Skip to content

Sword of Coming 458

บทที่ 458 ตะเกียงดวงหนึ่งในบ้านบรรพบุรุษของตรอกเล็ก

เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำนี้จะไม่ได้ขับตรงไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียน เพราะถึงอย่างไรร้านผ้าห่อบุญก็ย้ายออกไปจากภูเขาหนิวเจี่ยวแล้ว ท่าเรือจึงแทบจะถูกปล่อยร้าง และตอนนี้ก็อยู่ในนามของกองทัพต้าหลี แต่ไม่ใช่สถานที่สำคัญอันเป็นจุดศูนย์กลางอะไร มีเรือข้ามฟากจอดอยู่อย่างประปราย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนชั้นสูงของต้าหลีที่มาเที่ยวชมแม่น้ำและภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียน เพราะทุกวันนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนที่ทรุดโทรมได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่จนสมบูรณ์สวยงาม อีกทั้งยังมีข่าวลือเล็กๆ แพร่สะพัดไปทั่วว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจะเลื่อนจากเขตการปกครองขึ้นเป็นมณฑล นี่หมายความว่าในวงการขุนนางของต้าหลีจะมีเก้าอี้ว่างระดับขั้นไม่ต่ำโผล่พรวดขึ้นมาอีกหลายสิบตำแหน่ง เมื่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ ควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปเอาไว้ได้ นี่จึงทำให้ขุนนางของต้าหลีได้ยกระดับเหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำไปด้วย ขุนนางในพื้นที่ที่มีสำมะโนครัวต้าหลีก็จะเป็นเหมือน ‘ขุนนางในเมืองหลวง’ ของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติทั่วไป และตอนนี้หากถูกส่งตัวไปยังแคว้นใต้อาณัติแห่งใดก็ตามที่อยู่ทางทิศใต้ การได้เลื่อนตำแหน่งขุนนางก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

เรือข้ามฟากลำที่เฉินผิงอันโดยสารมานี้จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของแคว้นเล็กซึ่งมีชื่อว่าแคว้นเชียนเฮ้อ แคว้นเชียนเฮ้อมีเทือกเขามากมาย กองกำลังของแคว้นอ่อนแอ พื้นดินขาดความอุดมสมบูรณ์ สิบลี้ธรรมเนียมต่าง ร้อยลี้สำเนียงไม่เหมือน คือสถานที่เงียบสงบสันติสุขเนื่องจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่เคยย่างกรายมาเยือน ท่าเรืออยู่ในครอบครองของถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา เจ้าของถ้ำฝูอินเป็นทั้งราชครูของแคว้นเชียนเฮ้อ แล้วก็เป็นทั้งผู้นำของเซียนซือในหนึ่งแคว้น เพียงแต่ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของทั้งแคว้นเชียนเฮ้อกลับมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และราชครูของแคว้นเชียนเฮ้อก็มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกร ลูกศิษย์ในสำนักก็ไม่ได้มีฝีไม้ลายมืออะไร การที่ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งก็เพราะว่าถ้ำฝูอินเคยเป็นหนึ่งในซากปรักของถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกในยุคบรรพกาล ผลิตผลหลายชนิดในถ้ำแห่งนี้สามารถนำไปขายได้ไกลถึงทางทิศใต้ เพียงแต่ว่าเงินที่ได้มาล้วนเป็นเงินที่ยากลำบาก ตลอดทั้งปีก็ได้แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น จึงไม่มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นหมายตาอยากครอบครองที่แห่งนี้

เฉินผิงอันวางแผนไว้ว่าจะกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนสักรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยไปเยือนแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย ที่บ้านเกิดมีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเรื่องบางอย่างก็ต้องปรากฎตัวด้วยตัวเอง ไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีด้วยตัวเองถึงจะได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องซื้อภูเขาที่เว่ยป้อสามารถช่วยได้ แต่ไม่สามารถ ‘ลงนาม’ ในสัญญาฉบับใหม่กับต้าหลีแทนเขาเฉินผิงอันได้

ระหว่างการเดินทางครั้งนี้มีเหตุวิวาทเกิดขึ้นเล็กน้อย มีเซียนซือกลุ่มหนึ่งที่มาจากนครลมเย็นรู้สึกว่าการที่ม้าธรรมดาตัวหนึ่งได้ครอบครองพื้นที่ชั้นล่างของเรือร่วมกับสัตว์วิเศษที่พวกเขาตั้งใจเลี้ยงและอบรมเป็นอย่างดี คือเรื่องอัปยศอย่างหนึ่ง ด้วยรู้สึกไม่ค่อยพอใจจึงคิดจะเล่นลูกไม้บางอย่าง แน่นอนว่าวิธีการของพวกเขาค่อนข้างจะอำพรางได้ดี แต่โชคดีที่เฉินผิงอันดูแลม้าตัวโปรดที่เขาตั้งชื่อเล่นให้มันว่า ‘ฉวีหวง’ เป็นอย่างดี มักจะให้กระบี่บินสืออู่บินไปดูมันอยู่เป็นประจำ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ต้องรู้ว่าการเดินทางเคียงข้างกันตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันซาบซึ้งใจต่อม้าตัวโปรดที่เฉลียวฉลาดตัวนี้อย่างมาก

ดังนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉวีหวงได้รับความตกใจอยู่ชั้นล่างของเรือ จิตของเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ทันที เขาบอกให้สืออู่จำแลงร่างเป็นภาพมายาทะลุกระดานเรือแต่ละชั้นลงไปยังห้องเก็บของที่อยู่ด้านล่างสุดก่อน เพื่อขัดขวางไม่ให้สัตว์วิเศษบนภูเขาฉีกทึ้งฉวีหวง

