่มองดูเหมือนเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมาและยังไม่หายดีรู้อย่างชัดเจน บอกว่าต้องการทำการค้ากับเขาด้วยการจ่ายเงินซื้อผีสาวงามตนนั้น ใช้อำนาจข่มขู่ ใช้เงินซื้อของ เป็นวิธีการที่มั่นคงที่สุด ข้อสอง ทั้งสองฝ่ายเดินสวนไหล่กันไป ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างมากสุดองค์ชายก็แค่ขาดโชคด้านสาวงามไปครั้งหนึ่ง ข้อที่สาม องค์ชายออกคำสั่ง พวกเรากระโจนเข้าสังหารอีกฝ่ายโดยตรง แค่จำไว้ว่าหลังจบเรื่องต้องกลับไปจัดการกับซากศพของกองทหารกองนั้นให้สิ้นซาก หลีกเลี่ยงไม่ให้เหลือเบาะแสให้คนคาดเดาได้ ผู้ฝึกตนบนภูเขา ขอแค่เกิดใจสงสัยขึ้นมาเมื่อไหร่ โดยทั่วไปแล้วก็คร้านจะใช้เหตุผลกันแล้ว”

หันจิ้งซิ่นพยักหน้ารับ เรื่องพวกนี้เขาเองก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง เพียงแต่ว่าในบรรดาผู้ติดตามข้างกายไม่ควรมีแต่พวกที่สู้เก่งฆ่าเก่ง ยังต้องมีกุนซือที่ช่วยให้เจ้านายขยับปากน้อยลงด้วย ท่านเจิงผู้นี้คือคนรู้ใจของเสด็จแม่ และครั้งนี้ที่เขาออกจากวังหลวง เสด็จแม่ก็ให้พาอีกฝ่ายมาด้วย ซึ่งตลอดทางก็ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้เขาได้มากจริงๆ หันจิ้งซิ่นพูดปลงอนิจจังจากใจจริง “ท่านเจิงไม่เป็นลูกศิษย์สำนักจ้งเหิงก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก วันหน้าหากข้ามีโอกาสได้เป็นฮ่องเต้จะต้องแต่งตั้งให้ท่านอาจารย์เป็นราชครูแน่นอน เจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นผายลมสุนัขที่เสด็จแม่ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างมานั่นก็เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่ต้มตุ๋นคนเก่งเท่านั้น แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้ความในเรื่องการจัดการธุระบ้านเมือง แต่กลับไม่ได้ตาบอด เขาก็แค่คร้านจะเปิดโปงเท่านั้น ถือซะว่าเลี้ยงนักแสดงงิ้วไว้คนหนึ่ง ก็แค่ค่าจ้างเปลี่ยนจากเงินขาวไปเป็นเงินเทพเซียนบนภูเขาเท่านั้น เสด็จพ่อแอบมาพูดกับข้าลับหลังว่า ปีหนึ่งจ่ายแค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญ ยังชื่นชมเสด็จแม่ข้าว่าเชี่ยวชาญการดูแลบ้านเรือนจริงๆ ลองดูราชครูของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายพวกนั้นสิ หากปีหนึ่งคลังของแคว้นไม่ควักเงินฝนธัญพืชหลายๆ เหรียญมาจ่ายให้ ป่านนี้ก็คงก่อกบฏกันไปนานแล้ว”

ชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งใจร้อนจนอดทนไม่ไหวแล้ว เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แค่คนเลี้ยงผี ฆ่าเสียก็สิ้นเรื่อง ส่วนผีสาวหนังจิ้งจอกที่ค่อนข้างจะมีมูลค่าตนนั้นก็เก็บไว้ให้องค์ชายอบรมสั่งสอนนางดีๆ เรื่องนี้ง่ายจะตายไป ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเราก็ปอกลอกเอาเสื้อเกราะสิบกว่าตัวบนร่างของทหารลาดตระเวนคนเถื่อนต้าหลีมาได้ องค์ชายมีคุณธรรม ตัดใจเก็บเสื้อเกราะสองตัวที่มีมูลค่ามากที่สุดเอาไว้ ไม่ได้ขายให้กับแม่ทัพใหญ่ขี้ขลาดอย่างจานจิ้นผู้นั้นทั้งหมด แต่มอบให้ข้าหนึ่งตัว มอบให้นักกวีผู้ถือหอกหนึ่งตัว ถึงอย่างไรข้าก็เก็บเอาไว้ตลอดเวลา อีกเดี๋ยวฆ่าบุรุษสองคนนั้นก็จะได้ให้องค์ชายเอาหัวของพวกเขาไปรับความดีความชอบที่เมืองหลวงพอดี ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็นแล้วต้องปิติยินดีอย่างแน่นอน นั่นเป็นเสื้อเกราะพิเศษของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนเถื่อนต้าหลีเชียวนะ ไม่ว่าจะเอาไปโยนไว้ใต้เท้าของพวกตาแก่ขุนนางบุ๋นคนไหนในราชสำนัก เกรงว่าก็คงไม่มีใครยกได้ไหว ข้าได้ยินมาว่าพวกตาแก่ที่เหลือเนื้อหุ้มกระดูกไม่กี่จินพวกนั้น เวลาอยู่บนเตียง แต่ละคนช่างโอ้อวดวิชายุทธกันเก่งนัก”

บุรุษหนุ่มส่ายหน้า “คำพูดเหล่านี้อย่าเอาไปพูดในเมืองหลวงเด็ดขาดเชียว”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย หันจิ้งซิ่นก็เอ่ยเยาะเย้ยตนเองว่า “แต่คาดว่าทุกวันนี้คงไม่ต้องกังวลถึงปัญหานั้นแล้ว ต่อให้กระชากหูพวกเขามาฟังคำด่า พวกเขาก็คงไม่มีอารมณ์จะร้องเรียนข้าแล้วกระมัง แต่ละคนคงง่วนอยู่กับการหาทางหนีทีไล่ แคว้นสือหาวจะแซ่หันหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว ขอแค่ได้เป็นขุนนางต่อไปก็ยังสามารถนำพาความสุขมาสู่ปวงประชาได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

เขาชำเลืองตามองไปทางทิศใต้ “ยังคงเป็นพี่ชายเสียนอ๋องของข้าที่โชคดี เดิมทีก็คิดจะหลบซ่อนเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไหนเลยจะคิดได้ว่า หลบไปหลบมาก็ใกล้จะได้เป็นฮ่องเต้คนใหม่แล้ว ต่อให้ได้นั่งบัลลังก์มังกรตัวใหม่แค่ไม่กี่วัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน จะไม่ให้ข้าอิจฉาได้อย่างไร”

ชายฉกรรจ์ร่างผอมบางยืนอยู่บนหลังม้า “องค์ชาย ท่านคุยกับพวกท่านเจิงไปก่อน แต่ช่วยบอกข้าทีเถิดว่าจะฆ่าบุรุษสองคนนั้นหรือไม่ ท่านวางใจได้ ผีสาวตนนั้น ข้ารับรองว่าจะไม่ทำให้นางเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม!”

หันจิ้งซิ่นยิ้มกล่าว “ไปเถอะๆ และยังมีเสื้อเกราะพิเศษของเลขาธิการฝ่ายบู๊ต้าหลีชิ้นนั้นที่จะไม่ให้เจ้าเอาออกมาใช้อย่างเสียเปล่า เดี๋ยวกลับไปจะคิดรวมคุณความชอบสองอย่างนี้ด้วยกัน”

ชายฉกรรจ์ผอมบางเช็ดปาก หัวเราะหึหึ “ติดตามองค์ชายช่างดีจริงๆ มีเนื้อให้กิน”

ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวที่สุด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันปวดหัวได้มากที่สุด ในยุทธภพของแคว้นสือหาวนี้ ชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งยังหาคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาต่อสู้ได้อย่างสาแก่ใจไม่เจอจริงๆ เขาถึงได้เข้าร่วมกับกองทัพ แรกเริ่มนั้นเขาติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาท เพียงแต่รัชทายาทหนอนหนังสือผู้นั้นเป็นคนตาไม่มีแวว มอบตำแหน่งในกองทัพที่ไม่มีอำนาจแท้จริงให้แก่เขา ไม่เคยให้ผลประโยชน์อะไรที่จับต้องได้ เขาก็เลยหนีมาอยู่ในกองทัพของหันจิ้งซิ่น คิดจะจับปลาในน้ำขุ่น ช่วงชิงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มาให้ตัวเอง โดยเฉพาะคำกล่าวของศัตรูคนนับหมื่นในสนามรบอย่างท่านเจิงที่ถูกใจเขาอย่างยิ่ง

คำกล่าวที่บอกว่า ในยุทธภพ ต่อให้ฆ่าล้างโคตรไปแล้ว แต่นั่นเพิ่งจะถือว่าฆ่าไปได้แค่กี่คนเอง?

บนสนามรบ เมื่อคนหลายพันหลายหมื่นกรูเข้าห้ำหั่นกัน ก็ฆ่าให้เต็มคราบ ฆ่าจนเข้าใจผิดคิดว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังสังหารได้!

