บทที่ 477 น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน
โดยไม่ทันรู้ตัว เรือข้ามฟากก็เคลื่อนมาถึงอาณาเขตของแคว้นหวงถิงที่มีภูเขาสูงน้ำลึกแล้ว
เฉินผิงอันเดินมาชมทัศนียภาพที่หัวเรือ เรือข้ามฟากลำนี้ละเอียดอ่อนและเอาใจใส่อย่างยิ่ง พวกเขาจงใจลดระดับการลอยตัวของเรือข้ามฟากลง บ้างครั้งจึงเคลื่อนสวนยอดเขาสูงชันอันตราย มีนกโบยบินคลอเคียงข้าง
ในฐานะอาณาเขตที่ถูกแบ่งแยกออกมาจากแคว้นสู่โบราณ นอกจากจะมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขามากมายที่อิงตามตำราอักขรานุกรมท้องถิ่นและคำเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน จ่ายเงินให้แก่เซียนซือในท้องถิ่นและราชสำนักแคว้นหวงถิงเพื่อมาขุดค้นแม่น้ำลำธารอย่างกำเริบเสิบสาน บีบให้กระแสน้ำในลำคลองเกิดการเปลี่ยนทิศทาง ท้องน้ำแห้งขอดจนปรากฏให้เห็นเพื่อจะได้ตามหาพื้นที่ลับอย่างวังมังกรแล้ว ก็มักจะมีผู้ฝึกตนอิสระมาเก็บหาของดี มาเสี่ยงดวงอยู่ที่นี่เหมือนกัน ปีนั้นอาจารย์และศิษย์สามคนอย่างพวกนักพรตตาบอดก็เคยมีความคิดเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในเรื่องของโชควาสนานั้นเป็นดั่งภาพมายาล่องลอย เว้นเสียจากว่าผู้ฝึกตนจะมีทรัพย์สินเงินทองมากพอ มีความสามารถที่จะผูกสัมพันธ์หาเส้นสาย จากนั้นก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่หว่านแหเป็นวงกว้างแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ยากนักที่จะได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา
ตำหนักฉางชุนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลีซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเรือข้ามฟากลำนี้ จะต้องผ่านภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียนไปก่อน เฉินผิงอันไม่ได้คิดว่าจะลงเรือที่นั่น ตามเส้นทางที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว เขาอยากจะไปยังจวนซึ่งเป็นที่พักของผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้นก่อน เพื่อไปเยี่ยมเยียนบิดาของกู้ช่าน จากนั้นค่อยเลียบตามเส้นทางที่คุ้นเคยซึ่งต้องผ่านแม่น้ำซิ่วฮวา เมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุนและแม่น้ำเถี่ยฝู ใช้ท่านั่งขี่กระบี่เดินทางย้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างว่องไว ไม่อย่างนั้นหากขี่ม้าคงช้าเกินไป จะถ่วงเวลาการไปให้ทันเรือข้ามฟากที่จะมุ่งหน้าไปยังอุตรกุรุทวีปลำนั้น
เนื่องจากเรือข้ามฟากลำหนึ่งไม่อาจลดระดับลงจอดบนพื้นเพื่อผู้โดยสารคนเดียวได้ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไปแจ้งกับทางฝั่งของเรือข้ามฟากแล้วว่าให้นำม้าตัวนั้นไปปล่อยไว้ที่ภูเขาหนิวเจี่ยว และให้พวกเขาไปแจ้งแก่คนที่ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวว่าให้ส่งมาตัวนี้ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
สีหน้าของคนดูแลเรือข้ามฟากไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรลำพังแค่การบินทะยานผ่านอากาศเหนืออาณาเขตของต้าหลีก็มากพอจะทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว กลัวว่าผู้โดยสารคนใดถ่มเสลดออกไปนอกเรือโดยไม่ทันระวัง หากร่วงหล่นลงบนภูเขาของตระกูลเซียนต้าหลีก็จะถูกผู้ฝึกตนต้าหลีเรียกสมบัติอาคมออกมาทำลายให้ย่อยยับ แม้แต่เศษซากโครงกระดูกก็ไม่มีเหลือ อีกทั้งในฐานะสถานีที่สองที่นับกลับหลังของเส้นทางการเดินเรือนี้ ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวจึงมีกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกลุ่มหนึ่งคอยให้การเฝ้าพิทักษ์อยู่โดยเฉพาะ นอกเหนือจากการบรรจุและลำเลียงสิ่งของออกจากเรือแล้ว พวกเขาหรือจะกล้าไปพูดคุยสมาคมกับเหล่าผู้ฝึกยุทธกลุ่มนั้น
เฉินผิงอันจึงอธิบายเพิ่มบอกว่าตนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับภูเขาหนิวเจี่ยว อีกทั้งยังมีภูเขาที่เป็นเพื่อนบ้านกับท่าเรือ เรื่องของม้าตัวเดียวย่อมไม่สร้างปัญหาใดๆ แน่นอน
ผู้ดูแลเฒ่าสีหน้าขมฝาด ทั้งไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ตอบตกลง ภายหลังยังคงเป็นเฉินผิงอันที่แอบยัดเงินเกล็ดหิมะให้สองสามเหรียญ ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรถึงได้ฝืนใจตอบรับ
สาเหตุที่แท้จริงนั้นย่อมไม่ใช่เพราะเขาละโมบในเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญนั้น แต่เป็นเพราะคนหนุ่มผู้นี้มีสถานะเป็นคนของต้าหลี จะล่วงเกินมากไปไม่ได้ ในเมื่อได้ครอบครองภูเขาลั่วพั่ว นั่นก็แสดงว่าต้องเป็นงูเจ้าถิ่นแล้ว เดิมทีทางฝ่ายบรรพบุรุษก็ต้องทุ่มทรัพย์สินและใช้เครือข่ายผู้คนลงไปกับเส้นทางเรือสายนี้มหาศาล กว่าจะบุกเบิกเส้นทางหาเงินเส้นทางใหม่มาได้ วันหน้าหากก้มหน้าไม่เห็น เงยหน้าก็ต้องเห็นกันอยู่ดี เสี่ยงอันตรายช่วยเหลืออีกฝ่ายสักเล็กน้อย พอให้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา การทำการค้าอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ยิ่งเวลายาวนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเรื่องยิบย่อยหยุมหยิมมากมายเท่านั้น หากมีเหตุการณ์ใดที่ต้องใช้น้ำใจของคนเล่า?
โชคดีที่คนหนุ่มผู้นั้นก็เป็นคนรู้กาลเทศะ หลังจากได้เปรียบไปแล้วก็รู้จักมอบผลหลีตอบแทนผลท้อ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าวันหน้าหากต้องเอาเรือลงจอด แล้วถ้ามีเวลาว่างก็ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วได้ เขาชื่อเฉินผิงอัน บนภูเขามีทั้งสุราและน้ำชาให้ดื่ม
ผู้ดูแลเฒ่าถึงได้คลี่ยิ้มจากใจจริงออกมาได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำใจที่แท้จริงหรือเสแสร้ง คนหนุ่มเอ่ยประโยคนี้ก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย หลายๆ ครั้งเวลาที่ทำการค้า หากรู้ชื่อของใครบางคน ต่อให้จะไม่ได้เป็นสหายที่แท้จริง แต่หากดังเข้าหูของคนอื่นก็ย่อมพาให้คนคิดไปไกลได้
หลังจากนั้นมีวันหนึ่งที่เรือข้ามฝากเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นต้าหลีแล้ว เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองแผ่นดิน ภูเขาและสายน้ำ เขาบอกกล่าวกับผู้ดูแลเฒ่าหนึ่งคำก็บอกให้เจี้ยนเซียนพุ่งออกจากฝัก ส่วนตัวเองพลิกตัวกระโดดข้ามรั้วออกมา
เหยียบลงบนเส้นสีทองเส้นนั้นแล้ววาดตัวเป็นเส้นโค้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง
ผู้ดูแลเฒ่าเอามือตบราวรั้วด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี พอไปถึงภูเขาหนิวเจี่ยวจะต้องสืบข่าวให้ดีสักหน่อยว่า ‘เฉินผิงอัน’ ผู้นี้เป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใดกันแน่ ถึงได้อำพรางตัวอย่างลึกล้ำเพียงนี้ ลงเขามาท่องเที่ยวกลับพาแค่ม้ามาตัวเดียว ผู้ฝึกตนที่เดินออกมาจากจวนตระกูลเซียนทั่วไป มีใครบ้างที่ไม่มีมาดของเซียนซือสักหน่อย?