ส่วนเฉินผิงอันก็ตามออกไปติดๆ เพียงแต่กลับถูกคนงานของเรือข้ามฝากที่รับผิดชอบเฝ้าชั้นล่างขัดขวางเอาไว้ เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เขายื่นมือไปคว้าไหล่คนหนุ่มผู้นั้น กึ่งลากกึ่งกระชากเขาไปยังจุดที่ฉวีหวงอยู่ เมื่อเฉินผิงอันที่สีหน้าเฉยชาเดินเข้าไปด้านใน สัตว์วิเศษทุกตัวที่มีสติปัญญาล้วนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หมอบคลานอยู่กับพื้น โดยเฉพาะสัตว์ตัวที่อยู่ใกล้กับฉวีหวงมากที่สุดซึ่งร่างทั้งร่างเป็นสีดำสนิทดุจหยก มีเพียงสี่เท้าที่เป็นสีขาวหิมะ ลักษณะคล้ายสุนัข แต่ร่างกลับมีขนาดใหญ่โตดุจวัวตัวเล็กๆ จากบันทึกในตำราเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้น นี่น่าจะเป็นหนึ่งในทายาทของสุนัขตะลุยภูเขาสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาล ไม่อย่างนั้นหากเป็นสุนัขตะลุยภูเขาจริงๆ ก็ไม่มีทางมีสีสันที่ปะปนกันเช่นนี้ ทว่าสายพันธ์ของสุนัขตะลุยภูเขานั้นมีนิสัยดุร้ายซึ่งคล้ายคลึงกับวานรย้ายขุนเขา

เมื่อสัตว์วิเศษที่เป็นทายาทสุนัขตะลุยภูเขาเห็นเฉินผิงอัน มันก็แสดงความหวาดกลัวยิ่งกว่าสัตว์วิเศษตัวอื่นๆ ใต้ท้องเรือที่หมอบคลานอยู่บนพื้นอย่างว่าง่ายเสียอีก ถึงกับเก็บหางงอตัว

เฉินผิงอันปล่อยไหล่ของนักการของเรือข้ามฝาก คนผู้นั้นนวดคลึงไหล่ ยิ้มประจบเอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้ มีความเป็นไปได้ว่านิสัยของม้าท่านกับสัตว์เดรัจฉานที่อยู่ในคอกข้างกันคงจะเข้ากันไม่ได้ จึงเกิดวิวาทกัน นี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบนเรือข้ามฝากบ่อยๆ ข้าจะแยกพวกมันออกจากกันเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนที่พักให้ม้าตัวโปรดของท่าน จะไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นอีกเด็ดขาด”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองราวรั้วที่กั้นระหว่างฉวีหวงและทายาทสุนัขตะลุยภูเขา ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

ระหว่างราวรั้วของกรงทั้งสอง เดิมทีควรจะมียันต์ระดับต่ำบางส่วนติดอยู่ หากสัตว์วิเศษข้ามบ่อสายฟ้านี้เข้ามาก็จะไปกระทบโดนตราผนึกทันที แล้วทางเรือข้ามฝากก็จะได้ออกหน้ามาช่วย ‘ไกล่เกลี่ย’ ให้ แต่สัตว์วิเศษส่วนใหญ่ที่สามารถถูกผู้ฝึกตนนำขึ้นเรือข้ามฝากได้ล้วนมีสติปัญญา จะไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับเจ้าของเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการจ่ายเงินฟาดเคราะห์ ส่วนที่ต้องเจอเคราะห์ก็คือมหามรรคาของผู้ฝึกตน หากก่อปัญหายุ่งยากที่เงินทองไม่อาจแก้ไขได้ก็ยิ่งเป็นหายนะ

เพียงแต่ว่าคงเป็นเพราะในสายตาเจ้าของทายาทสุนัขตะลุยภูเขาตัวนี้คิดว่า ต่อให้มีเรื่องกับคนกระจอกที่จูงม้าขึ้นเรือมา แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกระมัง?

เฉินผิงอันยื่นมือไปลูบหัวฉวีหวง มันกระทืบเท้าเบาๆ ท่าทางดูไม่ได้ตกอกตกใจสักเท่าไหร่

ตอนที่เดินทางผ่านกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ฉวีหวงก็เคยเห็นโลกกว้างมาพร้อมกับเฉินผิงอันแล้ว

เฉินผิงอันจึงดึงมือกลับมา ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดจะทำลายมหามรรคาของข้างั้นหรือ?”

นักการของเรือข้ามฝากอึ้งตะลึง เขาเดาเอาว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าของม้าจะซักไซ้เอาความผิด เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขนาดนี้ หรือคิดจะรีดไถเอาเงิน?

นี่กลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี

นักการหนุ่มรู้สึกชอบอกชอบใจ นึกอยากจะให้สองฝ่ายตีกันยิ่งนัก

ถึงอย่างไรไม่ว่าพวกเขาจะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ไม่ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงสามารถทำให้สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นตัวสั่นเงียบกริบเป็นจั๊กจั่นในหน้าหนาวได้ ขอแค่เจ้าไปมีเรื่องกับผู้ฝึกตนนครลมเย็น แล้วจะไม่โดนเล่นงานกลับได้อย่างไร?