หลังจากปรมาจารย์วิถีวรยุทธร่างเล็กเตี้ยแต่แกร่งกล้าดีดปลายเท้าทะยานตัวออกไป

หันจิ้งซิ่นก็หันไปพูดกับบุรุษที่ถือหอกยาวว่า “ยังต้องขอให้แม่ทัพสวี่ช่วยคุมท้ายขบวนให้หูหานด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาล้มเหลวในช่วงสุดท้าย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา พวกเราระวังไว้ก่อนเป็นดี”

แม่ทัพบู๊ร่างกำยำที่ไม่ได้สวมเสื้อเกราะพยักหน้ารับเบาๆ กระทุ้งสีข้างม้าเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า

หลังออกจากเมืองหลวงมา แม่ทัพบู๊ร่างแข็งแกร่งกำยำที่มีชาติกำเนิดมาจากชายแดนผู้นี้ก็ไม่ได้พกเกราะเหล็กมาด้วย เอามาแค่หอกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้น

สำหรับการกระทำของหันจิ้งซิ่น เขาไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกิดความรังเกียจ แม้นิสัยของหันจิ้งซิ่นจะวิปริต ลุ่มหลงในกาม ชอบฆ่าคนพร่ำเพื่อ แต่สมองของเขาไม่แย่ หันกลับไปมององค์รัชทายาทที่มีกลิ่นอายตำราเต็มตัวผู้นั้นที่เป็นคนดี การที่เขาได้เป็นฮ่องเต้ในยุคสันติสุข สำหรับชาวบ้านแคว้นสือหาวแล้วถือเป็นเรื่องดี แต่หากเจอกับกลียุคเมื่อไหร่ ก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้ และทุกวันนี้ก็เป็นช่วงที่โลกวุ่นวายพอดี แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่เกิดความอลหม่านไปหลายแคว้น แต่ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปต่างก็กำลังวุ่นวาย ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาจึงต้องทำตัวเป็นนกที่เลือกไม้พักพิง ต่อให้ไม้ต้นนี้จะบิดเบี้ยวมานานแล้วก็ตาม

หลังจากคนสนิทอย่างหูหานและแม่ทัพสวี่สองคนทยอยกันจากไป อันที่จริงหันจิ้งซิ่นก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสนามรบทางฝั่งนั้นเท่าไหร่นัก เขายังคงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับท่านเจิงที่อยู่ข้างกายต่อไป

พูดคุยถึงสถานการณ์วุ่นวายทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้

หันจิ้งซิ่นเดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องนั้น เดี๋ยวก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่มีระเบียบแบบแผนแม้แต่น้อย

แต่ท่านเจิงผู้นั้นกลับไม่รู้สึกดูแคลนเขาเลยสักนิด

เมื่อบุรุษร่างเล็กเตี้ยคล้ายลิงผอมแห้งตัวหนึ่งผู้นั้นทะยานออกไปจากหลังม้าก็ไม่ได้กระโจนเข้าหาอีกฝ่ายในทันที แต่พลิ้วกายลงบนพื้นหิมะเบาๆ เดินอาดๆ เข้าหาม้าทั้งสามตัวคล้ายกำลังเดินเล่น

หม่าตู่อี๋รู้สึกตึงเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “มาแล้ว”

ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ติดตามที่แข็งแกร่งข้างกายองค์ชายคนหนึ่ง มองดูแล้วยังน่าจะเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวอีกด้วย ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป หากโดนประชิดตัวขึ้นมา ใครบ้างจะไม่ถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เหมือนหมาบ้ากัดจนหนังหลุดไปหนึ่งชั้น นี่คือความรู้ความเข้าใจที่มีร่วมกันของผู้ฝึกตนบนภูเขาและยุทธภพล่างภูเขา ต่อให้หม่าตู่อี๋จะเชื่อใจท่านเฉินที่อยู่ข้างกายมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข เจิงเย่ก็ยิ่งไม่กล้าหายใจดัง สำหรับเรื่องราวและวีรกรรมต่างๆ ที่ท่านเฉินเคยทำลงไปในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ยังต้องคอยปัดหิมะที่ตกลงมาบนร่างอยู่เป็นระยะ เวลานี้กลับมีเหงื่อร้อนๆ แตกท่วมตัว ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของลมหิมะเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันพลิกตัวลงจากหลังม้า สลัดเกล็ดหิมะที่อยู่บนไหล่ออกเล็กน้อย จากนั้นจึงม้วนชายแขนเสื้อขึ้น

เขาเองก็สาวเท้าเนิบช้าเดินหน้าเข้าหาปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่สู้กับคนในยุทธภพแคว้นสือหาวมาจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังหาคู่ต่อสู้ไม่เจอผู้นั้น

ไม่มีบรรยากาศตึงเครียดลอยอบอวลอยู่แม้แต่น้อย กลับกันยังคล้ายสหายในยุทธภพสองคนที่จากกันไปนานและกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง

หม่าตู่อี๋ได้แต่เจ็บใจที่ดวงวิญญาณของตัวเองไม่มั่นคง แม้ว่ายันต์หนังจิ้งจอกจะเป็นที่พักพิงกายที่มั่นคงสำหรับนาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพันธนาการอย่างหนึ่งด้วย จะดีจะชั่วตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นางก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต…

เพียงแต่พอคิดว่าแม้ตนจะมีขอบเขตถ้ำสถิต ทว่าคืนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังช่วยอะไรท่านเฉินไม่ได้อยู่ดี นี่จึงทำให้หม่าตู่อี๋รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย

ความคิดของสตรีวกวนลดเลี้ยวประหนึ่งสายน้ำอย่างแท้จริง

เจิงเย่เอ่ยถามอย่างขลาดๆ “แม่นางหม่า ท่านเฉินคงไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหม?”

หม่าตู่อี๋หันหน้ามามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นิสัยซื่อตรงแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หรือเจ้าหวังให้เกิดเรื่องกับเขา? หลังจากนั้นเจ้าจะได้เป็นคนช่วยกอบกู้สถานการณ์?”

เจิงเย่สะอึกอึ้งพูดไม่ออกทันที

มือกระบี่ที่อายุประมาณสี่สิบปีคนนั้นคล้ายจะสัมผัสอะไรได้ จึงมองประเมินความเคลื่อนไหวเบื้องหน้าพลางเอ่ยเนิบช้าไปด้วย “เส้นแนวสู้รบของคนเถื่อนต้าหลีลากมายาวเกินไป ขอแค่ราชวงศ์จูอิ๋งกัดฟันทนได้อีกหนึ่งปี ขัดขวางศัตรูไว้นอกประตูแคว้น ยับยั้งการรุกรานของกองทัพม้าสองกองภายใต้บัญชาการณ์ของเฉาผิงและซูเกาซานแห่งต้าหลี ป้องกันไม่ให้พวกเขาบุกเข้ามายังพื้นที่ใจกลางในรวดเดียวได้สำเร็จ สงครามครั้งนี้เราก็ยังพอจะสู้ได้ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีราบรื่นมานานเกินไปแล้ว หลังจากนี้คลื่นลมมรสุมอาจจะเกิดขึ้นภายในค่ำคืนเดียว ราชวงศ์จูอิ๋งจะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้หรือไม่ อันที่จริงประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าแคว้นใต้อาณัติหลายๆ แห่งจะสามารถถ่วงเวลาไว้ได้นานแค่ไหน ขอแค่ต้านทานประกายเฉียบคมของสองกองทัพใหญ่ของซูเกาซานและเฉาผิงไว้ได้ ต้าหลีก็ได้แต่ปล้นสะดมแถบแคว้นใต้อาณัติรอบนอกราชวงศ์จูอิ๋งไปเท่านั้น จากนั้นก็ต้องถอนทัพกลับขึ้นเหนือไปแต่โดยดี”

หันจิ้งซิ่นพูดหยอกล้อว่า “หากไม่เป็นเพราะรู้ชาติกำเนิดของท่านเจิงอย่างชัดเจน ข้าคงต้องสงสัยแน่ๆ ว่าท่านเจิงใช่โฆษกของราชวงศ์จูอิ๋งหรือไม่”

มือกระบี่วัยกลางคนยิ้มขื่นกล่าวว่า “ข้าก็เป็นแค่อาจารย์กระบี่ที่เชี่ยวชาญการควบคุมกระบี่ระดับล่างบางวิชา เป็นแค่คนในยุทธภพเท่านั้น คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวประเภทหนึ่งที่ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาดูแคลนมากที่สุด ตอนที่ยังหนุ่ม ครั้งแรกที่เดินทางมาเยือนราชวงศ์จูอิ๋ง ข้ายังไม่กล้าสะพายกระบี่ออกจากบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้มานึกดูแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวง ข้าควรจะอยากให้ราชวงศ์จูอิ๋งถูกกีบม้าเหล็กของต้าหลีเหยียบย่ำจนเละเทะถึงจะถูก ไม่ควรยุแยงให้องค์ชายซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงจูอิ๋งนานหลายปี รอให้สถานการณ์ใหญ่ชัดเจนดีแล้วค่อยย้อนกลับไปเก็บแผ่นดินแคว้นสือหาวกลับคืนมา หากไม่เป็นเพราะฮองเฮาเชื่อใจข้าน้อย ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน”