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนเส้นทางที่คุ้นเคย คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้ยันต์ปราณหยางส่องไฟนำทางก็พุ่งตัวมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง ดีดนิ้วเบาๆ คล้ายเคาะประตู ไม่ได้ใช้ยันต์ทำลายค่ายกลฝืน ‘ผ่าประตูบุกเข้าไปในจวนโดยพลการ’ เพราะก่อนหน้านั้นเคยทำเช่นนี้ หลังจบเรื่องถึงได้ถูกเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่ตรงแขนมีงูเขียวรัดพันพูดจาถากถาง ใช้กฎหมายบนภูเขาของต้าหลีมาตำหนิไปคำรบหนึ่ง พร้อมทิ้งประโยคว่าห้ามให้มีคราวหน้าเอาไว้ แม้ว่ามองดูเหมือนอีกฝ่ายจะจองหอง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเฉินผิงอันที่ไร้เหตุผลก่อนจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าว่าแต่วันนี้เขาเฉินผิงอันยังไม่ใช่เซียนกระบี่ที่แท้จริงอะไรเลย ต่อให้ในอนาคตใช่ เขาก็ยังจำเป็นต้องมา ‘เคาะประตู’ อยู่ที่นี่อยู่ดี
ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก สิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำพลันเปิดออก เฉินผิงอันเดินเข้าไปข้างใน การมองเห็นก็เปิดกว้างในทันที
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เดินหน้าไปช้าๆ พร้อมกับกวาดตามองไปรอบด้าน ภาพปรากฎการณ์ของพื้นที่แห่งนี้เหนือกว่าอดีตอยู่มากโข สภาพของภูเขาและแม่น้ำมั่นคง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็นเรื่องดี นี่น่าจะเป็นผลสำเร็จจากการที่บิดาของกู้ช่านซึ่งเป็นเจ้าของจวนคนใหม่ทำการซ่อมแซมรากภูเขามาสามปี ในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ นี่ถือเป็นคุณความชอบที่จริงแท้แน่นอน ย่อมต้องถูกกรมพิธีการของราชสำนักจดลงบันทึก และผู้ตรวจสอบคุณงามความดีของกรมขุนนางก็จะเป็นผู้รับผิดชอบเก็บรักษาสมุดคุณูปการเล่มนั้นเอาไว้ แต่วันนี้บิดาของกู้ช่านกลับไม่ออกมาต้อนรับ นี่ไม่สมเหตุสมผล
ก่อนหน้านี้ตอนที่ย้อนกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว เรื่องราวเกี่ยวกับสกุลฉู่ของจวน ‘น้ำใสลมเย็น’ แห่งนี้ เฉินผิงอันได้สอบถามเว่ยป้อมาอย่างละเอียดแล้ว เจ้าของจวนคนเก่าและเจ้าของจวนคนใหม่แบ่งออกเป็นขุนนางใต้การปกครองขององค์เทพใหญ่ขุนเขาเหนืออย่างเว่ยป้อ สิ่งที่เว่ยป้อรู้มาจึงละเอียดอย่างยิ่ง แต่เว่ยป้อเองก็บอกแล้วว่า กองบวงสรวงที่ทำหน้าที่เป็นผู้บวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลีจะรับผิดชอบเป็นผู้ ‘ชักดึง’ เส้นสายที่แอบแฝงในราชสำนักเหล่านี้ด้วยมือตัวเอง ต่อให้เป็นเว่ยป้อก็ยังมีแค่อำนาจในการรับรู้ แต่ไม่มีอำนาจในการก้าวก่าย และจวนเก่าของสกุลฉู่แห่งนี้ก็อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ อีกทั้งปลายฤดูหนาวของเมื่อปีก่อนก็เพิ่งจะถูกแบ่งแยกออกไป ถือเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ถูกปลดออกจากขุนเขาเหนือ คราวก่อนที่เฉินผิงอันลงนามในสัญญาพันธมิตรบนภูเขาพีอวิ๋นกับราชสำนักต้าหลี รองเจ้ากรมพิธีการก็ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเว่ยป้อ เป็นการอธิบายให้เข้าใจคร่าวๆ แต่ก็เป็นแค่คำพูดตามมารยาทเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เว่ยป้อคิดมาก เว่ยป้อย่อมไม่มีความเห็นต่าง เขาเองไม่ใช่คนโง่ หากมองเขตการปกครองขุนเขาเหนือในนามของตัวเองทั้งหมดเป็นสิ่งของที่ตนหวงแหนจริงๆ ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ถิ่นฐานที่ถือว่าเป็นของเขาในเมืองหลวงต้าหลี เขาเว่ยป้อก็จะสามารถไปวางอำนาจบารมีได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เกี่ยวกับเทพหยินสกุลกู้ ตามคำกล่าวของทางการ ในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมานี้ กู้เทาเก็บตัวสันโดษแทบไม่เคยออกมาข้างนอก มุมานะตั้งใจซ่อมแซมโชคชะตาแม่น้ำภูเขา คุณความเหนื่อยยากสูงยิ่ง ทางราชสำนักจึงเตรียมจะมอบของรางวัลและภารกิจอย่างอื่นให้กับเขา ว่ากันว่าเรื่องภาระหน้าที่ของกู้เทานั้น เว่ยป้อกับจูเหลี่ยนยังลงเดิมพันกัน ต่างคนต่างเขียนคำตอบไว้บนกระดาษคนละแผ่น แล้วเก็บไว้ที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ใครที่แพ้คนนั้นก็ต้องเลี้ยงเหล้า ตอนนั้นเว่ยป้อยังบอกให้เฉินผิงอันเดาตำแหน่งหน้าที่ที่ทั้งสองฝ่ายเขียนไว้ เฉินผิงอันหรือจะเดาเรื่องพวกนี้ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นยังมีการป้อนหมัดบนชั้นสองรอคอยตนอยู่ เขาปวดหัวมากพอแล้ว เวลานี้กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลัง เพราะไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็คงจะพอมีการเตรียมใจมาบ้างไม่มากก็น้อย เว่ยป้อเองก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่มารดาของกู้ช่านย้ายกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก ก็ได้ไปหากู้เทาทันที เพียงแต่ว่าถึงแม้นางจะเข้าไปในอาณาเขตภูเขาแม่น้ำได้ แต่ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาที่อยู่กันคนละโลกกลับไม่ได้เจอหน้ากัน
วันนี้ยังคงเป็นเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาสวมเสื้อเกราะสีทองผู้นั้นที่มายืนรอคอยเฉินผิงอันอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวน
แต่เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่สถานการณ์ของสองฝ่ายตึงเครียดพร้อมระเบิดความขัดแย้งทุกเมื่อแล้ว คราวนี้สีหน้าขององค์เทพวารีผู้มีประสบการณ์โชกโชนที่ระดับขั้นเป็นรองหยางฮวาของแม่น้ำเถี่ยฝูเล็กน้อยกลับผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “คารวะท่านเทพวารี”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผงกศีรษะรับการทักทาย “มาหาเจ้าของจวนอย่างกู้เทาเพื่อพูดคุยเรื่องในอดีต หรือมาแก้แค้นฉู่ฮูหยินเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มาหาท่านอากู้”
ในเมื่อเรื่องของทะเลสาบซูเจี่ยนปิดฉากลงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจปิดบังกันต่อไป ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าปีนั้นเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้จงรักภักดีท่านนี้เคยได้รับคำชี้นำอย่างลับๆ จากราชครูชุยฉาน ไม่แน่ว่าปีนั้นการแสดงระหว่างตนกับท่านอากู้ที่ปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร การที่ตนเปลี่ยนเส้นทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนล่วงหน้าอย่างไม่ลังเล เป็นเหตุให้สถานการณ์ตายครั้งนั้นไม่ถึงขั้นเกิดเงื่อนตายที่ใหญ่กว่าเดิมเพิ่มขึ้นมา ไม่อย่างนั้นหากไปช้ากว่านั้นอีกสักเดือนหนึ่ง แล้วหร่วนซิ่วกับหน่วยจานกานของต้าหลีเกิดข้อพิพาทกับกู้ช่านที่เกาะชิงเสียขึ้นมา สองฝ่ายเกิดการช่วงชิงระหว่างน้ำกับไฟกัน ต่างคนต่างถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นชักดึง ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องบาดเจ็บหรือตายไป สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นหายนะที่ไม่อาจคาดคิดได้ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
