บทที่ 450 กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด
ตามประเพณีนิยมในเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู วันแรกของปี แต่ละบ้านจะเอา ไม้กวาดตั้งกลับหัว อีกทั้งยังไม่ควรออกเดินทางไกล
เฉินผิงอันจึงบอกให้หม่าตู่อี๋ช่วยชี้แนะการฝึกตนให้กับเจิงเย่ ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมานี้ หลังจากเฉินผิงอันพิจารณาดูแล้ว ปลายปีของปีก่อนเขาจึงมอบกระดาษยันต์ที่บันทึกวิชาลับในการฝึกตนวิถีผีอย่างละเอียดให้แก่หม่าตู่อี๋ ให้นางอ่านได้ตามสบาย หากมีจุดที่ไม่เข้าใจก็สามารถสอบถามเจิงเย่ได้ เป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน ความต่างในด้านพรสวรรค์การฝึกตน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เพียงไม่นานหม่าตู่อี๋ที่เริ่มฝึกวิชาลับวิชานี้ก็ตามมาทัน ใช้เวลาแค่เดือนกว่าก็สามารถชี้แนะและคลี่คลายปมปัญหาที่เจิงเย่ไม่เข้าใจได้
โชคดีที่เจิงเย่เคยชินกับเรื่องนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ทดท้อ ผิดหวังหรืออิจฉา กลับกันยังยิ่งตั้งใจฝึกตนมากขึ้น ยิ่งตัดสินใจว่าจะใช้ความขยันมาชดเชยข้อบกพร่องของตัวเองให้จงได้
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจไม่น้อย สามารถยอมรับชะตากรรมแต่ไม่ยอมแพ้ให้แก่ชะตากรรม นี่คือนิสัยที่หาได้ยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตน ขอแค่ยืดหยัดไม่แปรเปลี่ยน การประสบความสำเร็จแม้จะล่าช้า แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่เพ้อฝันอีกต่อไป
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอาบแดดอยู่ในลานของโรงเตี๊ยมที่ไร้ผู้คน เขาเปิดหีบหนังสือที่ตกหล่นอยู่บนพื้นหิมะออก หยิบตำราแต่ละเล่มออกมาบันทึก คิดว่าหากมีโอกาส วันหน้าจะให้เจิงเย่นำไปคืนเจ้าของเดิม ตราประทับส่วนตัวที่ประทับอยู่บนปกหนังสือล้วนเป็นสองคำว่า ‘น้ำไหลเมฆคล้อย’ และ ‘ผู้เฒ่าหลินสวิน’ ในอนาคตหากเจิงเย่คิดจะสืบสาวเบาะแสไปค้นหาตระกูลบัณฑิตที่หนีภัยลงใต้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก
ยามเที่ยงวันเฉินผิงอันก็ได้รับจดหมายกระบี่บินจากเกาะชิงเสียอีกครั้ง บอกว่ามีกระบี่บินเล่มหนึ่งมาจาภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี เนื่องจากเฉินผิงอันไม่อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน จึงได้แต่เก็บไว้ในห้องกระบี่ของเกาะชิงเสียชั่วคราว หลิวจื้อเม่าส่งกระบี่บินมาสอบถามเฉินผิงอันว่าจะให้จัดการอย่างไร เฉินผิงอันตอบกลับไปโดยการบอกสถานที่ที่พวกเขาสามคนหยุดพักในปัจจุบัน รบกวนให้ เจ้าเกาะหลิวเดินทางนำกระบี่บินส่งข่าวมาให้เขาด้วยตัวเองสักครั้ง
คืนของวันที่หนึ่งหลิวจื้อเม่าก็มาถึงโรงเตี๊ยมในเมือง นำกระบี่บินส่งข่าวที่มาจากองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีมาให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันไม่ได้เปิดกระบี่บินจากภูเขาพีอวิ๋นออกต่อหน้าหลิวจื้อเม่า เซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง โดยเฉพาะก่อกำเนิดเฒ่าที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอย่างหลิวจื้อเม่าผู้นี้ ย่อมมีวิชาอภินิหารมากมายหลายอย่าง ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราว ไม่ใช่สหายกันจริงๆ ความสัมพันธ์ไม่ได้ดีถึงขั้นนั้น
คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในห้องของโรงเตี๊ยม
หลิวจื้อเม่าพูดเข้าประเด็นทันที “ตามที่ท่านเฉินกำชับไว้ก่อนออกมาจากเกาะชิงเสีย ข้าได้สลายตราผนึกบนร่างของหงซูแห่งจวนจูเสียนไปอย่างเงียบเชียบแล้ว แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายส่งตัวนางไปยังเกาะกงหลิ่วเพื่อแสดงความเป็นมิตรต่อหลิวเหล่าเฉิง ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงกับท่านเฉินเป็นพันธมิตรกัน ต่อให้เป็นสหายของสหายก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นสหายของเรา ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาะชิงเสียกับเกาะกงหลิ่วก็ถือว่าผ่อนคลายลงเพราะท่านเฉิน ถานหยวนอี้เคยมาเยือนเกาะชิงเสีย เห็นได้ชัดว่ายิ่งรู้สึกนับถือต่อท่านเฉินอีกหลายส่วน ดังนั้นครั้งนี้ข้ามาเยือนด้วยตัวเอง นอกจากจะนำกระบี่บินส่งข่าวจากต้าหลีมามอบให้แล้ว ยังนำของขวัญเล็กๆ มาให้อีกชิ้นหนึ่ง ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่ทางเกาะชิงเสียมอบให้ท่านเฉิน ท่านเฉินอย่าได้ปฏิเสธ เดิมทีนี่ก็เป็นกฎที่มีมาหลายปีบนเกาะชิงเสีย ยามเดือนแรก ผู้ถวายงานทุกคนของเกาะล้วนได้รับ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กฎเกณฑ์ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่บนเกาะชิงเสีย ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี ดังนั้นต่อให้เจ้าเกาะหลิวไม่มอบให้ ข้าก็ต้องเอ่ยเตือนเจ้าเกาะหลิวอยู่ดี”
หลิวจื้อเม่าหยิบกำไลข้อมือเมล็ดลูกท้อที่ค่อนข้างจะหลวมออกมาวงหนึ่ง ดูเหมือนว่าอายุจะมากแล้ว อีกทั้งยังเก็บรักษาได้ไม่ดีจึงมีเมล็ดลูกท้อเกือบครึ่งหล่นหายไป เหลือเพียงเมล็ดลูกท้อแปดเมล็ดที่สลักเป็นรูปขององค์เทพอย่างเทพพิรุณ เทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ ฯลฯ แต่ละเมล็ดมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เปี่ยมล้นไปด้วยความโบราณเก่าแก่ ทว่าองค์เทพยุคบรรพกาลแต่ละองค์กลับเหมือนมีชีวิตจริง หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “แค่ปลดลงมาแล้วโยนลงบนพื้น ก็สามารถออกคำสั่งแก่ลม ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เปลวเพลิง ฯลฯ ได้ พลังอำนาจหลังจากที่เมล็ดลูกท้อเมล็ดหนึ่งระเบิดออกเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนดินโอสถทองทั่วไป เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นำมาใช้ เมล็ดลูกท้อทุกเมล็ดจะถูกทำลาย เป็นเหตุให้มันไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เรือนกายและจิตวิญญาณของท่านเฉินได้รับความเสียหาย ไม่สะดวกจะลงมือเข่นฆ่ากับคนอื่นบ่อยๆ วัตถุชิ้นนี้จึงเหมาะสมพอดี”
เฉินผิงอันเก็บมันไปไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ “เป็นเช่นนี้จริง เจ้าเกาะหลิวมีใจแล้ว”
หลิวจื้อเม่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นสามเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความสะท้านสะเทือนให้แก่ราชวงศ์จูอิ๋งและแคว้นใต้อาณัติทั้งหมด เรื่องหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่แฝงตัวอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนคนนั้นถูกสตรีชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดขาวไล่ล่าไปไกลพันกว่าลี้ สุดท้ายก็ร่วมมือกันสังหารเขา สตรีชุดเขียวก็คือผู้ฝึกตนไร้นามที่ก่อนหน้านี้ทำลายศาลบรรพชนบนภูเขาพุดตานในช่วงที่มีการคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพ เล่าลือกันว่าสถานะของนางก็คือหน่วยจานกานของต้าหลี ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นั้นมีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า สมบัติอาคมที่อยู่บนร่างเขาเรียกได้ว่ามากมายละลานตา ตลอดทางที่ไล่ล่ากันไป เขากลับทำเหมือนเดินเล่น ทว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้ากลับมีสภาพอเนจอนาถอย่างยิ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ยิ้มมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถาม “เกาะหวงหลีว่าอย่างไร?”
หลิวจื้อเม่ากล่าว “หลังจากคู่สามีภรรยาเซียนดินเกาะหวงหลีทราบข่าว วันนั้นก็ได้มาเยี่ยมเยือนถานหยวนอี้ ขอร้องให้เขาช่วยปกป้อง ถือว่าหันไปสวามิภักดิ์ต่อต้าหลีอย่างจริงจังแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นข่าวดี”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่อ “เรื่องที่สองก็คือก่อนเทศกาลหยวนเซียวในเดือนหนึ่งของปีนี้ ซูเกาซานแม่ทัพใหญ่จะบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นสือหาว หากไม่ยินดีจะตายไปพร้อมกับสกุลหันแคว้นสือหาว ขอแค่ในตระกูลที่มีคนเป็นขุนนางแปะภาพเทพทวารบาลเป็นภาพของหยวน เฉาสององค์ของต้าหลีไว้บนประตูบ้านในเดือนหนึ่งก็สามารถหนีพ้นหายนะจากไฟสงครามได้ หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีทำลายกำแพงเมืองได้แล้ว ตระกูลชนชั้นสูงที่ยังไม่แปะภาพเทพทวารบาลไว้บนประตูบ้านก็จะถูกมองเป็นกากเดนของสกุลหันทั้งหมด และเมื่อกำแพงเมืองถูกตีแตกแล้ว ภายในสามวัน ชาวบ้านร้านตลาดที่เปลี่ยนมาใช้ภาพเทพทวารบาลของต้าหลีทั้งหมดก็จะสามารถหลบพ้นจากการโจมตีไปได้ หลังผ่านสามวันไปแล้ว เรือนน้อยใหญ่ที่ไม่แขวนเทพทวารบาลต้าหลีจะต้องถูกบันทึกลงในบัญชี เพื่อเตรียมไว้คิดบัญชีย้อนหลัง”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “วางแผนไว้อย่างละเอียดรอบคอบก่อน แล้วจึงโจมตีทางด้านจิตใจ”
สีหน้าของหลิวจื้อเม่าแฝงเลศนัย “ส่วนเรื่องที่สาม หากเป็นในยุคสันติสุขก็ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก ทว่าเมื่อเกิดในเวลานี้กลับไม่สะดุดตาเท่าไหร่แล้ว หันจิ้งซิ่นองค์ชายที่ได้รับความรักและเอ็นดูจากฮ่องเต้แคว้นสือหาวมากที่สุดตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง สภาพศพไม่สมบูรณ์ ท่านเจิงผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หูหานบุคคลอันดับหนึ่งวิถีวรยุทธ์แคว้นสือหาวก็ถูกตัดหัวไปเช่นกัน ว่ากันว่าสวี่เม่านักกวีผู้ถือหอกได้นำหัวสองหัวเป็นสิ่งของแสดงการสวามิภักดิ์
นำไปมอบให้กับซูเกาซานแม่ทัพหลักของต้าหลีในค่ำคืนที่มีลมหิมะ จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นแม่ทัพเชียนอู่หนิวที่เป็นขุนนางระดับสี่ชั้นเอกของราชวงศ์ต้าหลี เรียกได้ว่าเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว การช่วงชิงคุณความชอบทางการทหารของต้าหลีในตอนนี้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หลิวจื้อเม่าหยิบถ้วยเหล้าสองใบมาวางบนโต๊ะ เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วคลี่ยิ้ม หลิวจื้อเม่าจึงเก็บถ้วยเหล้าใบหนึ่งไปอย่างรู้กาลควร ทั้งๆ ที่รู้ดีว่านักบัญชีตรงหน้าไม่มีทางดื่มเหล้าจากถ้วยของตน ทว่ากฎในวงเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ข้อนี้ก็ยังต้องมี เฉินผิงอันรินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าหนึ่งถ้วย ส่วนตัวเองดื่มเอาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าเกาะหลิวไม่ต้องสงสัยแล้ว ฆ่าเป็นคนสังหารพวกเขาเอง ส่วนศีรษะทั้งสองนั้น สวี่เม่าเป็นผู้ตัดเอาไป ข้าไม่ฆ่าสวี่เม่า เขาช่วยข้าแบกรับความยุ่งยากเอาไว้ ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “แคว้นสือหาวจะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก สามารถมาชนปลายกระบี่ของท่านเฉินได้ก็คงเป็นชะตากรรมของหันจิ้งซิ่นที่ชีวิตนี้ไม่มีทางได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทว่าบอกตามตรง ในบรรดาองค์ชายหลายคน หันจิ้งซิ่นถูกฮ่องเต้แคว้นสือหาวฝากความหวังไว้ให้มากที่สุด ตัวเขาเองก็มีอุบายลึกล้ำ เดิมทีโชควาสนาของเขาก็ดียิ่งกว่าใคร น่าเสียดายที่เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตายเอง ช่วยไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิว มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ ราชวงศ์จูอิ๋งมีแคว้นใต้อาณัติมากมายขนาดนี้ ทำไมพวกเขาแต่ละแคว้นจึงเลือกจะงัดข้อกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีให้ถึงที่สุด อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ในฐานะของแคว้นใต้อาณัติที่พึ่งพาราชวงศ์ใหญ่ เดิมทีไม่ควรทำอย่างนี้ถึงจะถูก
ในราชสำนัก เสียงคัดค้านก็ไม่ควรจะเบาขนาดนี้ นับตั้งแต่แคว้นหวงถิงใต้อาณัติของต้าสุย มาจนถึงแถบทางเหนือของสำนักศึกษากวานหู พื้นที่แถบเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป…”
เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะ “มีเพียงที่นี่ที่ไม่ปกติ”
หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่เล็กน้อยก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งอึก แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เมธีร้อยสำนักต่างก็มีเดิมพันเป็นของตัวเอง แม้แจกันสมบัติทวีปจะเล็ก แต่ต้าหลีสามารถครอบครองสายหลักของสำนักโม่ สำนักหยินหยาง สำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีปที่มีภูเขาเจินอู่เป็นผู้นำ ฯลฯ พวกเขาเลือกสกุลซ่งต้าหลี ถ้าเช่นนั้นราชวงศ์จูอิ๋งที่มีฐานะเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากสายใหญ่และสายรองของสำนักต่างๆ ในบรรดาเมธีร้อยสำนักก็ถือว่าถูกต้องสมเหตุสมผลแล้ว เท่าที่ข้ารู้มาการสนับสนุนหลักๆ ที่สำคัญก็มีสำนักกสิกรรม สำนักโอสถ สำนักการค้า และสำนักจ้งเหิง ฯลฯ ราชวงศ์จูอิ๋งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เรียกได้ว่าโชควาสนาโชติช่วง อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะเจออุปสรรคที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เขายกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น หลิวจื้อเม่าก็ยกถ้วยเหล้า ต่างคนต่างดื่ม
หลิวจื้อเม่าสวมชุดผ้าป่านสีขาว มองดูเหมือนธรรมดาเรียบง่าย ประหนึ่งผู้ฝึกตนยากจนที่เก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ในป่าเขา แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่ามีมาดของคนตระกูลเซียนที่เป็นเอกลักษณ์
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นอย่างสะท้อนใจ “โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเกาะหลิวคือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยเหล้าเนิบช้าอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ เขามองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นว่าบนสันหลังคานอกหน้าต่างมีหิมะทับถม ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าก็เกือบลืมไปแล้วว่าท่านเฉินมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิง”
เฉินผิงอันพลันโน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นส่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปให้เขา หลิวจื้อเม่า อึ้งตะลึง ก่อนจะใช้ถ้วยเหล้าชนกับเขาเบาๆ
เฉินผิงอันกระดกดื่มคำใหญ่ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดผิดไป เจ้าและข้าถือว่าเป็นคนรู้ใจกันครึ่งตัวจริงๆ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นสหายกันหรือไม่”
หลิวจื้อเม่าดึงถ้วยเหล้ากลับมา ไม่ได้รีบร้อนดื่มเหล้า เขาจ้องมองคนหนุ่มที่ สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวนิ่ง รูปร่างของอีกฝ่ายเริ่มผ่ายผอมหนักขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงดวงตาที่ใสกระจ่างดุจแสงจันทราคู่นั้นที่นับวันก็ยิ่งมืดลึก แต่กลับไม่ใช่ความมืดที่ขุ่นมัว ไม่ใช่คลื่นใต้น้ำของคนที่มีอุบายลึกล้ำ หลิวจื้อเม่าดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ไม่รบกวนท่านเฉินทำเรื่องสำคัญแล้ว หากทะเลสาบซูเจี่ยนมีจุดจบที่ดี ระหว่างเจ้าและข้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกันเลย หวังเพียงว่าในอนาคตเมื่อพบเจอกันอีกครั้ง พวกเรายังจะมีโอกาสได้นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกันอีก ดื่มเสร็จแล้วก็แยกย้าย พูดคุยกันคำสองคำ สาแก่ใจแล้วก็จากลา ปีหน้าพบกันใหม่ก็ค่อยดื่มใหม่ แค่นี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อจากลากันที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หากเจ้าเกาะหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ได้เจอกับฟ้าดินแบบใหม่ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้สึก เช่นนี้อีก”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “การฝึกจิตใจของท่านเฉิน หนึ่งวันไปได้พันลี้ ถึงเวลานั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้สึกเช่นนี้อีก”
คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คนรู้ใจก็เป็นเช่นนี้”
……
หลังจากหลิวจื้อเม่าจากไป หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็เดินมานั่งบนเก้าอี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
หลิวจื้อเม่าทั้งไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารของเซียนสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมาสกัดกั้น แล้วก็ไม่ได้จงใจปิดบังบทสนทนาระหว่างเขากับเฉินผิงอัน
ดังนั้นหม่าตู่อี๋และเจิงเย่จึงพอจะได้ยินเสียงสนทนากลั้วเสียงหัวเราะที่ดังแว่วๆ ไปจากห้องนี้
หม่าตู่อี๋มีสีหน้าซับซ้อน
ส่วนเจิงเย่ก็มีสีหน้ากังขาไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงแค่ถามเรื่องด่านในการฝึกตนของเจิงเย่ แล้วไล่อธิบายให้เด็กหนุ่มฟังไปทีละข้ออย่างละเอียด นอกจากจุดที่อธิบายอย่างละเอียดแล้ว บางครั้งก็เอ่ยสองสามประโยคเป็นการถกปัญหา แสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่สูงกว่าย่อมควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าหม่าตู่อี๋จะช่วยขัดเกลาฝึกฝนให้เจิงเย่ ถึงขั้นสามารถช่วยไขข้อข้องใจให้เจิงเย่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว นางก็ยังมีส่วนที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง อย่างน้อยเฉินผิงอันก็รู้สึกเช่นนี้ ทว่าคำพูดที่เฉินผิงอันคิดว่าธรรมดาไร้ความอัศจรรย์ เมื่อดังเข้าหูหม่าตู่อี๋ที่มีพรสวรรค์ดีกว่าเจิงเย่แล้วก็เหมือนเปิดสมองของนางให้โล่งกว้าง กระจ่างแจ้ง
ประหนึ่งมีเซียนเหรินผู้หนึ่งชักนำน้ำตกมาให้ ส่วนนางและเจิงเย่ก็แค่ต้องยืนอยู่ใต้น้ำตก แล้วใช้ชามหรือไม่ก็อ่างมารองรับน้ำดื่มดับกระหาย
หลังจากหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่กลับไป เฉินผิงอันถึงได้เปิดตราผนึกของกระบี่บินจากภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีออก
เป็นข่าวที่เหนือความคาดคิด
รองเจ้ากรมพิธีการสกุลซ่งต้าหลีคนหนึ่งเดินทางมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตัวเอง นอกจากจะตรวจตรางานในศาลบุ๋นบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ยังมาเยี่ยมเยือนเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนืออย่างลับๆ เป็นการส่วนตัว แล้วให้ข้อเสนออย่างใหม่แก่เขา
ช่วงนี้ราชสำนักต้าหลีได้ ‘ไถ่คืน’ ภูเขาที่กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนทอดทิ้งมาได้อีกหลายลูก จึงอยากจะอาศัยโอกาสนี้มาทำการค้าครั้งใหญ่กับเฉินผิงอัน เงินเหรียญทองแดงแก่นทองส่วนที่ต้าหลียังติดค้างเฉินผิงอัน เฉินผิงอันสามารถอาศัยสิ่งนี้มาซื้อภูเขาที่ ‘สุกงอม’ ซึ่งตระกูลเซียนทั้งหลายซื้อมาไว้แล้วบุกเบิกที่ทาง หรือแม้กระทั่งค่ายกลคุ้มกันภูเขาก็ยังสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หากเฉินผิงอันตอบตกลง บวกกับภูเขาที่มีในครอบครองก่อนหน้านี้อย่างภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเจินจูแล้ว เฉินผิงอันจะได้อาณาเขตของภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกในเขตการปกครองหลงเฉวียนไปเกือบสามส่วนรวดเดียว ไม่พูดถึงปราณวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาจากภูเขาว่ามีมากน้อย พูดถึงแค่ขนาดของพวกมัน ‘เจ้าของที่รายใหญ่’ อย่างเฉินผิงอันก็แทบจะทัดเทียมกับอริยะหร่วนฉงได้แล้ว
ในจดหมายลับเว่ยป้อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า นี่เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ก็มีภัยแฝงที่ไม่เล็กซุกซ่อนอยู่ ความพัวพันระหว่างเฉินผิงอันกับสกุลซ่งต้าหลีจะยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าคิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กันก็ไม่ง่ายเหมือนสกุลสวี่นครลมเย็นที่ก่อนหน้านี้เห็นท่าไม่ดีก็ขายต่อภูเขาเปลี่ยนมือไปให้คนอื่น ราชสำนักต้าหลีเองก็กล่าวไว้แล้วว่า หากเฉินผิงอันได้ครอบครองอาณาเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ตกลงมากลายเป็นพื้นที่มงคล ถึงเวลานั้นก็จำเป็นต้องลงนามในสัญญาพิเศษ โดยมีภูเขาพีอวิ๋นทางทิศเหนือเป็นคู่สัญญา ราชสำนักต้าหลี เว่ยป้อ เฉินผิงอัน ทั้งสามฝ่ายจะต้องร่วมลงนามพันธมิตรแห่งขุนเขาที่ถือว่ามีระดับสูงเป็นขั้นที่สองของราชสำนัก พันธมิตรแห่งขุนเขาที่สูงที่สุดคือองค์เทพทั้งห้าขุนเขาปรากฏตัวพร้อมกัน อีกทั้งยังต้องประทับตราลัญจกรของฮ่องเต้ต้าหลี และร่วมกับการเป็นพันธมิตรกับผู้ฝึกตนบางท่าน
ทว่าพันธมิตรที่มีระดับขั้นเช่นนี้ก็มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเท่านั้นที่ถึงจะลงนามได้ เพราะมีเพียงเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่ง จึงจะทำให้ต้าหลีระดมพลยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้
เว่ยป้อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า เชื่อใจข้าเว่ยป้อหรือไม่ กับการที่เจ้าเฉินผิงอันจะลงนามสัญญาพันธมิตรภูเขานี่หรือไม่ สามารถนำมาเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องพิจารณา ทว่าน้ำหนักกลับไม่มากนัก
เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคา จำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
ช่วงท้ายสุดของจดหมายลับ เว่ยป้อก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขาสามารถช่วยถ่วงเวลาไปให้ได้อีกครึ่งปีถึงหนึ่งปี ค่อยๆ ครุ่นคิดใคร่ครวญก็แล้วกัน ต่อให้ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะชัดเจนดีแล้ว สกุลซ่งต้าหลีโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งได้สำเร็จแล้วเคลื่อนพลลงใต้ต่อ ถึงเวลานั้นเขาเว่ยป้อที่เป็นคนกลางที่ดี เฉินผิงอันที่เป็นผู้ซื้อก็ช่าง ก็แค่ทำตัวหน้าหนาสักหน่อย ยืนกรานอย่างหน้าไม่อายว่าจะลงนามสัญญากับต้าหลีก็เท่านั้น ไม่ว่าบนหรือล่างภูเขา เดิมทีการทำการค้าก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ
เฉินผิงอันจึงเปิดหีบไม้ใบเล็กใบนั้น ส่งกระบี่บินส่งข่าวกลับไปยังเนินกระบี่ขนาดเล็กที่เป็นของหลิวจื้อเม่าโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องขอให้เจ้าเกาะท่านนี้ช่วยส่งข่าวต่อไปยังภูเขาพีอวิ๋น เขาจึงตอบกลับไปในจดหมายแค่สองคำว่า ‘ตกลง’
เฉินผิงอันทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เดินมาที่หน้าต่าง พวกแม่ทัพหอกยาวอย่างสวี่เม่าที่เป็นผู้กล้าแห่งแคว้นสือหาว ยามอยู่ในช่วงกลียุค ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะลุกผงาดขึ้นมาย่อมมีสูงมาก หากต้าหลีสามารถโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเดินทางลงใต้ไปอย่างราบรื่น สวี่เม่าที่ตอนนี้ถือเป็นขุนนางระดับกลางที่กุมอำนาจอยู่ในต้าหลีแล้วก็จะสามารถบัญชาการณ์และระดมกองทัพม้าเหล็กฝีมือดีของต้าหลีได้หนึ่งกอง นี่ก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก บนเส้นทางการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพใหญ่ก็จะมีคุณความชอบทางการทหารมากมายรอให้เขาไปกอบโกย
ประเด็นสำคัญคือทั้งจิตใจและฝีมือของสวี่เม่าล้วนเหนือกว่าองค์ชายหันจิ้งซิ่น สิ่งที่สวี่เม่าขาดก็แค่สถานะที่มีมาแต่กำเนิดเท่านั้น
ซูเกาซาน ว่ากันว่ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนของชายแดนเช่นเดียวกัน นี่ไม่ต่างจากสวี่เม่าแห่งแคว้นสือหาวเลย เชื่อว่าการที่สวี่เม่าได้รับการผลักดันเลื่อนขั้นเป็นพิเศษก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย หากเปลี่ยนไปเป็นเฉาผิงแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่อีกกองหนึ่ง หากสวี่เม่าเลือกสวามิภักดิ์กับแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของนายพลผู้ค้ำยันแคว้นท่านนี้ เขาเองก็จะต้องได้รับรางวัลเช่นเดียวกัน แต่ย่อมไม่ใช่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสี่ชั้นเอกโดยตรงแน่นอน บางทีในอนาคตอาจได้ตบรางวัลใหญ่ แต่ความเร็วในการปีนป่ายและอนาคตในกองทัพของสวี่เม่าจะต้องช้ากว่าหลายส่วน
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ เฉินผิงอันเดินทางผ่านอำเภอ เมืองและมณฑลมากมาย กองทัพม้าเหล็กใต้บัญชาการณ์ของซูเกาซานย่อมไม่อาจพูดได้ว่าจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ของมวลชนแม้แต่เส้นผมเดียว ทว่ากฎเกณฑ์มากมายในกองทัพชายแดนต้าหลีก็พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ยกตัวอย่างเช่นเมืองอันเป็นบ้านเกิดของโจวกั้วเหนียนที่ถูกตีแตกก่อนหน้านี้ ได้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเนื่องจากผู้กล้าแคว้นสือหาวลอบสังหารเลขาธิการบุ๋นของต้าหลี หลังเกิดเรื่องต้าหลีก็ระดมกองทัพม้าฝีมือดีกองหนึ่งให้มาช่วยเหลือที่เมืองอย่างรวดเร็ว ร่วมมือกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ภายหลังจับตัวการสำคัญมาได้แล้วประหารทันที หัวแต่ละหัวถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ขุนนางท้องถิ่นระดับขั้นไม่ต่ำของเมืองที่มีความผิดหลายคนซึ่งรวมถึงผู้ตรวจการและรองผู้ตรวจการล้วนถูกจับขังคุก คนในครอบครัวถูกกักบริเวณอยู่ในจวน แต่ไม่ได้มีผลกระทบเดือดร้อนอย่างอื่นโดยที่ไม่จำเป็น ระหว่างนี้เกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองต้องมองซูเกาซานเสียใหม่ นั่นก็คือในค่ำคืนที่เกิดพายุหิมะ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นกำแพงเมืองไปเก็บศีรษะของอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองมา ผลกลับกลายเป็นว่าถูกทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงจับได้ แต่กระนั้นก็ยังปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธคนนั้นหนีไปได้ เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊สองคนดักตัวไว้
เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ รายงานจึงถูกส่งต่อเบื้องบนไปเป็นทอดๆ สุดท้ายดังเข้าหูซูเกาซานแม่ทัพใหญ่ ซูเกาซานบอกให้คนพาตัวเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธของแคว้นสือหาวคนนั้นมาไว้นอกกระโจมแม่ทัพ หลังจากพูดคุยกันก็โยนเงินถุงใหญ่ให้เด็กหนุ่มคนนั้น อนุญาตให้เขาฝังศพอาจารย์ในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวก็คือต้องการให้เด็กหนุ่มรู้ว่าตัวการที่แท้จริงของเรื่องนี้คือเขาซูเกาซาน วันหน้าห้ามสร้างปัญหาให้แก่กองทัพชายแดนต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางบุ๋นอีก หากคิดจะแก้แค้น วันหน้ามีปัญญาก็ให้มาหาเขาซูเกาซานโดยตรง
เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าลือกันอย่างแพร่หลายในวงการขุนนางและยุทธภพแถบภาคกลางของแคว้นสือหาว
จากนั้นก็คือเรื่องใหญ่เรื่องแรกที่หลิวจื้อเม่าพูดถึง
สตรีชุดเขียว เด็กหนุ่มชุดขาว
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
จิตของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง แตะปลายเท้าเบาๆ ทะยานขึ้นไปบนสันหลังคาแล้วเริ่มเดินช้าๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เดินเล่นอยู่บนหลังคาเรือนแห่งแล้วแห่งเล่าเท่านั้น
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังวางไว้บนโต๊ะ ดาบไม้ไผ่และกระบี่เลียนแบบฉวีหวงก็ไม่ได้พกมาด้วย
ทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์
ฟ้าดินกว้างใหญ่ อยากไปไหนก็ไป
สุดท้ายเฉินผิงอันหยุดเดิน ยืนอยู่บนหลังคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่ง หลับตาลงแล้วเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เพียงแต่ไม่นานก็เลิกทำ เงี่ยหูตั้งใจฟัง ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินจะมีเสียงหิมะละลาย
เลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งของต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้ คือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากภูเขาลูกไหนของต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากภูเขา เจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร
คือบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเกราะเบา เขาเองก็เดินอยู่บนหลังคาเช่นเดียวกัน วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำ อีกทั้งยังไม่ถือว่าเป็นคนในกองทัพ ในมือจึงหิ้วเหล้ากาหนึ่งที่อุ่นมาไว้เรียบร้อยแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาห่างไปสิบกว่าก้าว คลี่ยิ้มเอ่ยเตือนด้วยภาษากลางของทวีป “แค่ชมทิวทัศน์ย่อมไม่เป็นปัญหา ต่อให้จะไปชมบนหัวกำแพงเมืองก็ยังได้ ข้าเองก็ออกมาผ่อนคลายอารมณ์เหมือนกัน สามารถไปด้วยกันได้”
นี่เป็นประโยคที่เกรงใจและมีมารยาทมากแล้ว เมื่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ภายใต้การบดขยี้ของกีบเท้าม้า ทุกคนที่ไม่ใช่คนของต้าหลีย่อมถือเป็นคนต่างถิ่น ถือเป็นแคว้นใต้อาณัติที่ต้องหันมาพึ่งพาต้าหลีทั้งหมด แต่ในคำพูดของผู้ฝึกตนหนุ่มก็แฝงการตักเตือนไว้ด้วย
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นอึ้งตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง ชูกาเหล้าขึ้นสูง ที่แท้บุรุษหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนั้นก็เอ่ยด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่คล่องแคล่วและสำเนียงถูกต้องที่สุด
ดังนั้นเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่อายุยังน้อย แต่กลับอยู่บนหลังม้ามาเกือบสิบปีผู้นี้จึงเอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “กวนอี้หรานแห่งเมืองอวิ๋นไจ้ มณฑลอี้โจว!”
เฉินผิงอันมีสีหน้าลังเล คงไม่ค่อยเหมาะหากเขาจะบอกชื่อแซ่ของตัวเอง จึงทำเพียงแค่กุมหมัดยิ้มขออภัยคนผู้นั้น
กวนอี้หรานพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ในอนาคตหากเจอปัญหา สามารถมาหากองทัพม้าเหล็กต้าหลีของพวกเราได้ ทุกที่ที่กีบเท้าม้ามุ่งไป ล้วนเป็นแผ่นดินของ ต้าหลีเรา!”
เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หลังจากนั้นวันที่สามของเดือนหนึ่ง ม้าสามตัวของเฉินผิงอันก็ออกจากเมืองแห่งนี้ เดินทางขึ้นเหนือต่อ ขยับเข้าใกล้ชายแดนทางเหนือของแคว้นสือหาวมากขึ้นเรื่อยๆ
หิมะใหญ่เริ่มละลาย
แสงแห่งฤดูใบไม้ผลิกระตุ้นสีต้นหลิว แสงอาทิตย์สาดส่องสีสันงดงาม
ระหว่างทางเจิงเย่เก็บของดีๆ มาได้ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเลียนแบบทางการทหารแคว้นสือหาวที่ด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘หลี่เฉาจ้าว’ หรือไม่ก็ของเล่นโบราณมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางเหมือนขวดไหธรรมดา ส่วนใหญ่ก็มีทั้งภาชนะชิ้นใหญ่และวัตถุขนาดเล็กจิ๋วที่วางกองสุมกันอย่างมั่วซั่วไว้ในมุมหนึ่ง คาดว่าสิ่งของที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ง่ายต่อการพกพาคงถูกพวกชาวบ้านที่หนีภัยพิบัติเลือกเอาไปหมดแล้ว อันที่จริงพวกมันคือวัตถุล้ำค่าที่มีราคาหลายสิบหลายร้อยก้อนทองยามที่โลกอยู่ในยุคสันติสุข แต่ตอนนี้กลับถูกทอดทิ้ง และยังมีภาพตัวอักษร ภาพวาดมีชื่อเสียงล้ำค่าที่เปรอะเปื้อนดินโคลนบนทางจนแทบจะเสียหาย หรือไม่ก็เป็นของสะสมล้ำค่าที่ถูกนำไปขายถูกๆ ให้กับในเมืองหรืออำเภอที่ยังไม่ถูกไฟสงครามลามเลีย คิดไม่ถึงว่าหม่าตู่อี๋จะเป็นพวกโลภในทรัพย์สินเงินทอง เจิงเย่ก็ยิ่งใช่ ทุกครั้งที่ตั้งโรงทานแจกโจ๊กหรือร้านยาในแต่ละสถานที่ พอมีเวลาว่าง คนทั้งสองจะวิ่งไปเก็บหาของดี แล้วก็เคยมาขอยืมเงินเฉินผิงอันไปแล้วสองครั้ง คิดเป็นเงินเทพเซียนแล้วก็ไม่ถือว่ามาก รวมกันแล้วก็แค่สิบสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เพียงแต่ว่าหากคิดจะแลกเป็นทองหรือเงินในราชวงศ์โลกมนุษย์กลับไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็โรงเตี๊ยมเทพเซียน
โชคดีที่สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งในยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนระดับหนึ่งแต่ไม่ได้อยู่ในขั้นสูงสุดของแคว้นสือหาว เฉินผิงอันทำตามความปรารถนาของสตรีวัตถุหยินตนนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็เอาเงินเทพเซียนไปแลกเป็นเงินขาวและทองคำมาจากตระกูลเซียนแห่งนั้น แล้วจึงมอบให้หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ไปจัดการกันเอาเอง ด้วยเรื่องนี้หม่าตู่อี๋ยังตื๊อให้เฉินผิงอันทำหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ให้นางเอาไว้ใส่เงินและทองโดยเฉพาะ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง ขอแค่ไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนและธุระสำคัญของตนเองก็ปล่อยให้พวกเขาทำกันไปเถิด
วันนี้ในเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชายแดน เฉินผิงอันรับผิดชอบทำหน้าที่ติดต่อกับที่ว่าการในท้องถิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่คุ้นงานกันดีก็เริ่มง่วนกับการจัดการหาที่ตั้งร้านยาและเพิงแจกโจ๊ก สำหรับเรื่องนี้พวกเขาไม่กล้าเลอะเลือนกันแม้แต่น้อย มีเพียงทุกวันทำงานในหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้นถึงจะกล้าไปเก็บของดีตามร้านใหญ่แห่งต่างๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ เพราะถึงแม้เฉินผิงอันจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกงานในหน้าที่ของพวกเขา ถึงขั้นไม่เคยเปิดปากเอ่ยอะไร แต่ทั้งสองคนอยู่กับนักบัญชีมานานขนาดนี้ย่อมรู้นิสัยใจคอของเฉินผิงอันดีแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร ท่านเฉินล้วนเห็นอยู่ในสายตา อีกทั้งมีแต่จะมองไปไกลยิ่งกว่าพวกเขา
ส่วนของโบราณแต่ละชิ้นที่พวกเขารวบรวมมาได้โดยนำเงินที่พวกเขายืมจาก ท่านเฉินไปหาซื้อมานั้น ตอนนี้ก็ฝากเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของท่านเฉินชั่วคราว
นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับชาติกำเนิดของหม่าตู่อี๋ เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางยังเคยเป็นผู้ดูแลน้อยในเรือนสมบัติแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย สายตาจึงไม่เลว ระดับชั้นไกลเกินกว่าที่เด็กหนุ่มเจิงเย่จะเทียบได้ติด
ภายหลังเฉินผิงอันกังวลว่าหม่าตู่อี๋เองก็จะมองพลาดไป ถึงอย่างไรของที่ พวกเขาหาซื้อมาก็ปะปนกันหลากหลาย เป็นสิ่งของของคนรวยในแต่ละสถานที่ของแคว้นสือหาวที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน จึงมีสารพัดรูปแบบ เขาจึงเชิญวัตถุหยินที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางซึ่งพักอยู่ในเรือนแก้วจำลองออกมาช่วยหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดูของ ผลกลับกลายเป็นว่าวัตถุหยินที่ถูกหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนหล่อหลอมให้เป็นผีเฝ้าบ่อน้ำตนนั้นกลับติดใจ แรกเริ่มก็ประเมินบอกว่าของที่หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่เก็บมาได้ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว ภายหลังยังยืนกรานว่าตนจะต้องออกจากเรือนแก้วจำลองไปช่วยหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่คนโง่สองคนนี้ซื้อหาของดีที่แท้จริงด้วยตัวเอง ด้วยสาเหตุนี้เขายังถึงขั้นยอมปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของสตรีกระดาษยันต์หนังจิ้งจอก ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่มีตบะชมมหาสมุทร กลับสามารถทุ่มเทเสียสละได้ถึง ขั้นนี้ ดูท่าบันทึกที่เฉินผิงอันเขียนไว้ในบัญชีจะไม่ใช่เรื่องเท็จ เขาเป็นคนที่ลุ่มหลง การเก็บสะสมของเก่าซึ่งเป็น ‘ของผุพัง’ ในสายตาของผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยน อย่างแท้จริง ในสมุดบัญชียังบันทึกประโยควิจารณ์ที่ผู้ฝึกตนเซียนดินบางคนมีต่อผู้เฒ่าคนนี้ บอกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ยากจนข้นแค้นอยู่ตลอดทั้งปีทั้งชาติผู้นี้ หากไม่เป็นเพราะเอาเงินไปใช้ส่งเดชกับของพวกนั้น ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรได้นานแล้ว
เฉินผิงอันก็ปล่อยตามใจผู้ฝึกตนเฒ่า ทุกวันแม้จะปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาด้วยรูปโฉมของหญิงงาม ทว่ากลับนั่งอ้าขาวางมาดแห่งบุรุษชายชาตรี ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน บอกตามตรง ตอนนั้นที่ ‘ตู้เม่า’ เดินบิดเอวยักย้ายส่ายสะโพกไปมา อันที่จริงน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้เสียอีก
ยามสนธยาของวันนี้ พวกเจิงเย่หนึ่งคนสองผีก็ไปเก็บของดีที่ร้านใหญ่ในพื้นที่อีกครั้ง อันที่จริงหากเดินอยู่ริมน้ำ ไหนเลยน้ำจะไม่กระเซ็นมาโดนรองเท้า วัตถุที่ทำให้ผีผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่งหมายตาได้ ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปก็ย่อมต้องหวั่นไหวอยู่แล้ว หรือแม้แต่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังตั้งใจเดินทางไปเยือนแคว้นที่เกิดสงคราม หวังอาศัยสิ่งนี้มาตักตวงเงินทองซึ่งเป็นโอกาสที่พบเจอได้ยาก
ในบรรดาสมบัติตกทอดของตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดอย่างมีระบบระเบียบก็มีอยู่หลายชิ้นจริงๆ ที่เป็นวัตถุวิเศษแฝงเร้นไว้ด้วยปราณวิญญาณ แต่กลับถูกทางตระกูลมองข้าม หากไปเจอกับของประเภทนี้ขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะได้กำไรเป็นเงินสิบกว่าเหรียญหรืออาจหลายร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ ดังนั้นพวกเจิงเย่จึงมักจะได้เจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันเหล่านี้เสมอ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็เกือบจะทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายตรงข้ามคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหลายท่านที่มาจากถ้ำสถิตลำดับต้นๆ ของแคว้นสือหาว ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดว่าตัวเองมีเหตุผล ไม่คิดว่าตัวเองฉกฉวยของของผู้อื่น สุดท้ายก็เป็นเฉินผิงอันที่เก็บกวาดเรื่องเละเทะให้ บอกให้พวกเจิงเย่ตัดใจจากวัตถุวิเศษชิ้นนั้น อีกฝ่ายเองก็ยอมถอยหนึ่งก้าวด้วยการเลี้ยงสุราผู้ฝึกตนอิสระอย่าง ‘ท่านเฉิน’ หนึ่งมื้อ ต่างคนต่างพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพียงแต่ว่าภายหลังหม่าตู่อี๋ยังบ่นเฉินผิงอันด้วยเรื่องนี้อยู่เป็นนาน
เฉินผิงอันไปที่ร้านขายเนื้อหมาแห่งหนึ่งในตลาด นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามาที่นี่ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ชอบกินเนื้อหมา หรือควรจะพูดว่าเขาเองก็ไม่เคยกินมาก่อน
เพียงแต่ว่าในร้านก็มีเนื้ออย่างอื่นขาย ก็มีแต่คนต่างถิ่นอย่างเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่กินเนื้อหมา นั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่โต๊ะตัวคนเดียว แล้วก็ไม่ดื่มเหล้า พูดภาษาทางการแคว้นสือหาวไม่คล่องนัก โต๊ะข้างๆ คือเนื้อหมาตุ๋นหม้อใหญ่ไอร้อนลอยฉุย คนบนโต๊ะสวาปามกินอย่างเอร็ดอร่อย ผลัดกันชนจอกเหล้าไปมา คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้าย สีเขียวคนนี้จึงค่อนข้างสะดุดตา โชคดีที่ที่นี่เป็นร้านเก่าแก่ร้อยปีที่สืบทอดกันมา หลายรุ่นคนแล้ว จึงไม่คิดจะเลือกปฏิบัติกับใครเป็นพิเศษ ผู้เฒ่าคือเถ้าแก่ที่อยู่นั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน ลูกชายคือพ่อครัว หลานชายที่เรียนชั้นประถมว่ากันว่าเป็นซิ่วไฉน้อยที่มีชื่อเสียงในตรอกใกล้เคียง ดังนั้นจึงมักจะมีลูกค้าพูดสัพยอกว่าวันหน้าร้านนี้จะยังเปิดกิจการอีกได้อย่างไร ผู้เฒ่าที่มีอารมณ์ขันกับชายฉกรรจ์นิสัยเงียบขรึมได้แต่พูดว่านี่คือชะตาลิขิต จะยังทำอะไรได้อีก ทว่าต่อให้เป็นชายฉกรรจ์นิสัยซื่อตรงไม่ชอบพูดคุยคนนั้น พอได้ยินคำสัพยอกประเภทนี้ บนใบหน้าก็ยังมีความภาคภูมิใจฉายให้เห็นอยู่ดี หลุมศพบรรพบุรุษในบ้านของพวกเขามีควันเขียวขึ้นแล้ว
ในที่สุดก็มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มีหวังว่าจะสอบติดเป็นขุนนางปรากฏขึ้นมา ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องใดที่ดีงามไปมากกว่าเรื่องนี้อีก?
