บทที่ 478 ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา
หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูกลับไม่ได้ขุ่นเคือง ตาดวงตาสีทองคู่นั้นของนางฉายแววสำรวจตรวจสอบอย่างกำเริบเสิบสาน มองประเมินมือกระบี่หนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจังตั้งใจอีกครั้ง
ม่านราตรีหนาหนัก ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หยางฮวาปรากฏกายบนโลกด้วยร่างทอง กระโปรงที่เรียบง่ายแต่งดงามแผ่ประกายแสงสีทองปกคลุมด้านนอกหนึ่งชั้น ทำให้นางที่เดิมทีก็มีรูปโฉมโดดเด่นเหนือใครยิ่งส่องรัศมีเจิดจ้าพร่างตา ดวงจันทร์เหนือนทีก็ราวกับกลายมาเป็นเครื่องประดับผมของสตรีผู้เป็นเทพวารีท่านนี้
หันกลับไปมองคนหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับนาง กลับไม่ได้ดู ‘เดียวดายละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง’ เฉกเช่นนาง
ปีนั้นหยางฮวาก็เคยใช้สายตาเช่นนี้มองประเมินเฉินผิงอันมาก่อน ตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าสานคนหนึ่ง นางมองออกแค่เพียงกลิ่นอายของความยากแค้นและปณิธานหมัดเบาบาง
ส่วนเวลานี้ นอกจากวัตถุนอกกายไม่กี่ชิ้นอย่างเช่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวที่เว่ยป้อเป็นผู้เลือกให้ ชุดคลุมอาคมสีเขียวที่ไม่ถือว่าเป็นชุดคลุมอาคมจริงๆ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นกระบี่เล่มที่เฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลังแล้ว ก็ดูเหมือนว่านางจะมองอะไรไม่ออกอีก
หยางฮวาภาคภูมิใจในพรสวรรค์การเรียนวิชากระบี่ของตัวเองเสมอมา กระบี่ยาวพู่ทองที่กอดไว้ในอ้อมอกก็ยิ่งไม่ใช่วัตถุธรรมดา ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะกลายเป็นศาสตราวุธเทพที่ถูกเก็บเข้าไปไว้ในป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้นแล้ว
มองไม่ออก นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา
แน่นอนว่าสำหรับหยางฮวาแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่จะออกกระบี่
ระหว่างคนทั้งสองมีลมภูเขาและไอน้ำกระเพื่อมขึ้นมาระลอกหนึ่งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เว่ยป้อที่สวมอาภรณ์สีขาวห้อยต่างหูสีทองเผยกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อริยะหรวนไม่อยู่ แต่กฎเกณฑ์ยังคงอยู่ พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
พอเว่ยป้อมา ประกายเจิดจ้าในดวงตาของหยางฮวาก็ถูกสะกดกลั้นลงไป
ในดวงตาของหยางฮวามีเพียงมือกระบี่หนุ่มที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ภายนอกตลอดทั้งปีผู้นั้น นางเอ่ยว่า “ขอแค่ลงนามยินยอมรับผลเป็นตายก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “น่าเสียดายที่ดูเหมือนเจ้านายของเจ้าจะไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์สักเท่าไหร่”
ในที่สุดหยางฮวาก็เผยโทสะเสี้ยวหนึ่งออกมาให้เห็น หยามเกียรตินาย บ่าวสมควรตาย เหนียงเนียงมีพระคุณช่วยชีวิตต่อนาง หลังจากนั้นก็ยิ่งมีพระคุณในการถ่ายทอดมรรคา ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่มีทางสละทิ้งทุกอย่างบนโลก ดิ้นรนสุดชีวิตเสี่ยงตาย ทนรับกับความทรมานที่ต้องเลือดเนื้อแหลกสลายกลายเป็นโครงกระดูก ยืนหยัดจะเป็นเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูให้ได้เพียงเพราะคำพูดเดียวของเหนียงเนียง ต่อให้ส่วนลึกในใจนางจะมีคำพูดบางอย่างที่หวังว่าวันหนึ่งจะสามารถพูดกับเหนียงเนียงด้วยตัวเองก็ตาม แต่คนนอกคนหนึ่งกล้าบังอาจมาวิจารณ์การกระทำของเหนียงเนียงนางอย่างนั้นหรือ? ชีวิตของเจ้าเศษสวะตรอกหนีผิงที่จู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมา ไม่ได้มีค่านักหรอก!
ดูเหมือนเว่ยป้อจะตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็พลันเข้าใจ เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่กำลังคุมเชิงกันแล้ว คำพูดของเขาจึงฟังดูเล่นแง่ไม่เอาจริงเอาจังมากกว่า “ขอแค่มีข้าอยู่ พวกเจ้าก็ตีกันไม่ได้หรอก พวกเจ้าอยากจะให้สุดท้ายแล้วต่างคนต่างปล่อยกระบวนท่า กระบี่ฟันโดนความว่างเปล่า กลายเป็นตัวตลกของคนที่มองดูอยู่ ก็เชิญพวกเจ้าลงมือได้เต็มที่เลย”
เฉินผิงอันหันไปยิ้มกับเว่ยป้อ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้อยากพูดคุยอะไรกับนางอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าไปก่อนดีกว่า ช่วยส่งข้าไปข้างกายเผยเฉียนที”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ
จู่ๆ หยางฮวาก็เอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน เหตุใดไม่รบกวนท่านเทพเว่ยให้ส่งเจ้าไปที่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ไปหลบอยู่ใต้เปลือกตาของปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านหนึ่งจะไม่ยิ่งมั่นคงกว่าหรอกหรือ รับรองว่าข้าไม่กล้าไล่ตามไปแน่นอน”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยประโยคว่า “ทำไม คงไม่ใช่ว่าเจ้าถูกใจข้าหรอกนะ? ถึงได้ตามตอแยไม่เลิกราเช่นนี้?”
สีหน้าของหยางฮวาประดุจน้ำค้างแข็ง ไอน้ำเข้มข้นทั่วร่างหมุนเวียนวน เดิมทีนางก็เป็นเทพวารีท่านหนึ่งอยู่แล้ว แม่น้ำเถี่ยฝูที่เดิมทีกระแสน้ำหนักอึ้ง เวลาไหลรินแทบไม่มีเสียงพลันเดือดพล่าน ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามใต้สายน้ำแว่วๆ
เว่ยป้อปวดหัวแปล๊บ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตรีบส่งเฉินผิงอันไปที่ตรอกฉีหลง
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าต่อให้มีทั้งตนและอริยะหร่วนฉงด้วยอีกคนก็อาจจะขัดขวางชายหญิงที่ดื้อดึงทั้งคู่นี้ไม่ได้
นี่ถึงทำให้หยางฮวาย้ายสายตามาจ้องมององค์เทพแห่งขุนเขาที่นานวันบุคลิกของการ ‘หลุดพ้นจากโลกีย์’ ก็ยิ่งเด่นชัดผู้นี้ สายตาของนางเย็นชา ไม่มีความเคารพแม้สักเสี้ยว
เว่ยป้อยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่ได้รับผลตอบแทนดีๆ เลย ข้ามาครั้งนี้นับว่าหาเรื่องลำบากใส่ตัวโดยแท้”
หยางฮวาเอ่ยถามตามตรง “ปีนั้นตอนที่เจ้ากับพวกสวี่รั่วขี่ภูตผ่านที่แห่งนี้ สายตาตอนที่มองข้าแปลกประหลาด เพราะอะไรกันแน่?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นถึงแม้ข้าจะยังคงเป็นเทพแห่งผืนดินบนภูเขาฉีตุน แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของแคว้นหนึ่งมาก่อน แน่นอนว่าย่อมมองออกว่าระดับขั้นร่างทองของเจ้าสูงเกินไป ผิดไปจากปกติ เลยอดไม่ไหวมองหลายครั้งหน่อย”
หยางฮวาส่ายหน้า “เจ้ากำลังโกหก”
เว่ยป้อไม่ได้เถียงกับนางในหัวข้อนี้ต่อ เพียงพูดพร้อมยิ้มบางๆ “ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยดีไหม?”
เว่ยป้อเดินนำไปก่อน พอเดินออกไปได้สองสามก้าวก็หันกลับมาเอ่ยว่า “คนเป็นใช้ชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง คนตายอย่างพวกเราก็อยู่ได้ด้วยควันธูป ไม่คิดจะรักษากฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ บ้างเลยหรือ? ทั้งๆ ที่หร่วนฉงไม่อยู่ เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังล้มเลิกความคิดที่จะขี่กระบี่ซึ่งทั้งประหยัดแรงกายและแรงใจ เลือกที่จะเดินเท้ากลับเมืองเล็กแทน?”