ดังนั้นเทพวารีที่ปีนั้นทำหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาด ก็น่าจะต้องได้รับความเดือดร้อนจากชุยฉานไปแล้ว
เทพวารีลูบหัวงูเขียวที่ขดตัวอยู่บนแขนเบาๆ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฉินผิงอัน แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังมีโทสะที่ปีนั้นถูกพวกเจ้าสองมือแสดงละครปั่นหัว ปล่อยให้เจ้าดอดไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยน ทำให้ข้าต้องเสียเวลาจับตามองบ่าวเฒ่าคนนั้นของเจ้าอย่างเปล่าประโยชน์อยู่เป็นนาน แต่นี่ก็ถือเป็นความสามารถของพวกเจ้า เจ้าวางใจเถิด ขอแค่เป็นเรื่องที่เป็นการเป็นงาน ข้าจะไม่มีทางใช้ความแค้นส่วนตัวมากระทำการใดๆ ที่เป็นการระบายความแค้นเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ในเมื่อสามารถมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ นั่นก็แสดงว่าท่านเทพวารีต้องมีความใจกว้างนี้ ข้าเชื่อ วันหน้าพวกเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ควรอยู่ร่วมกันอย่างไรก็อยู่กันไปอย่างนั้น”
สายตาของเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาท่านนี้ฉายแววชื่นชม คำพูดเมื่อครู่นี้ของตนไม่ถือว่าเป็นคำพูดดีๆ ที่น่าฟังอะไร ความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ในเมื่อเทพวารีของแม่น้ำสายหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านกับเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเขาไม่มีทางทอดทิ้งความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อเรื่องของส่วนรวม ถ้าอย่างนั้นหากวันหน้าทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันเรื่องส่วนตัวขึ้นมาอีกเล่า? แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายก็ควรต้องใช้วิธีการส่วนตัวคลายแค้นส่วนตัว และการรับมือของคนหนุ่มผู้นี้ก็นับว่าเหมาะสม ทั้งไม่ได้ทิ้งถ้อยคำแสดงความอาฆาตใดๆ ไว้ แล้วก็ไม่ได้แสดงถึงการอ่อนข้อให้เห็น
เทพวารีชี้ไปด้านหลังแล้วยิ้มกล่าวว่า “เรื่องของการซ่อมแซมรากภูเขานั้นเป็นภารกิจที่หนักหน่วงและยาวนาน ครั้งนี้หาใช่ข้าจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่เจ้าและกู้เทา จึงไม่อนุญาตให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันไม่ แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจปลีกตัวออกมาได้จริงๆ แต่หากเจ้ายินดีก็สามารถไปนั่งอยู่ในจวนสักพัก ให้ข้าเลี้ยงสุราเจ้าสักจอกแทนกู้เทา อันที่จริงแล้ว เรื่อง…เกี่ยวกับฉู่ฮูหยิน ข้าเองก็มีถ้อยคำบางอย่างที่อยากจะพูดกับเจ้าเป็นการส่วนตัว เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีทางถูกบันทึกลงเอกสารคดีของกรมพิธีการ แต่เมื่อดื่มเหล้าเมามายแล้ว ถ้อยคำของคนเมาที่ไม่ทำลายขนบธรรมเนียมย่อมไม่ถือว่าเป็นการล้ำเส้น เป็นอย่างไร เฉินผิงอัน เจ้าจะยอมให้เกียรตินี้แก่ข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “แข่งดื่มเหล้ากับเทพวารีท่านหนึ่ง อันที่จริงไม่ถือเป็นการกระทำที่ฉลาดสักเท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอแข็งใจ หาความลำบากใส่ตัวดูสักครั้ง”
น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน
เดินเคียงไหล่กันเข้าไปในจวน เฉินผิงอันถามว่า “งานเลี้ยงเทพท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นเลิกราแล้วหรือ?”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอืมรับหนึ่งที “เจ้าอาจจะคิดไม่ถึงว่ามีอดีตองค์เทพห้าขุนเขาของต้าหลีสามท่านที่เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ภูเขาพีอวิ๋น บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นใต้อาณัติอีกหลายแคว้นที่ไปร่วมงาน นับตั้งแต่ที่ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งแคว้นมา ยังไม่เคยมีงานเลี้ยงท่องราตรีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เจ้าบ้านอย่างองค์เทพเว่ยก็ยิ่งมีมาดสง่างามเป็นหนึ่ง นี่หาใช่ว่าข้ายกยอหัวหน้าผู้บังคับบัญชาไม่ แต่เป็นเพราะองค์เทพใหญ่เว่ยอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนจริงๆ มาดแห่งองค์เทพของเขานั้นโดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่รู้ว่ามีเทพสตรีกี่มากน้อยที่หลงรักองค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือท่านนี้ของพวกเราตั้งแต่แรกเห็น หลังงานเลี้ยงท่องราตรีจบลงก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจะจากไป”
พูดถึง ‘เทพแห่งผืนดินภูเขาฉีตุน’ ที่ตัวเองสนิทคุ้นเคยดีอย่างเว่ยป้อ ก็ดูเหมือนว่าเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาท่านนี้จะยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ
เฉินผิงอันนึกขึ้นมาว่าตอนตัวเองอยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านของตัวเอง กลับถูกคนมองเป็นอันธพาลเสเพลเสียได้ แล้วหันมาดูคนเขาอย่างเว่ยป้อสิว่าเป็นเช่นไร?
หลังจากนั่งลงในห้องโถงใหญ่ที่แสงเทียนสว่างไสวแล้ว ก็มีสาวใช้ภูตผีสองสามตนมาคอยปรนนิบัติ แต่เทพวารีกลับโบกมือไล่ไป
เทพวารีหยิบเหล้าหมักสองกาที่หมักจากแก่นโชคชะตาน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาออกมา โยนให้เฉินผิงอันหนึ่งกา แล้วต่างคนก็ต่างดื่ม
เห็นได้ชัดเทพวารีเป็นคนรู้จักของฉู่ฮูหยินอดีตเจ้าของจวน ถึงได้มีการรับรองเฉินผิงอันเกิดขึ้น คำพูดของเทพวารีไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาเข้าประเด็น บอกว่าตัวเองไม่หวังให้เฉินผิงอันกับนางเปลี่ยนจากศัตรูกลายมาเป็นมิตร หวังเพียงว่าเฉินผิงอันอย่าได้ถึงขั้นต้องให้ตายกันไปข้าง จากนั้นเทพวารีก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับผีสาวสวมชุดแต่งงานกับบัณฑิตต้าหลีผู้นั้นอย่างละเอียด บอกว่าในอดีตนางเคยเป็นคนดีจิตใจมีเมตตาอย่างไร เคยมีความรักที่ลึกซึ้งต่อบัณฑิตผู้นั้นอย่างไร เกี่ยวกับการกระทำโหดร้ายหลังจากที่นางคิดว่าตัวเองถูกคนรักทรยศ ทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ เทพวารีล้วนไม่ปิดบัง ซากศพน่าสงสารที่ถูกนางนำมาปลูกอยู่ในดินเหมือน ‘ต้นไม้ดอกหญ้า’ ในสวนด้านหลังเหล่านั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกไป ปราณแห่งความอาฆาตล้อมวนเวียน จิตหยินไม่สลายไปไหน เจ็ดแปดในสิบส่วนล้วนไม่อาจหลุดพ้นไปได้
พูดถึงโศกนาฎกรรมที่บัณฑิตผู้น่าสงสารพบเจอในสำนักศึกษากวานหู เทพวารีก็เศร้าซึม สีหน้าเคร่งเครียดหนักอึ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่ต้าหลีจะเจริญรุ่งเรือง บัณฑิตที่พอจะมีปณิธาน มีใครบ้างที่ไม่เคยถูกคนภายนอกดูถูกเหยียดหยาม ต้องได้รับความอยุติธรรม ยิ่งเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถสูงเทาไหร่ การถูกกดดันบีบคั้นก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น บัณฑิตผู้นี้ก็คือตัวอย่าง ปัญญาชนในสำนักศึกษาที่ปีนั้นทำร้ายเขา คนหนึ่งในนั้นก็คือลูกหลานชนชั้นสูงของต้าสุย และตอนนี้ก็ยังคงมีตำแหน่งอยู่ในใจกลางราชสำนัก!”