หันจิ้งซิ่นพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันเลย “ผู้คนต่างก็บอกว่าราชครูต้าหลีคิดคำนวณอย่างรอบคอบ ทว่าแม้แต่แคว้นใต้อาณัติใหญ่ๆ ของจูอิ๋งซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาวของพวกเราก็ยังคร้านจะใช้กลยุทธ์อิงชัยภูมิที่ได้เปรียบมาทำการต้านทานอย่างเหนียวแน่น ดูท่าสายลับต้าหลีที่พยายามแทรกซึมเข้ามาในแคว้นใต้อาณัติอย่างพวกเราจะทำงานกันล้มเหลวเสียแล้ว แคว้นสือหาวของพวกเราก็มีแค่สกุลหวงกองทัพชายแดนเท่านั้นที่รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย ไม่ยินดีเป็นฮ่องเต้ท้องถิ่นที่กินเม็ดทรายดมขี้ม้าอยู่ชายแดน อยากจะลองเดิมพันครั้งใหญ่ดูสักครั้ง นี่ถึงได้เกิดความคิดกะทันหัน ลากเอาตัวพี่ชายเสียนอ๋องคนนั้นของข้าให้ไปสวามิภักดิ์กับซูเกาซานด้วยกัน”

มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้ายิ้มกล่าว “บนโลกนี้ไม่มีใครที่คิดคำนวณได้รอบคอบอย่างแท้จริง มีแต่คนที่วิเคราะห์ทิศทางของสถานการณ์ใหญ่ล่วงหน้าได้แม่นยำ จากนั้นก็วางแผนแต่ละก้าวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น นี่ต่างหากจึงจะเป็นวิถีที่ถูกต้อง”

ใบหน้าของหันจิ้งซิ่นเต็มไปด้วยความนับถือจากใจจริง “ท่านเจิงช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”

มือกระบี่วัยกลางคนพลันขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา จ้องมองสนามรบห่างไปสี่สิบกว่าก้าวที่ศึกกำลังจะปะทุขึ้นเขม็ง

หูหานกับผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว ต่างคนต่างหยุดเดินแล้ว

ม้าที่อยู่ด้านหลังหูหาน แม่ทัพบู๊แซ่สวี่ที่ในมือถือหอกยาวก็หยุดม้าลง ไม่ขยับเดินหน้าต่อเช่นกัน

หันจิ้งซิ่นกล่าวอย่างกังขา “คนหนุ่มผู้นั้นรนหาที่ตายหรือไร? เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะถอยหนี ยังคิดอาศัยวิชาตระกูลเซียนมาชักนำหูหาน จากนั้นค่อยเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่หลายชิ้นออกมา เป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน? หรือคิดจะยอมแพ้ ประคองสาวงามหนังจิ้งจอกคนนั้นส่งให้ด้วยสองมือ? เทพเซียนบนภูเขากระดูกหนักกว่าคนธรรมดาล่างภูเขาไม่มากเท่าไหร่เลยนี่นา ต้องมาเจอกับเจ้านายเช่นนี้ ผีงามตนนั้นก็เหมือนสตรีที่แต่งงานกับบุรุษผิดคนจริงๆ นี่ไม่ควรเป็นเรื่องที่มีแค่บุรุษใจดำเลวระยำอย่างข้าที่ทำได้ลงคอหรอกหรือ?”

มือกระบี่วัยกลางคนไม่ได้เอ่ยคล้อยตามประโยค ‘ซุกซน’ ประโยคสุดท้ายของหันจิ้งซิ่น สีหน้าของเขาเคร่งเครียดกว่าเดิมหลายส่วน “ทุกเรื่องล้วนผิดปกติไปหมด คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจริง ไม่ผิดแน่ บนร่างของเขามีภาพบรรยากาศที่ปราณวิญญาณของฟ้าดินเล็กใหญ่สองแห่งไหลเวียนวน หากไม่เป็นเพราะตบะตื้นเขินเกินไป เป็นแค่ห้าขอบเขตล่าง ดังนั้นการไหลเวียนของปราณวิญญาณถึงได้ติดขัดไม่คล่องแคล่ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ ขอบเขตสูงถึงขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว หรืออาจสูงถึงขั้นเป็นผู้ฝึกตนประตูมังกร ดังนั้นแม้แต่ข้าก็ยังมองไม่ออก หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่เหนือจากความคาดคิดจริงๆ ปณิธานหมัดก็ถึงขอบเขตที่ผสมผสานรวมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แต่ข้าคอยสังเกตท่าเดินของคนผู้นี้นับตั้งแต่เขาลงมาจากหลังม้า ฝีเท้านับว่าค่อนข้างมั่นคง แต่ ‘ความหมาย’ ที่มีเฉพาะบนร่างของผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรานั้นกลับ…หละหลวมยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นพวกนอกสาขาที่ไม่มีอาจารย์ที่ดีคอยนำทางให้ แต่ว่า ไม่พูดถึงความเป็นไปได้สองอย่างนี้ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าแน่ใจได้ คนหนุ่มผู้นั้นไม่คิดจะคุยกับพวกเราดีๆ แน่นอน”

หันจิ้งซิ่นสอดสองมือประกบกัน เอาแผ่นหยกนั้นแนบติดไว้กลางฝ่ามือแล้วถูเบาๆ เขายิ้มกล่าวว่า “จะเป็นคนโง่ที่เหมือนลูกวัวเพิ่งเกิดใหม่ก็เลยไม่กลัวเสือหรือไม่? หรือจะเป็นพวกที่ภูเขาและสำนักอยู่แถวชายแดน วางอำนาจบาตรใหญ่มาจนชินแล้ว ก็เลยมองไม่ออกถึงความน่ากลัวของหูหาน?”

มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่เหมือน”

แต่เพียงไม่นานท่านเจิงผู้นี้ก็เปลี่ยนความคิด เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่”

หันจิ้งซิ่นรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เขาจึงพ่นลมหายใจให้เป็นกลุ่มควันสีขาวกลุ่มใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเราอย่าเดาส่งเดชเลย ไอ้หมอนั่นจะเป็นลาหรือเป็นม้า หมัดเดียวของหูหานก็รู้เรื่องแล้ว”

หันจิ้งซิ่นกดเสียงลงต่ำ พูดกลั้วหัวเราะแผ่วๆ “หากหูหานเจอกับตะปูแข็งเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องร้าย เงินรางวัลสองก้อนที่ข้าจะมอบให้ ไม่แน่ว่าหูหานอาจรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก”

มือกระบี่วัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด พยักหน้ารับเบาๆ

คำพูดบางอย่างที่แสดงถึงนิสัยใจคอของหันจิ้งซิ่นทำให้คนอื่นจำต้องนับถือเขาจริงๆ

องค์ชายที่ยังไม่ทันย้ายไปอยู่พื้นที่ศักดินาก็สามารถควบคุมหูหานจอมพยศ และแม่ทัพบู๊ที่หยิ่งทระนงได้แล้วผู้นี้ ไม่ได้อาศัยแค่สถานะของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น

มองคนแบกหาบแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน (มาจากสำนวนมองคนแบกหาบไม่รู้สึกเหนื่อย เปรียบเปรยว่าไม่รู้ความยากลำบากของผู้อื่น) นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องประหลาด หันจิ้งซิ่นมีใจอยากรอชมเรื่องสนุก ทว่าแม่ทัพบู๊แซ่สวี่ที่ถือหอกยาวกลับเกิดคลื่นถาโถมในใจไม่หยุด

มีเพียงหูหานที่อยู่ในสถานการณ์เท่านั้นที่ตอนแรกยังคันไม้คันมือ ลิงโลดสุดขีด ทว่ายิ่งขยับเข้าใกล้คนหนุ่มผู้นั้นมากเท่าไหร่ หูหานก็ยิ่งสัมผัสได้โดยตรงยิ่งกว่าท่านเจิงที่ยืนชมศึกอยู่ด้านหลังไกลๆ

จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายต่างหยุดเดิน อยู่ห่างกันไม่ถึงห้าก้าว

หูหานถึงขั้นเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน เขาชำเลืองตามองดาบไม้ไผ่และกระบี่โบราณที่อีกฝ่ายห้อยไว้ตรงเอวข้างหนึ่ง “ไอ้หนู เจ้าคงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรอกกระมัง?”

ผลกลับกลายเป็นว่าเป็นคนหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวพยักหน้ารับ แล้วถามย้อนกลับว่า “เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่?”