ต่อให้โลกวุ่นวายแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันที่จะไม่วุ่นวายอีกต่อไป
ร้านเนื้อหมาที่ตั้งอยู่ในตรอก วันนี้ยังคงมีลูกค้าเนืองแน่น กิจการนับว่าไม่เลว เมื่อฤดูร้อนของปีก่อน แม้ว่าคนเถื่อนต้าหลีจะตีเมืองได้สำเร็จ แต่อันที่จริงแล้วกลับไม่ได้มีคนตายสักเท่าไหร่ กองทัพใหญ่บุกลงใต้ต่อ ทิ้งคนเถื่อนต้าหลีที่พอจะพูดภาษาทางการของแคว้นสือหาวได้คล่องไว้แค่ไม่กี่คนให้คอยเฝ้าอยู่ในที่ว่าการเจ้าเมือง พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับเจ้าเมืองที่กลัวตาย หอบเงินหอบทองเผ่นหนีไปก่อนนานแล้ว ว่ากันว่าแม้แต่ตราประทับของทางการก็ยังไม่เอาไป เขาเปลี่ยนมาสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียว กลางดึกคืนหนึ่งที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลียังอยู่ห่างออกไปไกล ภายใต้การปกป้องคุ้มครองขององค์รักษ์ เขาก็ได้ออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ มุ่งหน้าไปทางใต้ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะย้อนกลับมาเป็น ขุนนางในราชสำนักอีก
ในร้านมีลูกจ้างเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมที่เป็นใบ้อยู่คนหนึ่ง รูปร่างของเขาผอมแห้ง รับผิดชอบทำหน้าที่รับรองลูกค้าและยกน้ำยกชามาส่ง มือเท้าไม่คล่องแคล่วเลย แม้แต่น้อย
ได้ยินมาว่าเป็นชาวบ้านลี้ภัยที่หนีมาจากชายแดน เถ้าแก่ผู้เฒ่ามีเมตตาจึงรับ เด็กหนุ่มไว้เป็นลูกจ้างร้าน ผ่านไปเกินครึ่งปี เขาก็ยังคงไม่เป็นที่ชื่นชอบ ขนาดลูกค้าประจำของร้านก็ยังไม่ค่อยชอบพูดคุยกับเด็กหนุ่มเท่าใดนัก
ยามสนธยาของวันนี้ ลูกค้าเริ่มบางตา ทว่าในร้านยังคงมีกลิ่นหอมของตุ๋นเนื้อหมาลอยอบอวล
เฉินผิงอันสั่งเหล้าท้องถิ่นของเมืองมาหนึ่งกา นั่งอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับประตูใหญ่ เถ้าแก่ผู้เฒ่ากำลังดื่มเหล้ากับลูกค้าประจำคนหนึ่งอย่างเต็มคราบ ใบหน้าแดงก่ำ ปากก็เล่าเรื่องหลานชายที่รักให้ทุกคนฟัง พอได้พูดเรื่องหลานชายก็ทำให้ผู้เฒ่าที่เดิมทีดื่มเหล้าได้แค่หนึ่งจินดื่มได้มากถึงสองสามจินก็ยังไม่ล้ม ดื่มไปดื่มมาเขาก็ยังไม่ลืมบอกกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่าจะดื่มมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะดื่มมากก็ได้เงินน้อย ตอนนี้โลกไม่สงบสุข ในเมืองก็ดี หมู่บ้านใกล้กับเมืองก็ชาง แค่จะออกจากบ้านไปหาซื้อหมามาก็ยากแล้ว ลูกค้าเองก็ไม่เหมือนในอดีต เงินในกระเป๋าลูกค้าก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเมื่อก่อนติด ดังนั้นตอนนี้จึงต้องยิ่งคิดคำนวณทุกอย่างให้ละเอียดรอบคอบ การเล่าเรียนของหลานชายยังต้องใช้จ่ายเงินอีกมาก จะให้ขัดสนไปเสีย ทุกเรื่องไม่ได้ เพราะจะทำให้หลานชายถูกสหายร่วมเรียนดูถูกเสียเปล่าๆ
พวกบัณฑิตที่เล่าเรียนหนังสือล้วนต้องมีหน้ามีตากันทั้งนั้น
เด็กหนุ่มลูกจ้างที่ร่างกายผอมดำยังคงง่วนอยู่กับการเก็บกวาดเศษซากจานชามบนโต๊ะตัวหนึ่ง เขายืนหันหลังให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันดื่มเหล้าข้าวหมักไปสองถ้วยและกินกับแกล้มไปแล้วก็สั่งกับแกล้มจานเล็กๆ มาอีกสองสามจาน เขาดื่มเหล้าไม่มาก แต่กลับจ้วงตะเกียบไม่หยุด อาหารในจานจึงใกล้จะหมดเกลี้ยงแล้ว
เฉินผิงอันพลันเรียกชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น แล้วเอ่ยถามว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะต้องรับรองแขกคนหนึ่ง นอกจากไก่บ้านแล้ว ในอ่างน้ำหลังร้านมีปลาหลีที่เพิ่งจับมาใหม่บ้างไหม?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกพ่อครัวว่าให้ทำกับข้าวได้แล้ว เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เพื่อนของข้าคนนั้นก็จะได้มานั่งที่โต๊ะ ใช่แล้ว ให้เพิ่ม หน่อไม้ผัดเนื้อหมูไปด้วยหนึ่งจาน”
เด็กหนุ่มยังคงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไปที่เรือนด้านหลัง ใช้ภาษามือบอกกล่าวแก่ชายฉกรรจ์ที่กำลังนั่งพักอยู่ในห้องครัว ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะได้พักหายใจหายคอสบถด่ายิ้มๆ แล้วจึงส่ายหน้าลุกขึ้นยืน ฆ่าไก่ควักไส้ปลา ต้องยุ่งอีกแล้ว แต่คนค้าขาย มีใครบ้างที่รังเกียจเงิน? เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของชายฉกรรจ์ที่เดินไปยังอ่างน้ำด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายก็ออกจากห้องครัวมาเงียบๆ ไปจับไก่ตัวที่ใหญ่ที่สุดมา ผลกลับถูกชายฉกรรจ์ด่าขันๆ ว่านี่คือไก่ที่เก็บไว้ให้ลูกชายเขากินบำรุงร่างกาย ให้ไปเปลี่ยนตัวใหม่ เด็กหนุ่มเลยไปเปลี่ยนไก่ตัวใหม่ที่เล้าไก่ คราวนี้เขาเลือกตัวที่เล็กที่สุด ชายฉกรรจ์ก็ยังคงไม่พอใจ บอกว่าราคาเท่ากัน ลูกค้ากินไม่รู้หรอกว่าน้ำหนักอาหารมีมากหรือน้อย แต่คนทำการค้า ถึงอย่างไรก็ต้องมีคุณธรรมสักหน่อย ชายฉกรรจ์จึงไปเลือกไก่ตัวที่ค่อนข้างใหญ่มาด้วยตัวเองแล้วมอบให้เด็กหนุ่ม เรื่องฆ่าไก่ เด็กหนุ่มนับว่าค่อนข้างคล่อง ส่วนชายฉกรรจ์ก็ไปงมเอาปลาแม่น้ำที่ยังดีดดิ้นมีชีวิตมาหนึ่งตัว
เด็กหนุ่มชำเลืองตามองกรงหมาที่อยู่ในมุม แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน
ปลาหลีราดน้ำแดงจานหนึ่งถูกยกขึ้นโต๊ะ
เด็กหนุ่มพบว่าเพื่อนที่ลูกค้าคนนี้พูดถึงยังไม่มา
เฉินผิงอันบอกแค่ว่ารออีกหน่อย รอให้อาหารจานที่สองขึ้นโต๊ะเสียก่อน
รอจนกระทั่งหน่อไม้ผัดเนื้อหมูกับไก่ผัดขิงต่างก็ถูกยกขึ้นโต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่เห็นว่าเพื่อนของลูกค้าจะมาสักที
เด็กหนุ่มจึงทำท่าจะจากไป
เห็นเพียงว่าบุรุษชุดผ้าฝ้ายที่ท่าทางเหมือนคนขี้โรคพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อาหารขึ้นครบแล้ว รอแค่เจ้านั่งลงเท่านั้น”
เด็กหนุ่มมีสีหน้ามึนงง
ในร้านเนื้อหมาเหลือแขกแค่โต๊ะเดียว เถ้าแก่ผู้เริ่มพูดจาอ้อแอ้ไม่เป็นคำแล้ว เขายังคงร้องบอกให้ลูกค้าดื่มเหล้ามากๆ แน่นอนว่าตัวเองก็ดื่มไปไม่น้อย ดูจากสถานการณ์ คาดว่าความคิดที่จะไม่ลดราคาให้ลูกค้าคงถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว
เฉินผิงอันพูดกับเด็กหนุ่มว่า “คิดดูแล้วเจ้าคงจะรู้ว่าข้าเดาสถานะของเจ้าออกแล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็เดาออกว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคราวก่อนนอกจากที่เจ้าจะยกอาหารมาวางแล้วก็คงไม่พยายามเดินอ้อมข้า แล้วก็จงใจไม่มองสบตาข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้เจ้า อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาหารและสุราล้วนเป็นเจ้าที่ยกมา ข้าต่างหากที่ควรต้องเป็นกังวล เจ้าจะต้องกลัวอะไร”
เด็กหนุ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้
เฉินผิงอันชำเลืองตามองโต๊ะที่อยู่ห่างไปไกล แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วางใจเถอะ เถ้าแก่ผู้เฒ่าดื่มจนเมาแล้ว ลูกค้าโต๊ะนั้นก็เป็นแค่ชาวบ้านทั่วไป ไม่มีทางได้ยินคำพูดระหว่างเจ้ากับข้า”
เด็กหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แต่กลับไม่ได้หยิบตะเกียบขึ้นมา
เฉินผิงอันคีบเนื้อปลาหลีชิ้นหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวไปข้างหน้า วางใส่ไว้ในถ้วยข้าวตรงหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะคีบเนื้อหมูผัดหน่อไม้และไก่ผัดขิงวางลงในถ้วยเด็กหนุ่มด้วย
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น จ้องมองลูกค้าต่างถิ่นที่แปลกประหลาดผู้นี้เขม็ง
เฉินผิงอันถึงได้คีบอาหารให้ตัวเองแล้วก้มหน้าพุ้ยข้าวหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียด กลืนลงคอแล้วจึงถามว่า “เจ้าคิดจะฆ่ากี่คน ชายฉกรรจ์ที่เป็นพ่อครัวต้องตายแน่อยู่แล้ว เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่มีฝีมือในการ ‘จับหมา’ ที่ชั่วชีวิตนี้ไม่รู้ว่าซื้อและขโมยหมาจากชานเมืองมาแล้วกี่ตัวก็ยิ่งต้องตาย ถ้าอย่างนั้นเด็กที่ยังเรียนชั้นประถมคนนั้นล่ะ เจ้าจะฆ่าด้วยหรือไม่? ลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันซึ่งชินกับการกินเนื้อหมาพวกนี้ เจ้าจำได้กี่มากน้อย แล้วจะฆ่าพวกเขาด้วยหรือไม่?”
สองมือที่วางไว้บนหัวเข่าของเด็กหนุ่มกำเป็นหมัดแน่น สีหน้าของเขาเย็นชา กดเสียงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าจะขัดขวางข้าหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ขัดขวางเจ้าแล้วอย่างไร ไม่ขัดขวางเจ้าแล้วอย่างไร?”
เด็กหนุ่มพูดเสียงหนัก “ถ้าเจ้ากล้าขวางข้า ข้าก็กล้าฆ่าเจ้า!”
เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งคีบอาหาร ยิ้มพลางผายมือข้างที่ว่างออก บอกเป็นนัยให้ เด็กหนุ่มกินอะไรเสียก่อน “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตบะน้อยนิดของเจ้าจะฆ่าข้าได้หรือไม่ ไม่สู้พวกเรามากินข้าวดื่มเหล้าให้เต็มอิ่มกันเสียก่อน แล้วค่อยมาลองดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ อาหารบนโต๊ะนี้ หากคิดตามราคาตลาดปัจจุบัน จะอย่างไรก็ควรจะมีเจ็ดแปดเฉียนกระมัง นี่ยังเป็นราคายุติธรรมของร้านขายเนื้อหมาแห่งนี้แล้วด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นภัตตาคารในเมืองที่จอแจ คาดว่าก็คงกล้าตั้งราคาถึงหนึ่งตำลึงห้าเฉียน จะกินก็กิน ไม่มีเงินก็ไสหัวไป”
เด็กหนุ่มจ้องมองดวงตาของคนหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้มหน้ากินข้าว เขาไม่ได้คีบกับข้าว คิดว่าหากวันนี้ต้องถูกผู้ฝึกตนตรงหน้าผู้นี้กำจัดปีศาจปราบมารจริงๆ จะดีจะชั่วตนก็ควรกินให้อิ่มสักมื้อ!
เด็กหนุ่มเริ่มกินข้าว เฉินผิงอันกลับหยุดตะเกียบ เพียงแค่รินเหล้าส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกามาจิบคำเล็กๆ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบถั่วลิสงที่เหลืออยู่ไม่มากในจาน ใบหนึ่งขึ้นมา
เฉินผิงอันดื่มเหล้าและกินกับแกล้มหมดแล้วก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มเช็ดปาก วางตะเกียบลง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เห็นร้านฆ่าหมา เห็นคนกินเนื้อ เจ้าก็เลยคิดจะฆ่าคน ข้าสามารถเข้าใจได้ แต่ข้ายอมรับไม่ได้”
เด็กหนุ่มหัวเราะหยันไม่หยุด
เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “เพราะเจ้ามีหลักการและเหตุผลของตัวเอง ถึงขั้นยินดีจ่ายค่าตอบแทนนี้ด้วยชีวิตของตัวเอง แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้จักโลกใบนี้ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นอาหารมื้อนี้ของเจ้า เจ้ากินปลา กินไก่บ้านและกินเนื้อหมู วันหน้าเมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน เจ้าจะยังต้องได้กินอาหารเลิศรสที่มากกว่านี้ ในฐานะเทพเซียนบนภูเขาครึ่งตัว ขอแค่ร่างไม่ตายมรรคาไม่ดับสลาย เจ้าก็จะต้องเจอกับงานเลี้ยงสุราไม่แบบนี้ก็แบบนั้น อาจจะเป็นแขก หรืออาจจะเป็นเจ้าบ้าน ถึงอย่างไรชีวิตนี้นอกจากเนื้อหมาแล้วก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่ได้กินเนื้อชิ้นโต ถูกหรือไม่?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มอึ้งค้าง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบนาบ “ขอแค่วันนี้เจ้าก้าวข้ามก้าวนี้ออกไป ต่อให้ไม่มีข้าคอยขัดขวาง เจ้าก็จะยังถูกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีที่เดินตรวจตรารอบเมืองไล่ฆ่า และต้องตายสถานเดียว หรือต่อให้เจ้าหนีออกจากเมืองไปได้สำเร็จ หลังจากนี้เจ้าต้องฆ่าคนที่กินเนื้อหมาอีกกี่คน คืนนี้เจ้าฆ่าไปสิบคนหลายสิบคน วันหน้าฆ่าอีก หนึ่งร้อยหนึ่งพันคน? ถึงอย่างไรหากต้องตายก็คือตาย เจ้าไม่เสียใจภายหลัง ถูกหรือไม่?”
เด็กหนุ่มก้มหน้าลง
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ในเมื่อข้าเห็นแล้วก็จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าฆ่าคนที่นี่ เจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่มีเหตุผล อาศัยอำนาจที่มากกว่ามารังแกคนอื่น ก็ไม่เป็นไร วิถีทางโลกใบนี้ การใช้เหตุผลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างมาก และไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อันที่จริงก็เหมือนกัน ในสายตาของเถ้าแก่ผู้เฒ่าและลูกชายของเขาที่ขายเนื้อหมา พวกลูกค้าที่อยู่ดีๆ ก็ต้องตาย รวมไปถึงในสายตาของหลานชายที่สุดท้ายอาจมีชีวิตรอดแต่กลับไม่อาจเรียนหนังสือได้ต่อ พวกเขาจะต้องรู้สึกว่าเจ้าไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ข้อนี้ เจ้าควรจะต้องรู้ก่อนที่จะฆ่าคน”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น
ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจะเสียดายเงินเล็กน้อยนั่น เห็นว่าตนไม่กิน เขาจึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหมูผัดหน่อไม้ พอกินเสร็จก็หันไปคีบเนื้อปลา จากนั้นจึงกล่าวว่า “การที่ทำเรื่องพวกนี้และพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า ก็เพราะข้ามองเห็นความลังเลและการดิ้นรนจากบนร่างของเจ้า เจ้าเองก็รู้สึกว่าเถ้าแก่ผู้เฒ่าและพ่อครัวที่สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง แท้จริงแล้วก็มีด้านที่เป็นคนดีอยู่เหมือนกัน ต้องรู้ว่าข้าพบเจอคนมามากมาย แม้กระทั่งคนที่เมื่อเปรียบเทียบกับภูตที่ฝึกตนอย่างยากลำบากกว่าจะได้กลายร่างมาเป็นคนอย่างพวกเจ้าแล้วยังไม่เหมือนคนยิ่งกว่าเสียอีก พวกเขาถึงขั้นสู้พวกเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด ดังนั้นข้าจึงยินดีเลี้ยงอาหารมื้อนี้ แก่เจ้า อีกทั้งยัง…”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม หยิบเศษเงินเม็ดหนึ่งวางบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเงินร้อนน้อยอีกเหรียญหนึ่งวางไว้ ดีดเบาๆ มันก็กลิ้งไปอยู่ใกล้กับถ้วยของเด็กหนุ่มพอดี “ข้าจะพูดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง เงินร้อนน้อยเหรียญนี้ถือว่าข้าให้เจ้ายืม จะใช้คืนหรือไม่ก็ตามใจเจ้า สิบปีร้อยปีให้หลังค่อยคืนให้ข้าก็ยังได้ จากนั้นเจ้าก็ลองตัดสินใจไม่ฆ่าคนก่อน ข่มกลั้นความทรมานในใจตอนนี้เอาไว้ ข้ารู้ว่ามันยากลำบากมากสำหรับเจ้า แต่ขอแค่เจ้าไม่ฆ่าคน เจ้าก็สามารถใช้เงินไปช่วยเผ่าพันธุ์เดียวกันได้อีกมาก ซึ่งการทำเช่นนั้นก็ยังมีวิธีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นอาศัยตบะ พยายามให้ตัวเองกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของนายอำเภอเล็กๆ เสียก่อน ช่วยเขาจัดการกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวพันกับพวกภูตผีปีศาจบางส่วน ถึงอย่างไรในพื้นที่เล็กๆ เจ้าก็ไม่มีทางเจอกับผู้ฝึกตนที่ ‘ไร้เหตุผล’ อย่างข้าอยู่แล้ว พวกภูตผีที่มาก่อกวนเหล่านั้น เจ้าล้วนรับมือได้ ดังนั้นก็สามารถฉวยโอกาสนี้บอกกับนายอำเภอได้ว่า ไม่อนุญาตให้มีการขายเนื้อหมาในพื้นที่…เจ้ายังสามารถกลายเป็นพ่อค้าใหญ่ที่ร่ำรวยในพื้นที่ กว้านซื้อหมาในเมืองในมณฑลมาให้หมดด้วยราคาสูง ทำให้ร้านขายเนื้อหมาหลายๆ ร้านจำต้องเปลี่ยนอาชีพ…แล้วเจ้าก็ยังสามารถตั้งใจฝึกตน บุกเบิกภูเขาเป็นของตัวเอง ในรัศมีร้อยลี้พันลี้มีเจ้าเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งกฎเกณฑ์หนึ่งในนั้นก็คือให้ปฏิบัติต่อหมาด้วยความดี…”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็คลี่ยิ้ม “แม้ข้าจะผิดหวังกับโลกใบนี้อย่างมาก แล้วก็ผิดหวังกับตัวเองอย่างมาก แต่ช่วงนี้ข้าก็เพิ่งจะคิดจนเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งนั่นคือ ต่อให้ราคาที่ต้องจ่ายยามที่ใช้เหตุผลจะมากแค่ไหน แต่สุดท้ายคนเราก็ยังต้องใช้เหตุผลอยู่ดี”
เด็กหนุ่มถามอีก “อาจารย์คือลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อหรือ?”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ถือว่าใช่ แต่ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
“เงินไม่พอ สามารถขอยืมจากข้าได้อีก แต่หลังจากนั้นพวกเราจะต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ “คิดให้มากหน่อย ข้าไม่หวังให้เจ้าสามารถคืนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งแก่ข้าได้เร็วขนาดนั้น หรือเจ้าอาจจะฉลาดหน่อย ไปอยู่ในเมืองที่ไกลกว่านี้ก็ได้ ขอแค่ข้าไม่ได้ยินและมองไม่เห็นก็พอ แต่หากเจ้าสามารถเปลี่ยนเส้นทางเดิน ข้าจะยินดีมากที่การเลี้ยงข้าวเจ้ามื้อนี้ไม่ได้เสียเงินเปล่า”
เฉินผิงอันออกจากร้านขายเนื้อหมามาเดินอยู่ในตรอกเล็กเพียงลำพัง
เด็กหนุ่มพลันวิ่งออกมาจากร้าน ตามเฉินผิงอันมาทันแล้ววถามว่า “อาจารย์บอกเองว่าวันหน้ายังสามารถยืมเงินจากท่านได้อีก แต่ท่านไม่บอกชื่อแซ่ แล้วก็ไม่บอกภูมิลำเนา ข้าไม่มีเงินแล้ว ถึงเวลานั้นจะไปตามหาท่านได้อย่างไร?”
“แบบนี้เองหรือ”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ยกมือเกาหัว “ข้าก็แค่พูดถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวกับเจ้าไปอย่างนั้นเองนะ”
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสดใส
นี่เป็นครั้งแรกนับจากมันที่ได้รับโชควาสนากลายร่างเป็นมนุษย์ที่ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขนาดนี้
เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ตอนนี้พเนจรไปทั่วแคว้นสือหาว วันหน้าจะกลับไปยังเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากนี้ตั้งใจฝึกตนให้ดีล่ะ”
แล้วเฉินผิงอันก็เดินหน้าต่ออีกครั้ง
เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง “ท่านเฉิน อันที่จริงครอบครัวของพวกเถ้าแก่ล้วนเป็นคนดี ดังนั้นข้าจะเสนอราคาที่สูงมากๆ จนพวกเขาปฏิเสธไม่ได้ แล้วต้องขายร้านให้กับข้า หลานชายและบุตรชายของพวกเขาสองคนก็จะได้เรียนหนังสือดีๆ จะมีโรงเรียนและหอเก็บหนังสือเป็นของตัวเอง แล้วก็จะได้เชิญอาจารย์สอนหนังสือที่ดีมากๆ มาได้! หลังจากนั้นข้าจะกลับเข้าไปในภูเขา ตั้งใจฝึกตนให้ดี!”
บุรุษสวมชุดผ้าฝ้ายที่ไม่ได้พกกระบี่และยิ่งไม่ได้สะพายกระบี่ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่เพียงแค่ชูมือขึ้นสูงและยกนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
สุดท้ายเด็กหนุ่มตะโกนถาม “อาจารย์ กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด?”
คนผู้นั้นเพียงแค่ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า “อยู่ในใจของข้า”
เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มือกระบี่หนุ่มจะหัวเราะพลางพูดเสริมมาอีก หนึ่งประโยค
ท่ามกลางม่านราตรี คำสามคำสะท้อนก้องเบาๆ อยู่ในตรอก
“เร็วนักล่ะ!”