เทพวารีมองไปนอกประตูของห้องโถงใหญ่แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “บัญชีเลอะเลือนนี้ จะอธิบายด้วยเหตุผลได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หากจะต้องพูดกันจริงๆ ก็ใช่ว่าจะอธิบายไม่ได้เสียเลย เพียงแค่ต้องทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น จากนั้นก็เดินไปทีละก้าว เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือคนที่ใช้เหตุผลจะต้องแบกรับค่าตอบแทนจากการอธิบายเหตุผลด้วย”
เทพวารียิ้มกล่าว “ไหนเจ้าลองพูดดูสิ? แม่นางฉู่คือคนในสถานการณ์ ไม่อาจแยกแยะได้ถูกต้อง อันที่จริงเป็นเจ้าเฉินผิงอันย่อมดีที่สุด คนในสถานการณ์ครึ่งตัว คนนอกสถานการณ์อีกครึ่งตัว ขอแค่เจ้าเต็มใจ ก็ถือซะว่าข้าติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้นแล้ว แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้นด้วย”
เดิมทีเทพวารีก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จึงไม่ถึงขั้นผิดหวัง เพียงแต่ว่าก็ยังอดเสียดายไม่ได้ เขาชูกาเหล้าขึ้นสูง “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มอย่างเดียวพอ”
เฉินผิงอันชูกาเหล้าขึ้นสูงตามไปด้วย สุราคือสุราดี แล้วก็น่าจะแพงมาก เขาจึงพยายามดื่มให้น้อยหน่อย ถือซะว่าเป็นการเปลี่ยนวิธีหาเงินให้กับตัวเอง
นอกจากเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงานคนนั้นแล้ว อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยคำอำลา เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวามาส่งเขาถึง ‘ประตู’ สิ่งกีดขวางภูเขาแม่น้ำด้วยตัวเอง
เห็นว่าเฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา จากนั้นกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังก็ออกจากฝักกระบี่เสียงดังเช้ง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ทะยานลมลอยขึ้นกลางอากาศ จากไปไกลท่ามกลางทะเลเมฆ
แม้ว่าตอนที่อีกฝ่ายมา เขาจะอาศัยวิชาอภินิหารม่านน้ำมองมาเห็นมาดเซียนกระบี่ของอีกฝ่ายบ้างแล้ว แต่เมื่อเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาได้เห็นกับตาตัวเองในระยะประชิดเช่นนี้ก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่ดี
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงนอกเมืองหงจู๋แล้วเดินเท้าเข้าไปข้างใน ตอนที่ผ่านจุดพักม้าแห่งนั้นเขาก็หยุดเท้าแล้วเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ออกเดินหน้าต่ออีกครั้ง เขามองไปที่อ่าวฟูสุ่ยอยู่ไกลๆ ก่อน จากนั้นก็ไปที่ถนนชมน้ำซึ่งตัดกับถนนชมภูเขาเป็นอักษรเลขสิบ (十) ไปเยือนร้านหนังสือแห่งนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เจอกับเถ้าแก่คนนั้นจริงๆ อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำ ในมือถือพัดพับ กำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ในมืออีกข้างถือกาน้ำชาขนาดเล็กกะทัดรัดไว้ใบหนึ่ง กำลังดื่มชาช้าๆ พลางครวญเพลงในลำคอ ใช้พัดที่พับเข้าด้วยกันตีลงบนเข่า ส่วนกิจการของร้านหนังสือนั้น เขาไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย
ยังคงเป็นเหมือนปีนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เถ้าแก่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมองก็เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “หนังสือในร้านเขียนราคาบอกไว้อย่างชัดเจน เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ล้วนอาศัยแววตาทั้งสิ้น”
ปีนั้นเฉินผิงอันควักเงินซื้อ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ซึ่งมองดูเหมือนเพิ่งจัดพิมพ์ได้แค่ไม่กี่ปีให้หลี่ไหวที่นี่ ด้วยราคาเก้าตำลึงสองเฉียน ผลกลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันคือตำราเก่าแก่ ด้านในนั้นยังมีภูตบุ๋นฟูมฟักขึ้นมา เจ้าเด็กหลี่ไหวผู้นี้ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ล้วนเหยียบโชคดีขี้หมาได้เสมอ
อันที่จริงตอนที่อยู่หอชิงฝูของท่าเรือภูเขาตี้หลงแห่งนั้น เฉินผิงอันถูกใจเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้าตั้งแต่แรกเห็น เพราะดูจากรูปแบบการสร้างของมันแล้วมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นชุดเดียวกับหุ่นดินเผาของเล่นชุดนั้นของหลี่ไหว ล้วนมาจากฝีมือของเทพเซียนนครจักพรรดิขาวอย่างที่หงหยางโปพูดถึง ต่อให้สุดท้ายแล้ว ‘ฉิงฉ่ายสาวใช้ของหอชิงฝู’ ที่ปกปิดปณิธานกระบี่ได้ไม่ดีพอผู้นั้นจะไม่มอบให้ เฉินผิงอันก็ยังจะคิดหาวิธีเก็บมันมาไว้ในกระเป๋าอยู่ดี ส่วนหมึกรมควันไม้สนของเชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ยชิ้นนั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่มีเงินเทพเซียนมากพอที่จะซื้อไว้จริงๆ เขาคิดว่ารอกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่ค่อยถามเว่ยป้ออดีตองค์เทพแห่งขุนเขาแคว้นเสินสุ่ยดูสักหน่อยว่ามันมีค่าพอที่จะซื้อมาเก็บไว้หรือไม่
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เฉินผิงอันมาที่นี่ ในความเป็นจริงแล้วเถ้าแก่หนุ่มที่เป็นภูตในแม่น้ำชงตั้นซึ่งจำแลงร่างกลายมาเป็นคนผู้นี้ ตอนนี้ได้เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว เปลี่ยนจากภูตที่ออกจากแม่น้ำขึ้นฝั่งมาเตร็ดเตร่อยู่ในโลกมนุษย์ ได้เลื่อนขั้นสูงจนกลายมาเป็นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักต้าหลี ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นเทพวารีตามการสืบทอดที่แท้จริงคนแรกของแม่น้ำชงตั้นนับตั้งแต่ที่ต้าหลีก่อตั้งแคว้นมาอีกด้วย สมกับคำว่า ‘ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร’ อย่างแท้จริง
เขาก็เหมือนกับเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่ตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ก็เหมือนระยะห่างระหว่างเดินจากตรอกหนีผิงมาถึงตรอกซิ่งฮวาเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่คิดจะจงใจสานสัมพันธ์ผูกไมตรี เพราะไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่มีประโยชน์ แต่ในเมื่อเดินทางผ่านแล้ว เป็นฝ่ายไปทักทายสักหน่อย ตามเหตุตามผลแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ
ตอนที่ตกอับจะต้องเห็นตัวเองเป็นสำคัญ เวลาที่ร่ำรวย จะต้องเห็นคนอื่นเป็นสำคัญ
นี่คือหลักการเหตุผลที่หาเจอท่ามกลางดินโคลนในตรอกหนีผิง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้กลายเป็นว่าเดินทางไปได้ไกลแล้ว ภูเขาที่เดินขึ้นไปค่อยๆ สูงขึ้น นึกจะลืมก็ลืมไปเสียอย่างนั้น
เฉินผิงอันเลือกตำราราคาแพงสองสามเล่มที่ระดับขั้นพอจะถือว่าสมบูรณ์แบบได้มา แล้วจู่ๆ ก็พลันหันหน้าไปถาม “เถ้าแก่ หากข้าเหมาหนังสือหมดร้านของเจ้า สามารถลดราคาได้เท่าไหร่?”
เถ้าแก่หนุ่มที่ลักษณะคล้ายลูกหลานชนชั้นสูงลืมตาขึ้น กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอาศัยร้านเล็กๆ แห่งนี้ไว้พักพิงหาเลี้ยงปากท้อง เจ้าซื้อไปหมด ข้าถือถุงเงินใบเดียวจะเอาไปทำอะไรได้? ไปดื่มเหล้าเคล้านารีที่อ่าวฟูสุ่ยงั้นหรือ? อาศัยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ของข้า ใครจะได้เปรียบใครก็ยังไม่แน่ เจ้าคิดว่าจะให้ลดราคากี่ส่วนดีล่ะ? สิบเอ็ดส่วน สิบสองส่วน เจ้าจะซื้อไหมล่ะ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าซื้อ”
เถ้าแก่หนุ่มวางกาน้ำชามือไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง สะบัดพัดออกดังพรึ่บ แล้วพัดเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ขาย!”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยอมเลิกรา จ่ายเงินไปทั้งหมดสามสิบกว่าตำลึงซื้อตำราโบราณเหล่านั้นมา
พอเงินมาอยู่ในมือ เถ้าแก่ก็ยิ้มตาหยีพลางเดินพาเฉินผิงอันมาส่งถึงหน้าประตูร้าน “ยินดีต้อนรับลูกค้ามาเยือนใหม่”
เฉินผิงอันเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าตัวเองขาดทุนแล้ว
……
หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากถนนชมน้ำ เถ้าแก่ที่กลับไปนั่งบนเก้าอี้หลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกเดินมาปิดร้าน แล้วมุ่งหน้าไปยังริมตลิ่งจุดหนึ่ง
เมืองหงจู๋คือสถานที่สำคัญอันเป็นใจกลางการค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขตการปกครองหลงเฉวียน เป็นจุดรวมตัวกันของแม่น้ำสามสายอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงตั้น ตอนนี้ทางราชสำนักกำลังทำการก่อสร้างครั้งใหญ่ ไม่ว่าที่ใดก็มีแต่ฝุ่นคลุ้งตลบ เต็มไปด้วยเสียงดังจอแจ หากไม่ผิดไปจากที่คาด เมืองหงจู๋จะไม่เพียงแต่ถูกแบ่งกลายเป็นของเขตการปกครองหลงเฉวียน อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นกลายเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ด้วย ไม่รู้ว่าเทพภูเขาและแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ที่พยายามครุ่นคิดหาวิธีมาชุมนุมกันที่นี่ ต้องรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำนั้นไม่ได้อาศัยแค่ศาลหนึ่งแห่งและร่างทองหนึ่งร่างก็สามารถเฝ้าพิทักษ์ภูเขาได้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนต้องมีเซียนซือบนภูเขา ขุนนางในราชสำนักและคนในยุทธภพที่ตัวเองสนิทสนมด้วย รวมไปถึงเครือข่ายผู้คนที่แผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่องด้วยสาเหตุนี้ ดังนั้นการที่มณฑลแห่งใหม่ของต้าหลีซึ่งมีภูเขาพีอวิ๋นและเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นสองสถานที่ใจกลางสำคัญของบนและล่างภูเขาจะลุกผงาดเติบโตอย่างรวดเร็วก็เป็นเรื่องที่ใครก็มิอาจขัดขวางห้ามปรามได้แล้ว
คนหนุ่มชุดดำเดินมาถึงริมตลิ่งแล้วก็ร่ายใช้เวทอำพรางตา เดินเข้าไปในน้ำ แล้วย่างเท้าอยู่ในแม่น้ำซิ่วฮวาส่วนที่น้ำในแม่น้ำ ‘นุ่ม’ ที่สุด
แม่น้ำทั้งสามสายมีลักษณะของน้ำที่แตกต่างกัน น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวานุ่มนวลและทอดยาว ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมมากที่สุด น้ำของแม่น้ำชงตั้นไหลแรงซัดเชี่ยว ธาตุน้ำมีความดุเดือดรุนแรงมากที่สุด ตรงข้ามกับชื่อของแม่น้ำอย่างสิ้นเชิง (ชงตั้นแปลว่าชำระล้างให้เบาบาง) เส้นทางน้ำของแม่น้ำอวี้เย่สั้นที่สุด ลักษณะของน้ำเกิดการแปรเปลี่ยนไม่อยู่นิ่งมากที่สุด ปราณวิญญาณเกิดการกระจายตัว บ้างหนาแน่น บ้างเบาบาง ซึ่งหนึ่งในนั้นสถานที่ตั้งของศาลเทพวารีถือเป็นพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยมมากที่สุด อย่าได้ดูแคลนในข้อนี้ เพราะหากมีเซียนดินโอสถทองที่ขาดสถานที่สร้างกระท่อมฝึกตนคนหนึ่งคิดอยากจะเลือกหนึ่งในแม่น้ำทั้งสามสายนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเลือกเป็นเค่อชิงผู้ถวายงานของแม่น้ำอวี้เย่ เพราะเมื่ออยู่บนภูเขา สถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่าถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ไม่อาจหาซื้อได้
แม่น้ำซิ่วฮวาคืออาณาเขตของผู้ร่วมงาน เว้นเสียแต่ว่าจะไปเยือนจวนวารี ไม่อย่างนั้นตามหลักแล้วการที่เขาทำเช่นนี้จะถือว่าข้ามล้ำขอบเขต เพียงแต่ว่าพอภูตน้ำที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนสายน้ำเห็นเทพวารีชุดดำผู้นี้ก็ไม่เพียงแต่ไม่แปลกใจ กลับกันยังยิ้มกว้าง แต่ละตนพากันกรูเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม นี่ไม่ใช่ว่าเทพวารีองค์ใหม่ของแม่น้ำชงตั้นผู้นี้เป็นคนพูดง่าย แต่เป็นเพราะพวกเขาจงใจสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่อีกฝ่ายก็เท่านั้น เทพวารีชุดดำก็ไม่คิดจะถือสาพวกมัน ไม่ได้ทำสีหน้าดุร้ายกลับคืน กลับกันยังพูดไม่มากนัก บอกแค่ว่าตนจะไปที่ภูเขาหมั่นโถวซึ่งเป็นจุดตัดของแม่น้ำสองสาย รอจนเขาจากไปไกลแต่ไม่ถือว่าไกลมากแล้ว เหล่าภูตที่สวมเสื้อเกราะ ในมือถืออาวุธก็พากันหัวเราะครืนเสียงดัง พูดจาไร้ความยำเกรง ส่วนใหญ่ล้วนดูแคลนที่อดีตภูตตนนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อาศัยการกอดขาใหญ่เดินทางลัด ถึงโชคดีได้นั่งบนตำแหน่งเทพ เมื่อเทียบกับนายท่านเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่อาศัยคุณความชอบในหลายๆ เรื่องซึ่งไม่ว่าจะเป็นตอนยังมีชีวิตอยู่หรือหลังตายไปแล้วมานั่งบนตำแหน่งอย่างมั่นคงแล้ว ปลาหลีที่ส่ายหางขอความเมตตาสงสารตัวหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้
เทพวารีชุดดำมาถึงศาลเทพแห่งผืนดินที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำอย่างโดดเดี่ยว พลทหารกุ้งปูปลาของแม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำซิ่วฮวาต่างก็ไม่ให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้ เทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครองและอำเภอบนชายฝั่งก็ยิ่งไม่คิดจะให้ความสนใจ เทพแห่งผืนดินของภูเขาหมั่นโถวที่อยู่ปลายแถวที่สุดของทำเนียบแม่น้ำภูเขาในหนึ่งแคว้นท่านนี้ก็คือก้อนหินในห้องส้วมที่ทั้งแข็งทั้งเหม็น
ศาลเล็กยังคงมีควันธูปเบาบางดังเดิม วันนี้ไม่เหมือนในวันวาน เดิมทีชาวบ้านก็ไม่ชอบมาจุดธูปที่นี่อยู่แล้ว เพราะจำเป็นต้องนั่งเรือข้ามฟากถึงจะขึ้นเกาะมากราบไหว้ได้ เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเหนื่อยยากเกินไป บวกกับที่ตอนนี้ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอาณาเขตของแม่น้ำทั้งสามสายมีมากมาย ขอพรจากเทพองค์ไหนก็เหมือนกัน อีกอย่างมีองค์เทพใดบ้างที่ระดับขั้นไม่สูงว่าเทพแห่งผืนดินเล็กๆ ท่านนี้?