หูหานยิ้มตาหยี “บังเอิญสิ ทำไมจะไม่บังเอิญล่ะ ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็อดไม่ไหวที่จะพูดถึงหลักคุณธรรมในยุทธภพสักหน่อย พวกเรามาปรึกษากัน เจ้ากับเด็กหนุ่มผู้นั้นจากไปได้ตามสบาย แค่ทิ้งผีสาวหนังจิ้งจอกตนนั้นไว้ก็พอ ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

หูหานขยับสายตาไปมองประเมินความตื้นลึกของรอยเท้าในกองหิมะที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

คนปกติจะมองความแตกต่างไม่ออก แต่ในฐานะที่หูหานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด สายตาของเขาย่อมต้องดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และมองจุดที่เล็กละเอียดที่สุดออก นับตั้งแต่ที่คนหนุ่มลงจากหลังม้า จนกระทั่งเดินมาถึงที่นี่ ระดับความตื้นลึกของรอยเท้าไม่เท่ากัน เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ต้องมองแล้ว เจ้ามองความจริงไม่ออกหรอก ตอนที่ข้าออกเดินทางท่องเที่ยวครั้งที่สองเพียงลำพัง ได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ก็รู้มานานแล้วว่าควรจะอำพรางความตื้นลึกของฝีเท้าและลมหายใจช้าเร็วอย่างไร คนเราไม่ควรมีใจคิดร้ายต่อคนอื่น แต่ห้ามขาดใจระมัดระวังผู้อื่น ดังนั้นยิ่งฝึกหมัดนานเท่าไหร่ ความเคยชินนี้ก็กลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น บางครั้งตัวข้าเองยังไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ”

หูหานอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะจุ๊ปากพูดว่า “ไอ้น้องชาย นี่เจ้าคือยอดฝีมือหรือนี่!”

เฉินผิงอันทั้งไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ “เจ้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง? แต่รากฐานปูมาได้เหยาะแหยะไปหน่อย ไม่ต่างอะไรจากกระดาษเปียก”

หูหานหัวเราะร่า “ประโยคนี้ของน้องชายช่างทำร้ายจิตใจคนนัก ระวังข้าไม่พอใจแล้วจะดึงลิ้นของเจ้าออกมา”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องโทษข้า เกือบครึ่งปีมานี้คบค้าสมาคมกับคนตายมากเกินไป ก็เลยเคยชินกับการพูดคุย อันที่จริงเมื่อก่อนเวลาข้าเผชิญหน้ากับศัตรูไม่ได้เป็นแบบนี้เลย”

หูหานทำท่ากระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่า ไม่เป็นไรๆ ในฐานะผู้อาวุโสในยุทธภพ ข้านิสัยตรงข้ามกับน้องชายพอดี ข้าชอบพูดคุยกับคนอื่นพลาง…”

“ฆ่าคนไปด้วย!”

พื้นหิมะใต้ฝ่าเท้าของหูหานพลันมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน

หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่ท้องของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันที่ม้วนชายแขนเสื้อสองข้างเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเอื้อมไปกดหมัดนั้นไว้เบาๆ แค่แตะแล้วก็ปล่อยออก ทว่าเรือนกายกลับอาศัยแรงส่งนี้พลิ้วไปด้านหลังสี่ห้าก้าว

หูหานที่ปล่อยหมัดไปโดนความว่างเปล่าก็ขยับร่างตามติดเป็นเงา แล้วสาวหมัดปล่อยไปอีกครั้ง

ลมหิมะที่อยู่สองข้างกายของชายฉกรรจ์ร่างเล็กล้วนถูกพายุหมัดที่พลังเข้มข้นเปี่ยมล้นม้วนหอบให้เอนเอียงตามไปด้วย

เฉินผิงอันใช้ข้อศอกยันหมัดของหูหาน และก็ถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว หากขยับไปอีกสองก้าวเล็กๆ ก็จะชนเข้ากับม้าตัวที่เขาขี่แล้ว

หูหานรู้สึกว่าพอจะหยั่งเชิงจนรู้รากฐานที่แท้จริงของคนหนุ่มลึกลับผู้นี้ได้คร่าวๆ แล้ว ในขณะที่เขาไม่คิดจะอำพรางฝีมืออีกต่อไป แต่จะลงมือสังหารศัตรูอย่างว่องไวนั้นเอง ศอกนั้นของคนหนุ่มกลับไม่เพียงแต่ต้านทานหมัดของตนเอาไว้ได้ ยังระเบิดพลังรุนแรงเหมือนทำนบน้ำที่พังเขื่อนทลายออกมาในฉับพลัน ทำเอาหูหานตกใจจนรีบสยบลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นในร่างกายตนเอาไว้ ถอยหลังหนีไปหลายก้าว แน่นอนว่าต่อให้ถอยร่น ทว่าในฐานะปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตร่างทอง เขาก็ยังคงทำได้อย่างพลิ้วไหวสง่างาม ไม่เสียมาดเลยแม้แต่น้อย

หลังจากหยุดฝีเท้าลงแล้ว หูหานก็มีสีหน้าเหมือนคนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ “เจ้าตัวดี เสแสร้งได้เหมือนจริงยิ่งนัก ขนาดข้าก็ยังถูกเจ้าหลอกได้!”

พลังหมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจของคนหนุ่มมองดูเหมือนว่าจะสู้สุดใจกับเขาให้ตายกันไปข้าง ทว่าแท้ที่จริงแล้วกลับเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ แค่สัมผัสก็หยุดลงทันที เหมือนเด็กที่ในมือถือค้อนเหล็ก พอใช้แรงทั้งหมดยกค้อนขึ้นทุบลงบนพื้นดิน พอค้อนอยู่ห่างจากพื้นอีกแค่ชุ่นกว่าๆ กลับหยุดชะงักลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับต่อ ประเด็นสำคัญคือตอนที่เด็กคนนั้นเหวี่ยงค้อนขึ้นคล้ายจะเปลืองแรงอย่างมาก ทว่ารอจนกระทั่งยกค้อนขึ้นจริงๆ กลับไม่รู้สึกเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย

บงทีหากหูหานไม่ถอยหนี แต่ฉวยโอกาสนี้ขยับเข้าประชิดตัวมากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าหมัดนั้นของเขาอาจจะต่อยทะลุหน้าอกของคนหนุ่มได้จริงๆ

แต่หูหานก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ความเป็นไปได้มากกว่านั้นคืออีกฝ่ายมีวิธีรับมือรอตนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นมือที่คนหนุ่มซ่อนไว้ด้านหลังนั่น

อีกฝ่ายสามารถควบคุมพายุหมัดของตัวเองได้เชี่ยวชาญถึงขั้นนี้ ต่อให้ขอบเขตไม่สูง แต่ก็ต้องมียอดฝีมือช่วยหล่อหลอมเรือนกายให้เขานับร้อยนับพันครั้งแน่นอน หรือไม่ก็เคยผ่านประสบการณ์ตัดสินเป็นตายที่อันตรายอย่างใหญ่หลวงมาครั้งแล้วครั้งเล่า

เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ พูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “อย่าว่าแต่คนบ้าคลั่งวรยุทธผู้นั้นเลย แม้ขอบเขตของเจ้าจะสูง แต่แท้จริงแล้วพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธของเจ้ายังสู้หน้ายิ้มที่ข้าเคยเจอในอดีตไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแนวทางเดียวกันกับเจ้า ปณิธานหมัดไม่เพียงพอ แต่วิชาต่อสู้ประชิดตัวใช้ได้”

หูหานมีสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

ไม่ได้บอกว่าอันดับหนึ่งวิถีวรยุทธของแคว้นสือหาวผู้นี้เพิ่งจะประมือกับศัตรูก็เกิดใจหวาดกลัวเสียแล้ว นี่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

แต่มือที่คนหนุ่มไพล่ไว้ด้านหลัง รวมไปถึงดาบและกระบี่ที่เขาพกไว้ตรงเอวต่างก็ทำให้เขาหงุดหงิดใจ

นี่คือลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณที่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธผู้หนึ่งขัดเกลามาจากเส้นแบ่งเป็นแบ่งตาย

นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตอย่างแท้จริง

ส่วนคำพูดเหลวไหลที่บอกว่า ‘รากฐานเหยาะแหยะ ขอบเขตร่างทองเหมือนกระดาษเปียก’ ‘ปณิธานหมัดไม่เพียงพอ วิชาต่อสู้ประชิดตัวพอใช้ได้’ อะไรพวกนั้น หูหานไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก

“ขอแค่มือและใจสอดประสานก็สามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา การฝึกหมัดก็ต้องพิถีพิถันในเรื่องการฝึกจิตใจเช่นเดียวกัน ความสำคัญของมันไม่เป็นรองผู้ที่ฝึกตนบำเพ็ญตบะเลยแม้แต่น้อย เบื้องล่างปณิธานหมัดก็คือโครงท่าของหมัด ต่อจากโครงท่าของหมัดถึงจะเป็นเคล็ดวิชา ขอบเขตร่างทองนี้ของเจ้า หากโยนไปไว้ที่นั่นก็คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน มีแต่จะกลายไปเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดของผู้ฝึกยุทธที่นั่นเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ข้าก็พอจะรู้ตื้นลึกของเจ้าแล้ว”

หูหานก็เอามือข้างหนึ่งไพล่หลังเหมือนกัน มืออีกข้างหนึ่งของเข้ากระดกงอนิ้ว ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “มีรับก็ต้องมีมอบกลับคืน ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าที่ลงมือก่อนบ้าง เจ้าจะได้ไม่รู้สึกว่าข้าอาศัยความอาวุโสมารังแก ไม่มีมาดที่คนเป็นผู้ใหญ่สมควรมี”

อันที่จริงขอแค่ต่อสู้ประชิดตัวกัน ไม่ว่าอย่างไรหูหานที่มีฉายาว่า ‘ช่างตีเหล็ก’ ก็ต้องได้เปรียบอยู่แล้ว

มีเพียงพ่อแม่ตั้งชื่อให้ผิดเท่านั้น ไม่มียุทธภพที่ตั้งฉายาให้ผิด

พอได้ยินประโยค ‘ขอแค่มือและใจสอดประสานก็สามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา’ นี้ของเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

แรกเริ่มนางนึกว่าท่านเฉินพูดจาคุยโวหลอกฝ่ายตรงข้ามไปส่งเดช แต่จู่ๆ หม่าตู่อี๋ก็เก็บสีหน้าทั้งหมด มองแผ่นหลังของคนผู้นั้นแล้วคิดว่า เขาคงไม่คิดว่าความรู้และวิชาหมัดเชื่อมโยงสอดประสานกัน ก็เลยเป็นตัวพิสูจน์กันและกันจริงๆ หรอกใช่ไหม?

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น หม่าตู่อี๋ไม่มีทางเกิดความคิดประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาแน่นอน แต่เมื่อคนผู้นี้คือเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋กลับรู้สึกว่าหนึ่งในหมื่นที่เกิดขึ้นได้ยากของเรื่องราวบนโลก เมื่อมาอยู่บนร่างของเฉินผิงอันก็คล้ายว่าหนึ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง

ยกตัวอย่างเช่นมีใครจะยอมมานั่งเฉยๆ อย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องตรงประตูภูเขาของเกาะชิงเสียอย่างเขาบ้าง?

แล้วยังออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนจนมีการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ ?

เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว

ยังคงมีท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ไม่มีมาดของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเทียบกับหูหานที่ทุกครั้งที่ลงมือพายุหมัดล้วนสั่นสะเทือน โจมตีให้เกล็ดหิมะรอบด้านแหลกสลายแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

หูหานพอจะขบคิดจนเข้าใจอะไรบางอย่าง

คนหนุ่มที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ต้องมีอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่บนกายอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่ลงมือจึงคล้าย…นักบัญชีที่ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ถึงได้คอยคิดถึงผลกำไรก้อนเล็กเท่าหัวแมลงวันอยู่ตลอดเวลา

ไม่มีความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่แม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ !

ปราณสังหารท่วมท้นอยู่เต็มอกของหูหาน ครั้นจึงตัดสินใจแสดงฝีมืออย่างเต็มที่เพื่อสังหารอีกฝ่าย

พริบตานั้นเส้นหัวใจของหูหานขมวดตึงแน่น ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าไม่ควรปล่อยให้คนผู้นั้นปล่อยหมัดใส่ตน แต่หลักการทั่วไปในการเรียนวรยุทธและประสบการณ์ในยุทธภพกลับบอกหูหานอีกว่า หลังจากเข้าประชิดตัวแล้ว ขอแค่ตนไม่ออมมืออีก ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายจะต้องตายสถานเดียว

จิตใจของเขาจึงเริ่มไม่มั่นคง

หมัดหนึ่งพุ่งมาถึง

หลังจากโดนไปหนึ่งหมัดแล้ว หูหานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่มันการเกาของสตรีหรืออย่างไร…”

แต่แล้วหูหานก็หัวเราะไม่ออก

หนึ่งหมัดมาถึง หมัดต่อมาก็ตามมาติดๆ

พลังอำนาจประหนึ่งน้ำตกที่ไหลซัดสาดสามพันฉื่อ

หูหานได้แค่ต้านรับไปทีละหมัด เงาร่างของคนทั้งสองเลื่อนลอยไม่หยุดนิ่ง ลมพายุม้วนตัวพัดอย่างบ้าคลั่งอยู่บนทางเดิน

ต่อให้เป็นขอบเขตร่างทองที่เหมือนกระดาษเปียกจริงๆ แต่นั่นก็เป็นขอบเขตร่างทองที่มองเหยียดยุทธภพของหนึ่งแคว้นได้!

หลังจากเจ็ดแปดหมัดผ่านไป หน้าผากของหูหานก็มีเหงื่อซึมออกมาบางๆ

สิบเอ็ดหมัดผ่านไป หูหานไม่เพียงแต่เหงื่อท่วมเต็มตัว มุมปากยังมีเลือดซึมออกมาแล้วด้วย

ส่วนคนหนุ่มที่การออกหมัดแต่ละครั้งเร็วกว่าครั้งล่าสุดเสมอผู้นั้นกลับไม่มีลางว่าลมปราณจะแห้งเหือดและคิดจะหยุดมือเลย

หูหานผู้ฝึกตนขอบเขตเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่ที่อัดอั้นตันใจสุดขีดถึงขั้นล้มเลิกความคิดที่จะเอาคืน พายุลมกรดกระจายไปทั่วทุกเส้นชีพจรในร่าง ปกป้องช่องโพรงใหญ่ที่สำคัญเอาไว้ ปล่อยให้คนหนุ่มปล่อยหมัดต่อไป ปณิธานหมัดสามารถยืนหยัดได้นาน ทว่าปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธต้องมีช่วงเวลาที่หมดสิ้นลง ถึงเวลานั้นก็คือเวลาที่ดีที่สุดในการปล่อยหมัดของหูหาน

แต่หูหานกลับได้ยินท่านเจิงที่อยู่ห่างไปไกลด้านหลังระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “แม่ทัพสวี่ รีบช่วยหูหานสะบั้นปณิธานหมัดของคนผู้นี้!”

แม่ทัพแซ่สวี่ขมวดคิ้ว แต่กลับควบม้าพุ่งออกไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ

เขาสามารถถูกเรียกว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีฝีมือในการรบบนหลังม้าของแคว้นสือหาวได้ก็เพราะยามที่นั่งอยู่บนหลังม้า มือถือหอกยาว พลังการต่อสู้เลิศล้ำโดดเด่น ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธในความหมายธรรมดาทั่วไป

ก่อนหน้านี้หูหานยินดีขี่ม้าเคียงบ่าอยู่กับคนผู้นี้ แล้วยังพูดคุยกันอย่างถูกคอ แน่นอนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริง ทุกอย่างล้วนอาศัยความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น

ส่วนคำเรียกขานว่า ‘นักกวีผู้ถือหอก’ ที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนักแคว้นสือหาวนั้น เนื่องจากครั้งแรกที่คนผู้นี้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้ถือพระราชโองการที่อนุญาตให้พกหอกยาวเข้าไปในวังด้วย จากนั้นช่วงท้ายของการประชุมขุนนางในวันนั้น ฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งให้คนจูงม้าพยศที่ยังไม่ถูกกำราบตัวหนึ่งเข้ามาในท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย บอกให้เขาขี่ม้าถือหอก ใช้ปลายหอกที่แหลมคมเขียนบทกวีเลื่องชื่อบทหนึ่งของนักประพันธ์ใหญ่แคว้นสือหาวลงบนแผ่นหินทรงยาวแผ่นหนึ่ง อีกทั้งยังต้องควบม้าไม่หยุด ไม่อย่างนั้นจะยึดหอกยาวที่สืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษของเขาไป อีกทั้งยังจะขับไล่เขาออกจากกองทัพ แต่หากทำสำเร็จจะตบรางวัลใหญ่ด้วยการเลื่อนขั้นเขาเป็นขุนนางบู๊ผู้มีคุณูปการระดับสี่ชั้นเอก!

สุดท้ายชื่อเสียงของเขาก็เลื่องลือไปทั้งแคว้น

เขาวางหอกยาวเล่มนั้นลงเบาๆ คุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้อยู่บนบันไดขั้นล่างสุด

ตอนนั้นแม่ทัพหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าคนหนุ่มที่ชะตาบู๊โชติช่วงผู้นี้ตื้นตันใจจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้

ฮ่องเต้เองก็สำราญพระทัย ตั้งฉายาให้เขาด้วยตนเองว่า ‘นักกวีผู้ถือหอก’

แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเคียดแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด มองว่ามันเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!

บรรพบุรุษสี่รุ่น หอกยาวหนึ่งเล่มที่อาบเลือดสดของศัตรูมานับไม่ถ้วน ส่งต่อจากบิดาสู่บุตรมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อถูกส่งมอบมาถึงมือเขา กลับกลายมาเป็นว่าไม่ต่างจากสตรีที่ใช้เข็มปักลายบุปผา!

เขาสวี่เม่าจงรักภักดีกันมาหลายชั่วคน เหล่าบรรพบุรุษต่างกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ บนสนามรบไม่เคยมีเสียงปรบมือหรือเสียงร้องให้กำลังใจจากผู้ใด แล้วเขาสวี่เม่าจะกลายมาเป็นนักแสดงงิ้วที่ผู้คนโปรดปรานได้อย่างไร!

