บทที่ 482 แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด
คนทั้งสามมาถึงหน้าผาหินแล้วต่างคนก็ต่างนั่งลง ตำแหน่งที่อยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ทั้งชุยตงซานและเผยเฉียนต่างก็ไม่เต็มใจจะไปนั่ง เพราะห่างจากอาจารย์ของพวกเขาไกลไปหน่อย
ประตูเรือนหลังใหญ่แสงจันทร์น้อยกว่าแสงไฟ ป่าเขาลำเนาไพรสว่างไสวน่าชื่นชม
คนทั้งสามทอดสายตามองไปไกลด้วยกัน คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงที่สุด กลับกลายเป็นคนที่ทอดสายตามองไปในระยะใกล้มากที่สุด ต่อให้อาศัยแสงจันทร์ เฉินผิงอันก็ยังไม่มองไปไกลนัก เผยเฉียนกลับมองไปเห็นว่าทางฝั่งของเมืองหงจู๋ยังคงมีแสงสว่างเรืองรอง ตรงภูเขาฉีตุนก็เป็นสีเขียวอ่อนจางๆ นั่นคือแสงไอน้ำที่ผืนป่าไผ่เฟิ่นหย่งจากภูเขาชิงเสินซึ่งเว่ยป้อเป็นผู้ปลูกเหลือไว้หล่อเลี้ยงบำรุงผืนป่า ในฐานะเซียนดินก่อกำเนิด ชุยตงซานย่อมมองเห็นไปไกลยิ่งกว่านั้น เค้าโครงคร่าวๆ ของแม่น้ำใหญ่สามสายอย่างซิ่วฮวา ชงตั้นและอวี้เย่ ความลดเลี้ยวเคี้ยวคดของพวกมันล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
เผยเฉียนหยิบเมล็ดแตงกำหนึ่งออกจากในกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะหิน มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขร่วมกัน เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่นางวางกลับค่อนข้างจะพิถีพิถัน เพราะค่อนข้างอยู่ใกล้กับอาจารย์และตนเอง
ชุยตงซานฟังเสียงแผ่วเบาที่เปลือกเมล็ดแตงร่วงลงสู่พื้น พอคืนสติก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงบิดหมุนข้อมือ หยิบเอาถุงไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาสี่ใบแล้ววางลงบนโต๊ะเบาๆ ประกายแสงเรืองรองไหลเวียนวน แต่ละถุงสีสันต่างกันออกไป ถูกทัศนียภาพหลากสีบนพื้นผิวของถุงกลบทับแสงจันทร์ไว้เบาๆ ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ นี่ก็คือดินห้าสีที่เอามาจากสี่ขุนเขาในอนาคตของแจกันสมบัติทวีป อย่าเห็นว่าถุงไม่ใหญ่ เพราะน้ำหนักของพวกมันหนักมาก ถุงที่เล็กที่สุดก็ยังหนักถึงสี่สิบกว่าจิน ขุดมาจากรากภูเขาสายบรรพบุรุษของแต่ละขุนเขาใหญ่ นอกจากภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาเหนือแล้ว ที่เหลือก็ล้วนครบถ้วนหมดแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “ลำบากอะไรกัน หากไม่เป็นเพราะมีความหวังเล็กๆ นี่อยู่ การออกจากภูเขาไปครั้งนี้ก็คงทำให้ศิษย์อัดอั้นใจตายไปแล้ว”
เผยเฉียนกระดกก้นขึ้น ยืดลำคอออกไปมอง “ขอข้าเปิดออกดูได้ไหม?”
ชุยตงซานโบกมือหนึ่งครั้ง “ดูเถอะๆ ตัวขาดทุนที่ต้องละอายใจจนตายอย่างเจ้ามาลองดูสิว่าลูกศิษย์อย่างข้าแบ่งเบาภาระของอาจารย์อย่างไร แล้วค่อยหันไปมองตัวเจ้าเอง ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ วันๆ ทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย หาเงินให้ร้านในตรอกฉีหลงได้แค่เดือนละสิบกว่าตำลึงก็พอใจแล้ว? แต่ละเดือนไม่ได้กำไรสุทธิยี่สิบสามสิบตำลึงเงิน เจ้าก็ยังกล้าเอามาโอ้อวดขอความดีความชอบอีกหรือ? หากปีหนึ่งหาเงินได้สามร้อยตำลึงเงิน ซื้อเรือนหลังเล็กๆ ที่เข้าท่าเข้าทีในเขตการปกครองหลงเฉวียนสักหลัง นั่นถึงจะถือว่าพอใช้ได้”
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก “ดูกับผายลมอะไร ไม่ดูแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอร้องให้เจ้าดู จะดูหรือไม่?”
เผยเฉียนยกนิ้วโป้งให้ “ใจกว้าง!”
เผยเฉียนไม่ให้โอกาสชุยตงซานได้เปลี่ยนใจ หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งปรู๊ดอ้อมเฉินผิงอันไปเปิดดินห้าสีในตำนานแต่ละถุง นางนั่งยองเบิกตากว้าง ประกายแสงระยิบระยับสาดสะท้อนอยู่บนใบหน้า จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด อาจารย์เคยบอกว่าในตำราเทพเซียนบางเล่มได้บันทึกดินชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าดินกวนอิน (หรือกวนอิม) เอาไว้ เวลาหิวขึ้นมาก็เอามากินแทนข้าวได้ ไม่รู้ว่าดินห้าแสงหกสีพวกนี้จะกินได้หรือไม่?