คนหนุ่มชุดดำเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมหุ่นเตี้ยล่ำกำลังนั่งอยู่บนแท่นบูชาเทพ คนจิ๋วควันธูปสวมชุดสีชาดตนหนึ่งกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในกระถางธูปทองแดงเก่าแก่ใบนั้น มันนั่งแปะอยู่กลางกระถางธูป มือสองข้างปัดป่ายโบกตีอย่างแรง ทั่วร่างจึงเต็มไปด้วยขี้เถ้า ปากก็คร่ำครวญร้องทุกข์แฝงไว้ด้วยคำบ่นที่เจ้านายของตนไม่เอาไหน ไม่รู้จักพัฒนา เทพวารีชุดดำเห็นภาพนี้มาจนชินเสียแล้ว ศาลเทพแห่งผืนดินแห่งหนึ่งสามารถทำให้คนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาได้ เดิมทีก็เป็นเรื่องประหลาดอยู่แล้ว คนจิ๋วชุดแดงผู้นี้ยังขวัญกล้าเทียมฟ้า ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย เวลาอยู่ว่างๆ ยังชอบออกไปเที่ยวเล่นอยู่ด้านนอก หากถูกเพื่อนร่วมอาชีพที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองรังแกเข้าก็จะกลับมาระบายอารมณ์โกรธใส่เจ้านายตัวเอง คำพูดติดปากของมันก็คือชาติหน้าจะต้องไปเกิดในกระถางธูปดีๆ แล้วก็จะต้องกลายเป็นภูตประจำท้องถิ่นให้จงได้
—
น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน
ทั้งที่รู้ดีว่าเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องท่านหนึ่งมาเยือน ชายฉกรรจ์คนนั้นก็ยังไม่แม้แต่จะชายตามอง
กลับเป็นคนจิ๋วชุดสีชาดที่ร่างมีขนาดเท่าฝ่ามือที่รีบกระโดดลุกขึ้นยืน เอาสองมือเกาะขอบกระถางธูป พูดเสียงดังว่า “ท่านเทพวารี เหตุใดวันนี้ถึงได้นึกถึงแมลงที่น่าสงสารอย่างพวกเราสองคนได้เล่า มานั่งๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าได้กลับมาบ้านของตัวเอง สถานที่แม้จะเล็ก ควันธูปก็บางเบา แม้แต่ผลไม้สักถาดและชาร้อนๆ สักถ้วยก็ยังไม่มี นับว่าละเลยท่านเทพวารีจริงๆ แล้ว ขอภัยด้วย ขออภัย…”
ชายฉกรรจ์ยกฝ่ามือข้างหนึ่งกดให้เด็กจิ๋วชุดสีชาดผลุบจมลงไปในกองขี้เถ้า มันจะได้ไม่ต้องพูดมากชวนรำคาญหูต่อ
เทพวารีชุดดำไปยกเก้าอี้ผุพังตัวหนึ่งมาจากมุมกำแพงที่อยู่ห่างไปไกล พอนั่งลงแล้วก็ชำเลืองตามองเจ้าตัวน้อยที่โผล่หัวออกมาจากกระถางธูป ยิ้มถามว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมบอกให้เจ้าตัวน้อยที่มีชีวิตพึ่งพาอยู่กับเจ้าฟังสักคำหรือ?”
ชายฉกรรจ์เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยังไม่มีอะไรแน่นอนไม่ใช่หรือ จะพูดทำผายลมอะไร”
เทพวารีชุดดำหยิบพัดพับออกมาตบลงบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “นั่นก็มีแค่ความต่างระหว่างเรื่องน่ายินดีใหญ่กับเรื่องน่ายินดีเล็ก เจ้าก็ช่างอดทนได้ดีนัก”
ชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นๆ ตัวนี้มานานหลายปีแล้ว ไม่เคยมีหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นถึงอย่างไรก็ควรจะได้เป็นเทพอภิบาลเมืองของอำเภอไปแล้ว คนรู้จักเก่าหลายคนในอดีต ตอนนี้ต่างก็มีชีวิตที่ไม่เลว จะโทษที่เด็กจิ๋วควันธูปชุดสีชาดจะเอาแต่พร่ำบ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เวลาไม่มีอะไรทำก็ไปนั่งเหม่ออยู่บนหลังคาศาล รอคอยตาปริบๆ ให้มีขนมเปี๊ยะจากฟ้าหล่นลงมาใส่หัวไม่ได้ ชายฉกรรจ์พูดประโยคหนึ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ขนาดฉี่ที่ดื่มไม่เหลือไอร้อน (เป็นคำพูดเสียดสีแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจผู้อื่น หรืออาจกล่าวถึงคนที่ทำอะไรชักช้า อืดอาด) ข้าผู้อาวุโสยังไม่เคยพูดอะไร จะขาดไปแค่ไม่กี่วันนี่ไม่ได้เลยหรือ?”
คำพูดแบบนี้ ใครได้ยินแล้วจะสบายใจบ้าง?
เด็กชุดสีชาดเหลือกตามองบน โกหกกระมัง เรื่องน่ายินดีงั้นหรือ? เรื่องน่ายินดีจะหล่นใส่หัวนายท่านของตนได้หรือไร? ลำพังศาลเล็กเก่าโทรมแห่งนี้ หากหลังจากนี้ยังสามารถรักษาสถานะศาลเทพแห่งผืนดินเอาไว้ได้ มันก็ควรจะวิ่งไปจุดธูปที่ศาลเทพภูเขา ศาลเทพวารีและศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหมดให้ถ้วนทั่วแล้ว ตอนนี้มันตัดใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ ขอแค่ไม่ต้องถูกคนขับไล่ออกจากศาล ทำให้มันต้องแบกกระถางธูประหกระเหเร่ร่อนไปทั่ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ตอนนี้ศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งต่างๆ ล้วนมีการกระจายข่าวอย่างหนึ่งต่อๆ กันไปลับๆ บอกว่าหลังจากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้เลื่อนขั้นเป็นมณฑล องค์เทพน้อยใหญ่ตลอดทั้งบนและล่างล้วนต้องถูกจัดระเบียบใหม่อีกหนึ่งรอบ ครั้งนี้แม้แต่แผนทรมานตัวเองมันก็ยังเอาออกมาใช้แล้ว แต่นายท่านก็ยังไม่ยอมย้ายบ้าน ไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีที่องค์เทพขุนเขาเหนือจัดขึ้น นี่ถึงทำให้ผู้คนพากันพูดว่าภูเขาหมั่นโถวจบเห่แล้ว ทำให้มันต้องอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใจนึกอยากจะตายไปพร้อมๆ กับนายท่านเสียเลย ชาติหน้าจะได้พยายามช่วงชิงไปเกิดในครรภ์ที่ดีให้จงได้
เทพวารีชุดดำมีสีหน้าจนใจ “คนอื่นไม่ต้องพูดถึง เจ้าไม่แยแสพวกเขาก็แล้วไปเถิด แต่พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว หากจะเรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมยากก็คงไม่มากเกินไปกระมัง? วันที่ศาลของข้าถูกสร้างขึ้น เจ้าก็จะไม่ไปงั้นหรือ?”
ชายฉกรรจ์เอ่ย “ข้าไปแล้วเจ้าก็จะยิ่งเห็นในความดีของข้า? ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังคงใหญ่แค่ก้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรการไปร่วมแสดงความยินดีถึงบ้านก็ควรจะมีของขวัญติดไม้ติดมือไปบ้างกระมัง ข้าผู้อาวุโสไม่มีเงิน ไม่คิดจะทำเรื่องที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วนหรอก”
เด็กชุดสีชาดโมโหทันควัน ถลันลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอวฉับ แหงนหน้าถลึงตาใส่นายท่านของตัวเอง “มารดาเจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร? ทำไมพูดจากับท่านเทพวารีแบบนี้?! เจ้าคนโง่ไม่รู้จักดีชั่ว รีบขอโทษท่านเทพวารีเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ชายฉกรรจ์เหล่ตามองมันหนึ่งที
เด็กจิ๋วชุดแดงน้ำตาคลอเจียนหยด หันหน้าไปมองเทพวารีชุดดำ ต้องใช้พลังไปไม่น้อยกว่าจะเค้นน้ำตาสองสามหยดออกมาได้ “ท่านเทพวารี ท่านเองก็รู้จักกับนายท่านของข้ามานานแล้ว ขอร้องท่านช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเถอะ หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้แต่ขี้เถ้าก็คงไม่มีให้ข้ากินแล้ว ชีวิตข้าช่างรันทดนัก…”
เทพวารีชุดดำเอ่ยหยอกล้อ “ใช่ว่าจะไม่มีศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใดเชื้อเชิญให้เจ้าย้ายบ้านเสียหน่อย คนมากมายอยากให้เจ้าไปอยู่อาศัยในเรือนใหญ่โตโอ่อ่า อยู่ในกระถางธูปใบใหญ่ แม้แต่กรอบป้ายก็ยังให้เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ ช่างเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่นัก ในเมื่อรู้ว่าตัวเองมีชีวิตรันทด แล้วทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตให้สุขสบายเล่า จะมาฝืนทนอยู่ที่นี่ ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากไปไย”
เด็กจิ๋วชุดแดงตบหน้าอกตัวอย่างอย่างแรง ไม่ได้กะกำลังให้ดี ตัวเองจึงสำลักพ่นควันธูปออกมาเต็มปาก หลังจากไออยู่สองสามทีก็พูดเสียงก้องกังวานว่า “นี่เรียกว่าความทระนงในศักดิ์ศรี!”
พูดจาวางโตจบแล้ว ท้องก็เริ่มร้องโครกคราก เด็กจิ๋วชุดสีชาดรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เตรียมจะปีนออกจากกระถางธูป ข้าผู้อาวุโสไปกินลมตะวันออกเฉียงเหนือเอาก็ได้ (เปรียบเปรยว่าไม่มีอะไรให้กินจนต้องได้แต่กินลมแทน) ไม่อยู่ให้เกะกะสายตาสหายสุนัขจิ้งจอกอย่างพวกเจ้าสองคนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์จะหยิบธูปแม่น้ำภูเขาก้านหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ถูสองนิ้วเข้าด้วยกัน สะเก็ดไฟก็ลุกพรึ่บ แน่นอนว่าต้องเป็นธูปประเภทที่คุณภาพเลวร้ายราคาถูกที่สุด จากนั้นก็โยนเข้าไปในกระถางธูปอย่างง่ายๆ เด็กจิ๋วชุดแดงกระโจนเข้าใส่ ปากก็บ่นไปด้วยว่าหมูยังกินดีกว่านี้เลย แต่ก็รีบขยับตัวนั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้า ยกสองมือประคองธูปก้านนั้นแล้วแทะราวกับแทะอ้อย โคลงศีรษะไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข
เทพวารีชุดดำหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็เริ่มคลี่พัด ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก ไอน้ำแผ่อบอวล ทำให้จิตใจคนโล่งสบายปลอดโปร่ง
ชายฉกรรจ์ลังเลอยู่เล็กน้อยก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “รบกวนเจ้าฝากไปบอกเว่ยป้อและใต้เท้าหลางจงกรมพิธีการที่เจ้าคุ้นเคยคนนั้นหน่อยว่า หากไม่ใช่เทพอภิบาลเมืองของมณฑล เป็นแค่เทพอภิบาลเมืองเขตการปกครองหรือเทพอภิบาลเมืองอำเภออะไร ก็อย่ามาหาข้าเลย ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อนั่นแหละ”
เทพวารีชุดดำขมวดคิ้ว “จะเอาแบบนี้จริงๆ หรือ?”
ชายฉกรรจ์เกาหัว สีหน้าเลื่อนลอยมองไปยังกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่นอกศาล
เทพวารีชุดดำเอ่ยสัพยอก “เจ้าสนิทกับเว่ยป้อขนาดนั้น หากข้าจำไม่ผิด ปีนั้นก็เคยมีบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อเขาและสตรีที่น่าสงสารผู้นั้นด้วย เหตุใดถึงไม่ไปพูดกับเขาเองเล่า?”
ชายฉกรรจ์แค่นเสียงหยัน “ก็แค่ทำเรื่องที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองเท่านั้น จะถือเป็นบุญคุณอะไรได้? จะต้องให้คนอื่นตอบแทนให้ได้เลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะต่างอะไรกับพวกคนที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการพยายามเลื่อนขั้น หาทางรวยเพื่อเพิ่มควันธูป? เรื่องของเทพอภิบาลเมืองแห่งใหม่นี้ ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนไปขอร้องต้าหลีเสียหน่อย ถึงอย่างไรข้าก็ป่าวประกาศไปแล้ว สุดท้ายเลือกใครก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ? เลือกข้าอาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป แต่ไม่เลือกข้าก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องร้าย ข้าไม่อยากทำให้ใครลำบากใจทั้งนั้น”
เทพวารีชุดดำพยักหน้ารับ “ก็ได้ ข้าได้แต่ช่วยนำความไปบอกเท่านั้น เรื่องอื่นเจ้าก็คงต้องภาวนาให้ตัวเองโชคดีแล้วล่ะ หากสำเร็จก็ยังพูดง่าย แต่ข้าว่ายาก หากไม่สำเร็จ เจ้าก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกเทพอภิบาลเมืองมณฑลคนใหม่หาเรื่องเล่นงาน บางทีอาจไม่ต้องให้เขาลงมือเองด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองและอำเภอย่อมต้องขยันหมั่นเพียร หาเรื่องกระทบกระเทียบเจ้าทุกครั้งที่มีโอกาสแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ทำสีหน้าไม่แยแส
ถึงอย่างไรศาลบุ๋นบู๊นั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ย่อมต้องตั้งบูชาบรรพบุรุษสองสกุลอย่างเฉาหยวนอยู่แล้ว ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาน้อยใหญ่ที่เหลือก็ล้วนต้องเรียงตามลำดับขั้นตอน ลำคลองหลงซวี แม่น้ำเถี่ยฝู ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเฟิงเหลียง ถ้าเช่นกันก็จะเหลือเก้าอี้เทพอภิบาลเมืองว่างอยู่สองตำแหน่ง บวกกับศาลเทพอภิบาลเมืองมณฑลที่หลังจากได้เลื่อนขั้นเป็นมณฑลแล้ว เทพอภิบาลเมืองใหม่สามท่านที่ยังไม่ปรากฏว่าจะเป็นใครนี้จึงกลายเป็นขนมหวานสามชิ้นที่พอจะปรึกษาหารือและลงมือจัดการได้ สองแซ่อย่างเฉาหยวนย่อมต้องยึดครองหนึ่งในสามตัวเลือกนี้อย่างแน่นอน แค่ช่วงชิงกันว่าจะมีคำต่อท้ายว่ามณฑล เขตการปกครองหรืออำเภอก็เท่านั้น ไม่มีใครกล้าแย่งชิงกับพวกเขา ถึงอย่างไรสองแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่สองในสามกองของเหล็กต้าม้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้ก็คือเฉาผิงและซูเกาซาน คนหนึ่งคือลูกหลานสกุลเฉา อีกคนหนึ่งคือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในกองทัพแทนคนสกุลหยวน สกุลหยวนมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อซูเกาซานที่มีชาติกำเนิดจากกองทัพชายแดนยากจน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งจนถึงทุกวันนี้ซูเกาซานก็ยังอาลัยอาวรณ์คุณหนูสกุลหยวนผู้นั้นอยู่มิคลาย ดังนั้นถึงได้ถูกวงการขุนนางของต้าหลีเรียกว่าลูกเขยสกุลหยวนครึ่งตัว
เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเส้นสายวงการขุนนางที่ซับซ้อน จำเป็นต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายร่ายใช้เวทอภินิหารของใครของมันกันเอาเอง
เด็กจิ๋วชุดสีชาดที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ‘แทะอ้อย’ เติมเต็มท้องของตัวเองเงยหน้าขึ้น ถามอย่างมึนงงว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกันนะ?”
ชายฉกรรจ์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “กำลังคิดว่าพ่อแม่ของเจ้าคือใคร”
จากนั้นเทพวารีก็เริ่มเล่าถึงลูกค้าที่มาเยือนร้านของตนก่อนหน้านี้ แล้วพูดให้ฟังถึงการคาดเดาของตัวเอง
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งเครียด
เด็กจิ๋วชุดสีชาดที่กินอิ่มแล้วก็พลันอารมณ์ดี ส่งเสียงเรอหนึ่งทีก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “เจ้าอย่าว่าไปเชียวนะ ข้าเพิ่งได้รู้จักกับสหายคนหนึ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน ก่อนหน้านี้ข้าไปเที่ยวเล่นแถวเมืองหงจู๋ใช่ไหมล่ะ แต่คราวนี้เดินไกลไปหน่อย ไปถึงแถบภูเขาฉีตุนโน่น เลยได้เจอแม่นางสองคน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ บอกว่ารอคอยคนอยู่ที่นั่น คนหนึ่งนั้นหน้าตางดงามจริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่ง…เอาเถอะ ไม่ใช่ว่าข้าสนิทสนมกับพวกนางแล้วจะพูดจาผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองได้ ก็คือนางไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น เพียงแต่ข้ากลับสนิทกับนางมากกว่า รู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นพิเศษเลยละ นางตื๊อถามข้าอยู่ได้ว่าที่ไหนมีรังผึ้งใหญ่ที่สุด ดีเลย เรื่องนี้ข้าถนัด ก็เลยพาพวกนางไป รังผึ้งรังใหญ่ที่อยู่ตรงปากบ่อใกล้จะกลายเป็นภูตกันได้อยู่แล้ว ผลเป็นอย่างไรพวกเจ้าลองเดาดูสิ แม่นางทั้งสองถูกผึ้งรังใหญ่ไล่ตอม ถูกต่อยจนกลายเป็นหัวหมูสองหัว ข้าขำจะตาย แน่นอนว่าตอนนั้นข้าก็สงสารพวกนางมากจริงๆ เลยต้องเช็ดน้ำตาอยู่หลายที แต่พวกนางเองก็มีคุณธรรม ไม่เพียงแต่ไม่โทษข้าที่เป็นคนนำทาง ยังเชื้อเชิญให้ข้าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอะไรด้วย เจ้าถ่านดำน้อยที่สนิทกับข้าคนนั้นมีคุณธรรม มีบารมีอำนาจเป็นพิเศษ นางบอกว่านางคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ ขอแค่ข้าไปที่ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีของกินดีๆ ของเล่นดีๆ รออยู่”
ชายฉกรรจ์คว้าจับจุดสำคัญได้ทันใด ขมวดคิ้วมุ่นถามว่า “ด้วยความกล้าน้อยนิดแค่นี้ของเจ้าก็ยังกล้าไปเจอคนเป็นๆ ด้วยรึ?!”
เด็กจิ๋วชุดสีชาดเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนนั้นข้าหลบอยู่ใต้ดินต่างหาก แต่กลับถูกเจ้าถ่านดำน้อยนั่นใช้ไม้ไผ่ทิ่มลงมา บอกว่าหากยังกล้าทำตัวลับๆ ล่อๆ นางก็จะใช้วิชาตระกูลเซียนฆ่าข้าให้ตาย ภายหลังข้าถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลงกลนาง นางเพียงแค่มองเห็นข้า แต่ไม่มีความสามารถมากพอจะลากข้าออกไป เฮ้อ ก็ดีเหมือนกัน หากไม่ตีกันคงไม่ได้รู้จักกัน พวกเจ้าไม่รู้อะไร แม่นางน้อยที่มองดูเหมือนถ่านดำผู้นั้นมีความรู้กว้างขวาง สถานะสูงศักดิ์ พรสวรรค์เลิศล้ำ ตระกูลร่ำรวยเงินทอง เปี่ยมไปด้วยความองอาจแห่งยุทธภพ…”
เด็กจิ๋วชุดสีชาดทำสีหน้าเลื่อมใส แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันที่นั่งอยู่ในกองขี้เถ้าธูปออกแรงเต็มกำลังโยนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ชาวบ้านใช้กันออกมา “เห็นหรือยัง นี่คือค่านำทางที่นางมอบให้ข้า ใจกว้างมากเลยใช่ไหมล่ะ? พวกเจ้ามีเพื่อนแบบนี้ไหม?”
ชายฉกรรจ์หัวเราะหยัน “เป็นเงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืชล่ะ? เจ้าเอาขยับมาใกล้ๆ ให้ข้าได้มองชัดๆ หน่อยสิ”
เด็กจิ๋วชุดแดงเอาเหรียญทองแดงกลับไปซ่อนไว้อีกครั้ง ตวัดตามองค้อนอีกฝ่าย “นางบอกแล้วว่า ในฐานะคนบนภูเขาที่ต้องคบค้าสมาคมกับเงินเทพเซียนอยู่ตลอดทั้งปี มอบเงินเทพเซียนพวกนั้นดูดาษดื่นเกินไป ข้ารู้สึกว่านางมีเหตุผล!”
เทพวารีชุดดำโบกพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเหตุผลมากจริงๆ”
ชายฉกรรจ์คร้านจะสนใจเจ้าตัวน้อยที่สมองไม่สมประกอบผู้นี้อีก
……
ท่ามกลางม่านราตรี
ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝู
มือดาบชุดเขียวเดินอยู่เพียงลำพัง
ในถ้ำสวรรค์เล็กหลีจูในอดีต พื้นที่มงคลหลีจูในปัจจุบัน กฎเกณฑ์ที่อริยะหร่วนเป็นผู้ตั้งล้วนใช้ได้ผลเสมอ
ทอดสายตามองไปในผืนป่ากว้าง นภากาศคล้ายอยู่ต่ำยิ่งกว่าแมกไม้ น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน
ขยับเข้าไปใกล้ศาลเทพวารีแห่งนั้น
สตรีที่กอดกระบี่ยาวห้อยพู่สีทองนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนถนน มองกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังของผู้มาเยือน ดวงตาของนางฉายประกายร้อนแรง เอ่ยถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้สถานะของมือกระบี่ประลองฝีมือกับเจ้าสักครั้งได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันมองอดีตสาวใช้ผู้ถือกระบี่ที่อยู่ข้างกายเหนียงเนียงในวังหลวงผู้นั้น ปัจจุบันกลายมาเป็นหนึ่งในองค์เทพวารีที่ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลีแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า
“ข้ากลัวว่าจะฆ่าเจ้าตาย”