หยางฮวาถึงได้ขยับเท้าเดินตามไปด้านหลังเว่ยป้อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สององค์ของหนึ่งภูเขาหนึ่งสายน้ำเดินอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝูที่เริ่มสงบนิ่งลง
เว่ยป้อเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าขวางเฉินผิงอันไว้ก็เพียงแค่เพราะเกิดใจคิดอยากจะเอาชนะ แต่หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะตัดใจจากตัวตนผู้ฝึกกระบี่ในโลกคนเป็นไม่ได้ ตอนนี้ร่างทองของเจ้ายังไม่มั่นคง ควันธูปที่กินเข้าไป ระยะเวลายังน้อยนัก ยังไม่มากพอให้เจ้าทิ้งระยะห่างจากเทพวารีสามแม่น้ำอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงตั้นที่ระดับขั้นเท่าเทียมกันไปไกล ดังนั้นเจ้าท้าทายเฉินผิงอัน เป้าหมายก็เรียบง่ายอย่างมาก คิดแค่จะประลองฝีมืออย่างเดียวจริงๆ เท่านั้น ไม่คิดจะใช้ขอบเขตข่มเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก เหตุใดถึงใช้คำพูดดีๆ ไม่ได้? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเฉินผิงอันไม่กล้าฆ่าเจ้า? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้เฉินผิงอันฆ่าเจ้า เจ้าก็ตายเปล่า ไม่แน่ว่าคนแรกที่จะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันก็คือเหนียงเนียงในวังที่อยากจะได้รับการให้อภัยผู้นั้น”
หยางฮวาเงียบงันไม่ต่อคำ
ภูเขาสูงกว่าน้ำ นี่คือความรู้ทั่วไปของใต้หล้าไพศาล
ตำแหน่งและระดับขั้นขององค์เทพห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้นย่อมต้องสูงกว่าเทพวารีทุกองค์อยู่แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าหยางฮวาไม่ได้มีความเคารพยำเกรงต่อเว่ยป้อเท่าใดนัก
เว่ยป้อเองก็ไม่ถือสาในเรื่องนี้ เขายังคงพูดต่อไปเหมือนคุยกับตัวเอง “ระหว่างความคิดหนึ่งกับความคิดหนึ่ง อยู่ใกล้กันมากแค่ไหน? เจ้ากำลังคิดอยู่ตรงนี้ มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้นก็จะต้องมีคนที่จิตสื่อถึงกัน เชื่อมโยงกันไปทั่วทุกมุมบนโลกใบนี้ แต่บางครั้งระหว่างหนึ่งความคิดกับหนึ่งความคิด จะห่างไกลกันแค่ไหน?”
หยางฮวาหยุดเดิน แค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “ข้าไม่มีอารมณ์มาทายปริศนาธรรมกับเจ้าอยู่ที่นี่ ขอแค่เป็นหน้าที่ของเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู ข้าก็ไม่เคยเพิกเฉยละเลย หากเจ้าคิดจะมาวางมาดองค์เทพขุนเขาเหนือล่ะก็ เจ้ามาหาผิดคนแล้ว หากเจ้าคิดจะผลักไสข้าและแม่น้ำเถี่ยฝูเหมือนที่เคยข่มเทพภูเขาซ่งบนภูเขาลั่วพั่ว ก็เชิญตามสบาย ข้าพร้อมรับทุกกระบวนท่า”
เว่ยป้อหันหน้ามายิ้มให้นาง “หากเปลี่ยนสองคำว่า ‘อารมณ์’ มาเป็น ‘เวลา’ จะดียิ่งกว่า จะฟังดูละมุนละม่อมมากกว่า ความนัยในคำพูดก็จะไม่ใช่ความดื้อดึงไร้ไหวพริบ การไม่มีความเคารพยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา แต่จะกลายเป็นว่าเพราะเจ้าต้องสร้างร่างทอง ต้องดึงดูดแก่นควันธูปมา เวลาดังเข้าหูข้าก็มีแต่จะกลายเป็นว่าเจ้าไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ถือว่าพอมีเหตุผลให้อภัยได้”
หยางฮวาปักเท้ายืนนิ่ง “สั่งสอนจบแล้ว?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มที่ชวนให้คนหลงใหล “คืนนี้พอแค่นี้ วันหน้าข้าจะยังมาพูดความในใจกับเจ้าอีก”
สีหน้าของหยางฮวามืดทะมึน
เว่ยป้อยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาตั้งวางบนริมฝีปาก “คำพูดทำร้ายจิตใจคนบางอย่างที่วิ่งมารอตรงปากแล้ว หากไม่พูดได้ก็อย่าพูด จำไว้ให้ดี จำไว้ให้ดี”
ไม่เสียแรงที่หยางฮวาเคยเป็นนางกำนัลรับใช้ใกล้ชิดเหนียงเนียงต้าหลี นางไม่เพียงแต่ไม่ทำตัวสำรวม กลับกันยังถามโพล่งออกมา “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่นของต้าหลีที่มีระดับขั้นสูง ยกตัวอย่างเช่นอดีตสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาทั้งหลาย รวมไปถึงกลุ่มที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงนินทาเจ้าลับหลังว่าอย่างไร? เมื่อก่อนข้ายังไม่รู้สึก คืนนี้ได้มาเจอกับตัว เจ้าเว่ยป้อเป็นคนประจบผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวจริงๆ เสียด้วย…”
เว่ยป้อยิ้มพลางโบกมือ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร เพียงแต่ว่าคนอื่นพูดกันอย่างไร ข้าก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? เห็นว่าตัวเองเป็นอริยะผู้มีปากอมกฎสวรรค์ เป็นเทียนจวินที่พยากรณ์ได้ล่วงหน้าจริงๆ ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นี้ที่เฉินผิงอันบอกว่าเจ้าถูกใจเขา ถึงได้ตอแยไม่เลิกราก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?”
เว่ยป้อหดมือกลับ “ไม่ต้องพยายามใช้วิธีนี้มายั่วยุข้า เพื่อให้นับแต่นี้ไปเจ้าและข้าจะไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก แล้วเจ้าก็จะได้อยู่อย่างสงบ วันหน้าจำนวนครั้งที่ข้าจะมาพูดคุยกับเจ้าย่อมไม่มาก อีกทั้งยังต้องมีจุดประสงค์ในการมาทุกครั้ง ไม่มีทางถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าเด็ดขาด”
หยางฮวาจนใจ ในใจยังคงมีไฟโทสะ จึงพูดเสียดสีอย่างอดไม่ไหว “เจ้าประจบสอพลอเฉินผิงอันถึงเพียงนี้ ไม่อายตัวเองบ้างหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากไม่พูดถึงคนบางส่วนที่รู้ความจริง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำกี่มากน้อยที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว จะเป็นคนในพื้นที่ของต้าหลีก็ดี หรือของแคว้นใต้อาณัติก็ช่าง พอได้ยินข่าวลือมาจากคนอื่นแล้วจะแอบมองเจ้าเป็นตัวตลกเช่นไร”
เว่ยป้อทำท่าทางอย่างหนึ่งที่เหมือนเด็กน้อยอย่างยิ่ง เขายื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ออกมา ถ่างอ้าออกแล้วกดลงบนแก้ม ก่อนจะออกแรงดึงขึ้นด้านบนเบาๆ ทำหน้ายิ้ม “ขอแค่พบหน้าข้าก็จงคลี่ยิ้มอย่างว่าง่าย แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนลับหลังจะพูดอะไรกัน ในสมองจะคิดอะไรอยู่ ข้าไม่อยากรู้”
หยางฮวากระตุกมุมปาก ยืนกอดกระบี่ เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลประโยคนี้ของเว่ยป้อ
เว่ยป้อเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “แม้ตอนที่เจ้าสร้างร่างทองขององค์เทพจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมาคำรบหนึ่ง แต่รอวันใดที่เจ้าผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในชีวิตเฉกเช่นข้า เจ้าก็จะเข้าใจเองว่า ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ในเวลานี้ก็เป็นเพียงความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์เท่านั้น”
สุดท้ายเว่ยป้อเอ่ยว่า “มหามรรคายาวไกล การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย เจอเรื่องราวหรือพบเจอใครก็จงคิดใคร่ครวญให้มาก ความสำเร็จและความพ่ายแพ้ในเรื่องต่างๆ ใต้หล้านี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงอยู่ที่การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนั่นเอง”
หยางฮวายังคงพูดจาอย่างมีอคติ “ชอบอธิบายหลักการเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาหลินลู่หรือไม่ก็โรงเรียนสกุลเฉินเสียเลยเล่า?”
เว่ยป้อพลันเอียงศีรษะ ยิ้มถามว่า “เป็นเพราะว่าหลักการเหตุผลที่พูดคุยกันดีๆ ล้วนไม่ถือว่าเป็นหลักการเหตุผลใช่ไหม? ก็เลยฟังไม่เข้าหู?”
หยางฮวาสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี
เว่ยป้อยกสองมือขึ้น สะบัดเบาๆ ชายแขนเสื้อสองข้างก็พลิกตลบประหนึ่งมีหิมะสองก้อนที่เกล็ดหิมะพากันปลิวปราย มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายได้
แก่นควันธูปในศาลเทพวารี รวมไปถึงแก่นชะตาน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูพากันมารวมตัวเป็นก้อนสีทองและก้อนสีเขียวมรกตสองก้อนที่ถูกเว่ยป้อเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ
แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล
หยางฮวายืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม นี่ถือเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีไฟโทสะ แม้จะเป็นเทวรูปดินเผาขององค์เทพขุนเขาเหนือก็ยังอับอายจนพานเป็นความโกรธได้หรือไม่?
คิดไม่ถึงว่าเทพชุดขาวผู้นั้นไม่หยุดฝีเท้า แต่กลับหันหน้ามายิ้มบางๆ อธิบายว่า “ข้าไม่ได้โกรธ นี่พูดจริงๆ หากโกหกขอให้เป็นหมาน้อย”
……
เฉินผิงอันเคาะประตูร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลงเบาๆ
ในเมื่อเว่ยป้อพาตนมาส่งที่นี่ก็หมายความว่าเผยเฉียนน่าจะนอนค้างอยู่ที่นี่
ก็ไม่แปลก เผยเฉียนไม่ชอบคบค้าสมาคมกับชุยเฉิงสักเท่าไหร่ บนภูเขาลั่วพั่วที่มีคนอยู่เพียงหยิบมือ ไหนเลยจะครึกครื้นเท่าที่เมืองเล็กแห่งนี้ ในร้านตัวเองก็มีขนมให้กิน หากอยากกินถังหูลู่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็แค่วิ่งไปซื้อไม่กี่ก้าวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่เคยเอ่ยอะไร ขอแค่ยังคัดตัวอักษรอยู่เหมือนเดิม ไม่เกเรเกินไปก็ปล่อยตามใจเผยเฉียน แล้วนับประสาอะไรกับที่เวลาปกติที่ต้องดูแลกิจการของร้าน เผยเฉียนก็ตั้งใจอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะให้ไปเรียนหนังสือในโรงเรียน เผยเฉียนคิดได้ถึงไหนแล้ว
คนที่มาเปิดประตูคือสือโหรว วัตถุหยินก็ใช่ว่าจะไม่ต้องการเวลานอนพักผ่อนเสียเลย เพียงแต่ว่าจะตรงข้ามกับคนเป็นพอดี จำศีลตอนกลางวัน เผยกายตอนกลางคืน อีกทั้งต่อให้เป็นการหลับฝันหวานที่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณ ส่วนใหญ่ใช้เวลาแค่สองสามชั่วยามก็เพียงพอแล้ว ว่ากันว่านี่คือความแกร่งกล้าที่วัตถุหยินภูตผีมีมากกว่าคนเป็น เพราะถึงอย่างไรการถูกพายุลมกรดพัดใส่ การที่ต้องตากแดดร้อนแรง ฯลฯ แม้จะเป็นความยากลำบาก แต่ก็ถือเป็นการฝึกตนที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
สือโหรวยิ้มกล่าว “คุณชาย กลับมาแล้วหรือ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “เผยเฉียนมานอนค้างที่นี่หรือ?”
สือโหรวเอ่ยเบาๆ “คัดตัวอักษรกับแม่นางหลี่ของถนนฝูลวี่เสร็จก็ดับไฟ พูดคุยกันอยู่อีกนานกว่าจะนอนหลับ เมื่อหลายวันก่อนไปที่ภูเขาฉีตุนมา โดนผึ้งต่อยกันเสียอ่วม ต่อให้ไปซื้อยาสมุนไพรที่ร้านยาตระกูลหยางมาทาแล้ว เวลาปกติก็ยังนอนหลับได้ยากอยู่ดี”
ตอนที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกันและปิดประตูลงแล้ว สือโหรวก็ถามว่า “จะให้ข้าไปเรียกพวกนางสองคนไหม?”
สือโหรวรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แม้ว่าเรือนด้านหลังของร้านยาสุ้ยจะมีห้องสามห้อง แต่ห้องหลักถูกเผยเฉียนกับหลี่เป่าผิงยึดไปแล้ว ห้องด้านข้างก็เก็บข้าวของไว้จนเต็ม เหลืออีกห้องหนึ่งก็ถือว่าเป็นที่พักในนามของนางสือโหรว จึงจัดวางของส่วนตัวที่ซื้อจากตลาดเอาไว้ไม่น้อย เป็นสิ่งของที่ไม่อาจเอาออกมาให้ใครดูได้ ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พักพิงอยู่ในคราบร่างเซียนที่เป็นบุรุษ บางครั้งที่วางเครื่องประทินโฉมไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกพิลึกพิลั่น เจ้าเด็กบ้าเผยเฉียนผู้นั้นยังจงใจมอบกระจกทองแดงบานหนึ่งให้นางเป็นของขวัญอีก
เฉินผิงอันกดเสียงเบาเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ข้าจะนั่งอยู่ในลานบ้านให้ผ่านไปสักคืน ถือว่าฝึกท่ายืนนิ่งก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวเจ้าช่วยเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนให้ข้าฟังที”
พอเดินมาถึงใต้ชายคาของห้องข้างที่เป็นของสือโหรว คนหนึ่งก็นั่งลง อีกคนหนึ่งยืน สือโหรวไปยกม้านั่งตัวยาวมาให้เฉินผิงอัน เก้าอี้ก็ยังมี แต่ว่านางไม่นั่ง
สือโหรวเล่าเรื่องน้อยใหญ่ของงานเลี้ยงท่องราตรีและบนภูเขาลั่วพั่วให้ฟัง
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยาจะเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือกันต่อ จะไปที่เมืองหลวงต้าหลีเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ตั้งเก่าของสำนักศึกษาก่อน จากนั้นก็จะขึ้นเหนือไปอีก จนกระทั่งไปถึงชายหาดมหาสมุทรใหญ่ทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงใช้เหตุผลอะไรเกลี้ยกล่อมเหมาเสี่ยวตงอริยะสำนักศึกษาได้สำเร็จ จึงได้อยู่ต่อที่เมืองเล็ก สือโหรวเดาเอาว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่ไปขอร้องอาจารย์เหมา
หลิ่วชิงซานกับหลิ่วป๋อฉีออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ก่อนจะจากไป คู่รักเทพเซียนที่จับมือกันท่องเที่ยวมาครึ่งทวีปคู่นี้ได้ตั้งใจไปดื่มเหล้ากับจูเหลี่ยนมารอบหนึ่ง และสาบานเป็นพี่น้องกัน
—
ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็อึ้งตะลึงไป หลิ่วชิงซานไม่เหมือนคนประเภทที่จะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองเอ่ยคำสาบานเลยนะ เขาไม่ใช่ลูกศิษย์เปิดขุนเขาผู้นั้นของตนเสียหน่อย
สือโหรวหัวเราะพลางไขข้อข้องใจให้ฟัง ที่แท้ก็เป็นหลิ่วป๋อฉีที่รับจูเหลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ บอกว่าจูเหลี่ยนจะต้องไปที่แคว้นชิงหลวนเพื่อร่วมงานแต่งงานระหว่างนางกับหลิ่วชิงซานให้ได้
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว นี่มันอะไรกับอะไรกันแน่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องจริงจังที่ไม่ถือว่าเล็กอีกสองสามเรื่อง สือโหรวเล่าให้ฟังไม่มาก เพราะนางหวังว่าเฉินผิงอันจะไปคุยกับจูเหลี่ยนเอง นางจำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจูเหลี่ยนทำอะไร เรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมั่นคงเชื่อถือได้เสมอ เพียงแต่ปากของเขากลับชวนให้คนหงุดหงิดใจเสียจริง และยังมีสายตาของเขาที่ขนาดนางซึ่งเป็นผีสาวก็ยังอดขนลุกขนชันไม่ได้
หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชทะเลสาบซูเจี่ยนยังไม่ได้มาเยือนด้วยตัวเอง แต่ส่งลูกศิษย์คนสนิทคนหนึ่งให้พกของขวัญมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ตอนนั้นเว่ยป้อปรากฎตัวด้วยตัวเอง ทำให้สตรีอายุน้อยที่มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิตผู้นั้นตกใจไม่น้อย ภายหลังก็ถึงขั้นพูดจาไม่คล่องแคล่ว
นอกจากนี้ก็คือเทพวารีสองท่านของแม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำป๋ายกู่แคว้นหวงถิงที่ทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว ยังคงเป็นจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับ
เรื่องราวน้อยใหญ่ สิ่งละอันพันละน้อย เฉินผิงอันฟังสือโหรวอธิบายอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนจนจบก็ชี้ไปที่ห้องหลัก ยิ้มถามว่า “ใบหน้าของเจ้าสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
สือโหรวอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เผยเฉียนซุกซนก็แล้วไปเถิด คิดไม่ถึงว่าแม่นางหลี่ก็จะปล่อยให้เผยเฉียนทำตัวเหลวไหลไปด้วย คุณชายท่านไม่รู้อะไร ตอนที่เห็นสภาพน่าสงสารของพวกนางสองคนในร้าน อารมณ์ของข้าก็พอๆ กับสตรีจากเกาะจูไชผู้นั้นเลย แต่พวกนางเองกลับดูมีความสุขสนุกสนานกันดี ยังนัดหมายกันด้วยว่าคราวหน้าหากต่างคนต่างฝึกวิชาดีๆ จนสำเร็จแล้วจะไปบุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ด้วยกันอีก”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่รู้ว่าเหตุใด พอสือโหรวมาอยู่ที่ร้านก็คล้ายว่าจะมีอิสระเสรีกว่าตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางถึงกับเอ่ยสัพยอกเฉินผิงอันว่า “คุณชายออกเดินทางครั้งนี้ ได้เอาของขวัญกลับมาให้ใครอีกหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที พลิกหมุนข้อมือหยิบของเล็กๆ สามชิ้นที่ซื้อจากท่าเรือภูเขาตี้หลงออกมา ยื่นถ้วยตื้นที่ทำจากวัสดุสีแดงและแท่นฝนหมึกให้กับสือโหรว ส่วนตัวเองถือตราประทับคู่ที่ถูกแกะสลักด้วยมือของนักประพันธ์บางท่านของแคว้นหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เอาวางไว้ข้างหูแล้วเคาะเบาๆ ฟังเสียงใสกังวานนั้นแล้วเอียงศีรษะกล่าวว่า “ของสามชิ้นจ่ายไปสิบสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเจ้าชอบก็เลือกไปได้หนึ่งชิ้น เดี๋ยวข้าค่อยบอกเผยเฉียนว่าซื้อมาแค่สองชิ้น”
สายตาของสือโหรวเหลือบมองถ้วยตื้นสีแดงน่ารักน่าเอ็นดูใบนั้นอยู่หลายที แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ช่างเถิด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เวลามอบของให้คนอื่น ส่วนใหญ่ล้วนมอบเป็นคู่ เลขคี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกไม่นานข้าก็ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่กลับมาในระยะเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าก็ถือซะว่าเป็นหงเปาของตรุษจีนปีหน้าก็แล้วกัน”
สือโหรวชูถ้วยตื้นสีแดงในมือขึ้นเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ชิ้นนี้?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยเตือนว่า “อย่าหลุดพูดไปล่ะ เด็กน้อยชอบจดจำบัญชีแค้น นางไม่กล้าพูดมากกับข้า แต่เจ้าคงต้องทนฟังนางบ่นอยู่หลายปีอย่างเลี่ยงไม่ได้”
สือโหรวเก็บถ้วยใบเล็กนั่นไป แล้วยื่นแท่นฝนหมึก ‘โชคดีตลอดกาล’ ใบนั้นคืนให้กับเฉินผิงอัน
สือโหรวกล่าวอย่างสงสัยว่า “คุณชายชอบมอบของขวัญให้คนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอาจจะไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าชอบหาเงินและเก็บสะสมเงินมากที่สุด เหรียญทองแดงแต่ละเหรียญที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบากตอนนั้น บางครั้งเวลานอนไม่หลับก็จะหยิบไหใบเล็กออกมาแกว่งเบาๆ เสียงที่เหรียญทองแดงกระทบกันอยู่ในไหใบเล็ก เจ้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อนกระมัง? ภายหลังตอนที่เจิ้งต้าเฟิงยังเป็นคนเฝ้าประตูตะวันออกของเมืองเล็ก ข้าเคยทำการค้าอย่างหนึ่งกับเขา ทุกครั้งที่เอาจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งให้ครอบครัวในเมืองเล็กก็จะได้เหรียญทองแดงมาหนึ่งเหรียญ ทุกครั้งที่ไปเอาจดหมายจากเจิ้งต้าเฟิง ข้าแทบอยากจะให้เจิ้งต้าเฟิงโยนจดหมายเป็นกระบุงมาให้ข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงท้ายที่สุดก็หาเงินมาได้แค่ไม่กี่เหรียญทองแดง หลังจากนั้นมาก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงออกจากบ้านเกิดไป”
สือโหรวยิ้มพลางส่ายหน้า
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า “ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ข้ามีเงินแล้วเลยเปลี่ยนมามีนิสัยมือเติบใจกว้าง ไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเพราะการที่ปีนั้นข้าหลงใหลในทรัพย์สินเงินทองขนาดนั้นก็เพื่อที่ว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยอีก ไม่ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าในทุกครั้งที่ควรต้องจ่ายเงิน ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ไปไหว้หลุมศพพ่อแม่ของข้าก็จะได้ซื้อของที่ดีมากขึ้น เวลาถึงปีใหม่ ก็ไม่ถึงขั้นที่ซื้อกลอนคู่ไม่ได้ ได้แต่ไปมองกลอนคู่บนประตูใหญ่ของเรือนด้านข้าง แล้วก็คิดว่าบ้านตัวเองก็มีเหมือนกัน ความยากจนที่ตัวเองเคยชินแล้ว และการพยายามหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แบบนั้น ไม่ว่าใครที่มองเห็นก็ต้องรู้สึกว่าไร้เดียงสาเบาปัญญาอย่างยิ่ง”
สือโหรวไม่รู้แล้วว่าควรจะต่อคำอย่างไร
เฉินผิงอันเงียบคิดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “คำพูดบางอย่างอาจจะทำลายบรรยากาศ แต่ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว เจ้าก็ฝืนใจฟังหน่อยแล้วกัน เพราะฟังไปแล้ว อย่างน้อยภายในเวลาสามปีก็ไม่ต้องได้ยินข้าพูดให้รำคาญใจอีก”
สือโหรวยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายพูด”
เฉินผิงอันชี้ไปที่สือโหรว “คราบร่างเซียนร่างนี้ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไร แต่ความโชคดีในใต้หล้านี้ เมื่อผ่านประตูบ้านเข้ามาแล้วก็เหมือนลมและน้ำที่พัดหมุนวนไปรอบหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ในเมื่อรับโชควาสนานี้ไว้แล้ว อันดับแรกในใจก็ไม่ควรมีความคลางแคลง ควรทำอย่างไรถึงได้ถือไว้ได้อย่างมั่นคง นั่นต่างหากจึงจะถือว่ามีความสามารถ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ อาจรู้สึกว่าข้าจงใจเอ่ยถ้อยคำที่เป็นการซื้อใจคน แต่ข้าก็ต้องพูด ข้าไม่เคยหวังให้เจ้าสือโหรวอาศัยคราบร่างเซียนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อภูเขาลั่วพั่วในอนาคต ข้าหวังเพียงว่าเจ้าสือโหรวอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ดี อยู่ที่ร้านเล็กๆ ในตรอกฉีหลงแห่งนี้ก็ดี ล้วนสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างปรองดอง ไม่เอาแต่รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แล้วนั่นคือปัญหาของคนอื่น ต้องหัดเรียนรู้ที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นงานที่ต้องอดทนดั่งน้ำหยดลงหินทุกวัน ทว่าพวกเราที่มีชีวิตอยู่ก็ล้วนเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”
สือโหรวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “คุณชายพูดจาจริงใจมีคุณธรรม ข้าจะไตร่ตรองให้มาก”
เฉินผิงอันเก็บตราประทับคู่และแท่นฝนหมึกลงไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่า บนภูเขาลั่วพั่ว หรือไม่ก็บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ตอนนี้คนเหล่านี้ต่างก็มีระดับความสูงต่ำของสถานะและขอบเขต แต่ความใกล้ชิดหรือห่างเหินของความสัมพันธ์ ล้วนไม่ได้อาศัยสิ่งนี้มาเป็นตัวตัดสิน ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าสือโหรว ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนในแบบที่ข้าคิดไว้ในใจให้จงได้ เพียงแต่ไม่อยากให้ในใจเจ้าเกิดความรู้สึกอยุติธรรม แม้ความน้อยเนื้อต่ำใจจะเป็นเรื่องจริง แต่กลับคิดไปเลยเถิดเกินความจริง”
สือโหรวถาม “เฉินผิงอัน วันหน้าหากคนบนภูเขาลั่วพั่วมีมากขึ้นแล้ว เจ้าก็จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจแบบนี้กับทุกคนทุกครั้งหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากในอนาคตมีสำนักบนภูเขาเป็นของตัวเองจริงๆ มีคนมาเพิ่มสิบกว่าคนหรืออาจถึงร้อยคน ถึงเวลานั้นข้าต้องไม่มีเวลามาให้ความสนใจได้หมดเป็นแน่ แต่ก็ไม่เป็นไรนี่นา ข้ามีพวกเจ้าอยู่ด้วย อีกทั้งข้าก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็นต้องใช้หลักการเหตุผลเสมอไป เมื่อคนเรายืนได้ตรง จิตใจดี เจ้ากับพวกจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง แต่ละคนต่างก็มีข้อดีในแบบของตน หลักการและเหตุผลก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…”
เฉินผิงอันพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นออกไป “ก็เหมือนกับลมวสันตฤดูยามค่ำคืนที่บำรุงให้ความอบอุ่นแก่สรรพสิ่งอย่างไร้เสียง เมื่อเทียบกับคำพร่ำบ่นของคนที่ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตอย่างข้าแล้วก็ดีกว่ามากนัก”
สือโหรวจ้องใบหน้าด้านข้างของคนหนุ่มนิ่ง นางได้แต่เหม่อลอยไร้คำพูด
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ส่วนสือโหรวกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ใต้ชายคา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าทำธุระของตัวเองไปก่อน ข้ารอได้”
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น ถอนหายใจหนึ่งที “รอนานแล้ว”
เว่ยป้อถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “อันที่จริงปีนั้นที่ข้าขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่ว ได้เจอกับหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนนั้น ได้ฟังเขาเล่าเรื่องการประสบพบเจอมารในใจกับปากตัวเอง ข้าก็เลยรู้สึกได้ว่า แท้จริงแล้วนั่นเหมือนเป็นการช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโต (การพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ/หรือการรีบร้อนเร่งให้งานใดๆ สำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด จนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา) ต่อสภาพจิตใจของข้า ภายหลังผู้อาวุโสชุยก็บอกว่าการถามใจของข้าในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนั้น เดิมทีควรเป็นด่านเคาะหัวใจที่ผู้ฝึกตนโอสถทองหรืออาจถึงขั้นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดต้องประสบพบเจอ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลังจากที่ปีนั้นเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าแตกสลายไป สภาพจิตใจก็แตกแยกตามไปด้วย การเดินทางไกลหลายครั้ง สิ่งที่ได้พบเห็น ได้เรียนรู้และได้บรรลุจนกระจ่างแจ้งตลอดทางที่ผ่านมา แม้จะช่วยประกบพวกมันเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังห่างจากการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สามารถทานลมทานฝนขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จอยู่ไกลมาก ผลกลับกลายเป็นว่าตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย จิตบุ๋นของข้าแหลกสลายไปเอง ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แม้สุดท้ายแล้วข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะโน้มน้าวตัวเองได้สำเร็จ ทว่าระหว่างขั้นตอนของการโน้มน้าวตัวเองนั้นยังมีภาระอีกมากมายที่แบกไว้อยู่กับตัว ปมของปัญหา ตามหลักเหตุและผลแล้วจึงเกิดการขัดแย้งกันเองจากรากฐาน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยน เป็นแค่เรื่องของข้าเอง”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก คราวนี้เขาหมายจะอาศัยเหล้าดับทุกข์จริงๆ “ข้าเคยเชื่อมั่นว่า ขอแค่รู้หลักการเหตุผลมากเท่าไหร่ การออกหมัด ออกกระบี่ของข้าก็จะยิ่งเร็ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “แต่หลังจากที่ข้าเข้าใจความซับซ้อนของโลกใบนี้ และดีชั่วในจิตใจคนที่ยากจะคาดเดามากขึ้นเรื่อยๆ ก็หวังมาโดยตลอดว่าก่อนที่ตนจะลงมือ จะต้องมองให้เห็นเส้นสายหนึ่งเส้นหรือหลายๆ เส้นของอีกฝ่ายให้ได้ก่อน พยายามคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างให้มากขึ้น ทางที่ดีที่สุด ทางที่เลวร้ายที่สุด จากนั้นค่อยใช้วิชากระบี่มาทำการตัดแบ่งและขีดเส้นจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะไม่มีความผิดพลาดได้อย่างที่ข้าคาดหวัง การลงมือในเวลานั้นถึงจะเร็วขึ้นได้”
เฉินผิงอันยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “แต่หากเรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน จำเป็นต้องแบ่งแยกถูกผิดเป็นตายในทันที ไม่มีพื้นที่ให้ข้าได้ใช้ทฤษฎีลำดับขั้นตอน ไม่ปล่อยให้ข้าได้ไปใคร่ครวญศึกษาจิตใจของคนและความจริงอย่างละเอียด ข้าควรจะทำอย่างไร?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ยิ่งเป็นหลักการเหตุผลที่ถูกต้องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนักมากเท่านั้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เจ้าเองก็กำลังหาเรื่องใส่ตัว เพราะตัวเจ้าเองก็รู้ชัดเจนดีว่า ตัวเอง…ไม่สบายใจ หวนย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่เจ้าเฉินผิงอันยากจนมากที่สุด กลับกลายเป็นว่าสภาพจิตใจของเจ้าผ่อนคลายมากที่สุด เพราะช่วงเวลานั้นเจ้าแน่ใจยิ่งกว่าสิ่งใดว่า หลักการเหตุผลที่ตัวเองต้องยึดมั่นยืนหยัดเอาไว้มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น ดังนั้นส่วนที่ทนได้ก็ทน ส่วนที่ทนไม่ได้ก็สู้สุดชีวิต เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับไช่จินเจี่ยนก็ดีหรือฝูหนันหัวก็ช่าง หรือภายหลังที่เผชิญหน้ากับวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงและหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ปณิธานหมัดของเจ้ามีกี่ชั่งกี่ตำลึง เจ้าก็ปล่อยมันออกไปเท่านั้น ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ มองความเป็นความตายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ขอแค่ให้ข้าได้ออกหมัดก่อนก็พอ”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ถูกต้อง!”
เว่ยป้อเอนตัวพิงเสาระเบียง “ดังนั้นเจ้าเลยคิดจะไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักรอบหนึ่ง หวังว่าเมื่ออยู่ที่นั่นจะไร้พันธนาการ หวังว่าผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธของที่นั่นจะไม่ชอบใช้หลักการเหตุผล มีแต่การกระทำอย่างกำเริบเสิบสานจริงๆ นี่ก็คือวิธีแก้ไขปัญหาที่เจ้าใคร่ครวญมาได้หลังออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เมื่อเจ้าออกจากภูเขาลั่วพั่ว กลับคืนไปยังสถานที่เดิมที่เคยไปท่องเที่ยวอีกครั้ง ได้พบกับสหายเก่า ก็ได้ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งมามองโลกใบนี้ ผลคือค้นพบว่าตัวเองเริ่มสั่นคลอนแล้ว คิดว่าต่อให้ไปถึงอุตรกุรุทวีป ก็จะยังมีนิสัยอืดอาดชักช้าอยู่เหมือนเดิม เพราะหากจะว่าไปแล้ว คนก็คือคน แต่ละคนย่อมมีการพบพรากจากลา มีความทุกข์ความสุขในแบบที่ต่างกันออกไป คนน่าสงสารย่อมมีจุดที่น่ารังเกียจ คนที่น่ารังเกียจก็ย่อมมีจุดที่น่าสงสาร ต่อให้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่แค่ไหน ใจคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ เพียงแค่กระดกเหล้าดื่มอีกหนึ่งอึก
เว่ยป้อเอ่ยเบาๆ ว่า “ดูท่าคงเป็นทางตันที่มิอาจคลี่คลายอีกอย่างหนึ่งแล้ว หากไม่เปลี่ยนไปเป็นเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง ก็ได้แต่เดินกะเผลกไปเบื้องหน้า ฝึกหมัดฝึกกระบี่ ต่อให้ขอบเขตสามารถเลื่อนขึ้นไปได้ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถทำได้ ‘เร็วที่สุด’ อย่างที่คาดหวังไว้ในใจ”
เว่ยป้อเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่น “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าดูเหมือนต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน พบเห็นมามากเท่าไหร่ โลกใบนี้ก็คล้ายว่าจะมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่เสมอ แต่ก็บอกไม่ถูกอีกว่าไม่ถูกต้องตรงไหนใช่ไหม ก็เลยได้แต่อดกลั้นเอาไว้ และข้อสงสัยที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กนี้ ดูเหมือนว่าดื่มเหล้าไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงขั้นยังไม่อาจนำไปพูดกับใครได้ด้วย”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง ประโยคนี้ของเว่ยป้อตรงใจเขาอย่างยิ่ง!