หนึ่งคนหนึ่งม้าหนึ่งหอก ยามที่พุ่งเข้าเข่นฆ่าสังหารกลับมีภาพปรากฎการณ์แห่งสมรภูมิรบที่ภูเขาพังทลายผืนแผ่นดินแตกสลาย

แม้ว่าเงาร่างของทั้งเฉินผิงอันและหูหานจะพัวพันกันจนแยกไม่ออก แต่ปลายหอกของสวี่เม่าที่ชี้ไปกลับยังตรงกับลำคอของเฉินผิงอันที่ออกหมัดครั้งที่ยี่สิบอย่างพอดิบพอดี

เฉินผิงอันไม่ฝืนปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าอีก

ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์

หากไม่ใช่แม่ทัพบนหลังม้าที่ถือหอกยาวพุ่งมาถึง ก็ต้องเป็นกระบี่ยาวของชายวัยกลางคนผู้นั้น

เฉินผิงอันเพียงแค่ใช้หนึ่งฝ่ามือตบหูหานที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นใกล้ตายให้เซถอยออกไป สกัดกั้นประกายคมกริบจากหอกยาวของแม่ทัพบู๊ได้พอดี ส่วนตัวเขาก็ขยับเบี่ยงหลบไปด้านข้างหลายก้าว

สวี่เม่าบิดข้อมือเบาๆ ประกายคมกริบของหอกยาวที่เกือบจะเสียบทะลุร่างหูหานกลายเป็นถังหูลู่ก็จ้วงโดนความว่างเปล่าใต้รักแร้ของฝ่ายหลังอย่างพอดิบพอดี

เฉินผิงอันกระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ หนึ่งครั้ง

บนพื้นดิน ในรัศมีเจ็ดแปดจั้งที่มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลาง เกล็ดหิมะที่ทับถมพลันปลิวกระจาย

สวี่เม่าหลับตาลงแทบจะในทันที

แล้วเขาก็พลันเบิกตากว้าง ชูหอกยาวขึ้นสูงแล้วจ้วงแทงออกไป

หอกยาวเกิดหนักอึ้ง

เงาร่างสีเขียวของคนผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนหอกยาว ไถลร่างลงมาตามความยาวของหอก ตีเข่าเข้าที่หน้าอก ทำให้สวี่เม่ากระเด็นหวือออกไปจากหลังม้า

เพียงแต่ว่าสวี่เม่ากำหอกยาวเอาไว้แน่น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ สวี่เม่าลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นยืนอยู่บนหลังม้าของตน ไม่ได้ฉวยโอกาสตามมาไล่โจมตีเขาต่อ

สวี่เม่าถึงได้หันไปมองหูหานที่ดึงตัวออกห่างจากสนามรบแล้วคำรามอย่างเดือดดาล “หูหาน! ข้าเป็นคนช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก แต่เจ้ากลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย จงใจทำร้ายข้าอย่างนั้นรึ?!”

เฉินผิงอันไม่ได้มองสวี่เม่า แต่มองไปทางหันจิ้งซิ่นและมือกระบี่วัยกลางคนที่ยืนอยู่ห่างไปไกล ยิ้มกล่าวว่า “แนะนำพวกเจ้าว่าอย่าฝากความหวังไว้ที่เขาอีกเลย ขอบเขตร่างทองกระดาษเปียกที่ขวัญกระเจิงคนหนึ่ง พึ่งพาไม่ได้หรอก”

หันจิ้งซิ่นเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด ขนาดสวี่เม่าและหานหูก็ยังพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ? การต่อสู้ตัวต่อตัวสองครั้ง หากต่างก็แพ้ให้อีกฝ่าย นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคนหนุ่มผู้นั้นกลับจับจุดสำคัญทำให้สวี่เม่าและหานหูเกิดแตกแยกกัน หากหานหูไม่มีจิตกล้าหาญของปรมาจารย์อยู่จริง การต่อสู้หลังจากนี้ยังจะสู้กันอย่างไรได้อีก หรือจะให้อาศัยท่านเจิงที่อยู่ข้างกายผู้นี้? ถึงอย่างไรหูหานก็น่าเชื่อถือกว่าสวี่เม่า แต่หันจิ้งซิ่นมีรางลูกคิดเป็นของตัวเอง หากท่านเจิงไม่ลงมือสังหารคนผู้นั้นด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องลงมือ เอาแต่ปกป้องตนอย่างเดียวเท่านั้น

หากท่านเจิงไม่ลงมือ สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังเหลือพื้นที่ให้ย้อนกลับ แต่หากท่านเจิงลงมือแล้วพ่ายแพ้ ถึงเวลานั้นจะต้องให้ตนไปขออภัยอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ?

และจะทำอย่างนั้นก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะให้โอกาสตนได้แก้ไขความสัมพันธ์หรือไม่ด้วย

ว่ากันว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ดื้อดึงบางส่วน หากตัดสินใจจะอำมหิตขึ้นมา เพื่อมหามรรคาอะไรนั่น พวกเขาก็เรียกได้ว่าไม่เห็นญาติมิตรอยู่ในสายตาอย่างแท้จริง

ท่านเจิงเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย หากข้าไม่ลงมือ ขวัญกำลังใจของคนก็จะแตกแยก ปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าแกงได้ตามใจชอบ หากลงมือจึงจะมีโอกาสให้หูหานและสวี่เม่าร่วมมือกับข้าล้อมสังหารคนผู้นี้ แต่เงื่อนไขก็คือข้าต้องไม่พ่ายแพ้ให้เขาในกระบวนท่าเดียว”

รอยยิ้มของหันจิ้งซิ่นค่อนข้างจะฝืดฝืน “ท่านเจิงล้อเล่นแล้ว”

สวี่เม่าถอยกลับเข้าไปในกลุ่ม เปลี่ยนม้าศึกตัวใหม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลผิดปกติ

หูหานเองก็อยากกลับไป แต่เขาเพิ่งจะขยับตัว คนหนุ่มผู้นั้นก็หันหน้ามามองทันที

หูหานเหมือนคนที่ขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ จึงยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างขุ่นเคือง

เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นหูหานก็ดี หรือสวี่เม่าก็ช่าง พวกเขาต่างก็ไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อยเพียงนี้

เพียงแต่สถานการณ์ครั้งนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน แต่ละคนต่างก็ซ่อนเร้นอำพรางฝีมือ ไม่ยินดีจะทุ่มสุดชีวิตสักเท่าไหร่

ดูท่าจิตใจของทหารใต้บังคับบัญชาของหันจิ้งซิ่นกองนี้ชวนให้คนขบคิดใคร่ครวญอยู่ไม่น้อย

มือกระบี่วัยกลางคนที่ไม่เคยลงมือมาก่อนค่อยๆ ขี่ม้าออกมาช้าๆ

ม้าสองตัวอยู่ห่างกันประมาณสามสิบกว่าก้าว

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหลังม้าตลอดเวลาถามว่า “อาจารย์ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นอาจารย์กระบี่กระมัง?”

มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “ข้าไม่คู่ควรกับคำเรียกขานว่าอาจารย์แม้แต่น้อย ข้าแซ่เจิง ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ที่ไหนมีข้าวให้กิน ก็ไปขอข้าวกินที่นั่น”

บุรุษยิ้มกล่าว “หลังจากนี้อาจจะทำในสิ่งที่ไร้คุณธรรมแล้ว”

เฉินผิงอันมือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายออก “ตามสบาย”

คนผู้นั้นมองไปทางหูหาน “รบกวนละทิ้งความขัดแย้งระหว่างพวกเราสามคนชั่วคราว เจ้า ข้าและแม่ทัพสวี่ร่วมมือกันอย่างจริงใจ ช่วยกันสังหารศัตรู”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสเจิงคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็น่าจะมองออกว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของเพื่อนเจ้าคนนี้ค่อนข้างจะเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงจะใช้ลมปราณเฮือกหนึ่งมาฝืนดึงสภาพจิตใจของตนให้สูงขึ้น ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่ขอบเขตสูงกว่าตนหนึ่งระดับจะไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย หากต้องตัดสินเป็นตายก็คือตัดสินเป็นตาย เขากลับดีนัก ไม่เพียงแต่รากฐานย่ำแย่ ยังขาดลมปราณเฮือกนั้นอีกต่างหาก เวลาเข่นฆ่ากับคนอื่นยังชอบดึงขอบเขตของตนให้ต่ำลงหนึ่งระดับ ยุทธภพของแคว้นสือหาวพวกเจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นสือหาวพอดี คาดว่าหนึ่งวันที่เขาอยู่บนโลก ยุทธภพในแคว้นสือหาวก็คงถูกเขาถ่วงความเจริญไปหนึ่งวัน”

มุมปากของสวี่เม่ากระดกขึ้น

คล้ายเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

แต่นี่ไม่ถ่วงรั้งให้เขาถือหอกยาวในมือเดินก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

หูหานทำท่าครุ่นคิด

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะหันหน้ากลับมากล่าวอีกว่า “คิดได้แล้วหรือ? น่าเสียดายที่เจ้าทำไม่ได้”

หูหานยืดคอยาว “อ้อ? นี่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

พลังอำนาจทั่วร่างของหูหานพลันแปรเปลี่ยน ราวกับว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นหูหานตัวจริง คือบุคคลอันดับหนึ่งที่เป็นผู้นำเหล่าผู้กล้าในยุทธภพของแคว้นสือหาว

หูหานเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “ท่านเจิง แม่ทัพสวี่ อีกเดี๋ยวรอให้ข้าลงมือก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าแค่คอยช่วยเสริมก็พอ!”

สำหรับคำพูดของหูหาน เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสวี่เม่าที่ถือหอกพร้อมออกรบ

ลมพัดพาหิมะกว้างไกลไปสุดลูกหูลูกตา ในสายตาของเฉินผิงอันกลับมีเพียงมือกระบี่วัยกลางคนที่สะพายกระบี่คนนั้น

ไม่เห็นว่าบุรุษลงมืออย่างไร ทว่ากระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเขากลับพุ่งออกจากฝักทะยานขึ้นฟ้าด้วยตัวเอง พริบตาเดียวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ก็คือความสามารถของอาจารย์กระบี่ท่านหนึ่ง เวทควบคุมกระบี่

อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาดูแคลนอาจารย์กระบี่ล่างภูเขา

มือซ้ายของเฉินผิงอันกดอยู่บนด้ามกระบี่โบราณเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้น “บังเอิญนัก ข้าเองก็เป็นมือกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน”

ใช้นิ้วโป้งค่อยๆ ผลักกระบี่ออกจากฝักมาชุ่นกว่า

พลังอำนาจดุจขุนเขา

แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นปณิธานหมัดหรือปณิธานกระบี่กันแน่

สวี่เม่าต้องหรี่ตาลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรู้สึกแสบจ้าบาดตาเกินไป

แต่สวี่เม่ากลับเป็นคนแรกที่ลงมือ

ม้าศึกควบตะบึง ถือหอกพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

หูหานเองก็ไม่รีรอ พุ่งร่างวูบเข้าหาเฉินผิงอัน

มือกระบี่วัยกลางคนยิ้มอย่างสง่างาม

กระบี่โบราณที่ด้ามจับเป็นหลิงจือหยกขาวเล่มนั้นยังคงหายไปไม่รู้ร่องรอย

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหลังม้าก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หลังจากก้าวนั้นเหยียบลงบนความว่างเปล่าแล้ว ร่างของเขาก็หายไป

หูหานเพิ่งจะกระโจนข้ามหลังม้ามาพลิ้วกายลงบนถนนฝั่งตรงข้ามพอดี

นาทีถัดมาเงาร่างสีเขียวก็มาปรากฏอยู่ข้างกายสวี่เม่า กระแทกไหล่ชนให้ทั้งสวี่เม่าและม้าลอยคว้างออกไป

สวี่เม่าทะยานตัวออกจากหลังม้าศึกกลางอากาศ พลิ้วกายลงบนพื้นอย่างมั่นคง น่าสงสารก็แต่ม้าตัวนั้นที่หล่นกระแทกอย่างหนักลงกลางกองหิมะห่างไปสิบกว่าจั้งแล้วตายคาที่ทันที

ทว่าเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่ากลับเกิดขึ้น เพราะเงาร่างของมือกระบี่วัยกลางคนผู้นั้นก็หายไปจากจุดเดิมอย่างเงียบเชียบไม่ต่างจากเฉินผิงอัน

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เขาก็ยังตัดใจทิ้งได้ลง มันจึงหล่นลงจากหลังม้า ปักเอียงอยู่บนพื้นหิมะพอดี

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหลังม้า ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

ผลักเลียนแบบชวีหวงกลับเข้าฝักกระบี่เบาๆ

ก้มหน้าลงมองฝักกระบี่ที่ด้านในว่างเปล่าฝักนั้นนิ่ง

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้ หูหานและสวี่เม่าที่ความสนใจทั้งหมดอยู่บนร่างของตนอาจไม่ทันสังเกตเห็นว่าฝักกระบี่นั้นเป็นของจริง แต่สิ่งที่อยู่ด้านในของฝักกลับไม่ใช่กระบี่ยาว แต่เหมือนกับดาบทรงตรงเล่มหนึ่งมากกว่า

เฉินผิงอันพึมพำอย่างระอาใจ “ข้าคงไม่ได้ปากอีกาจนมาเจอเข้ากับคนเชื่อดาบจริงๆ หรอกกระมัง?”

ทิ้งฝักกระบี่เอาไว้

ตัวคนหนีหายไปแล้ว ดาบตรงเล่มนั้นก็น่าจะถูกเอาไปด้วย

มีแต่เรื่องประหลาดทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ ‘ท่านเจิง’ ผู้นั้นบอกว่าเฉินผิงอันประหลาด ตอนนี้ถือว่าต่างสนองคืนกันและกันแล้ว

เรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็วางลงไว้ก่อน ทำเรื่องที่ตัวเองเข้าใจให้เสร็จเสียก่อน

ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันใช้วิชาบังคับกระบี่ดึงฝักกระบี่นั้นออกมาจากกองหิมะแล้วโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

ฝักกระบี่ก็เหมือนกระบี่บินที่พุ่งฉิวออกไป

แทงทะลุลำคอขององค์ชายแคว้นสือหาวผู้นั้น

หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเวทตระกูลเซียนประเภทยันต์ตัวตายตัวแทนอะไร เฉินผิงอันก็ไม่สนใจศพที่หล่นจากหลังม้าอย่างไร้พลังชีวิตนั่นอีก

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ เส้นสายตามองเคลื่อนไประหว่างสวี่เม่ากับหูหาน

สวี่เม่ายืนนิ่งไม่ขยับ มือกำหอกยาวแน่น

หูหานกลับชักเท้าเผ่นหนีไปแล้ว

เฉินผิงอันจึงไล่ตามไป

เงาร่างของคนทั้งสองทยอยกันหายไปจากสายตาของทุกคน

ทหารม้าฝีมือแกร่งกล้าทุกคนหันมามองหน้ากันเอง

รอฟังคำสั่งจากสวี่เม่า

ในเมื่อฟ้าถล่มลงมาแล้ว คนที่มีหมวกสูงก็ควรต้องค้ำยันเอาไว้

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา

ก็พอจะมองเห็นได้เลือนๆ ว่าเงาร่างสีเขียวกลับมาแล้ว ในมือหิ้วของชิ้นหนึ่งมาด้วย

หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

ที่แท้หลังจากเฉินผิงอันจากไปได้ไม่นาน สวี่เม่าก็เหมือนกับมารบ้าคลั่งที่รวบรวมผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มของทหารกล้าจวนอ๋องมาก่อน จากนั้นก็เริ่มกระทำการโหดร้ายเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ฆ่าทหารม้าอีกสี่สิบกว่านายที่เหลือจนสิ้น สุดท้ายก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้มีดรบบั่นหัวขององค์ชายหันจิ้งซิ่นมาแขวนไว้ตรงเอว เลือกม้าศึกมาสามสี่ตัว แล้วพลิกกายขึ้นขี่ม้าตัวหนึ่งในนั้น ส่วนม้าตัวที่เหลือก็เอาไว้ผลัดเปลี่ยนในการห้อตะบึงระยะทางไกล หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝีเท้าของม้าศึกบาดเจ็บ

สวี่เม่ายังไม่ได้จากไป

แต่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสงบนิ่ง รอการกลับมาของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเดินมาใกล้สวี่เม่า โยนศีรษะของหูหานที่อยู่ในมือไปให้แม่ทัพบู๊ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถามว่า “จะเอาอย่างไร?”

สวี่เม่ารับศีรษะมาแขวนไว้ด้านข้างอานม้า ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคงเดาได้แล้วกระมัง? ว่าที่ฮ่องเต้แคว้นสือหาวตายไปคนหนึ่ง ข้าที่ปกป้องเจ้านายไม่ได้ย่อมต้องเจอโทษประหาร ยังจะทำอะไรได้อีก ก็ได้แต่หันไปสวามิภักดิ์ซูเกาซานแห่งต้าหลีน่ะสิ”

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

สวี่เม่าถาม “ไม่ฆ่าข้ารึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าช่วยข้าเก็บกวาดเรื่องเละเทะ แล้วข้าจะฆ่าเจ้าไปทำไม หาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร”

สวี่เม่ามองคนหนุ่มที่ใบหน้ายังคงซีดขาวแล้วยิ้มเอ่ยว่า “หวังว่าวันหน้าพวกเราจะไม่ต้องเจอกันอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ทางที่ดีที่สุดก็ขอให้เป็นเช่นนี้”

สวี่เม่าดึงเชือกบังคับบังเหียนม้าควบทะยานจากไปท่ามกลางลมหิมะ

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองมือกอบหิมะกำหนึ่งขึ้นมาล้างข้างแก้ม

รอบด้านนอกจากศพที่กลาดเกลื่อนแล้วยังมีม้าศึกบางส่วนที่ย่ำเท้าเดินวนอยู่กับที่ ก้มหัวลงดุนดันร่างของเจ้านายเบาๆ

หลังจากปล่อยมือ หิมะที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสดก็หล่นร่วงลงสู่พื้น

หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ที่ควบม้าเร็วมาหากำลังจะอ้าปากพูด แต่เฉินผิงอันกลับโบกมือบอกเป็นนัยแก่พวกเขาว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร

จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปยืนบนหลังม้าศึกตัวหนึ่ง มองไปยังทิศทางหนึ่งที่เบี่ยงห่างจากทิศทางที่สวี่เม่าจากไปเล็กน้อย

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันถึงได้นั่งลงบนหลังม้า ยื่นมือไปเช็ดเลือดสดที่พากันไหลพรูออกมาจากทั้งรูจมูกและใบหู

หลังจากสังหารหูหานแล้วก็ทายาลับจากร้านยาตระกูลหยาง ทั่วร่างจึงไม่มีความเจ็บปวด ทว่ายากที่จะปกปิดสภาพอันน่าอนาถได้ นี่จึงค่อนข้างจะเป็นปัญหา

ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าคนแกร่งกล้าอย่างสวี่เม่าอาจจะแว้งกลับมาโจมตีเขาก็เป็นได้

และในความเป็นจริงแล้วสวี่เม่าก็คิดเช่นนี้จริง

เพียงแต่เมื่อสัมผัสได้ว่าเฉินผิงอันจับความคิดเขาได้แล้วก็ล้มเลิกความคิดอย่างเด็ดขาด แล้วจากไปไกลอย่างแท้จริง

สังหารสวี่เม่าคนหนึ่งนั้นไม่ยาก แต่เมื่อฆ่าสวี่เม่าแล้ว เรื่องเละเทะครั้งนี้เขาเฉินผิงอันก็ได้แต่แบกรับผลที่ตามมาไว้คนเดียว การเดินทางขึ้นเหนือต่อจากนี้มีแต่จะเจอมรสุมอย่างต่อเนื่อง

การที่เฉินผิงอันไม่ได้ใช้กระบี่บินทั้งสองเล่มมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ยิ่งไม่ได้เอาอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นออกมา ก็เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้นที่สังหารเชื้อพระวงศ์ หรือต่อให้สังหารฮ่องเต้ก็ไม่ถือว่าทำลายกฎบนภูเขา เพราะผู้ฝึกยุทธไม่เคยถือว่าเป็นคนบนภูเขาอะไร ผู้ฝึกลมปราณใช่ ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็ยิ่งใช่ และยังมีอีกอย่างคือเฉินผิงอันเองก็อยากจะต่อสู้ต่อยตีกับคนอื่นอย่างเต็มคราบดูสักครั้ง นี่เป็นแรงบันดาลใจที่แม่ทัพเว่ยวัตถุหยินตนนั้นมอบให้เขาตอนอยู่ในอารามหลิงกวานคืนนั้น

แต่รู้สึกว่า…ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

หม่าตู่อี๋เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันได้ดีกว่าเจิงเย่

นางไม่เคยรู้สึกขนพองสยองเกล้าขนาดนี้มาก่อน

อยู่ในอาณาบริเวณแคว้นสือหาว ต้องใช้กลอุบายและสติปัญญาน้อยกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนเสียเมื่อไหร่?

เฉินผิงอันพูดเสียงแหบพร่า “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน อย่างน้อยที่สุดพวกเราต้องไปให้ไกลจากที่นี่ร้อยกว่าลี้แล้วค่อยหาสถานที่พักพิงที่ค่อนข้างอำพรางตาได้ดี เอาแค่หลบลมหิมะได้ก็พอแล้ว”

คนทั้งสามออกเดินทางกันต่อ

เฉินผิงอันจำต้องเอาชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกมาสวมทับชุดผ้าฝ้ายที่อยู่ด้านนอกเพื่อปิดบังสภาพอันน่าสังเวชของตน

สวี่เม่าจากไปไกลมากแล้ว ทว่าอยู่ดีๆ แม่ทัพบู๊แคว้นสือหาวที่เตรียมจะไปสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็พลันหยุดม้า เอ่ยเสียงหนัก “ท่านเจิง?”

‘มือกระบี่’ วัยกลางคนผู้นั้นเดินออกมาจากมุมหนึ่งท่ามกลางลมหิมะที่ห่างไปไกลดังคาด เขามาหยุดอยู่ข้างกายสวี่เม่าแล้วยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพสวี่ เจ้าสามารถคืนหอกยาวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้นให้ข้าได้แล้ว เชื่อว่าในบรรดาคำสั่งสอนที่บรรพบุรุษของเจ้าสืบทอดกันมาปากต่อปาก คงต้องมีอยู่สักประโยคหนึ่งที่เจ้าคิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ แต่หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะขอยืมม้าเจ้าสักตัว แล้วเจ้าก็สามารถเก็บหอกยาวที่สลักสองคำว่า ‘ลมหิมะ’ นี้เอาไว้ต่อไปได้ ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช่ข้าที่มาเอาคืนด้วยตัวเอง ก็จะต้องมีคนไปตามหาสวี่เม่าทูตผู้ตรวจการต้าหลีอยู่ดี ตกลงไหม?”

สวี่เม่าพยักหน้ารับ สายตาฉายประกายเร่าร้อน “ตกลง!”

บุรุษผู้นั้นจึงจูงม้าไปตัวหนึ่ง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล

บุรุษที่ไม่ว่าจะเป็นสถานะ กระบี่ยาว ชื่อหรือภูมิหลังก็คล้ายจะเป็นของปลอมทั้งหมดผู้นั้นจูงม้าเดินจากไป แล้วจู่ๆ ก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิตใจไม่ถูกบังคับ เรือนกายไม่ถูกผูกมัด เหตุใดในท้องถึงอัดแน่นไปด้วยความอัดอั้นไม่สบายตัวเล่า?”

เขาหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เฉินผิงอันอยู่ กล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่จำนวนรายชื่อมีจำกัด ไม่อาจทำการค้ากับเจ้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ไม่อย่างนั้นนี่ก็น่าจะถือเป็นการค้าที่ดีครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าช่วงชิงตำแหน่งทูตผู้ตรวจการของต้าหลีมาล่ะนะ”

ความเร็วของม้าทั้งสามตัว เดี๋ยวก็เร็วเดี๋ยวก็ช้า

ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บของเฉินผิงอัน

ทว่าในสายตาของหม่าตู่อี๋แล้ว แม้ท่านเฉินผู้นี้จะบาดเจ็บไม่เบา แต่ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ฤดูหนาวเหมาะกับหิมะตก ประหนึ่งเสียงตีหยกแก้วใส ประโยคนี้ เคยได้ยินไหม?”

หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับ “เคยได้ยิน”

เฉินผิงอันอืมหนึ่งที “มีความรู้ลึกซึ้งจริงๆ ไม่เสียแรงเปล่าที่ได้ชื่อนี้มา”

หม่าตู่อี๋กลั้นยิ้ม “เพิ่งจะเคยได้ยิน”

หม่าตู่อี๋รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

นางเริ่มใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง

เจิงเย่จึงเอ่ยขึ้นอย่างอัดอั้นว่า “ท่านเฉินน่าจะกำลังบอกว่า มุกตลกของแม่นางหม่าเย็นเหมือนลมที่บาดผิวนี่เลย” (มุกแป้กในภาษาจีนจะใช้กับคำว่าเย็น หนาว เช่นมุกนี้หนาวมาก ซึ่งแปลเป็นไทยจะได้ว่ามุกนี้แป้กมาก)

หม่าตู่อี๋หันหน้ามามองเฉินผิงอันอย่างกังขา

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “คำพูดของเจิงเย่ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ?”

หม่าตู่อี๋คิดแล้วก็รู้สึกว่าถูก จึงหันไปถลึงตาดุดันใส่เจิงเย่

เจิงเย่โอดครวญเล็กน้อย

หม่าตู่อี๋ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าเปิดปากถาม

เฉินผิงอันจึงเอ่ยขึ้นเองว่า “อยากถามว่าข้าจะเก็บวิญญาณของทหารม้าพวกนั้นมาหรือไม่?”

หม่าตู่อี๋ร้อนตัวเล็กน้อย “ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นเลย แต่ว่า…”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่รู้สึกว่าสมองของข้าไม่ปกติ มักจะชอบทำเรื่องประหลาดวกวนไปมาอยู่เสมอ ใช่ไหม?”

คำพูดบางอย่างเมื่อพูดออกมาแล้วก็หมายความว่าไม่ได้เก็บกลั้นไว้ในใจ

นี่เป็นเรื่องดี

หม่าตู่อี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน จึงคลี่ยิ้มกว้าง

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงขอแค่จับต้นและปลายเอาไว้ได้ ต่อให้ยังอยู่ในสภาพการณ์ที่พัวพันกันยุ่งเหยิงก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แค่ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ”

นิสัยชอบเอาชนะของหม่าตู่อี๋กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินจะบอกให้พวกเรารีบควบม้าเร็วไปอีกร้อยกว่าลี้ทำไม? ทำไมไม่ค่อยเป็นค่อยไปเล่า?”

เฉินผิงอันเทยาลับเม็ดหนึ่งของตำหนักวารีออกมา ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วกลืนลงไปพร้อมกัน เขารู้สึกเอือมระอาเล็กน้อยจึงไม่ตอบโต้อะไรไป

หม่าตู่อี๋จึงหัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง

เจิงเย่ส่ายหน้า ผู้หญิงนี่นะ

ม้าทั้งสามตัวควบตะบึงไปท่ามกลางลมหิมะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version