ชุยตงซานถีบก้นเผยเฉียนหนึ่งที “แม่นางน้อยสายตาตื้นเขินขนาดนี้ ระวังวันหน้าเมื่อไปท่องในยุทธภพจะเจอเข้ากับพวกบัณฑิตปากหวานแล้วถูกหลอกเข้าล่ะ”
เผยเฉียนยื่นมือมาปัดก้น พูดโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “หากไม่เล่นงานจนพวกเขาเลือดอาบหน้า ก็ถือว่าข้ามีจิตใจของจอมยุทธมากแล้ว”
ชุยตงซานเริ่มพูดคุยธุระจริงจัง เขาหันหน้ามามองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์เดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ แม้แต่ส่วนของเว่ยป้อก็ต้องพกไปด้วย สามารถรอให้ข่าวแพร่ไปถึงที่อุตรกุรุทวีป เวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งถึงสองปี รอให้สกุลซ่งต้าหลีแต่งตั้งอีกสี่ขุนเขาที่เหลืออย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อาจารย์จะหลอมวัตถุชิ้นนี้ การหลอมวัตถุครั้งนี้จะรีบหลอมไม่ได้ แต่สามารถล่าช้าได้ อันที่จริงไม่ใช่ข้อต้องห้ามอะไร ในอนาคตหากหลอมดินห้าสีที่ขุนเขากลางจะได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์มากที่สุด และยิ่งง่ายที่จะชักนำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดและการประทานโชค เพียงแต่ว่าพวกเรายังคงต้องเหลือหน้าตาให้กับสกุลซ่งต้าหลีบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตบหน้ากันเกินไป ขุนนางบุ๋นบู๊ของทั้งราชสำนักต่างก็มองดูอยู่ เจ้าเด็กซ่งเหอผู้นั้นเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ก็กลายเป็นกษัตริย์องค์แรกในรอบพันปีที่บุกเบิกที่ดินมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปแล้ว ง่ายที่จะหัวร้อน พอมีคนที่อยู่เบื้องล่างคอยยุแยง ต่อให้เจ้าตะพาบเฒ่าจะกำราบได้อยู่ แต่สำหรับภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ถือว่าเป็นภัยร้ายในภายหลัง ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าตะพาบเฒ่าจะต้องยุ่งมาก เรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ คนที่ลงมือทำเรื่องอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่มักจะทำเยอะผิดเยอะแล้วก็ไม่ได้รับผลดีกลับคืนมา เมื่อถึงช่วงเวลาที่แจกันสมบัติทวีปถูกรวบรวมให้เป็นปึกแผ่น เจ้าตะพาบเฒ่าก็จะต้องเผชิญหน้ากับการงัดข้ออีกมากมายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่มีทางเป็นปัญหาเล็กๆ เลย หันกลับมามองซ่งเหอที่ไม่เคยทำอะไร กลับกลายเป็นว่าได้ใช้ชีวิตเสพสุขอย่างผ่อนคลาย คนเราขอแค่มีเวลาว่างก็ง่ายที่จะเกิดความไม่พอใจ”
“เรื่องของการหลอมดินห้าสี ในใจข้ารู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “รอจนกองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้ครอบครองแจกันสมบัติทวีปในรวดเดียว พวกขุนนางที่มีคุณูปการได้รับการตบรางวัลไปแล้ว จิตใจคนก็ย่อมเกิดการเพิกเฉยอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นยังไม่อาจเปิดเผยความลับสวรรค์กับพวกเขาได้อีก เวลานั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาของการทดสอบความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและวิชาบังคับใจคนของเจ้ากับชุยฉานได้ดีที่สุด”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าเรื่องที่น่ารำคาญใจจะต้องมีเยอะมาก แต่ไม่มีทางเกิดปัญหาวุ่นวายครั้งใหญ่ บ้านหลังใหม่ เมื่อรากฐานแข็งแรงมั่นคง วางโครงไว้ได้ดีแล้ว เสาคานไม่เกิดรอยแยก ก็ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อถูกลมพัดหรือฝนตกใส่ กระดาษหน้าต่างจะขาด กระเบื้องหลังคาจะร่วงลงมา ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยของการซ่อมแซมเท่านั้น รอจนบ้านหลังใหม่เปลี่ยนเป็นบ้านหลังเก่าแล้ว หน้าต่างบานประตูผุพัง เสาคานแห้งแตก ในบ้านมีมดมีหนูมีงู ถึงเวลานั้นก็จะไม่ใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าต้องเหนื่อยใจอีกแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เรื่องของการสร้างความดีความชอบนั้น เดิมทีก็เป็นงานเล็กละเอียดที่ต้องพิถีพิถัน อย่าลืมล่ะว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษของวิชาความรู้นี้
ชุยตงซานหันหน้าไปมองเรือนไม้ไผ่แวบหนึ่ง หลังดึงสายตากลับมาแล้วก็ถามว่า “ตอนนี้ภูเขามีเยอะแล้ว ภูเขาลั่วพั่วไม่ต้องพูดให้มากความ เพราะดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ภูเขาลูกอื่นอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าว แท่นบูชากระบี่ ฯลฯ วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่ต้องฝังไว้ใต้ดินของแต่ละสถานที่ อาจารย์เลือกไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มจืดชืด “ต่อให้เป็นสตรีที่มีฝีมือ แต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ มีความคิดบ้างแล้ว แต่ไม่มีวัตถุที่เหมาะสมเลย”
ที่แท้เงินฝนธัญพืชที่เดิมทีจะนำมาใช้สร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาลั่วพั่ว ตอนนี้กลายเป็นการเบิกใช้รายรับล่วงหน้าแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนในระยะยาว ดังนั้นการเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ นอกจากฝึกกระบี่แล้ว จะต้องทดลองไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่สมชื่ออย่างจริงจังดูสักครั้ง ขึ้นภูเขาไปเยือนซากปรักหักพังของจวนตระกูลเซียน ลงน้ำไปค้นหาสถานที่ลับอย่างวังมังกร ดูว่าจะหาทรัพย์สินที่ไม่คาดฝันบางส่วนมาเติมเต็มค่าใช้จ่ายในบ้านได้หรือไม่
ชุยตงซานกำลังจะเปิดปากพูด
เฉินผิงอันกลับโบกมือเสียก่อน “คนละเรื่องกัน พี่น้องแท้ๆ ในครอบครัวเดียวกันก็ยังจำเป็นต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
ชุยตงซานรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ขอแค่เขายินดีเรียนรู้ความสามารถในการเป็นกุมารแจกทรัพย์ของอาจารย์ คาดว่าใต้หล้าไพศาลนี้ก็คงมีแต่คนแซ่หลิวของธวัลทวีปเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมกับเขาได้
เฉินผิงอันถามชวนคุย “เว่ยเซี่ยนติดตามเจ้าไปตลอดทาง ตอนนี้ขอบเขตของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชุยตงซานส่ายหน้า “หลังจากที่เว่ยเซี่ยนออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ปณิธานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของการเรียนวรยุทธ คนมีความสามารถที่เอามาใช้งานได้ข้างกายของข้าในตอนนี้ มีน้อยจนน่าสงสาร ในเมื่อเว่ยเซี่ยนมีความทะเยอทะยานนั้น ข้าก็จะช่วยผลักดันเขาสักหน่อย รอให้ครั้งนี้กลับไปถึงสำนักศึกษากวานหูแล้ว ข้าก็จะจับเว่ยเซี่ยนโยนเข้าไปในกองทัพต้าหลี ส่วนจะเลือกพึ่งพาซูเกาซานหรือเฉาผิงก็ค่อยว่ากันอีกที ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น การกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี คงไม่มีศึกที่ต่อสู้กันเอาเป็นตายอย่างกับราชวงศ์จูอิ๋งมากนัก ทว่าสงครามที่ยากลำบากกลับมีไม่น้อย เว่ยเซี่ยนไปทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอกับพวกตระกูลเซียนบนภูเขาของทางใต้ที่วางอำนาจบารมีกันมาจนเคยชินแล้ว พวกตระกูลพันปีเหล่านั้นก็ยิ่งเป็นกระดูกแข็ง โอกาสที่เว่ยเซี่ยนจะโดดเด่นก็มาแล้ว อาจารย์ ในอนาคตต่อให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นถ้ำสถิตบนภูเขา กลิ่นอายแห่งเซียนจะเปี่ยมล้นแค่ไหน แต่ความสัมพันธ์กับราชวงศ์ในโลกมนุษย์ บนภูเขาล่างภูเขา ถึงอย่างไรก็ยังต้องการสะพานเชื่อมสักแห่งสองแห่ง เว่ยเซี่ยนอยู่ในราชสำนัก หลูป๋ายเซี่ยงอยู่ในยุทธภพ จูเหลี่ยนอยู่ข้างกายอาจารย์ ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ดูจากตอนนี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งคำ
เผยเฉียนถาม “แล้วพี่หญิงสุยล่ะ?”
ชุยตงซานไม่ได้ตอบคำถามของเผยเฉียน เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ อย่าได้รีบร้อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ประโยคที่เจ้าเขียนไว้ในจดหมายก่อนหน้านี้ว่า ‘คิดจะทำการใหญ่ ต้องอย่ารีบร้อน’ อันที่จริงเหมาะกับการนำมาใช้กับหลายๆ เรื่อง”
ใบถงทวีป ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่
เดิมทีวางแผนไว้ว่าเมื่อท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปเสร็จสิ้นก็จะตรงไปที่ภูเขาห้อยหัวทันที ตอนนี้ลองมามองดูแล้ว หลังกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อย่าเพิ่งกลับไปนครมังกรเฒ่าก่อน ยังต้องไปที่ใบถงทวีปอีกรอบจึงจะได้
ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “ข้ากับเจ้าตะพาบเฒ่าต่างก็คิดว่า อย่างน้อยที่สุดยังมีช่วงเวลาอีกยาวนานมากที่พวกเรายังสามารถตั้งใจวางแผนกันได้”
ห้าสิบปี
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตกแวบหนึ่ง ตอนนี้การมองเห็นล้วนถูกเรือนไม้ไผ่และภูเขาลั่วพั่วบดบัง เป็นเหตุให้มองไม่เห็นภูเขาหลงจี๋ (สันหลังมังกร) ที่มีหน้าผาซึ่งเป็นแท่นสังหารมังกร
เรื่องที่อริยะหร่วนฉง ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะ บวกกับสี่ฝ่ายของต้าหลีจะมา ‘เปิดขุนเขา’ ที่นี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ลงมือกันอย่างลึกลับซ่อนเร้นยิ่ง และภูเขาหลงจี๋ก็เป็นหนึ่งในภูเขาต้องห้ามที่สุดในบรรดากลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตก ต่อให้เว่ยป้อกับเฉินผิงอันจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของภูเขาหลงจี๋แม้แต่ครึ่งคำ
ชุยตงซานเงยหน้ามองสีท้องฟ้า จากนั้นก็เอาสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทิ้งตัวนอนหงาย ทอดสายตามองอย่างเหม่อลอย
เฉินผิงอันกับเผยเฉียนแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนถามว่า “อาจารย์ จะให้ข้าช่วยท่านแกะเปลือกไหม? เสร็จแล้วข้าจะส่งเมล็ดแตงกำใหญ่ให้ท่าน แล้วท่านก็กรอกใส่ปาก กินให้หมดรวดเดียว”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่ต้องหรอก”
ชุยตงซานพูดทำลายบรรยากาศว่า “อาจารย์ไม่อยากกินน้ำลายของเจ้า”
เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงเบาๆ เหมือนหนูตัวน้อย แม้ว่าจะเคลื่อนไหวไม่รวดเร็ว แต่บนโต๊ะข้างกายกลับมีเปลือกเมล็ดแตงกองไว้ราวกับภูเขาลูกย่อม นางเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคำกล่าวหนึ่งที่บอกว่า ‘กำลังมังกรกำลังช้างสาร’? หากรู้ แล้วเจ้าเคยเห็นเจียวหลงกับช้างกับตาตัวเองมาก่อนไหม? ช้างที่มีงาโค้งงอยาวๆ สองอันน่ะ ในตำราบอกไว้ว่า ผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในน้ำคือมังกร ผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดบนผืนดินคือช้าง ในชื่อของเสี่ยวป๋ายก็มีตัวอักษรนี้อยู่”
อ้อมไปอ้อมมา ขนาดเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดจะพูดอะไรกันแน่
แต่ชุยตงซานกลับหลุดหัวเราะพรืด “จะบอกว่าข้าปากสุนัขไม่งอกงาช้างก็พูดมาตรงๆ เถอะ จะอ้อมไปอ้อมมาทำไม”
เผยเฉียนโคลงศีรษะยักไหล่ กล่าวอย่างลำพองใจว่า “ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย แต่เจ้ารู้ตัวเองก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะ
ชุยตงซานทำท่าขว้างเมล็ดแตง เผยเฉียนนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก มุมปากของนางกระตุกขึ้น “ปัญญาอ่อนไหมนั่น”
เฉินผิงอันดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งที เมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งก็ดีดเข้าที่หน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ เผยเฉียนยิ้มกว้าง “อาจารย์ แม่นจริงๆ ข้าอยากหลบยังหลบไม่พ้นเลยนะ”
ชุยตงซานเหมือนได้เปิดโลกกว้าง “วันหน้าเปลี่ยนชื่อภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาหม่าพี่ (ประจบสอพลอ) ดีกว่า แล้วก็ให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อย่างเจ้าเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ ภูเขาฮุยเหมิงมีกลิ่นอายบุ๋นเข้มข้น สามารถให้พวกเป่าผิงน้อยกับเฉินหรูชูไปอยู่ได้ ให้ชื่อว่าภูเขาเต้าหลี่ (หลักการเหตุผล) ส่วนภูเขาหลังอ๋าวมีโชคชะตาบู๊เยอะหน่อย วันหน้าให้จูเหลี่ยนเป็นคนเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น ให้เรียกว่า ‘ภูเขาตบหน้า’ ลูกศิษย์บนภูเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เวลาท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ละคนกำเริบเสิบสานไม่เกรงใคร เมื่ออยู่บนภูเขาลูกนั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธร่างทองก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปทักทายใคร ทางฝั่งแท่นบูชากระบี่เหมาะให้ฝึกกระบี่ ถึงเวลานั้นก็แข่งกันช่วงชิงชื่อ ‘ภูเขาตบหน้า’ กับภูเขาหลังอ๋าวก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็คงได้แต่ต้องชื่อ ‘ภูเขาคนใบ้’ เพราะการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ของผู้ฝึกกระบี่บนแท่นบูชากระบี่ หลักการเหตุผลก็น่าจะอยู่แค่ในฝักกระบี่เท่านั้น”
“ข้าไม่ใช่พวกขี้ประจบที่ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ เสียหน่อย!”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าจะไปอยู่แท่นบูชากระบี่! พรุ่งนี้ข้าจะไปยึดที่นั่นเป็นถิ่นฐาน นอกจากอาจารย์แล้วก็ห้ามใครมาแย่งกับข้า! ข้าจะต้องฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกให้สำเร็จที่นั่นให้จงได้! ใครก็ห้ามแย่งไปที่แท่นบูชากระบี่กับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะ…”
เฉินผิงอันมองดวงตาที่ฉายประกายแสงเจิดจ้าคู่นั้นของเผยเฉียน เขายังคงแทะเมล็ดแตงอย่างสบายอุรา แล้วก็พูดตัดบทคำพูดห้าวเหิมของเผยเฉียนอย่างง่ายๆ ว่า “จำไว้ว่าต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก่อน คราวหน้าหากข้ากลับมาภูเขาลั่วพั่วแล้วได้ยินว่าเจ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
พลังอำนาจของเผยเฉียนลดฮวบลงทันที ร้องอ้อรับหนึ่งที แต่ในใจกลับหงุดหงิดนัก ก็ได้ ดูท่าวันหน้าตนคงต้องสานสัมพันธ์กับเหล่าอาจารย์ทั้งหลายให้ดีๆ แล้ว อย่าให้ในอนาคตพวกเขาพูดจาถึงตนไม่ดีต่อหน้าอาจารย์เป็นอันขาด อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะทำให้พวกเขาเอ่ยคำวิจารณ์ด้วยประโยคว่า ‘นับว่ายังตั้งใจเรียนหนังสือ’ แต่หากทั้งๆ ที่ตนตั้งใจเรียนหนังสือ พวกอาจารย์ยังปากมาก ชอบใส่ร้ายคนอื่น ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษว่านางเผยเฉียนไม่มีคุณธรรมในยุทธภพไม่ได้ อาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่าท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง! ดูสิว่านางจะซ้อมพวกเขาให้กลายเป็นจูเหลี่ยนอย่างไร!
—
แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด
เฉินผิงอันหันไปมองชุยตงซาน เอ่ยถาม “จะต้องไปแล้วใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดหน้าม่อย “คลุมดาวห่มจันทร์ เดินทางทั้งกลางวันกลางคืน พอคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวอาจารย์ก็ต้องเดินทางขึ้นเหนือ ลูกศิษย์ต้องไปทางใต้ หัวใจก็ขมวดรวมกันเป็นก้อนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนรอข้าสักเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบของสองอย่าง เสร็จธุระแล้ว เจ้าค่อยออกเดินทางไกลอีกครั้ง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
ชุยตงซานมองเผยเฉียน เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันหยิบถุงผ้าแพรใบเล็กใบหนึ่งกับแกนเหมยชิ้นหนึ่งกลับมา หลังนั่งลงแล้วก็วางทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ เขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดพันธ์สีเขียวมรกตที่ลักษณะภายนอกเป็นทรงกลมบางๆ เหมือนเหรียญเงิน แล้วจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่คือเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนที่เพื่อนรักคนหนึ่งของข้าซื้อมาจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป ไม่เคยมีโอกาสได้เอามาปลูกไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วเสียที ว่ากันว่าขอแค่เป็นสถานที่ที่ดินน้ำดีและหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ภายในสามปีห้าปีก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้”
ชุยตงซานคีบเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนหนึ่งในนั้นขึ้นมา พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “เป็นของดี ไม่ใช่เมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนของตระกูลเซียนทั่วไป แต่มาจากบรรพบุรุษต้นอวี๋ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของโลกต้นนั้น อาจารย์ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นี่ไม่ใช่ของหายากที่สามารถหาซื้อได้ในสำนักใบถง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าสหายคนนั้นกลัวว่าอาจารย์จะไม่ยอมรับไว้ก็เลยหาข้ออ้างส่งเดช เมื่อเทียบกับเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนทั่วไปแล้ว ความเป็นไปได้ที่เมล็ดพันธ์พวกนี้จะให้กำเนิดภูตเงินอวี๋เฉียนกลับมีเยอะกว่ามาก ทั้งถุงนี้ ต่อให้โชคร้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องมีภูตทองโผล่ออกมาสักสองสามตัว ส่วนต้นอวี๋ต้นอื่นๆ นั้น หากเติบโตมีชีวิตแล้วก็สามารถช่วยรวมรวบและสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาภูเขาแม่น้ำ เหมือนกับปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่อาจารย์จับได้ในปีนั้น ล้วนเป็นหนึ่งในของรักของตระกูลเซียนที่มีอักษรจง (สำนัก) ในชื่อ”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องที่ลู่ไถจะทำจริงๆ
เฉินผิงอันจึงปลอบใจตัวเองว่าในเมื่อรับพวกมันมาแล้วก็ควรหาที่พักพิงที่สบายให้พวกมัน จึงชี้ไปที่แกนเหมยชิ้นนั้น เผยเฉียนแย่งพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ๆ นี่คือของที่ไม้ไผ่ผอมแห้งชื่อว่าอู๋ยวนของจวนจื่อหยางคนนั้นให้หุ่นเชิดเจ้าของจวนนำมามอบให้อาจารย์ ภายหลังข้ากังวลว่าไม้ไผ่แห้งผู้นั้นจะไร้คุณธรรม จงใจเอาของไม่ดีมาหลอกอาจารย์ ข้าก็เลยแอบหยิบมันไปให้เว่ยป้อช่วยตรวจสอบ เขาบอกว่าหนึ่งปีให้หลังมันจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุหนึ่งพันปี อย่างน้อยที่สุดก็สูงได้ครึ่งหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘เหมยฤดูกาล’ ทุกๆ วันที่เป็นวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลจะต้องมีปราณวิญญาณมากมายแผ่ออกมา เหมาะให้ผู้ฝึกตนมานั่งหลอมลมปราณอยู่ใต้ต้นไม้มากที่สุด เว่ยป้อยังบอกอีกว่าแกนเหมยชิ้นนี้ สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีภูเขามั่นคงแล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นของขวัญที่แพงที่สุดในบรรดาของขวัญสี่ชิ้นที่จวนจื่อหยางมอบให้ในคราวนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเรามาปลูกพวกมันด้วยกัน”
ชุยตงซานชำเลืองตามองเผยเฉียน “เจ้าเลือกก่อน”
เผยเฉียนพูดอย่างมีความสุข “ต่อให้แกนเหมยจะดีแค่ไหนก็มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าข้าต้องเลือกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียน ถูก…ไหม?”
พูดมาถึงช่วงสุดท้าย เผยเฉียนแอบมองไปทางอาจารย์ พอเห็นว่าอาจารย์พยักหน้าให้เบาๆ นางถึงได้หันไปพูดกับชุยตงซานอย่างหนักแน่น “แกนเหมยที่ล้ำค่าขนาดนี้ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน! แต่ตกลงกันไว้ก่อนว่า วันหน้าเมื่อมันเติบโตเป็นต้นเหมยใหญ่เมื่อไหร่ ยังคงเป็นของอาจารย์ หากข้าจะพาพี่หญิงเป่าผิงปีนขึ้นไปเล่นด้วยกัน เจ้าห้ามขัดขวางข้าเด็ดขาด”
ชุยตงซานถอนหายใจ
มีแต่ความฉลาดเฉลียวและไหวพริบอยู่ทั่วทั้งตัวจริงๆ พูดจาแต่ละทีแฝงความนัยทั้งในและนอกคำพูดไปหมด
แล้วก็โชคดีที่มาเจอกับอาจารย์ของตน ถึงได้เป็นหนึ่งสิ่งที่กำราบหนึ่งสิ่ง สามารถกำราบเจ้าถ่านดำก้อนนี้ได้พอดี หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น จูเหลี่ยนไม่ได้ แม้แต่ท่านปู่ของเขาก็ยังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยป้อที่เป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่วเลย
อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วนั้นใหญ่มาก
ในฐานะประตูใหญ่ทางทิศใต้ของถ้ำสวรรค์หลีจูจึงโอ่อ่าน่าเกรงขาม สูงตระหง่านเสียดชั้นเมฆ
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวทางทิศเหนือของภูเขาลั่วพั่วสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ทางทิศใต้มากกว่า
ทางฝั่งของทิศใต้ที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ด้านล่างเรือนไม้ไผ่ นับตั้งแต่ประตูภูเขาที่มีเจิ้งต้าเฟิงเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ขึ้นมา ชุยตงซานเลือกสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่อยู่ติดกันสองแห่ง แล้วแยกกันปลูกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนกับแกนเหมย
หลังจากทำงานใหญ่สำเร็จ เผยเฉียนก็ใช้ปลายจอบปักพื้นดิน เจ้าถ่านดำน้อยที่ออกแรงไปไม่น้อยเหงื่อท่วมเต็มศีรษะ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชุดของชุยตงซานยังคงเป็นสีขาวสะอาด ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด หากจะว่ากันถึงความงดงามของเนื้อหนังมังสาบุรุษ เกรงว่าคงมีเพียงเว่ยป้อและลู่ไถเท่านั้น แน่นอนว่ายังมีเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่งที่พอจะทัดเทียมกับชุยตงซานได้
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “ปลูกไม้สิบปี ปลูกคนร้อยปี พวกเรามาช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”
ชุยตงซานปฏิบัติตาม ‘พิธีการยิบย่อย’ อีกครั้งด้วยการประสานมือคำนับพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ศิษย์ขอลา อาจารย์ออกเดินทางไกล ขอให้มีจุดหมายที่จะไป”
หลังจากชุยตงซานยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่เตรียมไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้วออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมอบสิ่งใดให้เจ้า อย่าได้รังเกียจ ไม้ไผ่มาจากต้นไผ่เขียวทั่วไปตามป่าเขา ไม่มีค่าพอแม้แต่เหรียญเดียว แม้ข้าจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า และคำถามคำถามนั้น สามปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คอยคิดหาคำตอบอยู่เสมอ แม้จะยังยากมากอยู่ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเรียกข้าอย่างนี้แล้ว เรียกมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะมีมาดของอาจารย์เสียบ้าง จึงขอมอบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนี้ให้เจ้า ถือเป็นของขวัญจากลาเล็กๆ”
ชุยตงซานรับแผ่นไม้ไผ่ที่ออกเป็นสีเหลืองแผ่นนั้นมา ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักอยู่
ตัวอักษรด้านหน้าถูกสลักมานานหลายปีแล้ว ‘บรรลุหลักการเหตุผลมีก่อนหลัง อริยะไม่มีอาจารย์ที่แน่นอน หลักการเหตุผลที่ได้ยินได้ฟังจึงมีช้ามีเร็ว’
ส่วนตัวอักษรด้านหลัง มีความเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปหยิบของในเรือนไม้ไผ่ได้จุดตะเกียงขึ้นแล้วหยิบมีดแกะสลักออกมาสลักลงไปใหม่ ถึงแม้จะค่อนข้างรีบเร่ง แต่ตัวอักษรกลับยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย ‘สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม’
เผยเฉียนกระแอมสองทีให้ลำคอชุ่มชื้น แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ชุยตงซาน ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักประโยคแล้ว เจ้าห้ามไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาด อันที่จริงอาจารย์รักแผ่นไม้ไผ่พวกนี้มากที่สุดแล้ว!”
ชุยตงซานเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ “ความคาดหวังของอาจารย์ ศิษย์เห็นเป็นสำคัญ จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ ศิษย์เองก็มีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะ หยิบพัดพับไม้ไผ่ลักษณะโบราณเล่มหนึ่งออกมา ตัวพัดเรียบง่ายแต่ลื่นวาวเหมือนเนื้อหยก ชุยตงซานประคองไว้ด้วยสองมือ “วัตถุชิ้นนี้เคยเป็นสมบัติที่รักของคนที่ประลองหมากล้อมแล้วแพ้จนเสียกระบี่บิน ‘ใบไม้ร่วงสีทอง’ ให้กับข้า เมื่อหุบพัดหลายครั้งจะสามารถรวบรวมลมวสันตฤดู บีบหนึ่งครั้งเกิดกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ร่วง หน้าพัดขาวสะอาดไร้ตัวอักษร เหมาะสมกับเวลาที่อาจารย์เดินทางไกลอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วใช้ดับร้อนยามอยู่ในฤดูร้อนมากที่สุด”
เฉินผิงอันรับพัดพับไผ่หยกที่เบาเหมือนขนห่านชิ้นนั้นมาไว้ในมือแล้วพูดสัพยอกว่า “ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เจ้าคือคนที่อยู่บนภูเขาหลังอ๋าวสินะ?”
เผยเฉียนใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้ชุยตงซานบอกว่าภูเขาหลังอ๋าวคือ ‘ภูเขาตบหน้า’ นางเพิ่งจะแอบดีใจ รู้สึกว่าการมอบของขวัญครั้งนี้ อาจารย์ของตนถือว่าทำการค้าที่คุ้มค่า ทว่าตอนนี้กลับเริ่มไม่พอใจชุยตงซานแล้ว
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไปแล้วๆ”
ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่ชุยตงซานหันหน้ามาทางเผยเฉียนถึงได้ยื่นนิ้วชี้มาตั้งวางไว้บนปาก
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ แกล้งโง่
ชุยตงซานกลับจ้องนางเขม็งอยู่อย่างนั้น
เผยเฉียนถึงได้กระทืบเท้า “ก็ได้ ไม่พูด พวกเราสองคนถือว่าหายกัน!”
ชุยตงซานบิดกาย เรือนกายพลิกหมุน ชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วสะบัด ร่างทั้งร่างทะยานวูบถอยหลัง พริบตาเดียวก็กลายเป็นรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งที่ไปจากภูเขาลั่วพั่วทั้งอย่างนี้
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินขึ้นเขา รับจอบจากมือนางมาถือไว้
เผยเฉียนอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ทำไมถึงไม่ถามข้าล่ะว่าเจ้าห่านขาวไม่อยากให้ข้าพูดอะไร? หากอาจารย์ถาม ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แต่เปิดปากเท่านั้น อาจารย์ทั้งได้รู้คำตอบ และข้าก็ไม่ถือว่าผิดคำพูด ดีจะตายไป”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเผยเฉียน เพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน เมื่อหันหน้าไปมองก็ไม่เห็นเงาร่างของห่านขาวใหญ่ตัวนั้นแล้ว
ก่อนหน้านี้หลังจากห่านขาวตัวนั้นปลูกแกนเหมยกับมือตัวเอง เผยเฉียนเห็นกับตาตัวเองว่าในใจของเขา ริมบ่อลึกที่มีเจียวหลงว่ายวน นอกจากจะมีตำราตัวอักษรสีทองพวกนั้นแล้ว ยังมีต้นเหมยเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาอีกต้นหนึ่ง
เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจ้ารังแกห่านขาวในตรอกของเมืองเล็ก เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าตั้งฉายาให้ชุยตงซานว่าห่านขาวใหญ่หรือไม่?”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างแรง “อาจารย์! ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ข้าไม่ได้เห็นห่านขาวพวกนั้นเป็นชุยตงซานอย่างแน่นอน! ทุกครั้งที่ข้าเห็นพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นตีกันก็ดี หรือภายหลังที่ขี่พวกมันลาดตระเวนไปทั่วถนนใหญ่ตรอกเล็กก็ช่าง ข้าไม่เคยนึกถึงชุยตงซานแม้แต่ครั้งเดียว!”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “พูดความจริงมา”
เผยเฉียนมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งกระตุกชายแขนเสื้อสีเขียวของเฉินผิงอัน พูดอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์ เมื่อครู่ตอนที่ปลูกเมล็ดพันธ์อวี๋เฉียนพวกนั้น ลำบากนัก เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าคิดอะไรก็ปวดหัวไปหมดเลย”
เฉินผิงอันยื่นมือมากุมมือของเผยเฉียนเอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาเถอะๆ อาจารย์ไม่ใช่คนขี้ฟ้องสักหน่อย”
เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส หันหน้ามา เชิดใบหน้าขึ้นน้อยๆ จ้องใบหน้าด้านข้างของอาจารย์นิ่ง “อาจารย์ ไม่เป็นไร ต่อให้อาจารย์ฟ้อง ข้าก็ไม่รู้สึกน้อยใจเลยแม้แต่นิดเดียว อาจารย์ดีขนาดนี้แล้ว หากดียิ่งกว่านี้จะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ”
“อาจารย์ออกเดินทางไกลครั้งนี้ คงไม่กลับภูเขาลั่วพั่วในเร็ววัน ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก็ดี เที่ยวเตร็ดเตร่ไปรอบด้านก็ช่าง ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเกินไป แต่ก็ห้ามเกเรซุกซนเกินไป ทว่าขอแค่เป็นเรื่องที่เจ้าเป็นฝ่ายมีเหตุผล ต่อให้เรื่องที่ก่อไว้จะใหญ่แค่ไหน เจ้าก็ไม่ต้องกลัว ต่อให้อาจารย์จะไม่อยู่ข้างกายเจ้า ก็จงไปหาผู้อาวุโสชุย จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง เว่ยป้อ พวกเขาล้วนจะช่วยเหลือเจ้า ทว่าหลังจากจบเรื่อง ยามที่พวกเขาใช้เหตุผลพูดกับเจ้า เจ้าเองก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเช่นกัน เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดแล้วก็ไม่ต้องรับฟังเหตุผลใดๆ”
“ตกลง อาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ได้รับความอยุติธรรมจริงๆ ขอแค่ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ใหญ่เกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองจินตนาการดูว่า แท้จริงแล้วอาจารย์อยู่ข้างกายข้า ข้าก็เลิกโกรธได้แล้ว”
“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง อาจารย์จึงพูดอะไรไม่ได้มาก หลังอาจารย์จากไปแล้ว เจ้าสามารถไปถามจูเหลี่ยนหรือเจิ้งต้าเฟิงได้ว่า อะไรที่เรียกว่าบิดงอให้ตรง จากนั้นก็ลองใคร่ครวญเอาเอง แม้จะบอกว่าเป็นฝ่ายมีเหตุผล แต่ไม่ว่าใครในภูเขาลั่วพั่วก็ห้ามคิดว่าตัวเองมีเหตุผลจึงไม่ยอมลงให้ผู้อื่น และคนดีได้รับความอยุติธรรมก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินใดๆ คำพูดเหล่านี้ ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าค่อยๆ คิดไป เหตุผลที่ดีไม่ได้อยู่แค่ในตำราและในโรงเรียนเท่านั้น พี่หญิงสือโหรวของเจ้าในตรอกฉีหลงก็มีเหตุผลเหมือนกัน เฉินยวนจีที่เรียนวิชาหมัดได้ค่อนข้างช้าบนภูเขาลั่วพั่วก็เช่นกัน เจ้าจงดูให้มาก คิดให้มาก การค้าขายที่ไร้ต้นทุนที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการเรียนรู้สิ่งที่ดีมาจากคนอื่น”
“อาจารย์…”
“รู้ว่าเจ้าเริ่มปวดกบาลอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็จะพูดแค่นี้ หลายปีจากนี้ ต่อให้เจ้าอยากจะฟังอาจารย์บ่นก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
“ฮ่าๆ อาจารย์ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าหิวต่างหาก อาจารย์ท่านฟังสิ ท้องข้ากำลังร้องโครกครากเลยนะ ไม่ได้โกหกท่านใช่ไหมล่ะ?”
“คนฝึกวรยุทธ ดึกๆ ดื่นๆ จะกินอาหารมื้อดึกได้อย่างไร ทนไปก่อน”
“อาจารย์ หากท่านไปถึงอุตรกุรุทวีปอะไรนั่นแล้วต้องส่งจดหมายกลับมาบ่อยๆ นะ ข้าจะได้คอยบอกพวกพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหวว่าอาจารย์ปลอดภัยสบายดี ฮ่าๆ บอกว่าผิงอัน (ผิงอันแปลว่าปลอดภัย/สุขสบาย) บอกชื่ออาจารย์…”
“…”
เผยเฉียนมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งจูงมืออาจารย์ ความกล้าหาญของนางเปี่ยมล้น ยืดอกตั้ง ก้าวเดินอย่างอาจหาญ ภูตผีปีศาจหวาดผวา
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเดินอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง
ราวกับว่านาทีนี้ แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด