Skip to content

Sword of Coming 506

บทที่ 506 สองเดือนสอง

ประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองค่อยๆ แง้มเปิดช้าๆ

ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ นอกจากเทพอภิบาลเมืองที่ตกอยู่ในสภาพเอาตัวเองรอดยังยากลำบากแล้ว ทุกคนในศาลล้วนถูกระดมกำลังออกมา ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ ขุนนางผีแห่งโลกมืดในหน่วยงานทั้งหลาย ต่างก็ยืนอยู่ด้านในของประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง

แม้จะบอกว่าตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยล้วนถือเป็นถิ่นของบ้านตัวเอง จะต้องมี โชควาสนาส่วนหนึ่งคอยปกป้องคุ้มครอง แต่ยืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ควันธูปเข้มข้น ถึงอย่างไรก็สบายใจมากกว่า

เฉินผิงอันมองไปทางประตูใหญ่

ตอนนั้นหลังจากโศกนาฎกรรมครั้งนั้นผ่านพ้นไป ท่านเทพอภิบาลเมืองเลือกจะสังหารหนึ่งปล่อยหนึ่ง ดังนั้นแม่ทัพถือตรวนน่าจะเป็นคนใหม่ ขุนนางหลักของ กองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมืองกลับยังคงเป็นคนเก่า

เฉินผิงอันถือเจี้ยนเซียนไว้ในมือ ก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “หลังจากที่ข้าออกกระบี่สองครั้งแล้ว คืนนี้ก็เชิญพวกเจ้าเล่นได้ตามใจชอบ”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมือง “ผู้ใดคือเป็นขุนนางหลักกองหยินหยางแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ย?”

ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ เทพท่องทิวาราตรี แม่ทัพถือตรวน รวมไปถึงขุนนางของกองงานต่างๆ ล้วนรีบหันไปมองยังขุนนางลักษณะเหมือนชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างไม่มีความลังเล

ขุนนางของศาลเทพอภิบาลเมืองขนาดเล็กใหญ่ในโลกมืด มีระบบพิธีการคล้ายคลึงกับราชสำนักในโลกสว่าง นอกจากภาพปักบนชุดขุนนางที่ไม่อาจนำมาใช้ได้อย่างส่งเดชแล้ว แต่ละสถานที่แต่ละเขตก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อย่างในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ ชุดขุนนางส่วนใหญ่จะเป็นสองสีคือขาวและดำ อีกทั้งตรงเอว ยังห้อยตราประทับอาคมทองสัมฤทธิ์ที่เป็นตราของแต่ละตำแหน่งเอาไว้

เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาล่อกแล่ก พยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวลนลานในใจ โค้งกายคำนับ “คืนนี้เซียนกระบี่เดินทางมาเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาลเมือง โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปรอต้อนรับแต่ไกล ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่มาหาข้าน้อยด้วยเรื่องอันใด?”

ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี หลักการตื้นเขินเพียงเท่านี้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็เข้าใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่มีทางพร้อมใจ จับมือกันปรากฏตัว

นาทีถัดมาเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นก็เข้ามายืนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมือง ด้านหลังก็คือขุนนางหลักกองงานหยินหยางที่ยืนอึ้งค้างอยู่กับที่

ต่อให้คนผู้นั้นจะบุกเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว แต่ทุกคนแม้กระทั่ง ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ต่างก็ขยับเท้าหลบเป็นความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เหมือนต้องการเปิดทางเส้นหนึ่งให้กับเขา จากนั้นแต่ละคนก็พากันหันไปมองเพื่อนร่วมงานคนนั้นเห็นเพียงว่าตั้งแต่หน้าผากไล่ยาวลงไปจรดเบื้องล่างของขุนนางหลักกองหยินหยาง ผู้นั้นปรากฎเส้นตรงสีทองที่เล็กบางเส้นหนึ่ง

พริบตาเดียวร่างทองร่างหนึ่งก็ระเบิดปังแล้วแหลกสลายเป็นผุยผง

แม้แต่ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ที่เชี่ยวชาญในการกำราบสังหารผีร้ายที่สุดในศาล เทพอภิบาลเมือง และแม่ทัพถือตรวนที่ชอบออกจากเมืองไปไล่ล่าผีเร่ร่อนก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายออกกระบี่อย่างไร แล้วออกกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่

ชั่วขณะนั้นขุนนางทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองต่างก็หน้าซีดเผือด

มองดูแล้วน่าสังเวชนัก

เป็นเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่จริงๆ ด้วย!

แค่เคยได้ยินว่าพวกเซียนกระบี่มักจะทำอะไรแปลกประหลาดและกำเริบเสิบสาน จนไม่อาจใช้หลักการเหตุผลทั่วไปมาวัดประเมินพวกเขาได้

เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลังของศาลมีแสงสีทองอ่อนจางไหลวนระลอกหนึ่ง ก่อนที่ขุนนางวัยชราลักษณะสุภาพคนหนึ่งจะเดินออกมา สิ่งปลูกสร้างของตำหนักหน้าไม่อาจขัดขวางเขาไว้ได้ ร่างของเขาเดินผ่าน ทะลุล่องลอยมาถึงขั้นบันไดของตำหนักหน้า พอยืนนิ่งแล้วก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ตวาดกร้าว “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้วก็จะสามารถสังหารขุนนางโลกมืดที่ได้รับการแต่งตั้งประทับตราลัญจกรจากฮ่องเต้ของหนึ่งแคว้นได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ?!”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังควันดำหนาหนักที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย กลิ่นอายชั่วร้ายนั้นราวกับปีศาจที่กางเล็บแสยะเขี้ยว

ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทะเลเมฆอาวุธกึ่งเซียนของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า เพียงแต่ว่าฝ่ายหลัง หากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ ทว่าในเมืองสุยเจี้ยของแคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้ นอกจากผู้ฝึกตนแล้ว มนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถมองเห็น

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าจะพยายามต้านรับทัณฑ์สวรรค์แทนเจ้า เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไร?”

เทพอภิบาลเมืองตกตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็เกิดความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง “จริงหรือ? เซียนกระบี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”

เซียนกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วอายุยังน้อยผู้นั้นผงกศีรษะรับ

เทพอภิบาลเมืองรู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดิน เมื่อต้นหลิวร่วงโรยบุปผาย่อมผลิบาน! เทพอภิบาลเมืองตะโกนเสียงดัง “ขอแค่เซียนกระบี่สามารถรับรองว่าศาลเทพอภิบาลเมืองของข้าจะปลอดภัย เซียนกระบี่ก็สามารถเปิดปากมาได้เลย สมบัติวิเศษกองใหญ่ เชิญเซียนกระบี่เลือกไปได้ตามใจชอบ หากเซียนกระบี่รังเกียจว่ายุ่งยาก ก็แค่เอ่ยมาคำเดียว คนตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อม จะยกสองมือประคองส่งให้ จะไม่ชักช้าอืดอาดแม้แต่น้อย…”

แสงสีทองเส้นหนึ่งฟันผ่าลงมาแสกหน้า

ขุนนางโลกมืดทั้งหลายของศาลเทพอภิบาลเมืองที่มองดูอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน ร่างทองไม่มั่นคง เห็นเพียงว่าท่านเทพอภิบาลเมืองที่สูงส่งเหนือผู้ใดมาหลายปี จนนับเวลาไม่ถ้วนผู้นั้น สภาพเหมือนกับเพื่อนร่วมงานของกองหยินหยางก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน อันดับแรกคือปรากฏแสงสีทองจุดหนึ่งตรงหน้าผากก่อน จากนั้น ก็เป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ แผ่ลามไปอย่างเชื่องช้า

ไม่เสียทีที่เป็นท่านเทพอภิบาลเมืองซึ่งถูกตั้งบูชาได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปมานานหลายปี ร่างทองหนาหนักที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแก่นควันธูปจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ได้แหลกสลายไปในทันที ไม่เพียงเท่านี้ ท่านเทพอภิบาลเมืองยังสามารถยกมือสองข้างขึ้นกดสองซีกบนผากของตัวเองเอาไว้แน่น ร้องโหยหวนขึ้นว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร? หากข้าตายไป ทัณฑ์สวรรค์ก็จะเยื้องกรายลงมาทันที หรือเจ้าคิดจะอาศัย กำลังของคนคนเดียวต้านทานทัณฑ์สวรรค์? หากข้าไม่ตาย เจ้ากับข้ายังสามารถร่วมมือกันต้านรับ ผ่านหายนะไปด้วยกันได้ เจ้ามันคนเสียสติ! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”

เส้นสายตาของเฉินผิงอันมองเลยผ่านท่านเทพอภิบาลเมืองไปยังแท่นบูชาเทพ ที่อยู่ตำหนักหน้า เทวรูปสูงตระหง่านที่ได้รับควันธูปของทั้งเมืองเหมือนกัน แต่กลับ ไร้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่าง

ไม่รู้ว่าเป็นพวกหนูและงูที่อยู่รูเดียวกัน รู้ว่าหายนะใหญ่กำลังจะมาเยือนหรือไม่ ถึงได้สลายความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายออกไปจากเทวรูปในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้

เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษที เมื่อครู่นี้ลืมบอกไปว่า ข้าต้องการให้เจ้าขอบคุณข้าด้วยความตาย”

สองมือของเทพอภิบาลเมืองกดหน้าผากของตัวเองเอาไว้แน่น สี่ด้านแปดทิศ เริ่มมีควันธูปที่ไม่แยกว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ปะปนด้วยความคิดอันชั่วร้ายหรือไม่ พากัน กรูเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย ขอแค่เป็นควันธูปของคนที่มาจุดธูปกราบไหว้ ไม่ว่าความคิดจะบริสุทธิ์หรือสกปรกก็ล้วนถูกเขากักไว้ในศาลเทพอภิบาลเมือง อย่างคุ้นชินมานานแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการดื่มยาพิษดับกระหายหรือไม่ เขาไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ขอแค่เพิ่มตบะขึ้นมาได้ ความเป็นไปได้ที่จะสามารถรักษาร่างทองเอาไว้ได้หลังจากที่ทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนศาล เทพอภิบาลเมืองจะย่อยยับหรือไม่ พวกขุนนางภูตผีที่คอยช่วยเหลือเขาจะเดือดร้อนติดร่างแหเพราะตบะที่ไม่มากพอหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งความเป็นความตาย ของชาวบ้านในเมือง นับตั้งแต่วันแรกที่ ‘บุญกุศลถดถอย ร่างทองเสื่อมโทรม’ ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เขายังส่งผู้ฝึกตน กลุ่มหนึ่งที่สนิทสนมกันมานานให้ไปเยือนเมืองหลวง พกพาของขวัญชิ้นใหญ่ แวะเวียนไปหากรมพิธีการ กองงานโหราศาสตร์ เกลี้ยกล่อมขอให้ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงระงับเรื่องนี้ไว้ในราชสำนัก ไม่อนุญาตให้เมืองสุยเจี้ยและชาวบ้านในเมืองหนีตายกันไปทั่วทิศ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ฮวงจุ้ยของหนึ่งแคว้นและของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งพื้นที่ต่างก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ระหว่างนี้ลูกหลานคนรุ่นหลังของคนที่ได้รับจดหมายในเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าประมุขคนปัจจุบันยังถือว่าพอรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ดี จึงช่วยออกแรงไปมาก ใช้เครือข่ายผู้คนและความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้ในวงการขุนนางมาหลายชั่ว อายุคน ช่วยกันขอร้องแทนศาลเทพอภิบาลเมือง ถึงได้ทำให้ท่านเทพอภิบาลเมืองมองเห็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งซึ่งได้มาอย่างยากลำบาก

คนตายทั้งเมือง เพื่อรักษาร่างทองเอาไว้

หากคนไม่ทำเพื่อตัวเอง ย่อมถูกฟ้าดินลงโทษ!

แล้วนับประสาอะไรกับที่ในฐานะที่ข้าเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นเทพร่างทองที่มองกษัตริย์ในโลกมนุษย์เป็นพวกคนขี้โรคอายุสั้นอยู่แล้ว!

เทพอภิบาลเมืองใช้สองมือกดหน้าผาก สายตาหลุบลงต่ำเล็กน้อย แม้ว่าความเร็วในการเลื่อนลงของเส้นสีทองจะชะลอช้าลง แต่ก็ไม่มีแววว่าจะหยุดนิ่งเลย ในใจของเทพอภิบาลเมืองหวาดผวาอย่างหนัก ถึงขั้นพูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดควันธูปตั้งมากมายขนาดนั้นถึงขวางเอาไว้ไม่อยู่? เซียนกระบี่ นายท่านเซียนกระบี่…”

เทพอภิบาลเมืองที่ยืนอยู่บนขั้นบนสุดของบันไดไม่เหลือสีหน้ามากบารมีน่า กริ่งเกรงใดๆ อีกแล้ว เขาพูดวิงวอนว่า “ขอร้องนายท่านเซียนกระบี่โปรดไว้ชีวิต เรื่องราวทั้งหลายบนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่ปรึกษากันดีๆ ไม่ได้?”

เทพอภิบาลเมืองไม่กล้ายื่นมือชี้ไปที่เหนือศีรษะ “นายท่านเซียนกระบี่โปรด เงยหน้าดู หากไม่มีควันธูปที่เทพอภิบาลเมืองอย่างข้าคอยควบคุม ไม่มีโชคชะตา ของหนึ่งพื้นที่ให้เอามาช่วยต้านทานทัณฑ์สวรรค์ นายท่านเซียนกระบี่ตัวคนเดียว ไม่กลัวบ้างเลยหรือว่าจะเป็นการลดทอนตบะที่ได้มาไม่ง่ายนี้ของตัวเอง?”

ผู้พิพากษาบุ๋นที่ขวัญหายแตกกระเจิง แรกเริ่มยังรู้สึกเหลือเชื่อ แต่พอคิดดูอีกครั้งก็พลันกระจ่างแจ้ง เพียงแต่นี่กลับยิ่งทำให้ในใจของเขาสิ้นหวัง

เซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้กินอิ่มว่างง่านถึงได้วิ่งโร่มาเตรียมแบกรับทัณฑ์สวรรค์ แล้วเขาจะยังสนใจผลได้ผลเสียของตัวเองอยู่อีกหรือ? หากคิดจะสนใจจริงๆ ไยต้องเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมืองด้วยเล่า?

ท่านเทพอภิบาลเมืองชอบสั่งสอนเหล่าลูกน้องว่าเวลาพอเจอเรื่องใดๆ ต้องมี สติสุขุม อย่าได้แตกตื่นลนลานจนเกิดความผิดพลาดไม่ใช่หรือ? ดูท่าพอเกิดเรื่อง เข้าจริงๆ ก็มีดีแค่นี้เอง

เพียงแต่ว่าผู้พิพากษาบุ๋นท่านนี้กลับร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ ตอนนี้ตนไม่ใช่คนที่ ดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกและไม่มีเรื่องตลกอะไรให้ดูแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ลมและน้ำของพื้นที่หนึ่งอย่างพวกเขาหลุบตาลงต่ำมอง เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่เข้าศาลมาจุดธูป ข้าวเหมือนกันแต่ก็เลี้ยงคนได้ ร้อยรูปแบบ ชายหญิงผู้ลุ่มหลงในรักที่โง่เขลา บุรุษฉกรรจ์ที่เกียจคร้านแต่กลับขอพรให้ตัวเองร่ำรวย สตรีที่จิตใจอำมหิตแต่กลับคาดหวังให้ตัวเองได้พบเจอคนรักที่ดี ลูกหลานที่ผู้ใหญ่ในบ้านป่วยหนัก ไม่ยอมจ่ายเงินจ้างหมอมารักษา แต่กลับมาจุดธูปขอพรภาวนาอยู่ที่นี่ โจรที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบที่คิดว่าเข้าศาลมาจ่ายเงินให้มากหน่อย จุดธูปกำใหญ่ก็จะสามารถขจัดกรรมชั่วที่ได้กระทำไป หลายสิ่งหลายอย่าง มีมากมายเกินคณานับ เห็นเรื่องตลกในโลกมนุษย์มาจนพอแล้ว เห็นจนชาชินแล้ว ตอนนี้ กลับต้องเจอกรรมตามสนอง ก็คงถึงคราวที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นเป็นฝ่ายมาดูเรื่องตลกของศาลเทพอภิบาลเมืองของตนบ้างแล้วกระมัง?

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ เพียงแค่เสียบเจี้ยนเซียนที่อยู่ในมือปักลงพื้นดิน จากนั้นก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นช้าๆ ไม่เหมือนตอนที่อยู่ทะเลสาบชางอวิ๋น คราวนี้ชายแขนเสื้อข้างซ้ายก็ถูกม้วนขึ้นด้วย เผยให้เห็นสร้อยข้อมือแกนลูกท้อ

ส่วนยันต์สามแผ่นที่ได้มาจากหุบเขาผีร้ายล้วนถูกเฉินผิงอันสอดเหน็บเอียงๆ ไว้ตรงเข็มขัดรัดเอว แบ่งออกเป็นยันต์แสงสว่างอวิ้ชิงที่เปิดประตูไว้แล้ว และยังมี อีกสองแผ่นที่เป็นยันต์พิฆาต ยันต์จวนปี้เซียวของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน

ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เฉินผิงอันถึงได้มองไปยังเทพอภิบาลเมืองที่ดวงตาสีทองทั้งคู่เริ่มกลายเป็นสีหมึก

นึกถึงศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี แล้วก็เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินนั้นถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาวางแผนเล่นงาน ทว่า คนตรงหน้ากลับรนหาที่เอง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันมาถึงขั้นบนสุดของบันไดในชั่วพริบตา มือหนึ่งยันกระบี่ ยืนอยู่ข้างกายของเทพอภิบาลเมืองที่เหมือนผู้ฝึกยุทธที่ธาตุไฟเข้าแทรก คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน เพียงแต่หันหน้ากันไปคนละทิศทาง

มือกระบี่ชุดเขียวหันหน้าเข้าหาตำหนักหน้า องค์เทพร่างทองที่มีเทวรูปว่างเปล่านั่งอยู่บนแท่นบูชาสูง บนร่างมีเส้นสีทองเส้นหนึ่งไล่ยาวจากบนจรดล่างหันหน้าเข้าหาประตูศาล เผชิญหน้ากับสรรพชีวิต

พยายามสุดกำลังที่จะรักษาร่างทองไม่ให้ระเบิดแตก นี่คือผลลัพธ์จากการพยายามสุดความสามารถของท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นแล้ว ต่อให้ข้างกาย จะมีตัวการที่ออกกระบี่ใส่เขา ท่านเทพอภิบาลเมืองก็ยังคงไม่มีเวลามาสนใจเขา

เส้นสีทองที่อยู่บนร่างของเทพอภิบาลเมืองเริ่มขยายใหญ่ไปอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งน้ำท่วมทำนบ ลำธารเล็กๆ เส้นหนึ่งจะรองรับไว้ได้ไหวอย่างไร

เขาพลันยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ตัวดี เจ้าเองก็มาเพื่อสมบัติหนักที่จะเผยตัวบนโลกชิ้นนั้นกระมัง?”

ท่านเทพอภิบาลเมืองที่รู้ดีว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนแผดเสียงหัวเราะ อย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็กดเสียงลงต่ำ “น่าเสียดายนัก ไม่อย่างนั้นต่อให้เทพอภิบาลเมืองเล็กๆ อย่างข้าร่างมอดม้วยมรรคาสิ้นสลาย แต่หากสามารถลากเทพเซียน บนภูเขากลุ่มใหญ่ให้ตายไปด้วยกันได้ จะไม่ยิ่งสาแก่ใจหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันพลันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมากดลงบนใบหน้าของเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น จากนั้นก็งอนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอพร้อมเอ่ยเนิบช้า “เจ้ายังมีหน้าอะไรไปมองโลกมนุษย์อีก?”

ร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองพลันระเบิดแตกดังตู้ม ตำหนักหน้าของ ศาลเทพอภิบาลเมืองเหมือนมีคนโปรยผงสีทองกลุ่มใหญ่ลงมา

เสียงเคร้งดังหนึ่งครั้ง วัตถุชิ้นหนึ่งตกกระทบพื้นเสียงดังกังวาน

คือเศษชิ้นส่วนร่างทองที่สนิมเกรอะกรังชิ้นหนึ่ง ไม่ถือว่าเล็ก หากเอาเศษชิ้นส่วนร่างของทองเทพลำคลองทะเลสาบชางอวิ๋นสองคนนั้นมารวมกันก็ยังใหญ่กว่า

เฉินผิงอันกำลังจะใช้ปลายกระบี่ของเจี้ยนเซียนตีวัตถุชิ้นนี้ให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าชูอีที่ไม่ได้เผยโฉมมานานกลับพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว แสงกระบี่ สีขาวเส้นหนึ่งแทงไปยังเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ขึ้นสนิมนั้น แล้วกระบี่บินชูอีกับ เศษชิ้นส่วนร่างทองก็พากันหายวับเข้าไปใต้ดิน

เมื่อร่างทองในศาลเทพอภิบาลเมืองระเบิดแตก กลางอากาศเหนือเมืองสุยเจี้ย ก็พลันเกิดฟ้าร้องครืนครั่น เสียงนั้นดังเกินเสียงฟ้าผ่าทั่วไป ราวกับเสียงประทัดที่มาระเบิดเปรี้ยงข้างหู เป็นเหตุให้ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองสุยเจี้ยสะดุ้งตื่น จากความฝัน

ทะเลเมฆสีดำกลิ้งตลบ ประหนึ่งมีเจียวสีหมึกมังกรสีดำที่พากันแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ไม่เพียงเท่านี้ ทะเลเมฆยังเริ่มลดระดับลงต่ำช้าๆ

แรกๆ ก็มีแค่บางครอบครัวที่หลังจากถูกเสียงฟ้าผ่าปลุกให้ตื่นก็เริ่มจุดตะเกียง

ครอบครัวคนมีเงินก็ยิ่งแขวนโคมไฟเอาไว้หลายดวง

ต่อมาตลอดทั้งเมืองที่เจริญรุ่งเรืองก็มีแสงสว่างประดุจแสงดาวบนท้องฟ้าที่พากันทยอยติดขึ้นเป็นแถบๆ มีเสียงเด็กร้องไห้กระจองอแงดังขึ้นๆ ลงๆ

สุดท้ายก็คือพวกผู้ฝึกลมปราณที่แอบเข้าเมืองสุยเจี้ยมาอย่างเงียบเชียบที่ แต่ละคนปากอ้าตาค้าง หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไปก็เริ่มผรุสวาทหยาบคาย พวกเขาหรือจะคิดได้ว่าสมบัติหนักยังไม่ทันเผยกายบนโลกอย่างแท้จริง ทัณฑ์สวรรค์สมควรตายนี่กลับมาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว

ในเรื่องนี้มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันอยู่มาก

วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกย่อมต้องมีสติปัญญาก่อนกำเนิดเป็นของตัวเอง ยากมากที่ผู้ฝึกลมปราณจะจับเอาไปได้ เจ้านครหวงเยว่เคยเดินสวนไหล่กับวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งก็เพราะว่าวัตถุวิเศษตระกูลเซียนชิ้นนั้นมีความเร็วที่น่าตะลึงเกินไป

บนภูเขาเล่าลือกันว่าสมบัติประหลาดของเมืองสุยเจี้ยชิ้นนั้นมีระดับขั้นสูง อย่างถึงที่สุด เกิดจากการรวมตัวกันแล้วฟูมฟักขึ้นมาของโชคชะตาบุ๋นที่งดงามของเมืองแห่งหนึ่งนานเป็นพันปี ไม่เพียงเท่านี้ ว่ากันว่าช่วงแรกๆ ที่ก่อตั้งเมืองสุยเจี้ย อันที่จริงเดิมทีก็มีอาวุธเซียนของสำนักการทหารชิ้นหนึ่งถูกฝังลึกไว้ใต้ดิน สุดท้าย ทั้งสองสิ่งจึงผสานรวมกันกลายเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งโลกมนุษย์ที่มีทั้งโชคชะตา บุ๋นและบู๊ครบถ้วน ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ใครที่ได้ไปครองก็สามารถเดินขึ้นฟ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาได้ในก้าวเดียว ดังนั้นสองท่านจากนครหวงเยว่และ ดินแดนเซียนเป่าต้งอันเป็นตระกูลเซียนบนยอดเขาสูงสุดถึงได้พร้อมใจกันลงมือ คิดว่าต้องครอบครองสมบัติประหลาดชิ้นนี้ให้จงได้ หากนครหวงเยว่ได้ไปครองก็จะสามารถนั่งบนเก้าอี้อันดับหนึ่งของเหล่าภูเขาในหลายสิบแคว้นได้อย่างมั่นคง สลัดดินแดนเซียนเป่าต้งทิ้งไปไกลได้ระยะใหญ่ แต่หากดินแดนเซียนเป่าต้งได้ไปครอง พลังอำนาจก็จะเหนือกว่านครหวงเยว่

เรือนผีของเมืองสุยเจี้ย

ผู้เฒ่านั่งอยู่บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง เสียงของลิงน้อยที่ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมสงบตัวนั้นทำให้เขาหงุดหงิดใจเล็กน้อยจึงขว้างมันออกไปอย่างแรง

ไอ้พวกลูกกระต่ายผู้ฝึกตนท้องถิ่นในเมืองที่ขอบเขตต่ำและต่ำยิ่งกว่าเหล่านั้นต่างก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี บ้างก็เริ่มวิ่ง บ้างก็เริ่มบิน พากันเผ่นหนีออกไปจากเมืองสุยเจี้ยแล้ว

สมบัติประหลาดชิ้นนั้น เดิมทีพวกเขาก็ไม่กล้าคิดอยากครอบครองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสำนักที่พึ่งพานครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้ง ซึ่งถูกพวกเขาสองฝ่ายลากให้มาช่วยเพิ่มบารมีอำนาจของตนก็เท่านั้น อีกทั้งหากต้องต่อสู้กันจริงๆ ก็จะสามารถเป็นกองกำลังที่ช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย

ผู้เฒ่าเองก็หงุดหงิดมากเหมือนกัน เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ นับว่ายุ่งยากอย่างมาก

เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเป็นพวกสมองไม่สมประกอบจริงๆ ด้วย ช่างสมกับที่ เป็นหนึ่งในสี่ผีตอแยยากของบนภูเขาอย่างแท้จริง ลงจากเขามาหาประสบการณ์มักทำแต่เรื่องที่ตัวเองพอใจเสมอ!

ทัณฑ์สวรรค์เหนือหัวที่เกิดจากผลกรรมตามติดนี้ เจ้าคิดจะขวางก็ขวางได้ อยู่หรือ? ถึงเวลานั้นหากเจ้าเห็นท่าไม่ดี ขวางได้ครึ่งทางแล้วเผ่นหนี แม้เจ้าจะรอดชีวิตไปได้ แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ยังต้องมีกลิ่นคาวคลุ้งที่ไม่จำเป็นติดตัวไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

ผู้เฒ่าพลันเอ่ยขึ้นว่า “นางผู้หญิงแพศยา ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับข้า”

บนชายคาที่ตวัดโค้งงอนแห่งหนึ่งมีสตรีโตเต็มวัยแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาธรรมดา แต่สตรีชาวบ้านที่ไหนจะสามารถยืนอยู่บนพื้นที่คับแคบอย่างชายคาได้อย่างมั่นคง

สตรีปิดปากหัวเราะเสียงหวาน “เจ้าพูดกับฮองเฮาเช่นนี้หรือ? ใจกล้ายิ่งนัก”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างอัดอั้น “ทำให้งานใหญ่ที่วางแผนมานานของนายท่านพังแบบนี้ เจ้าและข้าตายร้อยรอบก็ยังไม่อาจชดใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ทุกอย่างที่ทำมาดันล้มเหลวในตอนท้าย นายท่านมีแต่จะยิ่งโกรธเกรี้ยว”

สตรีโบกมือกล่าว “แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ สมบัติประหลาดชิ้นนั้นถึงได้สงบลง ปล่อยให้ทัณฑ์สวรรค์ลดทอนคุณภาพก่อนกำเนิดของมัน แล้วก็ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ หนีไป แต่หากทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมา มันก็ยังต้องถูกบีบให้เปิดเผยตัวอยู่ดี นครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งต่างก็ถอยไปอยู่ไกลๆ อย่างรู้อะไรควรไม่ควรแล้ว หากไม่ได้ไปหลบภัยที่วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นก็ไปหลบหายนะที่ภูเขาเฮยโย่ว ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าก็จะสามารถชิงความได้เปรียบก่อนใคร แบบนั้นจะไม่ยิ่งดี หรอกหรือ?”

สตรีกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “เจ้าและข้าร่วมงานกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ขอให้ข้าได้ทำใจกล้าถามประโยคที่เห็นแก่ตัวสักหน่อย เหตุใดนายท่านถึงไม่ยินดีลงมือด้วยตัวเอง? ด้วยตบะที่เลิศล้ำค้ำฟ้าของนายท่าน หลังจากที่วีรกรรมครั้งนั้นผ่านไป แม้ว่าจะเสียหายอย่างหนักจนจำต้องปิดด่าน แต่นี่ก็ตั้งกี่ร้อยปีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตบะก็ควรจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเหมือนเดิมได้แล้ว หากนายท่านมาเยือน ก็ไม่ใช่ว่าสามารถกวักมือเรียกหาสมบัติประหลาดชิ้นนั้นได้เลยหรือ? ใครกล้าขัดขวาง เจ้าพวกเศษสวะอย่างฟ่านเหวยหรานหรือไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “เจ้าจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร สมบัติที่เกิดจาก คุณความชอบเช่นนี้ อาศัยแค่ว่าใครตบะสูงก็แย่งชิงมาได้อย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่นายท่านไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ยิ่งตบะของนายท่านสูงเท่าไร เข้ามาในอาณาเขตของที่แห่งนี้ก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีเท่านั้น ทัณฑ์สวรรค์มันมีตา ต่อให้แบกรับได้ไหว แต่ตบะมากมายขนาดนั้นที่ต้อง เสียไป เจ้าจะเป็นคนชดใช้ให้หรือ? ต่อให้เอาสมบัติในคลังสมบัติที่น้อยนิดเท่าก้นหมาของแคว้นอิ๋นผิงมานับรวมกัน ก็จะชดใช้ได้ไหวหรือ? ตลกนัก!”

สตรีไม่ถือสาคำพูดเหน็บแนมของผู้เฒ่า นางหันหน้าไปจ้องทางศาลเทพอภิบาลเมือง ขมวดคิ้วกล่าว “ดูจากสถานการณ์ อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็จำเป็นต้องออกไปจากเมืองสุยเจี้ยชั่วคราว หากอยู่ใกล้ไป เจ้าและข้าที่หมวกสูงกว่าใครก็ยังต้องเป็นคน ต้านไว้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? จะยอมเป็นที่ระบายของทัณฑ์สวรรค์นี่หรือไง?

หากอยู่ไกลเกินไป รอให้ทัณฑ์สวรรค์ผ่านไปแล้ว สมบัติหนักชิ้นนั้นต้องรีบ ปรากฏตัวแล้วหนีไปจากสถานที่สกปรกแห่งนี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งไม่มีทางลงมือล่าช้าแน่ พวกเราสองคนรับมือกันเย่หานและฟ่านเหวยหรานได้ไม่มีปัญหา แต่รอบกายพวกเขามีเศษสวะมากมายขนาดนั้นห้อมล้อม เมื่อมีจำนวนมาก ระวังเถอะว่าแม้แต่มดก็ยังกัดช้างให้ตายได้”

ผู้เฒ่าหัวเราะ ชี้ไปยังลิงน้อยที่ปีนกลับมาบนหลังคาและคอยหันไปแยกเขี้ยวใส่ทางศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างต่อเนื่องตัวนั้น แล้วเอ่ยว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ สตรีอย่างเจ้าวันๆ เอาแต่คบค้าสมาคมกับพวกลูกมังกรหลานมังกรอย่างฮ่องเต้ อัครเสนาบดีอะไรนั่น ยิ่งนานวันสายตาก็ยิ่งแย่ มองไม่ออกกระมัง นี่คือ วานรกลืนสมบัติที่นายท่านทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมา คือทายาทรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์ ยุคบรรพกาล รู้หรือไม่ว่าต้องจ่ายเงินเทพเซียนไปเท่าไร หากข้าพูดออกมาก็กลัวว่า จะทำให้เจ้าตกใจตาย มีมันอยู่ก็สามารถกลืนสมบัติลงท้อง ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เจ้าคิด แต่หากตัวเจ้าเองความสามารถอ่อนด้อย โดนเย่หานหรือ ฟ่านเหวยหรานโรมรันตามติดจนไม่อาจสลัดตัวออกมาได้ ก็บอกไว้ก่อนเลยว่า ข้าแค่จะพาเจ้าลิงน้อยจากไปเท่านั้น จิ้งจอกเหม็นสาบอย่างเจ้าจะสามารถเสวยสุข อยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปได้หรือไม่ จะสามารถใช้ปราณมังกรของแคว้นมาแกะกลึง หนังจิ้งจอกได้หรือไม่ เจ้าก็ลองไปเดิมพันด้วยชีวิตตัวเองเอาเองเถอะ”

นางจิ้งจอกเหม็นสาบตนนี้เป็นฮองเฮามากี่รอบแล้ว?

ผู้เฒ่านินทาอยู่ในใจ

สตรีผู้นั้นทอดถอนใจ แหงนหน้ามองเมฆทะมึนที่ค่อยๆ ลดระดับลงมา สายตา มีความกังวลปรากฏ “ศัตรูคู่อาฆาตคนนั้นของนายท่านคงไม่ได้แอบขัดขาอยู่ลับๆ หรอกกระมัง? คิดว่ามีผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างเย่หานและฟ่านเหวยหรานแค่สองคนจริงๆ หรือไร?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ในเมื่อปีนั้นทั้งสองฝ่ายแบ่งแยกความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนแล้ว ดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็ไม่น่าจะมีเรื่องที่ ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก คนที่อยู่ในระดับสูงอย่างนายท่าน กลับกลายเป็นว่าจะให้ความสำคัญกับคำสัญญามากกว่ากบใต้บ่ออย่างพวกเรา ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง นายท่านก็เคยบอกว่า โอสถทองที่เหมือนกระดาษเปียกสองคนนี้ หากเจ้าและข้าเอาชนะไม่ได้ก็อย่าได้กลับไป หาที่เหมาะๆ แล้วเอาหัวพุ่งชนให้ตายก็พอแล้ว”

สตรีพยักหน้ารับ จากนั้นดวงตาที่งดงามเย้ายวนแต่กำเนิดคู่นั้นของนางก็ ฉายประกายเร่าร้อนออกมาเสี้ยวหนึ่ง “นั่นคือกระบี่ที่ดีจริงๆ! ต้องเป็นสมบัติอาคม ชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน! ต่อให้เป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่อยู่ด้านนอก ได้เห็นแล้ว ก็ต้องหวั่นไหวเหมือนกัน!”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “คนตาบอดข้างทางยังมองออก ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ? ทำไม หวั่นไหวแล้ว? งั้นก็ไปแย่งมาซะสิ”

สตรีหันหน้ามาตวัดค้อนใส่อย่างทรงเสน่ห์ “ตาแก่เจ้าพูดจาเหลวไหล หากคิดจะแย่งชิงจริงๆ นั่นก็ต้องรอให้ไอ้หมอนี่ไม่เหลือกำลังมากพอ ให้ถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่อแร่ใกล้ตายก่อนถึงจะได้”

ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “ไม่ได้เจอกันนาน พอจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว สตรีคนหนึ่งสามารถอาศัยความหน้าด้าน อาศัยดวงตาคู่หนึ่งล่อลวงจิตใจของคน ก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ หลังจบเรื่อง พวกเรามาเสพสมกันสักรอบดีไหม? คนรักหากต้องแยกจาก ยามกลับมาเจอกันอีกครั้งนั้นหวานชื่นยิ่งกว่าคู่แต่งงานใหม่ พวกเราพี่ชายน้องสาวไม่ได้เจอหน้ากันกี่ร้อยปีแล้ว?”

สตรีดีดปลายเท้าเบาๆ พลางหัวเราะเสียงหวานปานกระดิ่งเงินที่สั่นไหว ตัวคนจากไปแล้ว ทว่าเสียงยังคงดังก้องอยู่ “ตาเฒ่า หากยังไม่ไปก็จะสายแล้วนะ พวกเราออกไปจากเมืองสุยเจี้ยก่อนค่อยว่ากัน ทำงานใหญ่ครั้งนี้ของนายท่านสำเร็จ บ่าวก็พร้อมยอมให้ท่านเด็ดดม”

ผู้เฒ่าเอื้อมมือไปคว้าลิงน้อยตัวนั้นมาวางไว้บนไหล่ แล้วทะยานออกจากเมือง ไปพร้อมกับสตรี

แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายย่อมกดขอบเขตเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากไปสะดุดตาเย่หานหรือฟ่านเหวยหรานเข้าก็อาจจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน พวกคนประเภทนี้ แม้ว่า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่เก่งแต่ในโปงผ้าห่มของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรพื้นที่แห่งนี้ ก็กว้างขวาง ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น ทุกๆ ร้อยปีถึงจะมีพวกคนที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำโผล่มาสักคนสองคน จึงไม่อาจดูแคลนได้ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่เขาและสตรี โตเต็มวัยกล่าวถึงพวกเย่หานและฟ่านเหวยหรานแล้วในคำพูดจะเต็มไปด้วยน้ำเสียง ดูแคลน แต่หากต้องเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ อะไรที่ควรระวังก็ไม่ควร ให้ขาดไปแม้แต่น้อย

คนทั้งสองทยอยกันบินข้ามหัวกำแพงเมืองสุยเจี้ยออกไป

บนหัวกำแพงเมืองยังมีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่กลัวตายยืนอยู่อีกไม่น้อย คงจะเพราะรู้สึกว่าแค่อยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ย อันตรายก็น้อยลงแล้ว เวลานี้แต่ละคนจึงกำลัง แสร้งทำเป็นพูดคุยให้คำชี้แนะกันด้วยท่าทางผ่อนคลาย

หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกทางสำนักจัดตัวมาไว้ใกล้กับศาลเทพอภิบาล ให้ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ของร้านขายธูป ปิดบังชื่อแซ่มานานหลายปี ตอนนี้กว่าจะกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงสบถด่าอย่างใส่อารมณ์เป็นพิเศษ บอกว่า คนหนุ่มที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่คนนั้น หากน้ำไม่เข้าสมองก็คงเคยถูกลาเตะหัว มาก่อน พอไปถึงศาลเทพอภิบาลเมือง แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกคนแปลกหน้า ไม่รู้เรื่องอะไรชัดเจนสักอย่าง ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็ฟันเสมียนผีกองหยินหยาง พอเข้าศาล เทพอภิบาลเมืองไปได้ก็ชอบอวดอ้างบารมี ชักกระบี่ใส่ท่านเทพอภิบาลเมืองโดยตรง น่าเสียดายที่หลังจากนั้นศาลเทพอภิบาลเมืองปิดประตูใหญ่ ทำให้มองไม่เห็นภาพบรรยากาศด้านในอีก

ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ก็ยิ้มกล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนี่รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจได้สมบัติประหลาดชิ้นนั้นมาครอง ก็เลยจะทำให้ทุกคนหมดโอกาสไปด้วย จิตใจ ช่างชั่วร้าย น่ารังเกียจ น่าสังหาร! รอจนทัณฑ์สวรรค์ยุติลง หากผู้ฝึกกระบี่คนนั้น โชคดีไม่ตาย วันหน้าจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีๆ สักหน่อย

ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีลิงน้อยนั่งอยู่พลิ้วกายออกไปนอกหัวกำแพง รู้สึกว่าน่าสนใจจริงๆ ไอ้พวกโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดี

และพวกคนคร่ำครึอย่างบัณฑิตเจ้าเมืองผู้นั้นก็ควรจะมีมากสักหน่อย ถึงจะสามารถเลี้ยงฝ่ายแรกให้มีชีวิตรอดได้

ไม่อย่างนั้นหากบนโลกใบนี้มีแต่คนฉลาด ตนกับสตรีจิ้งจอกที่มั่วโลกีย์อยู่ใน วังหลวงของแคว้นอิ๋นผิงผู้นั้น และพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกับพวกเขา จะยังสามารถช่วงชิงความได้เปรียบน้อยใหญ่ทั้งหมดในใต้หล้ามาได้อย่างไร?

……

ในศาลเทพอภิบาลเมือง

หลังจากที่ชูอีพาเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ขึ้นสนิมชิ้นนั้นมุดหนีไปใต้ดินแล้ว เพียงไม่นาน ก็เผยกายโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้ง แสงสีขาวบินวนรอบผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ เสมียนผีจากหลายหน่วย เทพท่องทิวาราตรีและแม่ทัพถือตรวนไปหนึ่งรอบ สังหารพวกเขาไปเกินครึ่ง

สุดท้ายเหลือไว้แค่ผู้พิพากษาบุ๋นและแม่ทัพถือตรวนที่เพิ่งดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน รวมไปถึงเสมียนผีบางส่วนที่ระดับขั้นไม่สูง

คราวนี้สืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จึงไม่ปรากฏตัว

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ม้วนหอบเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองที่บ้างก็เป็นแสงสีทองอ่อนจาง หรือไม่ก็สีเงินบริสุทธิ์มาไว้ในมือ แล้วเก็บใส่ไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

จากนั้นเฉินผิงอันก็แหงนหน้ามองทะเลเมฆสีดำทะมึนนั้นต่อ มันอยู่ห่างจากพื้นดินของเมืองสุยเจี้ยไม่ถึงสามร้อยจั้งแล้ว คิดแล้วก็คีบเอายันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง สีทองที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋นยังเผาไหม้ไม่หมดออกมา หลังจากนี้ค่อยทดลองใช้ยันต์แสงสว่างอวี้ชิงดู

การลงมือต้านทานทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกในคืนนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ส่วนหลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรส่งเดชเช่นนี้อีก

ชูอียังคงว่ายวนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองไม่หยุด เสียงแหวกอากาศดังอื้ออึง

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองพวกเสมียนผีขุนนางผู้ช่วยของศาลเทพอภิบาลเมืองที่ ไม่กล้ากระดุกกระดิกเหล่านั้น มองแค่แวบเดียวเขาก็ถอนสายตากลับ

ซื่อสัตย์ภักดี เวทนาปวงประชา ช่วยสวรรค์จัดการกิจธุระ กำจัดความชั่วร้ายขจัดอันตราย?

ชูอีที่เดิมทีคิดว่าจะปล่อยพวกขุนนางผีโลกมืดที่เหลือพลันพุ่งมาถึง แสงกระบี่ สีขาวแทงทะลุขุนนางผีหลายตนของหน่วยลงทัณฑ์และหน่วยอายุขัย ร่างของพวกนั้นต่างก็แหลกสลายคาที่

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้ากลับไปไม่มองพวกขุนนางผีที่ กินควันธูปร่วมกับท่านเทพอภิบาลเมืองเหล่านั้นอีก “ยังไม่ไปอีกหรือ? คิดจะต้านทานทัณฑ์สวรรค์ของศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมกับข้าหรือไร?”

พวกขุนนางผีที่เหลือพากันหนีหายกระเจิดกระเจิง หวังแค่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากศาลเทพอภิบาลเมืองให้ได้มากที่สุด หากออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้ก็ยิ่งดี

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเคราดกคนหนึ่งกลับเดินเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมือง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตู เขาถ่มน้ำลายลงพื้นแรงๆ หนึ่งครั้ง พอเข้ามาในตำหนักหน้าแล้วได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มที่กำลังรวบรวมสมาธิอยู่นั้น

ชายฉกรรจ์ก็ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร? ว่ากันตามส่วนรวม ในฐานะที่ข้าเป็นองค์เทพประจำท้องถิ่นของเมืองนี้ ไม่ควรจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าจากไป หากชาวบ้านของเมืองตายได้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่หากว่ากันตามส่วนตัวแล้ว ข้ายังคงหวังว่าเจ้าจะไม่เข้ามาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนฝีมือของยอดฝีมือเซียนกระบี่อย่างเจ้า แต่เป็นเพราะเรื่องอย่างทัณฑ์สสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่ตามติดพัวพัน แยกแยะได้ไม่ชัดเจนมากที่สุด ไม่ใช่ว่าเจ้า ต้านรับไว้แล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องมหามงคลไปเสียทั้งหมด ในเมื่อเจ้าเป็นถึง เซียนกระบี่ ยังไม่เข้าใจความวกวนอ้อมค้อมที่อยู่ในเรื่องนี้อีกหรือ? การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องทำเช่นนี้?”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมาถาม “เจ้ามาจากศาลเทพอัคคี?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “เป็นเพราะชาติก่อนข้าก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้ คนตายไปแล้ว ยังต้องกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีนี่อีก เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีวันใดที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเลย”

เฉินผิงอันถาม “ปีนั้นตอนที่เจ้าเมืองยังเป็นเด็ก เป็นเจ้าที่คุ้มครองเขาส่งไป นอกเมืองสุยเจี้ยใช่ไหม?”

ชายฉกรรจ์แสยะปากยิ้ม “คำถามแบบนี้ หากเจ้าถามข้าตอนที่ท่านเทพอภิบาลเมืองยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ฆ่าข้าให้ตายอีกครั้ง ข้าก็ไม่กล้ายอมรับอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องมาโน้มน้าวข้า ถึงอย่างไรหากทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองสุยเจี้ยที่ไม่อาจย้ายรังได้อย่างเจ้า จะมีชีวิตรอดอยู่ก่อนข้าไปได้หรือไร?”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างสง่างาม “ไม่รีบร้อน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหนึ่งสถานที่ ถึงได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย ร่อแร่ใกล้ตายไม่สู้ตายให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ข้าจะหิ้วม้านั่งตัวเล็กไปนั่งอยู่บนหลังคาของศาลเทพอัคคี ก่อนตายจะเบิกตาให้กว้าง มองดูมาดองอาจของเซียนกระบี่ในตำนานให้เต็มตาสักหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ชายฉกรรจ์หมุนตัวเดินจากไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ก็พลันหันกลับมาถามว่า “ข้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพื้นที่ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับไม่อาจทำเรื่องใด ที่มีประโยชน์ได้ เซียนกระบี่อย่างเจ้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็น…คนดีที่มีจิตใจซื่อตรง จะไม่กล่าวโทษ ไม่พานโกรธเอากับข้าบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “ยังไม่ต้องพูดว่าข้าเป็นใคร มีตบะอะไร พูดถึงแค่โลกมนุษย์ใบนี้ หากมีเรี่ยวแรงและจิตใจที่จะมาโทษคนดีคนหนึ่งว่าทำได้ไม่ดีพอ ไม่คาดหวังให้ คนเหล่านี้ลุกขึ้นมาสังหารคนเลว แล้วเหตุใดแค่จะด่าว่าเขาเป็นคนเลวสักคำยังตัดใจด่าไม่ลง?”

ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจพลางก้าวยาวๆ เดินจากไป “แน่นอนว่าเป็นเพราะคนดี ผีดี เทพที่ดีล้วนรังแกได้ง่ายอย่างไรเล่า เซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างเจ้าถามคำถามเช่นนี้ก็ออกจะซื่อไปสักหน่อยแล้ว!”

ตอนที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูก็ชูสองหมัดขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วโบกแรงๆ จากนั้นถึงได้ก้าวยาวๆ จากไป องค์เทพเคราดกท่านนี้ทิ้งไว้เพียงเสียงทุ้มหยาบที่ดังก้องไปทั่วม่านราตรี “แต่หากไม่ใช่คนโง่ก็คงไม่มีทางเข้ามายังศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็นดั่ง รูหนูรูงูแห่งนี้แล้ว เซียนกระบี่ อย่าตายซะล่ะ! วิถีทางโลกชาติสุนัขนี้ คนดีที่พอจะมีความสามารถเหลือน้อยมากพอแล้ว! หากเจ้าทำอะไรโดยใช้อารมณ์แล้วต้องมาตาย อยู่ในสถานที่เละเทะแห่งนี้จริงๆ ถึงเวลานั้นข้าคงต้องด่าเจ้าแรงๆ สักสองสามคำแล้ว!!”

เฉินผิงอันโยนยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางกระดาษสีทองไปยังทะเลเมฆดำทะมึนที่ กดทับลงมาเหนือเมือง เพื่อลองหยั่งเชิงความตื้นลึกของทัณฑ์สวรรค์

ชั้นล่างสุดของทะเลเมฆถูกยันต์แผ่นนั้นระเบิดจนกลายเป็นรูสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดพอๆ กับศาลเทพอภิบาลเมือง

ทว่าทะเลเมฆที่กลิ้งซัดตลบก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเหลือบมองไป ทะเลเมฆหนาหนักอย่างถึงที่สุด ไม่มีวี่แววว่ายันต์จะสามารถลอดทะลุไปถึงชั้นบนสุดของทะเลเมฆได้เลย

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

มือสองข้างค้ำยันกระบี่ แหงนหน้ามองท้องฟ้า

ภายในระยะหนึ่งร้อยจั้ง สามารถส่งกระบี่แรกออกไปได้

แต่ว่าหากพ้นระยะหนึ่งถึงสองร้อยจั้งมาแล้ว สามารถลองปล่อยหมัดออกไปก่อนได้

หลังจากที่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง

ฟ่านเหวยหรานที่มาหยุดพักค้างแรมอยู่ในเมืองสุยเจี้ยก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นำพาผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้ง รวมไปถึงสั่งให้คนไปเตือนผู้ฝึกตนที่พึ่งพา สำนักของตนให้รีบออกไปจากเมืองสุยเจี้ย มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็ติดค้างน้ำใจนางฟ่านเหวยหรานไม่ใช่น้อยๆ เชื่อว่าหลังจากที่พลังต้นกำเนิดของเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวงบนทะเลสาบ ชางอวิ๋น ก็คงไม่กล้าไม่ควบคุมดวงตาที่อยู่ไม่สุขคู่นั้นของตัวเองเหมือนเมื่อคืน งานเลี้ยงฉลองอีก เพราะเช่นนี้ถึงทำให้เยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกายบรรพจารย์อย่างนาง มีข้ออ้างออกไปจากงานเลี้ยงของวังมังกร บอกว่าจะไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ศาล เทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี หลังจากนั้นมาก็เกิดคลื่นลมมรสุมไม่หยุด พอเยี่ยนชิงมาถึงเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ สภาพจิตใจก็กระวนกระวายไม่สงบสุข

อย่าว่าแต่นางฟ่านเหวยหรานเลย ขนาดผู้ฝึกตนที่เป็นรุ่นหลานของเยี่ยนชิงก็ยังพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

ฟ่านเหวยหรานจึงยิ่งเคียดแค้นเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น กล้าบังอาจมาทำลาย จิตแห่งเต๋าของแม่หนูเยี่ยนข้า! นางเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เซียนท่านนั้นจะแต่งตั้ง ให้เป็นผู้นำตระกูลเซียนของดินแดนเซียนเป่าต้งและภูเขาของหลายสิบแคว้นเชียวนะ หากเยี่ยนชิงสามารถลุกผงาดขึ้นอย่างโดดเด่นได้ในท้ายที่สุด ถึงเวลานั้นดินแดน เซียนเป่าต้งก็จะได้รับวิชาตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ดินแดนเซียนเป่าต้งและนครหวงเยว่ก็เป็นแค่หมากสองตัว ที่ถูกเลือกให้มาอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาของหลายสิบแคว้นอย่างลับๆ เท่านั้น

แม้จะกล่าวว่าต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เหมือนน้ำที่ไม่ถูกกับไฟ แต่ผู้ฝึกตน ของสองฝ่ายที่ตายไปจริงๆ มีสักกี่คน? มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งพวกที่ตายไปยังเป็นพวกที่มองดูเหมือนขอบเขตสูงพอสมควร ทว่าความจริงแล้วกลับไร้ความหวังบน มหามรรคา และคนมากกว่านั้นที่ตายไป อันที่จริงก็ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของสำนัก ที่พึ่งพาพวกเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

เหตุใดตลอดเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา ยุทธภพของหลายสิบแคว้นถึงไม่เคยมี ผู้ฝึกยุทธร่างทองปรากฎตัวเลยแม้แต่คนเดียว? ต้องรู้ว่าท่านสุดท้ายนั้นถูก ศิษย์น้องหญิงของตนและเย่หานร่วมมือกันสังหาร

พวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ทุกวันนี้อวดอ้างบารมีอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ คำว่าปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ คนนี้วิชากระบี่อันดับหนึ่ง คนนั้นวิชาหมัดอันดับหนึ่ง มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนใกล้ตายที่ได้แต่เสวยสุขอย่างสงบ เพราะเนื้อหนังมังสาเน่าเปื่อย ไม่เหลือสภาพดีแล้ว?

ฟ่านเหวยหรานหันหน้ามามองเยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายแล้วยิ้มบางๆ ปีนั้น ศิษย์น้องหญิงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นให้จงได้ แต่ตนกลับรู้ดี เพราะถึงอย่างไรความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ ทั้งนครหวงเยว่และ ดินแดนเซียนเป่าต้งในแต่ละยุคแต่ละรุ่นก็จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่ได้รู้ความลับ ส่วนภูเขาแห่งอื่นๆ กลับไม่มีโอกาสและไม่มีคุณสมบัติจะได้เข้าพบเซียนผู้นั้นเลย

ส่วนเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็โผล่มา และกำลังจะถูกทัณฑ์สวรรค์เล่นงานผู้นั้น หากไม่ระวังต้องตายอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คือดีที่สุด นี่ถือว่าสบาย คนอย่างเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกข้าฟ่านเหวยหรานจับตัวไป เมื่อเทียบกับวิชาลับเฉพาะที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งแล้ว วิชาตะเกียงน้ำของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะนับเป็นวิชาอำมหิต ไร้ปราณีอะไรได้

ดินแดนเซียนเป่าต้งและผู้ฝึกตนของสำนักต่างๆ ที่พึ่งพาพวกเขาล้วนพากัน มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างรวดเร็ว แต่พวกคนที่ไม่สามารถบังคับลม บินทะยานได้ก็ได้แต่อาศัยสองขาวิ่งตะบึงแล้ว หรือหากแย่ที่สุดก็ได้แต่ควบม้าออกจากเมืองไป

หลังจากที่ฟ่านเหวยหรานทะยานลมออกมาจากเมืองสุยเจี้ยก็พลันเอ่ยถามว่า “ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของตำหนักขวานผีที่ไม่ได้ความกลุ่มนั้น ไม่ได้ติดตามพวกเราออกนอกเมืองหรือ?”

ผู้ฝึกตนรุ่นหลังที่ใช้สถานะของกุนซือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ซึ่งตอนนี้อยู่ข้างกายหญิงชราเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านบรรพจารย์ หลังจากที่ ได้ข่าวจากข้าอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รีบเคลื่อนย้ายทันที อ้างว่ามีธุระเร่งด่วนบางอย่างต้องไปจัดการ ข้าไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อจึงออกมาก่อน สุดท้ายสังเกตเห็นว่าพวกเขาพากันมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ออกจากเมืองสุยเจี้ย ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าจะไปรวมตัวกับพวกเราที่ทะเลสาบชางอวิ๋นหรือไม่”

ไฟโทสะพลันแล่นพุ่งขึ้นเต็มอกของฟ่านเหวยหราน ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าดุร้าย “เจ้าคนที่ชื่อตู้อวี๋ผู้นั้นล่ะ? เจ้าเห็นเขาหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยตอบ “เจอพร้อมกับคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมแล้ว แล้วก็จริงอย่าง คำเล่าลือ เขาเป็นพวกที่ดีแต่ทำหน้าเป็น ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอะไรเลย”

ความเคลื่อนไหวทางทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนั้นรุนแรง แต่ผู้ฝึกตนของเมืองสุยเจี้ย ไม่กล้าขยับเข้าไปชมศึกใกล้ๆ เมื่อเป็นการตีกันของเทพเซียนระดับสูงอย่างเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นนี้ ต่อให้เจ้าไปยืนปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง สองฝ่ายที่ เข่นฆ่ากันก็ไม่มีใครรับน้ำใจ โบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งครั้งหรือยกฝ่ามือขึ้นตบ หนึ่งครั้งก็สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นผุยผงได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่วัตถุหนักตระกูลเซียนแต่ละชิ้น เวทตระกูลเซียนแต่ละวิชาล้วนไม่มีดวงตา หากพาตัวเองไป เดินเที่ยวแถวหน้าประตูผี ก็ได้แต่ตายไปอย่างเสียเปล่าเท่านั้น

ดังนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าจึงถามอย่างกังขาว่า “เหตุใดบรรพจารย์จึงถามถึงคนผู้นี้โดยเฉพาะ?”

ฟ่านเหวยหรานสีหน้ามืดทะมึน ไม่ได้เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ แค่หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าตะพาบผู้นี้!”

ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้นได้ เซียนกระบี่ต่างถิ่นแซ่เฉินคนนั้นก็ต้องตายเสียก่อน หรือไม่ก็สูญเสียชีวิตไปเกินครึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้

ตอนที่เยี่ยนชิงบังคับลมบินทะยานก็ได้หันกลับไปมองเค้าโครงร่างที่พร่าเลือนของเมืองสุยเจี้ยแวบหนึ่ง

พอจะมองเห็นได้รำไรว่ามียันต์สีทองเส้นหนึ่งระเบิดทำลายชั้นล่างสุดของ ทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์

เยี่ยนชิงถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ

สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่หนุ่มที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนได้อย่างแม่นยำผู้นั้นก็ยังเป็นคนโง่อยู่ดี

บนยอดเขาเฮยโย่วที่เมื่อเทียบกับทะเลสาบชางอวิ๋นแล้วอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยยิ่งกว่า ในศาลาชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นหยาบๆ บนยอดเขา มีชายวัยกลางคน เรือนกายสูงเพรียวสวมชุดเรียบง่ายธรรมดาเหมือนคนของครอบครัวที่พอจะมีฐานะในหมู่ชาวบ้านทั่วไป เครื่องประดับที่แขวนอยู่บนร่างมีเพียงแผ่นหยกที่ห้อยเอวไว้เท่านั้น

บุรุษยื่นนิ้วออกมาลูบตัวอักษรบนแผ่นหยกเบาๆ ในใจมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย

เหอลู่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ข้างกายเขา เขาปลดขลุ่ยไม้ไผ่สีออกเหลือง เลานั้นลงมา กำลังใช้ผ้าไหมล้ำค่าที่ตระกูลเซียนเป็นผู้ถักทอผืนหนึ่งเช็ดถูทำ ความสะอาดวัตถุอาคมที่รักชิ้นนี้เบาๆ

ชายวัยกลางคนทำเพียงแค่มองไปทางเมืองสุยเจี้ย เมฆดำหนาหนักอย่างที่มิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบค่อยๆ ลดตัวลงจนมองดูเหมือนม่านฟ้าที่พลิ้วตัวปกคลุมลงมายังโลกมนุษย์ ไม่อาจมองเห็นด้านบนสุดของทะเลเมฆได้เลย

ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ฟ้าดินเชื่อมต่อกันอย่าง ไร้สาเหตุ นี่ก็คือพิบัติภัยครั้งใหญ่ของโลกมนุษย์ ท่านเจ้าเมือง หากทัณฑ์สวรรค์นี้ ร่วงลงสู่พื้น ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของภูเขาเฮยโย่วนี่ ข้าว่าคงรักษาไว้ไม่อยู่ ยังคงเป็นหญิงชราแซ่ฟ่านผู้นั้นที่คิดอ่านรอบคอบ ไปสมคบคิดอยู่กับอินโหวแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เรื่องนี้เมื่อเทียบกับพวกเราที่ได้แต่เลือกจ่ายเงินสร้างค่ายกลขึ้นมาบนภูเขาเฮยโย่วแล้ว ก็ถือว่าช่วงชิงโอกาสความได้เปรียบไปก่อนแล้ว”

ผู้เฒ่าผมขาวทุบขาตัวเองพลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ต่อให้คิดจะแย่งเนื้อมาจากปากเสืออย่างพวกเรากับดินแดนเซียนเป่าต้งสองฝ่าย

แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรรอให้สมบัติประหลาดเผยตัวก่อนไม่ใช่หรือ? ทว่าหากเขาสังหารเทพอภิบาลเมืองจริงๆ ทัณฑ์สวรรค์นี้ก็ต้องหมายหัวเขาแทนแล้ว มารดามันเถอะ เขาต้องการอะไรกันแน่? ท่านเจ้าเมือง สมองของข้าไม่ค่อยเฉียบไวนัก ไหนท่านลองบอกมาสิ? เจอกับเรื่องที่ต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจแบบนี้ เทียบกับได้เห็นสาวงามล่มบ้านล่มเมืองทั้งยังปากร้ายแล้วยังคันคะเยอในใจยิ่งกว่า”

บุรุษที่อยู่ในศาลาก็คือเย่หานเจ้านครหวงเยว่

เย่หานกล่าว “เซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งบุกเข้ามาร่วมสถานการณ์ อันที่จริงกระดานหมากก็ยังคงเป็นกระดานหมากอันเดิม สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปไม่มาก เรื่องไม่คาดฝันที่ตบะของคนผู้นี้นำพามาล้วนจะต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ลดทอนไปพอสมควร สิ่งที่ข้าเป็นกังวลหาใช่คนผู้นี้ไม่ แล้วก็ไม่ใช่ฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง แต่เป็นคนต่างถิ่นหลายคนที่เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ซึ่งทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาผู้นี้แล้วก็เรียกได้ว่าลับๆ ล่อๆ กว่ามาก ตอนนี้ข้าแค่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกของแคว้นอิ๋นผิงผู้นั้น ถือเป็นหนึ่งในนั้น”

พอผู้เฒ่าผมขาวได้ยินคำว่าปีศาจจิ้งจอก ความสนใจก็ผุดพุ่งขึ้นมาทันที “ฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงที่เป็นดั่งน้ำไหล ฮองเฮาที่เป็นดั่งเหล็กกล้า ฮ่าๆ น่าสนุกจริงๆ ที่แท้ก็มาจากต่างถิ่นเหมือนกัน ข้าก็ว่าแล้วว่าน้ำและดินของหลายสิบแคว้นพวกเรานี้ไม่อาจเลี้ยงจิ้งจอกฟ้าห้าร้อยหางตัวหนึ่งได้หรอก”

เย่หานส่ายหน้า “นางอำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำ อันที่จริงนางคือปีศาจจิ้งจอกขอบเขตโอสถทองที่มีหกหางตัวหนึ่ง ข่าวนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของนครหวงเยว่เราต้องใช้ชีวิตแลกมา”

ผู้เฒ่าผมขาวเดาะลิ้น “ถ้าอย่างนั้นเวลาข้าเจอนางคงต้องเดินอ้อมไปไกลแล้ว มารดามันเถอะ ขอบเขตโอสถทอง! นั่นก็ไม่ต่างจากท่านเจ้าเมืองเลยน่ะสิ?!”

เหอลู่ทำเพียงแค่เช็ดขลุ่ยไม้ไผ่ สำหรับความลับที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่บนภูเขาเหล่านี้ เขาไม่ค่อยสนใจนัก

เย่หานส่ายหน้ากล่าวว่า “ผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันก็มีความต่างราวฟ้ากับดิน ปีศาจจิ้งจอกสามารถล่อลวงคนธรรมดาได้ แน่นอนว่าต้องได้รับเงื่อนไขพิเศษ ที่เอื้ออำนวย แต่หากจะพูดถึงการลงสนามรบเข่นฆ่า กลับเป็นเรื่องที่ปีศาจจิ้งจอก ไม่เชี่ยวชาญเลย ข้าไม่คิดว่านางจะสามารถเอาชนะฟ่านเหวยหรานได้ แต่ในเมื่อ มาจากต่างถิ่น ก็แสดงว่าต้องมีสมบัติอาคมที่พิเศษชิ้นสองชิ้นติดตัว ข้ากับ ฟ่านเหวยหรานจับคู่ต่อสู้กัน โอกาสชนะมีไม่มาก แต่หากคิดจะสังหารมัน กลับไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝันเลย”

เย่หานหันมายิ้มเอ่ย “หากมีโอกาส แล้วกระบี่เล่มที่คนต่างถิ่นผู้นั้นสะพายไว้บนหลังตลอดเวลาคือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งจริงๆ หลังจบเรื่องข้าสามารถลองช่วงชิงมาดูได้ ดูสิว่าจะสามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยน แล้วนำมามอบให้เจ้าได้หรือไม่”

ผู้เฒ่าผมขาวรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ “ท่านเจ้าเมืองจะเอาสิ่งของอะไรไปแลกเปลี่ยน? อีกอย่าง อยู่ที่นี่ ท่านผู้อาวุโสยังต้องช่วงชิงอะไรอีกงั้นหรือ?”

เย่หานส่ายหน้า “เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย”

ได้ยินคำสัญญาจากเจ้านครหวงเย่ ดวงตาเหอลู่ก็เป็นประกายวาบ ทันใดนั้น เมื่อหางตาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหลือบไปมองยังทิศทางของเมืองสุยเจี้ย สายตาของเขาก็เหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกตัดจึงยิ่งสว่างไสวมากกว่าเดิม

เย่หานส่ายหน้า “เลิกคิดได้แล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้ามีความคิดที่เกินความจำเป็นใดๆ”

สีหน้าของเย่หานพลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจ เอ่ยว่า “เหอลู่ ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ข้าขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ แม้จะบอกว่าพรสวรรค์และโชควาสนาของเจ้าดีกว่าเยี่ยนชิงหนึ่งระดับ ได้ติดตามข้าไปพบ ท่านเซียนที่จวนเซียน แม้ว่าท่านเซียนจะไม่ได้ปรากฏตัวด้วยตัวเอง เพียงแค่สั่งให้ คนมารับรองเจ้าและข้า แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว และนี่ก็เท่ากับว่าเจ้าเดินนำอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนชิง ทว่าการฝึกตนบนภูเขา ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จก็ยิ่งต้องขยันหมั่นเพียร ความต่างเพียงแค่หนึ่งขอบเขต สองฝ่ายก็ไม่ต่างจากฟ้ากับเหว ดังนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งของจวนเซียนที่อาศัยว่ามีท่านเซียนช่วยหนุนหลังให้ ถึงยังกล้า ตวาดข้าอย่างไม่เคารพ สมบัติประหลาดชิ้นนั้นได้เปิดเผยรากฐานให้เจ้าเห็นแล้วว่าเป็นตัวอ่อนกระบี่ชิ้นหนึ่ง ตัวอ่อนกระบี่บนโลกก็มีแบ่งแยกคนและวัตถุเช่นกัน ฝ่ายแรกนั้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งหรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังก็ยิ่งมหัศจรรย์ สามารถทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่คนหนึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ได้ สมบัติประหลาดที่พันปีก็ยากจะพานพบประเภทนี้ ต่อให้ข้าเย่หานแย่งชิงมาได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วนำมามอบให้เจ้า เจ้าก็ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า เจ้าเหอลู่รับไว้แล้ว จะรักษาไว้ได้หรือไม่?”

เหอลู่ผูกขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่เอวเหมือนเดิม ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างนอบนอม “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”

บนภูเขาลูกหนึ่งทางทิศเหนือนอกเมืองสุยเจี้ย

ชายฉกรรจ์พกดาบที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่างหันกลับไปมองทางศาลเทพอภิบาลเมือง

ตู้อวี๋ไม่เข้าใจ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เข้าใจ

เหตุใดผู้อาวุโสที่คิดคำนวณถึงจิตใจคนและวางแผนได้รอบคอบที่สุดท่านนั้นถึงได้วู่วามขนาดนี้

ชีวิตคนธรรมดาแค่ไม่กี่หมื่นกี่แสนคน จะนำมาเปรียบเทียบกับตบะและชีวิตของท่านผู้อาวุโสที่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งได้อย่างไร?

คำพูดที่ผิดทำนองคลองธรรมเช่นนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมายืนอยู่ตรงหน้าตนตอนนี้ เขาตู้อวี๋ก็ยังกล้าตะโกนออกมาเสียงดัง ต่อให้ต้องถูกตบจนอาการสาหัสปางตาย หรืออาจถึงขั้นถูกกักขังอยู่ในกรงวิญญาณ เขาตู้อวี๋ก็ยังต้องเอ่ยถาม

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้

ทะเลเมฆลดระดับลงมา ราวกับว่าท้องฟ้าจะสัมผัสกับพื้นดิน

นอกจากผู้ฝึกตนที่อยู่สองตำแหน่งอย่างวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นและศาลาบนภูเขาเฮยโย่วที่ฟ่านเหวยหรานและเย่หานต่างก็จ่ายค่าตอบแทนจนสามารถใช้ วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายได้แล้ว สิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของฝ่ายต่างๆ ที่แตกฮือราวกับนกแตกรังมองเห็น ก็ยังเทียบกับคนธรรมดาในหมู่ชาวบ้านที่ถูกกำหนดมาว่าทั้งชีวิตจะเป็นคน ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในเมืองสุยเจี้ยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ทว่าต่อให้เป็นฟ่านเหวยหรานและเยี่ยนชิงที่อยู่ข้างกาย หรือเย่หานและเหอลู่ที่อยู่ข้างกายก็ยังได้แค่มองเห็นฟ้าดินในพื้นที่แคบๆ ที่ห่างจากพื้นดินร้อยจั้ง ห่างจากทะเลเมฆร้อยจั้งเท่านั้น

มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งขี่กระบี่ออกหมัดใส่ทะเลเมฆไม่หยุด

หลังจากที่ทะเลเมฆยังคงลดระดับลงต่ำจนกระทั่งอยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ยหนึ่งร้อยจั้ง

ฟ่านเหวยหรานและเย่หานก็สลายวิชาอภินิหารไปแทบจะเวลาเดียวกัน ทั้งคู่ต่างก็หน้าซีดขาวเล็กน้อย

ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งที่ผุดขึ้นจากโลกมนุษย์ แล้วพุ่งกรีดแหวกตลอดทั้งทะเลเมฆจากเหนือจรดใต้ในเสี้ยววินาที

หลังจากนั้นพื้นที่ตลอดทั้งเมืองก็มีเพียงเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แสงกระบี่ล้อมวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ปะปนไปด้วยแสงสว่างจ้าจากยันต์ที่ผุดขึ้นแล้วก็วาบหายไปเป็นระลอก

เมื่อฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบสงัดในที่สุด ทะเลเมฆที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย ก็ค่อยๆ สลายหายไป

ในคุกของที่ว่าการแห่งหนึ่งในเมืองสุยเจี้ยมีแสงกระบี่ประหลาดสีดำสนิทยิ่งกว่าม่านฟ้ายามราตรีเสี้ยวหนึ่งแหวกทะลุพื้นดินออกมา ลากเส้นสีดำที่ยาวมากเส้นหนึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็พุ่งจากไป

เย่หานที่อยู่ในศาลาบนภูเขาเฮยโย่วและฟ่านเหวยหรานที่อยู่ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นเกิดใจตรงกันขึ้นมาอีกครั้ง ออกคำสั่งในเวลาเดียวกัน เตรียมจะไปแย่งชิงสมบัติประหลาดที่ในที่สุดก็เผยกายบนโลกชิ้นนั้น

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากแต่ละฝ่ายที่มีจำนวนหลายร้อยหลายพันคน ผู้ฝึกตนอิสระที่พยายามจะเก็บของดี ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่พึ่งพาผู้ฝึกลมปราณต่างก็กรูกันออกมาเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนวสันตฤดู พากันไล่กวดเส้นสีดำนั้นไป และพอเส้นสีดำบินออกไปได้ในระยะร้อยลี้กว่า ก็พลันถูกลิงน้อยตัวหนึ่งกลืนลงท้อง ก่อนที่ผู้เฒ่าจะเก็บมันซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเริ่มเผ่นหนี

การไล่ฆ่าและศึกวุ่นวายได้เปิดฉากขึ้น ณ บัดนี้

มีเพียงผู้ฝึกตนตำหนักขวานผีไม่สะดุดตาคนหนึ่งที่วิ่งตะบึงไปทางเมืองสุยเจี้ย

เห็นเพียงว่าสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในเมืองสุยเจี้ยที่สูงเกินเจ็ดจั้ง รวมไปถึงกำแพงเมืองล้วนเหมือนถูกมีดปาดออกจนราบเรียบ

ชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะผู้นี้กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังไม่ได้เข้าไปในเมืองทันที แต่เดินเลียบวนรอบหัว กำแพงเมืองไปหนึ่งรอบ เส้นสายตามองไปเห็น ดูเหมือนว่าทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองจะกลายเป็นซากปรักแห่งหนึ่งแล้ว หอเรือนสูงหลายแห่งของตระกูลคนรวย ต่างก็ล้มครืนลงมากองอยู่กับพื้น ในเมืองสุยเจี้ยเต็มไปด้วยเสียงดังจอแจแทรกซอนไปด้วยเสียงตะโกนเสียงแผดร้องของผู้คนนับไม่ถ้วนดังขึ้นๆ ลงๆ แทบจะทุกบ้านล้วน จุดตะเกียง คาดว่านับตั้งแต่วันแรกที่เมืองสุยเจี้ยถูกสร้างขึ้นมา คงไม่มีคืนใดที่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนยากจนหรือร่ำรวยจะจุดไฟพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย จนทำให้ ทั้งเมืองสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวันเช่นนี้

ตู้อวี๋กัดฟัน ไม่กล้าบังคับลมบินทะยาน เขาเก็บเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน นำเม็ด เสื้อเกราะใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถึงได้แอบกระโดดลงจากหัวกำแพง แล้วก็ไม่กล้าเดินไปบนถนนใหญ่ เพียงแค่เลือกถนนเส้นเล็กตามตรอกซอกซอย วิ่งตะบึงไปที่ ศาลเทพอภิบาลเมือง

ตลอดทางมีเสียงเด็กร้องไห้ให้ได้ยินไม่ขาดสาย สตรีแต่งงานแล้วพยายามปลอบโยน ส่วนบุรุษชายฉกรรจ์ก็ผรุสวาทเสียงดัง พวกคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่ สวดมนต์อยู่ในบ้านของตัวเอง เสียงเคาะปลาไม้ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ พวกอันธพาลในท้องที่บางคนที่ใจกล้าสักหน่อยก็ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ หมายจะหาโอกาสรวยทางลัดให้ตัวเอง

ตระกูลคนมีเงินเริ่มติดแผ่นยันต์ที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากวัดวาอารามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยันต์แบบไหนก็ขอให้ได้ติดไปก่อนค่อยว่ากัน

มาถึงถนนใหญ่ด้านนอกศาลเทพอภิบาลเมือง ตู้อวี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปข้างใน เห็นเพียง… คนผู้หนึ่งที่…เลือดเนื้อเละเทะพร่าเลือน มองไม่เห็นก้อนเนื้อดีๆ แม้แต่ก้อนเดียว มือทั้งสองข้างยันกระบี่ ยืนอยู่ที่เดิม

ตู้อวี๋มองกระบี่ยาวที่แสงสีทองหม่นหมองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างแรง จากนั้น ก็ตบบ้องหูตัวเองหลายๆ ที ก่อนจะยกสองมือขึ้นพนม พูดเสียงเบาด้วยสีหน้า เด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโส วางใจเถอะ เชื่อข้าตู้อวี๋สักครั้ง ข้าเพียงแค่จะแบกท่านไปยังพื้น ที่ที่เงียบสงบ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้รั้งรออยู่นาน!”

ตู้อวี๋รออยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสไม่พูดอะไร ข้าก็จะถือว่าท่านตอบตกลงแล้วนะ?!”

สุดท้ายตู้อวี๋ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนึ่งคนหนึ่งกระบี่นั้น

ทรุดตัวลงนั่งยองจะแบกผู้อาวุโสขึ้นหลังไป

ตู้อวี๋จึงไม่ได้เห็นภาพที่มากพอจะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเขาให้แหลกสลายได้

ผู้อาวุโสที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนผู้นั้นค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ นิ้วมือขยับเล็กน้อย

จุดสูงบนม่านฟ้า ผู้ฝึกตนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ทะยานลมมาหยุดลอยตัวลังเลอยู่ชั่วขณะก็เลือกที่จะจากไป

ตู้อวี๋ตบศีรษะตัวเอง นึกขึ้นได้ว่ากระบี่เล่มนี้ค่อนข้างจะเกะกะ เขาจะแบกอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ตู้อวี๋คิดจะแงะนิ้วทั้งสิบของผู้อาวุโสออกเบาๆ แต่นิ้วของอีกฝ่ายกลับไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ตู้อวี๋หน้าม่อย แบบนี้จะทำอย่างไรดี

นิ้วของตู้อวี๋เพียงแค่สัมผัสกับด้ามกระบี่เบาๆ ร่างทั้งร่างก็ถูกดีดออกไป จิตวิญญาณสะเทือนไหว ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างในเสี้ยววินาที ไม่เป็นรองตอนที่ผู้อาวุโสใช้พายุหมัดพัดผ่านสามจิตเจ็ดวิญญาณเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลสุ่ยเซียนของจ้าวแห่งคูน้ำเสาซีก่อนหน้านี้เลย

ตู้อวี๋ดิ้นรนลุกขึ้นยืน กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สีหน้าซีดขาว พอแบมือออก ก็เห็นว่านิ้วข้างนั้นเกือบจะไหม้เกรียมเป็นถ่านดำ

แล้วจู่ๆ กระบี่เล่มนั้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยตัวเอง ขยับออกห่างมือทั้งสองของ ผู้อาวุโส บินกลับเข้าไปสอดในฝักด้านหลังผู้อาวุโสเบาๆ

ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศซึ่งใช้วิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ มองมายังซากปรักหักพังแห่งนี้ต่อถอนหายใจเบาๆ ราวกับรู้สึกเสียดายอย่างมาก แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

ตู้อวี๋ถึงได้สามารถแบกคนเลือดที่ทั่วร่างล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น ราวกับว่าถูกแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่งชอนไชจนเป็นรูไปทั่วทั้งตัวไปด้วยกันได้ เขาเดินไปตามตรอกซอกซอยแคบๆ บ้างก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพง สุดท้ายกว่าจะพบเจอ เรือนผุพังที่ไร้คนอยู่อาศัยหลังหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตู้อวี๋ยกเท้าถีบห้องเล็กที่ เต็มไปด้วยหยากไย่ให้เปิดออก เดิมคิดว่าจะวางผู้อาวุโสร่างโชกเลือดด้านหลังตนไว้บนเตียง แต่พอเห็นว่าเตียงไม้ผุเก่าหลังนั้นไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืน บนเตียงเต็มไป ด้วยฝุ่น เขาก็จึงได้แต่ใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้โยกที่ใกล้พังตัวหนึ่งมา วางผู้อาวุโสลงบนเก้าอี้ที่ส่งเสียงดังออดแอด แล้วตู้อวี๋ที่บนร่างก็เต็มไปด้วยคราบเลือดเช่นกันก็หยิบเอา ขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างมือของคนผู้นั้นเบาๆ ตู้อวี๋ถอยหลังไปหลายก้าว เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋กลัวตาย กลัวตายมากจริงๆ คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”

ตู้อวี๋ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หากผู้อาวุโสยังไม่ตาย แต่ถ้าในขณะที่ผู้อาวุโสพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่แล้วตู้อวี๋ถูกคนจับได้ ข้าก็คงจะยังบอกที่อยู่นี้แก่พวกเขาอย่างชัดเจน”

คนที่อยู่บนเก้าอี้เงียบสงบเหมือนตายไปแล้ว

ตู้อวี๋กุมหมัดคารวะ เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงเบาๆ

ในสมองตู้อวี๋เหมือนมีแต่แป้งเปียก เดิมทีคิดจะหนีออกไปจากเมืองสุยเจี้ยในรวดเดียว กลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ที่ตำหนักขวานผีก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่ว่าพอเดินออกมานอกห้อง ถูกลมเย็นๆ พัดโชยมาสติก็พลันแจ่มใส

ไม่เพียงแต่ไม่สามารถย้อนกลับไปตำหนักขวานผีได้เพียงลำพัง เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนก็คือกลับไปลบรอยเลือดที่หยดตามทางมาเป็นระยะนั่น! นี่เป็นทั้งการช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองด้วย! หลังจากตู้อวี๋ตัดสินใจได้แล้วก็ไม่เหลือความลังเลอีก ในขณะที่แอบไปจัดการกับร่องรอยอย่าง เงียบเชียบ ตู้อวี๋ยังเริ่มตั้งสมมติฐานว่าหากตนเป็นผู้อาวุโสคนนั้น เขาควรจะจัดการกับสภาพการณ์ของตัวเองในเวลานี้อย่างไร

หลังจากที่ตู้อวี๋ปิดประตูเดินจากไปแล้ว

คนที่ร่อแร่ใกล้ตายอยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ ลืมดวงตาที่มืดลึกคู่นั้นขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง

หลังจากฟ้าสว่าง

ขุนนางน้อยใหญ่ ครอบครัวเศรษฐีและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองสุยเจี้ยก็ เริ่มง่วนทำงานยุ่งวุ่นวายด้วยความกระวนกระวาย

หลังจากที่พวกเขาทยอยกันได้ยินเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ศาล เทพอภิบาลเมือง ก็ไม่รู้ว่าเล่าลือกันไปอย่างไร ถึงได้กลายเป็นว่าศาลเทพอภิบาลเมืองช่วยต้านรับทะเลเมฆที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่แน่ชัดนั้นแทนพวกเขา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองเจอกับหายนะ ชั่วขณะนั้นก็มีชาวบ้านกรูกันไปจุดธูปโขกหัวกราบไหว้ซากปรักของศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างต่อเนื่อง ธูปในร้านขายธูปบนถนนเส้นใหญ่ล้วนถูกคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยง และยังมีคนอีกหลายคนที่เกิดเหตุวิวาทกันเพราะแย่งชิงธูป

สถานการณ์ที่ศาลเทพอัคคีก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ศาลทั้งศาลพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี เทวรูปดินเผาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอัคคีก็ร่วงแตก เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายอยู่ บนพื้น

สองวันต่อมา

เมืองสุยเจี้ยก็มีคนแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกหลายคน ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เจ้าเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่เดิมทีเศร้าเสียใจเหมือนบิดาตายก็ไม่เหลือสภาพอับจนหนทางดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อนอีก ใบหน้าของเขาแดงปลั่งอิ่มเอิบ สั่งให้เสมียน ขุนนาง คนทุกคนไปตามหาคนหนุ่มชุดเขียวที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด ในมือของแต่ละคนล้วนมีภาพเหมือนหนึ่งภาพ ว่ากันว่าเขาคือโจรชั่วนิสัยเลวทราม คนหนึ่งที่ผ่านทางมา ยิ่งทุกคนได้เห็นภาพเหมือนของเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นคนเลวอย่างแน่นอน บวกกับที่จวนเจ้าเมืองจ่ายเงินรางวัลอย่างหนัก ขอแค่มีเบาะแสร่องรอยของคนผู้นี้ เงินรางวัลก็มากถึงทองร้อยก้อน หากสามารถพาเขามายังที่ว่าการได้ ท่านเจ้าเมืองก็สามารถช่วยแนะนำส่งเสริมด้วยตัวเอง จนกระทั่งคนผู้นั้นได้รับตำแหน่งขุนนาง! เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เพียงแต่จวนของที่ว่าการเท่านั้น ตระกูลคนรวยหลายแห่งที่ข่าวสารว่องไวก็เห็นเรื่องนี้เป็นงานดีที่สามารถลองเสี่ยงโชคดูได้ แต่ละครอบครัวจึงพากันส่งตัวบ่าวรับใช้ทั้งหมดออกมาระดมพลกันค้นหา

ไม่เพียงแต่เมืองสุยเจี้ยเท่านั้น ที่ว่าการของเมืองรอบๆ ก็เริ่มทำการค้นหาตามจับคนผู้นี้ขนานใหญ่เช่นกัน

หนึ่งวันผ่านไป ชาวบ้านของเมืองสุยเจี้ยต่างก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดของเรื่องราวในครั้งนี้

บนท้องฟ้าและในเมืองมีเทพเซียนขี่เมฆทะยานหมอกในตำนานปรากฏตัวขึ้นเยอะมาก

พอเห็นพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรีหรือคนชราที่อยู่ตามมุมต่างๆ ของเมือง ต่างก็พากันคุกเข่าโขกหัวคำนับพวกเขา

ทว่าท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ ในศาลเทพอัคคี ชายฉกรรจ์เคราดกที่รูปโฉมเหมือนกับเทวรูปพลันเผยกาย เรือนกายสูงหลายสิบจั้ง อาศัยควันธูปของเมื่อ หลายวันก่อนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

พอจะฝืนดึงลมปราณเฮือกสุดท้ายเผยร่างจริงในช่วงเวลาคับขันที่ร่างทองโงนเงนใกล้จะปริแตก ตะโกนเสียงดังเล่าถึงวีรกรรมที่เต็มไปด้วยคุณธรรมของเซียนกระบี่ ผู้นั้น! บอกว่าเขาไม่ใช่คนต่างถิ่นชั่วร้ายที่ชักนำภัยมาสู่ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือนำพาหายนะจากสวรรค์มาสู่เมืองสุยเจี้ยอย่างแน่นอน!

ถ้อยคำที่รัวเร็วเร่งร้อนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีท่านนี้พลันดังก้องไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย

พวกชาวบ้านหันมามองหน้ากันเอง ใต้เท้าเจ้าเมืองที่อยู่ในจวนที่ว่าการก็ยิ่งอับอาย จนพานเป็นความโกรธ

เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาพูดไปมากกว่านั้นก็มีสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งพุ่งจากจุดที่ ห่างไปไกลแสนไกลมาถึงเมืองสุยเจี้ย แล้วระเบิดใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเทพอัคคี แห่งนี้ดังสนั่นหวั่นไหว

ร่างทองของชายฉกรรจ์เคราดกระเบิดแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนจะกลายเป็นจุดแสงสีทองที่กระจัดกระจายไปสี่ทิศ

สมบัติอาคมชิ้นนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พุ่งเข้าทุบทำลายศาลเทพอัคคีทั้งแห่งจนพังพินาศ

ยามสนธยาของวันนี้ บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีขาว ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดคนหนึ่งเดินไปยังเรือนผีแห่งนั้น เขาเปิดประตูออกแล้วปิดลง

กลางม่านราตรี เขาที่มือข้างหนึ่งถือพัดไม้ไผ่นั่งดื่มเหล้าชมจันทร์อยู่บนหลังคาเรือน สุดท้ายก็เมาหลับไปทั้งอย่างนั้น

คนผู้นี้นอกจากสีหน้าจะซีดขาวเล็กน้อยแล้ว เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาชาวบ้าน ก็สมกับเป็นเจ๋อเซียนอย่างแท้จริง

พอเขาปรากฏตัว ผู้ฝึกลมปราณแทบทั้งหมดในเมืองก็พากันถอยหายกระจายตัวเหมือนกระแสน้ำลง

เพราะมีผู้ฝึกตนสองคนที่คิดลองของแอบขยับเข้าไปใกล้เรือนผีในกลางดึกคืนหนึ่ง เพิ่งจะขยับเข้าใกล้กำแพงที่โอบล้อมเรือนก็ถูกแสงกระบี่สองจุดแทงทะลุศีรษะ ตายคาที่ทันที

วันต่อมาคนผู้นั้นก็ไปที่ศาลเทพอัคคี จุดธูปสามดอก หลังจากนั้นก็ย้อนกลับไปยังเรือนผีที่กลิ่นอายวังเวงแผ่ปกคลุม

วันนี้เรือนผีมีแขกที่ค่อนข้างสะดุดตาโผล่มาเพิ่มอีกคนหนึ่ง

เขาก็คือตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี

ในลานกว้างของเรือนผี เซียนกระบี่ชุดขาวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ตู้อวี๋ที่หน้าม่อยยืนอยู่ด้านข้าง “ผู้อาวุโส คราวนี้ข้าต้องตายจริงๆ แน่! เหตุใดต้องรั้งตัวข้าไว้ที่นี่ด้วย ข้าก็แค่มาเพื่อดูว่าผู้อาวุโสปลอดภัยหรือไม่ก็เท่านั้น”

คนผู้นั้นโบกพัดไม้ไผ่เบาๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มประหลาดที่ทำให้ตู้อวี๋รู้สึก ไม่คุ้นเคย เขาเอ่ยช้าๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “หากวันนี้เจ้าจากไป นั่นต่างหากถึงจะต้องตายอย่างแท้จริง”

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น

เย่หานเจ้านครหวงเยว่กลับมานั่งอยู่ตรงกันข้ามกับฟ่านเหวยหรานแห่ง ดินแดนเซียนเป่าต้งที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน

ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายและกลุ่มอิทธิพลที่พึ่งพาพวกเขายืนขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวา โดยเรียงลำดับตามขอบเขตสูงต่ำ และกองกำลังของภูเขาว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่วังมังกรมีผู้ฝึกตนตระกูลเซียนปรากฏตัวพร้อมกันมากขนาดนี้

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตำแหน่งประธาน แต่นั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างเกียจคร้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสามฝ่ายต่างนั่งอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน

เยี่ยนชิงและเหอลู่ต่างก็แยกกันนั่งอยู่ข้างกายฟ่านเหวยหรานและเย่หานพอดี

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยเรื่องหนึ่งกันสำเร็จแล้ว

ในเมื่อสมบัติประหลาดชิ้นนั้นถูกสหายของเซียนกระบี่แซ่เฉินแย่งเอาไป อีกทั้งเซียนกระบี่ผู้นี้ยังบาดเจ็บสาหัสจนจำต้องรั้งรออยู่ต่อที่เมืองสุยเจี้ย ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลให้ปล่อยเขามีชีวิตรอดออกไปจากเมืองสุยเจี้ย ทางที่ดีที่สุดคือควรจะ ฆ่าเขาทิ้งตั้งแต่ในเมืองสุยเจี้ยเสีย

ตามคำบอกของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น นอกจากคนผู้นี้จะสะพายศาสตราวุธเทพไว้บนหลังแล้ว บนร่างยังมีสมบัติหนักอีกหลายชิ้น มากพอจะให้ทุกคนที่ร่วมกันล้อมโจมตีเขาแบ่งน้ำแกงกันไปคนละถ้วย!

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรจะส่งใครไปหยั่งเชิงอาการบาดเจ็บของคนผู้นี้? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเศษสวะห้าขอบเขตล่างที่ตายไปก็ยังไม่รู้ตัวสองคนนั้นไม่ได้เรื่อง เจ้านครเย่ นครหวงเยว่ของเจ้ามีคนมากมายขนาดนี้ ไม่สู้เจ้าออกแรงให้มากสักหน่อย?”

ผู้ฝึกตนทางฝั่งของเย่หานเริ่มตบโต๊ะสบถด่าอย่างเดือดดาล

การช่วงชิงสมบัติประหลาดในครั้งนี้ ระหว่างที่ไล่ฆ่าผู้เฒ่าต่างถิ่นซึ่งเก็บซ่อน ลิงน้อยตัวนั้นเอาไว้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันขึ้นหลายครั้ง อันที่จริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก

เหอลู่พลันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนที่ตบะไม่สูงพอ และยังมีพวกผู้ฝึกยุทธที่ฝีมือยิ่งไม่ได้เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่อาจหยั่งเชิงน้ำหนักของคนผู้นี้ได้เลย ในความเป็นจริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าต่อให้ตัวข้าไปเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดตรงกลางระหว่างสองฝ่ายยิ้มเอ่ยว่า “ไอ้หมอนั่นมีความคิดละเอียดรอบคอบ วิธีการที่ใช้ก็เจ้าเล่ห์แยบยล ลงมืออำมหิต ไร้ปราณี คือพวกคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยที่สุด ทะเลสาบชางอวิ๋นของข้าในเวลานี้ มีสภาพน่าสงสารแค่ไหน พวกเจ้าก็ล้วนได้เห็นกันแล้ว คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูด กันก่อน ข้าแค่มอบสถานที่ให้พวกเจ้าสองฝ่ายได้ปรึกษาหารือกันเท่านั้น อย่าให้ข้าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวเปลือกไปหนึ่งกำมือเลย หากเขายังมีพละกำลังเหลือ แล้วสืบสาวเบาะแสจนมาพบข้า พวกเจ้าหนีไปแล้ว แต่ข้ากลับต้องจบเห่แน่นอน”

เหอลู่ใช้ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือตีลงบนฝ่ามืออีกข้างเบาๆ “หากคิดจะหยั่งเชิงคนผู้นี้จริงๆ ก็ไม่สู้สังหารตู้อวี๋เสีย ไม่เพียงแต่ลดทอนความยุ่งยาก ยังใช้ได้ผลอีกด้วย ถึงเวลานั้นโยนศพตู้อวี๋ไปไว้นอกเมืองสุยเจี้ย พวกเราสองฝ่ายโยนอคติทิ้งไป ร่วมมือกันอย่างซื่อสัตย์จริงใจ จัดวางค่ายกลไว้ที่นั่นให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็แค่เฝ้าตอรอกระต่าย ก็พอ”

ฟ่านเหวยหรานตบโต๊ะ หัวเราะร่าเสียงดัง “ไม่เคยมองเด็กอย่างเจ้าแล้วสบายตาเท่าตอนนี้มาก่อน เอาตามความคิดของเจ้านี่แหละ!”

หญิงชราย้ายสายตาไปอีกทาง “เจ้านครเย่ คิดว่าอย่างไร?”

เย่หานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ

เยี่ยนชิงหลุบสายตาลงต่ำ ขนตากระพือเบาๆ

คืนนั้น

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ข่าวก็หันมามองหน้ากันเอง

สีหน้าของเหอลู่ก็ยิ่งนิ่งสนิทราวกับผิวน้ำ

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเองก็หัวเราะไม่ค่อยออก

รู้สึกว่าการที่ครั้งนี้ตนเป็นพ่อสื่อช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้สองฝ่าย คิดผิดไปหรือเปล่า? ขออย่าให้กลายเป็นว่าเทพลำคลองเทพแห่งคูน้ำตายไปเกือบหมดแล้วยังต้องถูกคนใช้หนึ่งกระบี่มาแทงปั่นรังเก่าแห่งนี้ให้เละเทะอีกเลย

เย่หานเอ่ยเสียงเบา “บาดเจ็บถึงกระดูกและเส้นเอ็นต้องรักษาตัวหนึ่งร้อยวัน คนธรรมดาเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็มีแต่จะยิ่งยุ่งยาก ในเมื่อเซียนกระบี่ผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสปานนั้น พวกเราค่อยๆ วางแผนกันไปได้”

ปีนี้ตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยผ่านด่านสิ้นปีไปได้อย่างราบรื่น แต่วันที่สามสิบของสิ้นปี กลับไม่มีบรรยากาศของความรื่นเริงเป็นมงคลอยู่แม้แต่น้อย การเดินทางไป เยี่ยมเยือนสวัสดีปีใหม่ในเดือนแรกของปีก็ยิ่งมีแต่ความอึดอัด แต่ละคนพร่ำบ่น ไม่หยุดปาก

ดังนั้นบางคนที่เดิมทีไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักก็เริ่มขุ่นเคืองไม่พอใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว

ภายหลังทางแถบของเรือนผีก็เริ่มมีบุคคลที่แต่งกายเหมือนชาวบ้านธรรมดาปรากฏตัว

ยิ่งเป็นช่วงหลัง เงาร่างของผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมาพวกชาวบ้านตัวจริงก็พากันมามุงดู ซุบซิบพลางชี้ไม้ชี้มือใส่

หลังจากที่มีเด็กคนหนึ่งขว้างก้อนหินเข้าไปในเรือนผีแล้วเริ่มด่า เหตุการณ์ก็อยู่เหนือการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิง

คำวิพากษ์วิจารณ์ล้วนเป็นเสียงตำหนิอย่างไม่พอใจ จากแรกเริ่มที่ถูกคนอื่นยุแยง มาถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความรู้สึกที่เกิดจากใจจริงของทุกคน

ตำหนิเซียนกระบี่ผู้นั้นว่าในเมื่อมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงยังต้องทำร้ายให้เมืองสุยเจี้ยสูญเสียทรัพย์สมบัติของมีค่าไปมากมาย?

ตู้อวี๋ที่นั่งฟังอยู่ในมุมกำแพงเรือนโมโหจนอกแทบระเบิด

หลังจากเดินก้าวยาวๆ กลับมาอยู่ข้างกายผู้อาวุโส นั่งแปะลงไปบนม้านั่งตัวเล็กแล้ว สองมือของตู้อวี๋ก็กำเป็นหมัด กล่าวด้วยความอัดอั้นเหลือแสน “ผู้อาวุโส หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ขว้างก้อนหินเลย ถูกคนสาดขี้ใส่ก็คงเป็นเรื่องปกติ จะไม่ให้ข้าออกไปจัดการจริงๆ หรือ?”

บุรุษชุดขาวที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ยังคงโบกพัดไม้ไผ่เบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “วันนี้เป็นวันอะไรแล้ว?”

ส่วนกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มนั้นก็ถูกเขาโยนไว้ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างไม่ใส่ใจ

ผู้อาวุโสคนนี้ก็ช่างเลินเล่อใจใหญ่เหลือเกิน ไปตัดเอาไม้ไผ่เขียวจากสวนไผ่มา แล้วก็ทำเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนี้ด้วยตัวเอง วันๆ ก็เอาแต่นอนหลับอยู่ตรงนี้

อีกอย่างพออยู่ร่วมกันนานวันเข้า ตู้อวี๋ก็รู้สึกว่าคนตรงหน้ากับผู้อาวุโสที่ได้รู้จักกันในช่วงแรกเริ่มสุด ไม่อาจพูดได้ว่าแตกต่างราวกับเป็นคนละคน แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน

หลังจากตู้อวี๋ได้ยินคำถามของผู้อาวุโสก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะนับนิ้วคำนวณ “ผู้อาวุโส คือวันที่สองเดือนสอง!”

คนผู้นั้นพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง หุบพัดไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน หรี่ตาพลางยิ้มน้อยๆ “เป็นวันดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version