เซียนซือของนครลมเย็นกลุ่มนั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรือข้ามฟากลำนี้มาโดยตลอด สนิทสนมกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะหนึ่งในผลผลิตของถ้ำฝูอินแคว้นเชียนเฮ้อคือไม้วิเศษประเภทหนึ่งที่เป็นที่ถูกอกถูกใจของเนินจิ้งจอกซึ่งเป็นราวกับแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติของราชวงศ์ใหญ่แห่งนั้น ด้วยเหตุนี้ไม้วิเศษที่สามารถบำรุงให้หนังจิ้งจอกนุ่มลื่นได้ จึงแทบจะถูกเซียนซือของนครลมเย็นเหมาไปหมด จากนั้นก็ขายต่อให้แก่สกุลสวี่ นั่นก็คือกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากจะถามว่าเหตุใดสกุลสวี่ของนครลมเย็นถึงไม่เดินทางมาด้วยตัวเอง ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็เคยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ไปแล้ว ผู้ฝึกตนของนครลมเย็นกลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าสกุลสวี่จะสนใจกำไรเท่าหัวแมลงวันที่คนอื่นได้ไปจากพวกเขางั้นหรือ? หากมีเวลาว่างเช่นนี้ ป่านนี้ลูกหลานสกุลสวี่ที่รู้จักวิธีหาเงินก็คงได้เงินเทพเซียนมากกว่าเดิมไปนานแล้ว สกุลสวี่นครลมเย็นได้ครอบครองเนินจิ้งจอกแห่งหนึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองที่แค่ต้องนั่งนับเงินอยู่ในบ้านอย่างเดียวแล้ว

เซียนซือกลุ่มหนึ่งที่ห่มชุดคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะเดินเนิบช้าเข้ามายังชั้นล่างของเรือ ดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ

หนังจิ้งจอกของนครลมเย็นทั้งสามารถขับไล่ความหนาวเย็นให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว และหน้าร้อนก็ยังช่วยคลายความร้อน เพียงแค่แบบหนึ่งหนาแบบหนึ่งบาง แต่ทว่ายามเข้าสู่หน้าร้อนแล้วยังห่มหนังจิ้งจอกไว้บนร่าง ต่อให้จะเป็นหนังจิ้งจอกที่บางแค่ไหน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังขัดตาอยู่ดี แต่เดิมทีนี่ก็คือยันต์คุ้มกันกายชนิดหนึ่งของผู้ฝึกตนที่เดินลงจากภูเขา หน้าตาของนครลมเย็นในแถบภาคเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าไม่เล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่ากันว่าตอนนี้เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นยังได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ คู่บำเพ็ญตนของเขายังช่วยเอาเสื้อเกราะโหวจื่อ (เกราะโหวจื่อคือเกราะชนิดหนึ่งที่เผ่าชิงถังเชียงของยุคราชวงศ์ซ่งทำด้วยวิธีการอัดขึ้นรูปแบบเย็น มีความแข็งแกร่งทนทานมากเป็นพิเศษ) ซึ่งเป็นสมบัติสำคัญชิ้นหนึ่งจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาให้เขา นี่ก็ยิ่งทำให้เขาพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น ในตระกูลยังได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นหนึ่ง การลุกผงาดของสกุลสวี่นครลมเย็นจึงไม่มีใครต้านทานได้อยู่

เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา ท่าหมัดของเขายังคงหละหลวม ลักษณะท่าทางคล้ายคนขี้โรค แต่กลับเดินแค่สองสามก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น ปล่อยหนึ่งหมัดก็ต่อยให้หนึ่งคนล้มลง คนหนึ่งในนั้นยังเป็นเด็กสาวหน้ากลมป้อม นางถึงกับตาเหลือกแล้วล้มตึงสลบคาที่ สุดท้ายเหลือแค่คุณชายหล่อเหลาที่อยู่กลางวงคนเดียว หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อผุดซึม ริมฝีปากขยับเบาๆ น่าจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยถ้อยคำที่แข็งกระด้าง หรือพูดจาโอนอ่อนยอมแพ้กันแน่

เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อยืนอยู่ตรงหน้าเขา ถามเรื่องราววงในบางอย่างของนครลมเย็นจากเขา

เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะสกุลสวี่นครลมเย็นก็ดี หรือวานรย้ายภูเขาของขุนเขาตะวันเที่ยงก็ช่าง คนเหล่านี้ต่างก็มีบัญชีเก่าแก่เล่มหนึ่งวางอยู่บนหลุมในใจเฉินผิงอัน ต่อให้เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้ง ก็ไม่มีทางปล่อยผ่านสองฝ่ายนี้ไปได้

ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี พอเห็นว่าคนใกล้ชิดและข้ารับใช้ล้วนพากันล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีกก็ไม่มัวมาสนหน้าตาศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว เขาพูดทุกอย่างที่รู้ออกมาจนหมดราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่

เฉินผิงอันถามอย่างละเอียด ผู้ฝึกตนหนุ่มก็ตอบอย่างจริงจัง

ประหนึ่งอาจารย์ในโรงเรียนที่ถามถึงการบ้านของลูกศิษย์

ทำเอานักการซึ่งคอยดูแลชั้นล่างสุดของเรือที่พอเห็นภาพนี้เข้าก็จิตใจสั่นไหว นี่มันอะไรกัน? ไหนบอกว่าผู้ฝึกตนเซียนซือที่เดินออกมาจากนครลมเย็นล้วนมีวิชาอภินิหารเลิศล้ำกันทุกคนอย่างไรเล่า?

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนักการที่กำลังดีดลูกคิดอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากของผู้ฝึกตนหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง เสียงตึงดังขึ้น ฝ่ายหลังล้มหงายลงไปกองอยู่กับพื้น

นี่เรียกว่ามีทุกข์ร่วมต้าน

เฉินผิงอันมองนักการที่มีใบหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงแล้วถามว่า “ช่วยพวกเขาทำเรื่องแบบนี้ ได้เงินเทพเซียนหรือ?”

นักการหนุ่มส่ายหน้า พูดเสียงสั่น “เปล่าๆ ไม่ได้เงินเกล็ดหิมะมาแม้แต่เหรียญเดียว ก็แค่อยากจะแสดงความกระตือรือร้น ให้เซียนซือเหล่านี้คุ้นหน้าคุ้นตา ไม่แน่ว่าวันหน้าหากพวกเขาพูดถึงข้าสักสองสามคำ ข้าก็จะมีโอกาสหาเงินกับเขาบ้าง”

เฉินผิงอันถาม “ใครเป็นคนออกความคิดนี้?”

นักการหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล “เป็นความคิดของพวกเซียนซือนครลมเย็น ข้าก็แค่เป็นลูกมือให้ความช่วยเหลือเท่านั้น ขอนายท่านเทพเซียนโปรดให้อภัยด้วยเถิด…”

เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที ร่างของคุณชายหนุ่มผู้นั้นก็เด้งขึ้นมา เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้น เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ถามว่า “น้องชายของเรือข้ามฝากคนนี้ บอกว่าคนที่วางแผนทำร้ายม้าของข้าคือเจ้า หมายความว่าอย่างไร?”

คนหนุ่มของนครลมเย็นพลันเดือดดาลอย่างหนัก เขาที่นั่งอยู่บนพื้นเริ่มสบถด่าดังลั่น

เฉินผิงอันเดินออกจากชั้นล่างของเรือ ก่อนจะหันไปยิ้มพูดกับคนหนุ่มผู้นั้นว่า “อย่าฆ่าคน”

คนหนุ่มดิ้นรนลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มเดินเข้าหานักการของเรือข้ามฟากคนนั้น “เจ้าตัวดี กล้าผลักข้าผู้อาวุโสลงหลุมอย่างนั้นหรือ หากไม่ถลกหนังเจ้าออกมาหนึ่งชั้น…”

คนหนุ่มหันขวับกลับไป ตรงประตูของห้องใต้ท้องเรือ คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นหยุดเท้าและหันหน้ามาพอดีเช่นกัน เขาจึงรีบยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ไม่ฆ่าคน ไม่กล้าฆ่าคน ก็แค่จะให้บทเรียนเจ้าคนชั่วผู้นี้เล็กน้อยเท่านั้น”

เฉินผิงอันเดินออกมาด้านนอก

คนชั่วย่อมสมควรถูกคนชั่วด้วยกันกำราบ

หากจะบอกว่าระหว่างผู้ฝึกตนนครลมเย็นกับนักการผู้นั้น ใครที่ชั่วร้ายกว่ากัน ก็บอกได้ค่อนข้างยาก

แต่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอัน อันที่จริงแล้วกลับรังเกียจนักการของเรือข้ามฝากที่อ่อนแอผู้นั้นมากกว่า แต่ในชีวิตของเขาในอนาคตอาจจะยังไม่มีวิธีดีๆ ที่ใช้รับมือกับ ‘คนอ่อนแอ’ พวกนี้ได้มากนัก กลับกันเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนบนภูเขาที่กำเริบเสิบสานทั้งหลาย โอกาสที่เฉินผิงอันจะลงมือมีมากกว่า ก็เหมือนท่ามกลางค่ำคืนพายุหิมะของปีนั้นที่ได้พบเจอกับองค์ชายหันจิ้งซิ่นของแคว้นสือหาว ซึ่งเขาคิดจะฆ่าก็ฆ่าทันที ไม่แน่ว่าวันหน้าหากเขาได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่ไร้ขื่อไร้แปแห่งนั้น อาจจะไม่ใช่แค่องค์ชาย เพราะแม้แต่ฮ่องเต้ก็อาจสังหารได้

ตะเกียงดวงหนึ่งในบ้านบรรพบุรุษของตรอกเล็ก

เฉินผิงอันเดินมาถึงหัวเรือ ยื่นมือไปจับประคองราวรั้วของเรือแล้วสาวเท้าก้าวเดินเนิบช้า

ทุกวันนี้ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นช่างเจริญรุ่งเรืองมีหน้ามีตากันยิ่งนัก

โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่หลังจากหลี่ถวนจิ่งบุคคลอันดับหนึ่งต่ำกว่าห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปตายไป ยิ่งนานวันพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง ช่วงระยะเวลาเกือบร้อยปีนี้ สวนลมฟ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องอยู่ในช่วงของการจำศีลข่มกลั้นความอัปยศและแบกรับภาระใหญ่หลวงอย่างยาวนาน หากเจ้าสวนคนใหม่อย่างผู้ฝึกกระบี่หวงเหอหรือหลิวป้าเฉียวไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้ในเร็ววัน เวลาหลายร้อยปีหลังจากนั้น เกรงว่าพวกเขาคงต้องกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงข่มจนไม่อาจหายใจได้แล้ว

ส่วนสกุลสวี่นครลมเย็น ก่อนหน้านี้ขายภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนเปลี่ยนมือไปให้คนอื่น เป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าเห็นดีเห็นงามกับราชวงศ์จูอิ๋งและสำนักศึกษากวานหูมากกว่า ตอนนี้สถานการณ์เริ่มแจ่มชัด พวกเขาจึงรีบล้อมคอกเมื่อวัวหาย ตามคำบอกของผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้น เมื่อปลายปีของปีก่อน พวกเขาก็ได้ไปทาบทามความสัมพันธ์กับสกุลหยวนอันเป็นเสาหลักค้ำยันแคว้นต้าหลี มีทั้งงานแต่งของสายรองที่นอกเหนือจากสายของทายาทคนโต บุตรสาวที่เป็นบุตรของภรรยาเอกสกุลสวี่ได้แต่งงานไกลไปอยู่กับบุตรชายอนุภรรยาสกุลหยวนคนหนึ่งในเมืองหลวงต้าหลี สกุลสวี่นครลมเย็นยังระดมกำลังทรัพย์ช่วยเหลือกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งที่ลูกหลานสกุลหยวนเป็นผู้ดูแลอย่างเต็มกำลังด้วย

เห็นไหม

ไม่ว่าศัตรูหรือคนกันเอง ทุกคนล้วนกำลังยุ่งวุ่นวายกันทั้งนั้น

บนมหามรรคา ทุกคนต่างก็พยายามแย่งชิงความได้เปรียบ

พอเฉินผิงอันคิดถึงสภาพการณ์ของตัวเองก็รู้สึกเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย

ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตห้าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเลื่อนไปสู่ขอบเขตหกในรวดเดียว นี่คือเรื่องที่เฉินผิงอันทำได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ตอนนั้นเพราะใกล้ไปถึงบ้านเกิดแล้ว เลยนึกอยากจะให้ผู้เฒ่าแซ่ชุยที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้เห็นว่าปีนั้นหลังจากถูกผู้เฒ่าซ้อมทรมานทรกรรมจนได้ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เขาเฉินผิงอันก็ได้อาศัยการต่อยหมัดหนึ่งล้านกว่าหมัดของตัวเอง จนในที่สุดก็ได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นี่ก็เพื่อให้ตอนที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าป้อนหมัดใส่ตน ตนจะได้เจ็บตัวน้อยลงสักหน่อย สำหรับเรื่องการประทานโชคชะตาบู๊ เฉินผิงอันไม่ค่อยเก็บเอามาใส่ใจนัก ต่อให้เจอกับโชควาสนาอย่างเจียวหลงทะเลเมฆที่พุ่งจากฟ้าในนครมังกรเฒ่าแห่งนั้นอีกครั้ง เขาก็น่าจะยังปล่อยอีกหมัดต่อยให้มันถอยกลับไปอยู่ดี

เขาคิดไม่ถึงว่าการถ่วงเวลาครั้งนี้จะลากยาวมาเกือบสามปี

ส่วนการชดเชยวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ครบห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่นั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ เพราะหากอิงตามคำบอกของอาเหลียง นั่นก็คือ ‘วิชากระบี่เปลือกแตงโม กลิ้งไปที่ไหน กระบี่ก็อยู่ตรงนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามโชควาสนาเถิด’

เฉินผิงอันยิ้มอย่างขบขัน

หันหน้ากลับไปก็เห็นผู้ฝึกตนของนครลมเย็นที่พากันมาขออภัยกลุ่มนั้น เฉินผิงอันไม่ได้สนใจ อีกฝ่ายที่คงพอจะแน่ใจได้ว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเอาเรื่องพวกเขาให้ถึงที่สุด จึงพากันจากไปอย่างขลาดกลัว

หลังจากนั้นเจ้าของเรือข้ามฝากก็มาขออภัย พูดยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องลงโทษนักการที่หาเรื่องคนนั้นให้หนักอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันก็ไม่ได้สนใจอีกเหมือนกัน เพียงแค่บอกว่าให้เขาได้รับบทเรียนก็พอแล้ว

เรือข้ามฝากจอดเทียบท่าที่ถ้ำฝูอินของแคว้นเชียนเฮ้อ หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทางต่อ ทว่าครั้งนี้เฉินผิงอันยังไปเยี่ยมเยือนเจ้าของถ้ำฝูอินมาหนึ่งครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้เหตุวิวาทบนเรือมาก่อน ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกร ราชครูแห่งแคว้นเชียนเฮ้อที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้นจึงให้การต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น เฉินผิงอันทำหน้าหนาถามเรื่องวงในหลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปริแตกแล้วร่วงลงมาจากเขาคร่าวๆ เรื่องนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับผู้ฝึกตนเฒ่า เพราะถึงอย่างไรถ้ำฝูอินก็ยังพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แม้ว่าสมบัติลับและวัตถุตกทอดของเซียนที่ซ่อนอยู่ในรัศมีสิบกว่าลี้รอบด้านจะถูกพวกผู้อาวุโสขุดหากันไปจนเกลี้ยงแล้ว ปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ก็ไม่ถือว่าเปี่ยมล้น ภายหลังด้วยโชควาสนาที่อำนวย ผู้ฝึกตนเฒ่าได้เข้ามาอยู่ที่แห่งนี้ ตั้งที่นี่เป็นสถานที่ของการฝึกตน แตกกิ่งก้านสาขา เมื่อเผชิญหน้ากับแขกของแต่ละฝ่ายที่พากันมาเยี่ยมเยือน แน่นอนว่าต้องมีถ้อยคำตามมารยาทที่พูดจนคล่องปาก เรื่องที่พูดได้ก็พูดอย่างละเอียด เรื่องที่พูดไม่ได้จะไม่เอ่ยถึงเด็ดขาด พอผู้ฝึกตนผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันคือคนของต้าหลีก็ยิ่งกระตือรือร้น ยืนกรานจะรั้งให้เฉินผิงอันอยู่ต่อสักหลายๆ วันให้จงได้ เฉินผิงอันเอ่ยปฏิเสธ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงมอบกล่องเก็บสมบัติเก้าช่องให้เป็นของขวัญจากลา ซึ่งในช่องทั้งเก้าก็ใส่วัตถุวิเศษขนาดกะทัดรัดที่สลักมาจากผลิตผลเฉพาะที่มีในถ้ำฝูอินเต็มทุกช่อง อันที่จริงราคาไม่สูงนัก หากอิงตามราคาตลาดของแคว้นเชียนเฮ้อก็ประมาณยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สำหรับราชวงศ์ในโลกมนุษย์ย่อมต้องเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้า ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ล้ำค่าอะไร

เฉินผิงอันรับกล่องเก็บสมบัติใบเล็กมาแล้วก็มอบเหล้าเซียนบ่อน้ำของตรอกหางผึ้งกาหนึ่งให้กับทางถ้ำฝูอิน พอผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรได้ยินว่าเป็นเหล้าหมักของตรอกหางผึ้งก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เชื้อเชิญเฉินผิงอันว่าหากคราวหน้าผ่านแคว้นเชียนเฮ้ออีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องแวะมานั่งที่ถ้ำฝูอินให้ได้ เหล้าหมักอย่างเหล้าเซียนบ่อน้ำนี้ พวกเขาไม่มี แต่แคว้นเชียนเฮ้อก็ย่อมต้องมีเอกลักษณ์พิเศษที่หาไม่ได้จากที่อื่น ไม่กล้าพูดว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากกลับ แต่หากได้ไปเที่ยวชมสักครั้งก็ย่อมไม่เสียเวลาเปล่าที่เดินทางมาอย่างแน่นอน ราชครูที่เป็นตัวตลกของแคว้นเชียนเฮ้ออย่างเขายินดีจะท่องเที่ยวไปพร้อมกับเฉินผิงอัน

ผู้ฝึกตนเฒ่ามาส่งเฉินผิงอันถึงชายแดนแคว้นเชียนเฮ้อด้วยตัวเอง แล้วถึงได้กลับไปที่จวนของตน

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอายุน้อยคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดอาจารย์จะต้องสิ้นเปลืองและทุ่มเทมากขนาดนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ฝึกตนเฒ่ากลัวว่าลูกศิษย์จะหลงเดินทางผิด แค่ให้รู้ผลได้ผลเสียและหนักเบาก็พอ รอวันใดที่คนแก่เสื่อมสภาพอย่างอาจารย์เดินขึ้นเขาไม่ไหวแล้ว ค่อยให้ลูกศิษย์มาทำเรื่องพวกนี้ ส่วนคนเป็นอาจารย์นั้น นอกจากจะถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องทำเรื่องน่าหน่ายใจบางอย่างที่อาจจะไม่ตรงใจตัวเอง เพื่อให้เส้นทางการฝึกตนในวันข้างหน้าของลูกศิษย์ในสำนัก ยิ่งเดินก็ยิ่งกว้างขวาง”

ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบศีรษะลูกศิษย์ของตัวเอง ถอนหายใจกล่าวว่า “คราวก่อนเจ้าลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เพียงลำพัง และกระทำการมุทะลุวู่วามร่วมกับลูกหลานชนชั้นสูงของแคว้นเชียนเฮ้อพวกนั้น อันที่จริงอาจารย์คอยอยู่ข้างกายเจ้า และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา หากไม่เป็นเพราะเจ้าแค่เล่นสนุกเพียงครั้งคราว รู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะสร้างความสนิทสนมได้ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับไม่ชอบนัก ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงจะผิดหวังในตัวเจ้า ผู้ฝึกตนควรจะรู้ว่ารากฐานในการหยัดยืนที่แท้จริงคืออะไร ไหนเลยยังจำเป็นต้องไปถือสากับเรื่องความรู้สึกความผูกพันในโลกมนุษย์พวกนั้น มีความหมายตรงไหน? จงจำไว้ว่านอกจากการฝึกตนแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลไร้สาระเท่านั้น”

ลูกศิษย์หนุ่มผวาพรั่นพรึงอยู่ในใจ

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “อาศัยโอกาสนี้มาไขปริศนาในใจของเจ้าได้พอดี เงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญที่อาจารย์มอบให้ไปก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

ลูกศิษย์หนุ่มประสานมือโค้งคารวะ “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ ตรอกตรึงฝังอยู่ในใจของศิษย์แล้ว”

เจ้าภูเขาของถ้ำฝูอินลูบหนวดยิ้ม พาลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองเดินขึ้นไปบนทางเส้นเล็กของสันหลังเขาที่การมองเห็นเปิดกว้างไปด้วยกัน

เฉินผิงอันสะพายกระบี่ขี่ม้า ออกจากชายแดยเหนือแคว้นเชียนเฮ้อมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ

แน่นอนว่าเขาเดาไม่ถึงว่าการที่ตัวเองไปเยือนจวนของถ้ำฝูอินก่อนหน้านี้ได้ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรอาศัยโอกาสนี้ตักเตือนลูกศิษย์ที่เป็นผู้สืบทอดของตัวเอง

ท่ามกลางช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดซึ่งมีฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมาพร้อมกับสายลม เฉินผิงอันหนึ่งคนหนึ่งม้าส่งมอบเอกสารผ่านด่าน ข้ามผ่านด่านชายแดนต้าหลีมาได้อย่างราบรื่น

การเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนครั้งนี้เขาเลือกเส้นทางใหม่ ไม่ได้ใช้เส้นทางที่ผ่านเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุน

ตลอดทางมานี้ฝนตกหนักอยู่บ่อยๆ ไอร้อนชื้นจึงเข้มข้นมากเป็นพิเศษ ทำให้เฉินผิงอันเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ในช่วงหน้าร้อนของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เป็นดั่งเตานึ่งขนาดใหญ่

ทว่าเมื่อผ่านช่วงที่ร้อนแผดเผาที่สุดไปแล้ว หลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงอากาศก็จะเริ่มเย็น

จักจั่นแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องระงม

ระหว่างนี้มีช่วงอาทิตย์อัสดงของวันหนึ่ง เขาได้เห็นปัญญาชนคนหนึ่งที่เปิดเปลือยหน้าอก ในมือถือพัดขนนกยืนอยูใต้ต้นสนโบราณบนยอดเขา ข้างกายอีกฝ่ายมีสาวใช้หน้าตางดงามรายล้อม พวกนางพูดคุยกันกลั้วเสียงหัวเราะ ห่างไปไกลมีผู้เฒ่าที่ลมหายใจทอดยาวสองคนยืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตน

เฉินผิงอันจูงม้าเดินผ่านมา สายตาไม่หลุกหลิก

หลังออกห่างมาจากยอดเขาแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย บัณฑิตของต้าหลีในอดีต ต่อให้เป็นปัญญาชนที่สามารถเข้าไปขอศึกษาในสำนักศึกษาซานหยาได้แล้ว แต่ก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ไปอยู่สำนักศึกษากวานหู หรือไม่ก็ต้าสุย ไปอยู่กับราชวงศ์สกุลเกา สรุปก็คือต้าหลีไม่อาจรั้งตัวคนไว้ได้ ตามคำบอกของชุยตงซาน เวลานั้นวงการประพันธ์ของต้าหลี ก่อนหน้าที่บัณฑิตจะทะเลาะกันหรือยกพู่กันขึ้นมา หากไม่เอ่ยถึงชื่อของผู้รอบรู้แคว้นอื่น ไม่เปิดผลงานที่มีชื่อเสียงของนักประพันธ์ใหญ่แคว้นอื่น ไม่มีญาติอยู่ในวงการวรรณกรรมของแคว้นอื่นสักคนสองคน ก็ล้วนไม่มีใครกล้ามีหน้าเปิดปากพูด ไม่มีความมั่นใจที่จะจรดพู่กัน

ไม่รู้ว่าวงการปัญญาชนของต้าหลีในทุกวันนี้จะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่

ใกล้ช่วงพลบค่ำ เฉินผิงอันเดินทางผ่านจุดพักม้าหลายแห่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขตการปกครองหลงเฉวียน จากนั้นก็เข้าไปในเมืองเล็ก รั้วไม้ของประตูใหญ่ไม่อยู่แล้ว เมืองเล็กล้อมกำแพงเมืองด้วยหินขึ้นมาแทน ตรงหน้าประตูไม่มีการห้ามเข้าออกหรือทหารบู๊ ใครจะเข้าออกก็ได้ทั้งนั้น เฉินผิงอันผ่านประตูมาแล้วก็สังเกตเห็นว่ากระท่อมของเจิ้งต้าเฟิงยังคงตั้งอยู่ข้างถนนอย่างโดดเดี่ยว เมื่อเทียบกับร้านรวงในบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบแล้วจึงดูสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าคงเป็นเพราะตกลงเรื่องราคากันไม่เป็นผล เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่เต็มใจจะย้ายบ้าน ครอบครัวทั่วไปในเมืองเล็กย่อมไม่กล้างัดข้อกับที่ว่าการเขตการปกครองหลงเฉวียนและที่ว่าการอำเภอที่อยู่ทางเหนือ แต่เจิ้งต้าเฟิงมีอะไรให้ไม่กล้า ต้องเป็นเพราะเขาไม่ยอมให้ขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวเป็นแน่

เดิมทีเฉินผิงอันควรจะกลับมาถึงเมืองเล็กในอีกสิบวันให้หลัง เพียงแต่ว่าภายหลังเขาเดินทางได้ค่อนข้างเร็วจึงมาถึงล่วงหน้าเร็วกว่าที่คาดไว้หลายวัน

ช่วงที่เพิ่งผ่านด่านชายแดนเข้ามา เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นที่จุดพักม้าของชายแดน ส่งมาที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อบอกให้พวกเขารู้ถึงระยะเวลาคร่าวๆ ที่ตนจะกลับมาถึงบ้านเกิด

เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงก่อน เขาจูงม้าข้ามสะพาน ไปที่หลุมศพของท่านพ่อท่านแม่ ยังคงหยิบถุงผ้าฝ้ายที่บรรจุดินของสถานที่ต่างๆ จนเต็มออกมาหลายถุง เติมดินให้กับเนินหลุมศพ เพิ่งจะผ่านเทศกาลชิงหมิงไปได้ไม่นาน บนหลุมศพยังมีกระดาษสีแดงที่สีซีดจางลงไปเล็กน้อยถูกหินแบนราบเรียบก้อนหนึ่งทับอยู่ ดูท่าเจ้าเด็กเผยเฉียนจะไม่ได้ลืมที่ตัวเองสั่งความเอาไว้

ตลอดทางที่เดินมานี้เห็นใบหน้าของคนแปลกหน้ามากมาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชาวบ้านในพื้นที่ของเมืองเล็กส่วนใหญ่ล้วนย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งใหม่ที่ตั้งค่อนไปทางทิศเหนือของกลุ่มภูเขาใหญ่ตะวันตกแล้ว แทบทุกคนล้วนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ประตูสูงที่ใหม่เอี่ยม หน้าบ้านแต่ละหลังล้วนมีสิงโตหินตัวใหญ่คู่หนึ่งตั้งวางคอยเฝ้าประตูเรือนให้ ต่อให้ฐานะย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมีหินเปากู่ (หินประดับหน้าบ้านชนิดหนึ่งของชาวจีน จะตั้งวางไว้สองข้างฝั่งของประตูคล้ายสิงโตหิน โดยที่หินจะเป็นทรงกลองหนังสองหน้าของจีน) ที่ราคาไม่ธรรมดา ไม่เป็นรองถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ในอดีตเลยแม้แต่น้อย คนที่ยังอยู่ในเมืองเล็ก ส่วนใหญ่คือผู้เฒ่าอายุมากที่ไม่เต็มใจจะย้ายออกไป ยังคงอยู่เฝ้าตรอกน้อยใหญ่ที่นานวันก็ยิ่งเงียบสงัดวังเวง แล้วก็จะมีเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ส่วนใหญ่ซื้อบ้านไว้ ทว่าแทบไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันตลอดทั้งปี ต่อให้พบเจอกันแล้วก็เหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างไม่เข้าใจภาษาของอีกฝ่าย

เฉินผิงอันกลับเข้าเมืองเล็กมาเช่นนี้ เขาเดินไปถึงตรอกหนีผิงที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ตรอกเล็กเส้นนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ครอบครัวไม่กี่ครอบครัวที่เหลืออยู่ล้วนย้ายไปยังเขตการปกครองแห่งใหม่ ขายบ้านบรรพบุรุษให้คนต่างถิ่น เมื่อได้เงินก้อนใหญ่ที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ถึงมาครอง ต่อให้ซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่ที่เขตการปกครองแล้วก็ยังเหลือมากพอจะให้กินอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต บ้านบรรพบุรุษของกู้ช่านไม่ได้ถูกขาย แต่ท่านแม่ของเขาก็เลือกจะไปอยู่อาศัยที่เขตการปกครอง ซื้อหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุด ตัวเรือนมีหลายชั้นลึกล้ำ มีทั้งสะพานเล็กธารน้ำไหล หรูหราโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น เปิดประตูบ้านออก ให้ฉวีหวงเดินเข้าไปในลานบ้านที่ไม่ใหญ่นัก ปล่อยมือจากเชือก ให้มันหาที่อยู่ด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันเปิดประตูเรือน ยังคงมีสภาพแบบเดิม ขนาดเล็กๆ ไม่มีของชิ้นใหญ่อย่างใหม่ใดๆ เพิ่มเข้ามา เขายกม้านั่งตัวยาวเก่าแก่มา นั่งลงข้างโต๊ะอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากลานบ้านไปมองเทพทวารบาลและกลอนคู่ที่แปะไว้ใหม่อีกครั้ง แล้วจึงก้าวเข้ามาในลานบ้าน มองตัวอักษรชุนตัวนั้น

สีท้องฟ้ายามเย็นมืดมิด

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ จุดตะเกียงดวงหนึ่ง

คิดว่าจะนั่งอีกสักครู่แล้วค่อยไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ไปสร้างความประหลาดใจให้พวกเขา

เพียงแต่ว่านั่งไปครู่หนึ่งแล้วก็นั่งต่ออีกครู่หนึ่ง เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ลุกขึ้น เขาแค่คิดว่าอยากนั่งต่ออีกสักพัก

ความเศร้าความสุข การพบเจอและการจากลาทั้งหมดทั้งมวลล้วนเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเดินทางไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกมานานกี่ปี สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นการอยู่ที่นี่ที่ทำให้จิตใจสงบสุขมากที่สุด

หลังจากพ่อแม่จากไป หลิวเสี้ยนหยางมักจะมานอนอยู่บนเตียงไม้เป็นประจำ ปากก็พร่ำพูดเพ้อเจ้อเกี่ยวกับภาพอนาคตอันงดงามห่างไกล เจ้าเด็กขี้มูกยืดก็มักจะมาบ่นอยู่ที่นี่ว่าพวกผู้ใหญ่ไร้เหตุผล

พ่อแม่ยังมีชีวิต ไม่ออกเดินทางไกล แต่หากต้องออกเดินทางไกล ก็ต้องบอกให้รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน พ่อแม่ไม่อยู่บนโลกแล้ว ก่อนออกเดินทางไกลก็ยิ่งต้องบอกว่าตัวเองจะไปที่ไหน

ทางฝั่งของเมืองหงจู๋ที่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไปไม่ไกลนัก เผยเฉียนพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไปนั่งอยู่บนหลังคาสูงแห่งหนึ่ง มองตาปริบๆ ไปยังทิศไกล คนทั้งสามต่างก็เดิมพันกันว่าใครจะได้เห็นเงาร่างนั้นก่อน

บนภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้ากำลังหลับตาทำสมาธิอยู่บนชั้นสอง

จูเหลี่ยนเริ่มชื่นชมยันต์และตัวอักษรบนเรือนไม้ไผ่เหล่านั้นซ้ำอีกรอบ

ผีสาวสือโหรวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาอย่างเบื่อหน่าย พอมาอยู่ภูเขาลั่วพั่ว นางก็ถูกมัดมือมัดเท้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย

บนยอดเขาภูเขาพีอวิ๋น

เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีกำลังยืนเคียงไหล่อยู่กับเจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงตนนั้น คนหนึ่งกำลังพูดคุยแย้มยิ้มอย่างผ่อนคลาย อีกคนหนึ่งมีสีหน้า เครียดขรึม

พวกเขาหลุบตาลงต่ำมองไปยังเมืองเล็กที่อยู่ห่างไปไกล

ในตรอกเล็กเส้นหนึ่ง มองเห็นแสงไฟจากตะเกียงจุดเล็กๆ ได้เลือนราง

มันกำลังสาดส่องประกายแสงเจิดจ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version