แต่เว่ยป้อกลับยังมีท่าทีเกียจคร้านอยู่ดังเดิม เขาแหงนหน้ามองดวงจันทร์ “ในใจของคนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีตะวันจันทรา”
เว่ยป้อหรี่ตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ของความคิด
เว่ยป้อหันหน้ามายิ้มให้ “ในเมื่อทิศทางใหญ่ไร้ข้อผิดพลาด ก็แค่อาจต้องทุกข์ทรมานเท่านั้น แล้วจะต้องกลัวอะไร? เจ้าเฉินผิงอันยังกลัวความยากลำบากอีกหรือ? ทำไม ไม่เหมือนกับปีนั้นที่ไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนว่าจู่ๆ พอเริ่มมีความหวังในชีวิตขึ้นมาก็เริ่มมีภาระของผู้ที่แข็งแกร่งแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่สู้เจ้าใช้วิธีการที่โง่เง่าที่สุดมาตรวจสอบตัวเองดู ข้อแรก การใช้เหตุผลไม่เคยเป็นเรื่องร้าย ใช้เหตุผลดีๆ ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ข้อสอง ตอนนี้รู้สึกว่าหลักการเหตุผลขัดขวางการออกหมัดและออกกระบี่ของเจ้า ก็อย่าได้สงสัยว่า ‘ข้อแรก’ ของตนนั้นผิด นี่บอกได้แค่ว่าเจ้ายังทำได้ไม่ดีพอ หลักการเหตุผลยังไม่กระจ่างชัดมากพอ อีกทั้งการออกกระบี่และออกหมัดของเจ้าในเวลานี้ก็ยังคงไม่เร็วพออยู่ดี”
ดวงตาของเฉินผิงอันฉายประกายสดใสเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แต่ก็ได้แค่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “พูดง่ายแต่ทำยากน่ะสิ”
เว่ยป้อแบมือ “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่นา”
เฉินผิงอันพลันยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ฟังคำพูดของท่านเพียงไม่นาน แต่ได้ประโยชน์กว่าอ่านตำราสิบปีเสียอีก”
เว่ยป้อจุ๊ปากพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าของภูเขาประจบสอพลอ”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าเองก็มองภูเขาลั่วพั่วแบบนี้เหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันรีบลดเสียงหัวเราะลงทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้ดังรบกวนคนในห้องหลัก
เว่ยป้อพลันเอ่ยขึ้นว่า “เกี่ยวกับเรื่องการเลื่อนขั้นของบิดากู้ช่าน อันที่จริงราชสำนักต้าหลีโต้เถียงกันดุเดือดมาก ตำแหน่งไม่ใหญ่ แรกเริ่มสุดทางกรมพิธีการอยากจะเลื่อนเทพหยินเจ้าของจวนผู้นี้ขึ้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของมณฑล แต่นายท่านผู้เป็นเสาหลักของแคว้นอย่างเฉาหยวนย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว ดังนั้นกรมอาญาและกรมครัวเรือนจึงจับมือกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อเล่นงานกรมพิธีการ ส่วนตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก กรมขุนนางของผู้เฒ่าตระกูลกวนก็จะเข้ามาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ด้วย คิดไม่ถึงว่าเทพอภิบาลเมืองของมณฑลเล็กๆ แห่งหนึ่งจะชักนำให้เกิดน้ำวนลูกใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในราชสำนัก กลุ่มอิทธิพลแต่ละฝ่ายพากันเข้ามามีส่วนร่วม เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีให้อ๋องเจ้าเมืองและราชครูชุยฉาน หรือมากสุดคือเพิ่มเหนียงเนียงในวังหลวงผู้นั้นเข้ามา กลายเป็นว่าพวกเขาสามคนปรึกษากันก็จบเรื่องแล้ว”
เฉินผิงอันตบม้านั่งยาวใต้ก้นของตัวเอง ถามหยั่งเชิงว่า “เพื่อตำแหน่งที่ว่างอยู่ตำแหน่งนั้นน่ะหรือ?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “เป็นเพราะถ่วงเวลามานานเกินไปแล้วจริงๆ เดิมทีก็ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ ดังนั้นกองทัพม้าเหล็กสามกองที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปถึงได้มีคนบางคนเกิดหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็แค่อยากจะสอนให้เจ้ารู้ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก ไม่ได้มีแค่เจ้าเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้นที่ยากลำบาก”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าหยุดทำตัวเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอวเสียทีเถอะ”
เว่ยป้อชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเป็นคนที่นั่งอยู่ ยังกล้ามาตำหนิข้าที่ยืนอยู่อย่างนั้นหรือ?”
เว่ยป้อยืดตัวขึ้นยืนตรง “เอาล่ะ คุยกันแค่นี้พอ ทางฝั่งของแม่น้ำเถี่ยฝู เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะคอยควบคุมนางเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
—
ในใจคนจำต้องมีตะวันจันทรา
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเล่าถึงหมึกรมควันไม้สนที่เชื้อพระวงศ์ของแคว้นเสินสุ่ยใช้กันซึ่งวางขายในหอชิงฝูของท่าเรือภูเขาตี้หลง
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “หากเปิดราคาด้วยเงินร้อนน้อยห้าเหรียญก็นับว่าคุ้มมากแล้ว หอชิงฝูยังสายตาตื้นเขินเกินไป ไม่รู้จักดูของ แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ความมหัศจรรย์ของวัตถุชิ้นนี้ เกรงว่าทุกวันนี้คงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จริง เดี๋ยววันหน้าข้าจะสั่งให้คนรีบไปที่หอชิงฝูดูสักครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “การไปกลับครั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน เงินเทพเซียนก้อนนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น”
เว่ยป้อยิ้ม ถามว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ไม่ใช่ข้าเป็นคนควักเงินสักหน่อย เจ้าเดาดูสิว่าอาณาเขตภูเขาเหนือในตอนนี้ คนที่อยากจะเดินทางไปกลับ จ่ายเงินโดยเสียเปล่าก้อนนี้ให้แทนข้ามีกี่มากน้อย? กี่สิบคน? กี่ร้อยคน? ในทางกลับกัน จ่ายเงินร้อนน้อยห้าเหรียญก็ดี สิบเหรียญก็ช่าง น้ำใจนี้ที่ข้ามอบให้ไปก็เหมือนยาสงบใจเม็ดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ได้กำไรไปก้อนใหญ่แล้ว”
เฉินผิงอันในเวลานี้ แน่นอนว่าแค่ฟังคำชี้นำเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง
เว่ยป้อทะยานร่างวูบหายไป ก่อนจะจากไปได้เตือนเฉินผิงอันว่าเรือข้ามทวีปลำนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว อย่าได้มัวเสียเวลาอยู่
มาถึงศาลเทพภูเขาใหญ่โตโอฬารที่อยู่บนยอดเขาพีอวิ๋น เว่ยป้อก็ไปนอนอยู่บนหลังคา ใช้ท้องฟ้าต่างผ้าห่ม แล้วจึงนอนหลับสนิทไป
จุดที่แม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ตัดกัน กระแสน้ำหักมุมเปลี่ยนผัน ภูเขาสูงเคียงข้าง มังกรพันลี้มาพักพิง
เหวลึกรวมตัวปลา สกุณาเกาะร่มไม้ ภูเขาเขียวน้ำใส พื้นที่กำเนิดอัจฉริยะบุคคล
……
ฟ้าเริ่มสางแล้ว
เผยเฉียนที่ดวงตายังงัวเงียเดินมาเปิดประตู ในมือถือไม้เท้า หลังจากเดินอาดๆ ข้ามธรณีประตูมาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ตะโกนพูดเสียงดังว่า “สวรรค์ ข้าขอเดิมพันกับเจ้า วันนี้หากข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกไม่สำเร็จ อาจารย์ก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าทันที ตกลงไหม? กล้าเดิมพันหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ากับตัวเอง “ไม่พูดหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าตกลงแล้ว! หากเดิมพันแล้วเล่นแง่ไม่ยอมจ่ายก็จะไม่ใช่สวรรค์ที่ดีแล้วนะ!”
เผยเฉียนกระโดดเข้าไปในลานบ้าน ผลกลับกลายเป็นว่าต้องอึ้งงันอยู่กับที่
ใต้ชายคาห้องข้างของสือโหรว ดูเหมือนว่าอาจารย์กำลังนั่งมองตนจากตรงนั้น?
เฉินผิงอันมองใบหน้าดำเกรียมแล้วยังบวมเป่งเหมือนหมั่นโถว นี่ยังเป็นเพราะทายาลดบวมไปบ้างแล้ว แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าตอนที่เพิ่งวิ่งจากภูเขาฉีตุนกลับมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั้นจะมีสภาพน่าเวทนาแค่ไหน
เผยเฉียนขยี้ตา “อาจารย์? ข้าคงไม่ได้ฝันไปหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ แล้วร้องหึ “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย”
นางหันไปทางห้องหลักแล้วตะโกนเสียงดัง “พี่หญิงเป่าผิง อาจารย์มาแล้ว!”
แม่นางชุดแดงเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งเดินเร็วๆ ออกมาจากในห้อง บนใบหน้าบวมแดงยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก ดังนั้นพอมองปราดๆ จึงไม่ได้เห็นความงามสักเท่าไหร่
อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใดๆ กับการที่ใบหน้าตัวเองอยู่ในสภาพนี้ กลับกันยังสะบัดแขนวิ่งเหยาะๆ มาหาเฉินผิงอัน แล้วพลันหยุดยืนนิ่ง คลี่ยิ้มเจิดจ้า “อาจารย์อาน้อย!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าคนสองคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ยื่นมือสองมือออกไปวัดระดับความสูง
เผยเฉียนหน้าบูด
เหตุใดพี่หญิงเป่าผิงทำอย่างนี้ อาจารย์ก็ทำอย่างนี้เหมือนกันด้วยเล่า
อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นหลี่เป่าผิง เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเท่าไหร่
เหตุใดเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมในปีนั้นถึงได้ตัวสูงขนาดนี้แล้ว?
สือโหรวยกม้านั่งสองตัวมาให้ เผยเฉียนอยากนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับอาจารย์ แต่กลับถูกพี่หญิงเป่าผิงที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองมาเสียก่อน เผยเฉียนจึงรีบยกก้นขึ้น ขยับไปนั่งข้างหลี่เป่าผิงทันที
เฉินผิงอันมองใบหน้าบวมแดงของคนทั้งสองแล้วก็กลั้นยิ้ม ถามว่า “พวกหลี่ไหวติดตามเจ้าขุนเขาเหมาเดินทางขึ้นเหนือไปแล้วหรือ?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง “เดี๋ยวหลังจากนี้ท่านปู่จะพาข้าเร่งเดินทางไปให้ทันขบวนใหญ่เอง อาจารย์อาน้อยท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันถาม “เจอกับต่งสุ่ยจิ่งหรือยัง?”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “ข้ากับเผยเฉียนไปที่ภูเขาเฟิงเหลียงมาแล้ว เกี๊ยวน้ำของที่ร้านรสชาติพอใช้ได้ ไม่อร่อยเหมือนฝีมือของอาจารย์อาน้อย”
เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง นั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
เจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้บ่นอยู่ในใจตัวเอง นางจำได้ว่าตอนนั้นที่อยู่ในร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่ง พี่หญิงเป่าผิงกินไปตั้งสองชามใหญ่
เพียงแต่ว่านางหรือจะกล้าพูดต่อหน้าพี่หญิงเป่าผิง หากในอนาคตพี่หญิงเป่าผิงรังเกียจที่นางพูดมาก ไม่พานางไปเที่ยวเล่นด้วยกันแล้ว จะทำอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันเอ่ยกำชับ “ตอนที่เดินทางผ่านเมืองหลวง จะต้องไปหาสือชุนเจียด้วย”
หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งที “เขียนจดหมายส่งไปให้นางแล้ว เจ้าเด็กผมแกละกำลังรอข้าอยู่เลยนะ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามามองเผยเฉียน “คิดได้แล้วหรือยัง จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือไม่?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “คิดได้แล้ว พี่หญิงเป่าผิงต้องการให้ข้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ยังลากข้าไปที่โรงเรียนนั่นมารอบหนึ่งด้วย ไปมาตั้งหลายวัน บอกว่าจะไปตรวจสอบสถานการณ์ดูก่อน ต้องรู้เขารู้เรา ต้องรู้นิสัยของอาจารย์แต่ละท่านอย่างชัดเจน วันหน้าถึงจะได้โดนตีและโดนทำโทษให้คัดตัวอักษรน้อยลง พี่หญิงเป่าผิงยังไม่อนุญาตให้ข้าเอาหีบหนังสือใบนั้นไปโอ้อวดกับคนอื่นด้วย แล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าแปะแผ่นยันต์ไปเรียน แล้วก็ยังมีกฎเกณฑ์อีกมากมาย พี่หญิงเป่าผิงเขียนใส่กระดาษไว้ให้แล้ว ต้องให้ข้าคัดตามทุกวัน วันละรอบ”
หลี่เป่าผิงตบศีรษะเผยเฉียน “นี่เรียกว่ายากมาก่อนง่าย พอไปถึงโรงเรียนแล้วก็ไม่ต้องกลัวพวกอาจารย์ที่สอนหนังสือ มีคำถามก็ถาม เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน หากถูกรังแกก็ไม่ต้องดีแต่ร้องไห้กลับมาฟ้องพี่หญิงสือโหรว จะต้องอาศัยความสามารถของตัวเองแก้ไขปัญหาตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน พอไปถึงโรงเรียนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่สุดเลยคืออะไร คืออะไร?”
เผยเฉียนตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “คือต้องเรียนรู้หลักการเหตุผลในการวางตัวจากเหล่าอาจารย์ เนื้อหาที่เป็นรายละเอียดในตำราเป็นเพียงแค่วิชา ไม่ใช่วิถีทาง หากมีทั้งสองอย่างได้พร้อมกันย่อมดีที่สุด หากทำไม่ได้ ก็ต้องเลือกวิถีทางสละวิชา ห้ามเลือกเมล็ดงาแต่ทิ้งแตงโมเด็ดขาด”
หลี่เป่าผิงถึงได้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยู่หน้ามองเฉินผิงอันอย่างน่าสงสาร เรียกด้วยน้ำเสียงเหมือนคนได้รับความอยุติธรรม “อาจารย์”
หลี่เป่าผิงยื่นมือไปกดศีรษะของเผยเฉียน เผยเฉียนรีบเค้นรอยยิ้มส่งมาให้ทันที “พี่หญิงเป่าผิง ข้ารู้แล้ว ข้าความจำดีนักล่ะ!”
เฉินผิงอันหยิบแท่นฝนหมึกและตราประทับคู่ออกมามอบให้เผยเฉียน จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นของขวัญที่ซื้อไว้ให้เจ้าระหว่างเดินทาง ส่วนของเป่าผิง ไม่เจออะไรที่เหมาะกับเจ้า อาจารย์อาน้อยก็ขอติดเจ้าไว้ก่อน”
เผยเฉียนชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย นางที่ในมือหนึ่งถือแท่นฝนหมึก อีกมือหนึ่งกำตราประทับคู่ก็หันหน้าไปถามหลี่เป่าผิง “พี่หญิงเป่าผิง ท่านเลือกชิ้นหนึ่งสิ? ข้ายกให้ท่าน!”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าชอบอ่านบันทึกการท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำมากกว่า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย
เฉินผิงอันพลันหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งออกมายื่นส่งให้หลี่เป่าผิง “เลือกมาจากร้านที่ถนนชมน้ำของเมืองหงจู๋ ไม่แพง อย่าได้รังเกียจ”
หลี่เป่าผิงสีหน้าสดใส เอามากอดไว้ในอ้อมอก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์อาน้อยท่านโกหกคนอื่น”
ยิ้มกว้างโดยไม่รักษาภาพลักษณ์ของสตรีผู้เรียบร้อยเอาเสียเลย
ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันเริ่มวางมาดของอาจารย์และอาจารย์อาน้อย “วันหน้าไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าไปแหย่รังผึ้งอีก แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดีเสียก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ควรพกยาสมุนไพรติดตัวไปด้วย”
หลี่เป่าผิงยกสองมือกอดอก พยักหน้ารับอย่างแรง
เผยเฉียนทอดถอนใจ ทิ่มไม้เท้าลงกับพื้น “ต้องโทษข้า อานุภาพของวิชากระบี่มารคลั่งนี้ยังน้อยเกินไป”
สือโหรวไปเปิดประตูร้านต้อนรับลูกค้าแล้ว ตอนที่เดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังพยักหน้าบอกให้รู้ว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
สือโหรวไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
นายน้อยของนางเชี่ยวชาญการใช้เวลามองดูส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของสภาพจิตใจคน จิตใจของเขากว้างใหญ่ดุจภูเขาแม่น้ำ ทว่าจุดที่สายตามองไปล้วนเห็นส่วนที่เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา
นี่คือคำประจบของจูเหลี่ยน
สือโหรวรู้สึกว่าไม่ถือเป็นคำยกยอปอปั้นทั้งหมด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “เป่าผิง ท่านปู่ของเจ้ามาแล้ว”
หลี่เป่าผิงลุกขึ้นตาม นางกระโดดผลุงขึ้นมา “อาจารย์อาน้อย เจอกันคราวหน้า ข้าน่าจะสูงเท่านี้แล้ว”
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง คำพูดประเภทนี้นางสอดปากไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาเรื่องอับอายให้ตัวเองเลย
เฉินผิงอันหยิบเจว็ดรูปสตรีสวมผ้าคลุมหน้าชิ้นนั้นออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เอานี่มอบให้หลี่ไหว”
หลี่เป่าผิงรับมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันพาพวกนางเดินไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่มีขอบเขตเซียนดินก่อกำเนิดแล้วก็กุมหมัดกล่าวว่า “คารวะท่านปู่หลี่”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ดีมากๆ ได้ดิบได้ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคนข้างนอกอาจจะนึกว่าถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรามีเพียงเจ้าลูกหมาป่าอย่างหม่าขู่เสวียนคนเดียวเท่านั้น นี่จะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะหรอกหรือ!”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป บ้านเรือนแต่ละหลังล้วนมีแบ่งแยกเล็กใหญ่ แต่เรื่องขนบธรรมเนียมประจำตระกูลนั้น มีเพียงเที่ยงตรงกับไม่เที่ยงตรงเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับว่าประตูเรือนกว้างแคบหรือสูงต่ำ ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของพวกเราสองครอบครัวล้วนไม่เลว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราสองฝ่ายทำอย่างไรแล้วสบายใจก็ทำไปอย่างนั้น วันหน้าหากมีเรื่องต้องขอร้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า ถึงเวลานั้นก็แค่เปิดปากได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบรับ หากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าดีที่สุดสำหรับสองฝ่าย
หลี่เป่าผิงจากไปพร้อมกับท่านปู่ แต่นางเดินถอยหลังพร้อมโบกมืออำลา
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือตอบกลับเบาๆ
อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาคล้ายปลงอนิจจังอย่างยิ่ง “พระจันทร์มีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว คนเรามีพบมีจากลา ช่างน่ากลัดกลุ้มจนคนต้องขยุ้มผมจริงๆ”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง
คราวนี้ไม่มัวมาสนแล้วว่ากลุ้มหรือไม่กลุ้ม เผยเฉียนแยกเขี้ยวร้องว่าเจ็บ
……
ตอนที่เฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
เผยเฉียนห้อยเตาเจี้ยนฉว่อ ถือไม้เท้าเดินป่า วิ่งวนไปวนมาอยู่รอบกายอาจารย์พลางเล่าถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของตนในช่วงที่ผ่านมาด้วย แน่นอนว่าเรื่องแหย่รังผึ้งนั้นไม่นับ นั่นเป็นเพราะนางประมาทเอง
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนกำลังวาดภาพสาวงามภาพหนึ่ง สตรีที่อยู่ในภาพวาดคือเทพน้อยองค์หนึ่งที่เขาเหลือบไปเห็นโดยบังเอิญตอนอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรี
เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ด้านข้างคลี่ยิ้มเหยเก
เด็กสาวที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขามาด้วยกลับรู้สึกเพียงว่าไม่ว่าเรื่องอะไรเทพเซียนผู้เฒ่าจูก็ชำนิชำนาญ นี่ทำให้นางยิ่งเลื่อมใสเขามากกว่าเดิม
ชายแดนทิศใต้ของแคว้นหวงถิง บุรุษเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์สง่างาม ตรงเอวห้อยดาบแคบไว้เล่มหนึ่ง ข้างกายมีพี่สาวน้องชายที่เป็นฝาแฝดคู่หนึ่งติดตามมาด้วย อายุประมาณสิบสองสิบสามปี หน้าตาคิ้วคางล้วนงามพิสุทธิ์ เพียงแต่ว่าคนสองคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวน้องชายคู่นี้ คนเป็นพี่สาวมีสายตาคมกริบ ตลอดทั้งร่างของเด็กสาวฉายประกายเฉียบคม ด้านหลังสะพายทวนไม้ที่ทำขึ้นเองไว้เฉียงๆ ส่วนเด็กหนุ่มข้างกายนางนั้นกลับเหมือนบัณฑิตที่สุภาพนุ่มนวลมากกว่า เขาสะพายหีบหนังสือ ห้อยกาน้ำไว้บนไหล่
พี่สาวน้องชายคู่นี้คือลูกศิษย์ที่บุรุษรับมาระหว่างเดินทาง ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ดีในการฝึกวรยุทธ
ใบถงทวีป
สำนักกุยหยก
บนภูเขาห่างไกลที่ยังไม่ ‘เปิดยอดเขา’ แห่งหนึ่ง ตัวภูเขาสูงเสียดชั้นเมฆ สตรีหน้าตางามพิลาสคนหนึ่งสะพายกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง กำลังทอดสายตามองทะเลเมฆ
ในจวนตระกูลเซียนที่มีไอหมอกเซียนล้อมวนบนภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขาแห่งนี้ มีบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปานหยกสวมกวานสูง สถานะของเขาในสำนักกุยหยกสูงส่ง เวลานี้กำลังยืนจับราวรั้ว ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังสตรีผู้นั้น เขารู้สึกว่าคู่บำเพ็ญเพียรของตนในชีวิตนี้ต้องเป็นนางแล้ว แค่นางคนเดียวเท่านั้น
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป บนทางสายเล็กกลางป่าที่มุ่งหน้าสู่สำนักศึกษากวานหู
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งเดินอยู่ด้านหลังวัวดินสีเหลือง บุรุษเริ่มจะคิดถึงเจ้าเด็กตัวดำเป็นถ่านที่เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูผู้นั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนวัวเหลืองที่มีเขายาวเหมือนเขาควายตัวนั้น บนเขาข้างหนึ่งห้อยตำราม้วนภาพอักษรภาพเอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่งอขา ฟุบร่างครึ่งตัว ใช้สองมือพาดจับเขาวัว กลางหว่างคิ้วของเขามีไฝแดง หน้าตาหล่อเหลาบุคลิกดีเยี่ยม เนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้มร่างเขาไว้นี้ก็ยิ่งเหมือนเซียนบนสรวงสวรรค์ ทว่าเวลานี้เด็กหนุ่มชุดขาวกลับมีสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนอยากจะตาย เขาร้องโอดครวญเสียงดังว่า “เว่ยเซี่ยน ข้าคิดถึงอาจารย์ยิ่งนัก จะทำอย่างไรดี พอคิดว่าข้างกายอาจารย์ไม่มีข้าคอยปรนนิบัติพัดวี ลูกศิษย์อย่างข้าก็ร้อนใจราวกับมีไฟลน…”
เว่ยเซี่ยนไม่เอ่ยอะไร
แค่ชินแล้วก็ดีไปเอง เพราะทุกๆ สามวันห้าวันก็จะต้องมีฉากนี้เกิดขึ้น ต่อให้เขาเว่ยเซี่ยนจะเลื่อมใสนับถือคนผู้นี้แค่ไหนก็ยังอดรู้สึกรำคาญไม่ได้
ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมานี้ นอกจากธุระสำคัญที่เป็นการเป็นงานแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เจ้าหมอนี่ก็มักจะหาเรื่องให้ตัวเองทำอยู่เสมอ แน่นอนว่ามือย่อมเปื้อนเลือดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และการที่เขาเล่นกับจิตใจคนก็ยิ่งทำให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพียงแต่ว่าคำพูดบางอย่างที่ซ่อนแฝงอยู่ในการกระทำเหล่านั้นกลับทำให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกหัวโต ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านสำนักผู้ฝึกตนผีที่อำพรางตัวอย่างดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง เจ้าหมอนี่กลับเล่นงานผู้ฝึกตนนอกรีตกลุ่มนั้นเสียจนหัวหมุน นับตั้งแต่ห้าขอบเขตล่างถึงขอบเขตถ้ำสถิต แล้วก็ค่อยๆ ไต่ระดับไปถึงขอบเขตก่อกำเนิด ทุกครั้งที่เกิดการเข่นฆ่าล้วนแสร้งทำเป็นว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย จากนั้นก็ปั่นหัวคนทั้งสำนักจนมีสภาพอเนจอนาถ
หลังจากที่ทำตัวเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน ตั้งตัวเป็นราชาแห่งขุนเขาชั่วคราวแล้ว ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่โตเชื้อเชิญกลุ่มผู้กล้าเป็นวงกว้าง อีกทั้งตอนอยู่ในงานเลี้ยงยังพูดจาเหลวไหล ผลกลับกลายเป็นว่าพอมีคนพูดถึงอาจารย์ของเขา เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนเต็มห้องโถงซึ่งโชคดีรอดพ้นจากหายนะมาได้ไม่รู้ว่าควรจะพูดประจบเอาใจอย่างไร และหลังจากบรรยากาศชวนอึดอัดผ่านพ้นไป เขาก็ตบคนอีกสองคนตายไปอย่างไม่ใส่ใจ อะไรที่เรียกว่า ‘บอกตามตรง หากข้าไม่ทันระวังทำให้อาจารย์ของข้าเดือดดาล หากประมือกันขึ้นมา ไม่ใช่ว่าข้าคุยโว ไม่จำเป็นต้องถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ข้าก็สามารถทำให้อาจารย์ขอร้องข้าว่าอย่าฆ่าเขาให้ตายได้แล้ว’?
“ใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านไป ฤดูหนาวใกล้มาเยือน แมลงมากขาอิจฉางูที่ไร้ขา งูที่ไร้ขาอิจฉาสายลมที่มองไม่เห็น ลมที่มองไม่เห็นอิจฉาดวงตาที่มองเห็นสิ่งนอกกาย อาจารย์สงสารลูกศิษย์ที่น่าสงสาร…”
เด็กหนุ่มยังห้อยตัวอยู่บนเขาวัว ขาสองข้างปัดป่ายไปเรื่อย แล้วก็ยังคงร้องโอดครวญเสียงดังไม่หยุด ทำเอาเหล่านกกาจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจบินแตกฮือหนีไป