Skip to content

Sword of Coming 575

บทที่ 575 ออกจากบ้านก็ต้องต่อยตีสักรอบสองรอบ

เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเสร็จแล้วก็ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังคงออกจากเรือน เดินกลับไปที่ศาลาริมหน้าผาแท่นสังหารมังกร เขายืนกุมหมัด จงใจปล่อย ปณิธานหมัดในร่างออกไป

หญิงชราเดินกะเผลกขึ้นมาบนภูเขาลูกเล็กที่ทำให้คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่น้ำลายสออยากครอบครองแห่งนี้ พอมาถึงแล้วก็ยิ้มถามว่า “คุณชายเฉินมีเรื่อง จะถามหรือ?”

เฉินผิงอันพูดอย่างละอายใจว่า “แม้ว่าจะเพิ่งมาถึง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่อดไม่ไหว จึงได้แต่รบกวนการพักผ่อนของป๋ายหมัวมัวแล้ว”

หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน คุณชายเฉินไม่ต้องเกรงใจ เดิมทีในใจของหญิงแก่อย่างข้าปลาบปลื้ม แต่หากเกรงใจกันเกินไป ก็จะไม่ใคร่ชอบใจแล้ว”

หลังจากที่หญิงชรานั่งลง เฉินผิงอันถึงได้นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ถามเสียงเบาว่า “หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากโลกนี้ไป จวนหนิงเงียบสงบเช่นนี้ แล้วทางฝ่ายของจวนเหยาล่ะ?”

หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “นี่จะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่ง ปีนั้นฮูหยินดึงดันจะแต่งเข้าตระกูลหนิงที่ตกอับ คนทั้งตระกูลเหยาล้วนไม่เห็นด้วย ปีนั้นนายท่านขอบเขตไม่สูง แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ได้ในรวดเดียว หากมีเพียงแค่เท่านี้ ตระกูลเหยาก็คงไม่ถึงขั้นปั้นปึ่งกับนายท่าน ยืนกรานจะขัดขวางไม่ให้ฮูหยินแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ได้ดิบได้ดีให้จงได้ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าปีนั้นตระกูลเหยาได้เชิญให้อริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมืองช่วยทำนาย ดวงชะตาแปดอักษรของนายท่านและฮูหยิน ผลที่ออกมาไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นต่อให้ปีนั้นจวนหนิงจะต้องการมอบแท่นสังหารมังกรแห่งนี้ให้เป็นสินสอด

คนในบ้านฮูหยินก็ยังไม่ตอบรับ ตอนที่ฮูหยินออกเรือนก็ไม่มีหน้ามีตาใดๆ แม้ว่าปากนายท่านจะไม่พูด แต่อันที่จริงตลอดหลายปีมานี้กลับรู้สึกผิดต่อฮูหยิน มาโดยตลอด มักจะรู้สึกว่าตัวเองติดค้างนาง ต่อให้ภายหลังนายท่านจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ทางฝั่งของตระกูลเหยาก็ยังไม่ยินดียินร้าย ช่วยไม่ได้ ในใจมี หนามแหลมตำอยู่ นายท่านจะยังทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่ละอายใจอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่านายท่านจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไรฮูหยินก็ไม่ค่อยกลับไปบ้านเดิม จำนวนครั้งที่ไปมีน้อยจนนับนิ้วได้ ไปแล้วก็แค่ไปพูดคุยเรื่องที่เป็นการเป็นงานเท่านั้น ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่สองถนน แต่กลับไม่เคยไปมาหาสู่กันยิ่งกว่าคนเป็นศัตรูกันเสียอีก จนกระทั่งภายหลังจวนหนิงมีคุณหนูของพวกเรา ความสัมพันธ์ของสองบ้านถึงได้ดีขึ้น น่าเสียดายที่ภายหลังทั้งนายท่านและฮูหยินต่างก็จากไปแล้ว ทางฝั่งของตระกูลเหยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านตาท่านยายของคุณหนู ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อคุณหนูซับซ้อนอย่างมาก ไม่เจอหน้านางก็ให้กังวลใจ แต่พอเจอกันแล้วกลับต้องกลัดกลุ้มใจ อย่าเห็นว่าหน้าตาของคุณหนูไม่ค่อยเหมือนฮูหยิน แต่คิ้วตานั่นกลับถอดแบบราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ในเรื่องของการแต่งงานระหว่างนายท่านและฮูหยิน บอกตามตรง แม้แต่ข้าที่เป็นบ่าวรับใช้จากตระกูลเหยาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่พอมาเป็นเรื่องของคุณหนู กลับจะตำหนิตระกูลเหยาไม่ได้ เพราะอะไรที่ สามารถทำได้ ตระกูลเหยาก็ทำหมดแล้ว ก็แค่พวกผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ค่อยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบอย่างที่พวกผู้อาวุโสในตระกูลทั่วไปทำกันก็เท่านั้น คุณชายเฉิน นี่ก็คือเรื่องราวในอดีตของจวนหนิงกับตระกูลเหยา อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ควรค่าแก่การเอามาเล่าแล้ว แท้จริงแล้วคนตระกูลเหยาล้วนเป็นคนมีคุณธรรม ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีทางอบรม สั่งสอนสตรีที่มหัศจรรย์อย่างฮูหยินออกมาได้”

เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ

หญิงชรากล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ปีนั้นพอมีคุณหนู นายท่านก็เกือบจะตั้งชื่อให้คุณหนูว่าเหยาหนิง บอกว่าฟังแล้วน่าชื่นชอบมากกว่า ความหมายก็ดียิ่งกว่า แต่ฮูหยินไม่ตกลง คนสองคนที่ไม่เคยทะเลาะกันกลับต้องมามึนตึงกันเพราะเรื่องนี้ ภายหลังคุณหนูต้องจับของเสี่ยงทาย

นายท่านจึงคิดหาวิธีด้วยกันนำของมาสองอย่าง อย่างแรกเป็นมีดทับกระโปรงที่งดงามมากเล่มหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นแท่นสังหารมังกรก้อนเล็ก ชิ้นแรกเป็นหนึ่งใน สินเจ้าสาวของฮูหยิน นายท่านบอกว่าหากบุตรสาวเลือกจับมีดเล่มนั้น นางก็ต้อง แซ่เหยา ผลกลับกลายเป็นว่าคุณหนูมองซ้ายมองขวา ของชิ้นแรกที่จับกลับเป็น แท่นสังหารมังกรที่หนักมากก้อนนั้น ซึ่งก็คือก้อนที่ภายหลังมอบให้คุณชายเฉิน ตอนนั้นฮูหยินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ”

หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “ฮูหยินไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็ก ทั้งชีวิตก็ยิ้มและหัวเราะไม่มาก มุมปากตวัดขึ้นเล็กน้อยหรือแยกเขี้ยวก็คงจะถือว่า เป็นรอยยิ้มได้แล้ว กลับกลายเป็นนายท่านที่ฐานะทางครอบครัวสู้ตระกูลเหยาไม่ได้ จึงรู้ความมาตั้งแต่ยังเล็ก ประคับประคองจวนเหยาที่ตกอับมาเพียงลำพัง แล้วยังพิทักษ์หน้าผาสังหารมังกรไว้อย่างสุดชีวิต กิจการครอบครัวไม่เล็ก แต่ตบะในปีนั้นกลับตามไม่ทัน ตอนที่นายท่านยังหนุ่มต้องเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย กลับกลายเป็นว่าไม่ว่าเห็นใครก็จะมีรอยยิ้มอบอุ่น ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างมีมารยาทเสมอ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคุณหนูเหมือนทั้งนายท่าน แล้วก็เหมือนทั้ง นายหญิง เหมือนพวกเขาทั้งคู่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คราวก่อนข้าเคยพบกับผู้อาวุโสหนิงและเหยาฮูหยินครั้งหนึ่งที่ภูเขาห้อยหัว”

หญิงชรายิ้มกล่าว “แค่ครั้งเดียวหรือ?”

เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ

แต่หญิงชรากลับไม่ได้เปิดเผยความลับ นางเปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “ฟังหญิงแก่อย่างข้าพร่ำพูดเรื่องในอดีตมานาน เกือบลืมเรื่องที่คุณชายเฉินจะถามไปแล้ว คุณชายเฉิน เชิญท่านพูดต่อได้เลย”

เฉินผิงอันจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “แม่นางหนิงสามารถดูแลตัวเองได้ ยามอยู่บ้านเกิดของตัวเองเป็นเช่นนี้ ปีนั้นตอนที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงกังวลว่าข้ามาที่นี่จะไม่เพียงแต่ช่วยเหลืออะไรนางไม่ได้ กลับกลายเป็นว่ายังทำให้แม่นางหนิงเสียสมาธิ แล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา ดังนั้นจึงได้แต่รบกวนป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันให้ช่วยระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีก สักหน่อย”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนกุมหมัดแสดงการขอบคุณ พูดอย่างจริงใจว่า “หากมีนักฆ่า ที่อาจจะทำร้ายป๋ายหมัวมัวปรากฏตัวอีก ข้าเฉินผิงอันไม่กลัวตาย เพียงแต่กลัวว่า ตายไปแล้วก็ยังปกป้องหนิงเหยาไม่ได้”

ดูเหมือนหญิงชราจะประหลาดใจเล็กน้อย นางอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “พูดจาตรงไปตรงมา ดีมาก นี่ต่างหากจึงจะสมกับคำกล่าวที่ว่าคนบ้านเดียวกัน ไม่พูดจาห่างเหิน ตัวเองขายหน้าได้ แต่ก็ต้องคิดเผื่อคุณหนูให้มาก นี่ต่างหาก จึงจะเป็นความใจกว้างที่ว่าที่ท่านเขยสมควรมี ข้อนี้เหมือนนายท่านของพวกเรา เหมือนมากจริงๆ”

หญิงชราที่ผมขาวเต็มศีรษะก้มหน้าลงซับหัวตาเบาๆ

เฉินผิงอันกำสองมือเป็นหมัดวางแนบติดกับหัวเข่า พูดเสียงสั่นว่า “ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นอกจากได้แต่คิดนู่นคิดนี่ไปวันๆ ข้าได้ทำอะไรที่แท้จริงเพื่อ หนิงเหยาบ้าง?”

แล้วจู่ๆ ด้านนอกศาลาก็มีเสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าดังขึ้นมา “พูดจาเหลวไหล!”

ก็คือผู้ดูแลเฒ่าที่เฝ้าประตูใหญ่ของจวนหนิงมาตลอดชีวิตผู้นั้น

เฉินผิงอันเงยหน้ามองผู้เฒ่าที่เดินขึ้นบันไดมาโดยไม่เอ่ยคำใด

ผู้เฒ่านั่งลงในศาลา “สัญญาสิบปี ได้รักษาสัญญาหรือไม่? หลังจากนี้ร้อยปีพันปี ขอแค่มีชีวิตอยู่หนึ่งวัน ยามที่เจอเรื่องไม่เป็นธรรมจะยินดีมีหมัดออกหมัด มีกระบี่ออกกระบี่เพื่อคุณหนูของข้าหรือไม่?! หากถามใจตัวเองแล้วเจ้าเฉินผิงอันกล้าพูดว่ายินดี ถ้าอย่างนั้นยังต้องละอายใจอะไรอีก? หรือวันๆ แค่คลอเคลียแนบชิดกัน ก็ถือเป็นความชอบที่แท้จริงแล้ว? ปีนั้นข้าก็บอกกับนายท่านแล้วว่าควรจะรั้งเจ้าให้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฝึกปรือฝีมือไปช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องขัดเกลาให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตขึ้นมาก่อนถึงจะได้ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แล้วจะเป็นเซียนกระบี่ ได้อย่างไร…”

ไม่รอให้ผู้เฒ่าพูดจบ หญิงชราก็ต่อยลงบนไหล่ของผู้เฒ่า นางกดเสียงต่ำ ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เสียงดังโวยวายทำไมกัน ต้องให้คุณหนูได้ยินเจ้าถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ? ทำไม อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ใครเสียงดังสุด คำพูดของคนนั้นก็ได้ผลสุดงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่วิ่งไป แหกปากอยู่บนหัวกำแพงเลยเล่า? หา? ตอนที่เจ้าอายุยี่สิบกว่าๆ มีความสามารถ แค่ไหน ในใจตัวเองยังไม่รู้อีกหรือ เมื่อครู่นี้ข้าแค่ปล่อยหมัดเบาๆ ทีเดียว เจ้าก็เกือบจะปลิวไปไกลเจ็ดแปดจั้งลงไปกลิ้งชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นแล้ว เจ้าตะพาบเฒ่า รีบหุบปากแล้วไสหัวไปไกลๆ เลย…”

พลังอำนาจความดุดันของผู้เฒ่าพลันหายวับไปอย่างสิ้นเชิง กลับกลายมาเป็น ผู้เฒ่าแก่หง่อมที่ดวงตาพร่ามัว เดินโขยกเขยกอีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นนวดไหล่ตัวเองเงียบๆ

ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าใช้เหตุผลกับสตรีที่กำลังโมโห ก็คือการรนหาเรื่องถูกด่าดีๆ นี่เอง ต่อให้เซียนกระบี่มีกระบี่แห่งชะตาชีวิตร้อยเล่ม ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วยิ้มกล่าวว่า “ป๋ายหมัวมัว มีคำถาม อีกหนึ่งข้อที่อยากถาม”

หญิงชรารีบหยุดเสียงก่นด่า กลับคืนมามีสีหน้าเมตตาในเสี้ยววินาที เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินถามมาได้เลย คนแก่ๆ อย่างพวกเรา สิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุดก็คือ เวลา โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ที่ไร้ค่าอย่างน่าหลันสิงเย่ผู้นี้ ใครพูดเรื่องการฝึกตนกับเขา เขาก็โมโหคนนั้น”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าเคยชินกับคำพูดเหน็บแนมเสียดสีของป๋ายเลี่ยนซวงแล้ว คำพูดทิ่มแทงใจคนถึงขนาดนี้ เขากลับเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะแสร้งทำท่าโกรธเคืองยังคร้านจะทำด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าหาก ผู้น้อยแค่พูดถึงสมมติฐานที่ไม่ดีที่สุดนั้น หากไม่อาจรักษากำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ได้ จวนหนิงจะทำอย่างไร?”

หญิงชราหันมาสบตากับชายชรา

“เรื่องนี้ เป็นเพียงแค่หมื่นหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เท่านั้น”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เพราะฉะนั้นผู้น้อยจึงจะมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนหนิงเหยาก่อน ครั้งถัดไปที่เผ่าปีศาจโจมตีเมือง ข้าจะลงจากเมืองไปเข่นฆ่าพวกมัน จะไปสัมผัสกับฝีมือของเผ่าปีศาจด้วยตัวเอง ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน พวกท่านโปรดวางใจ บางทีผู้น้อยอาจจะมีฝีมือสังหารศัตรูที่ธรรมดา แต่ความสามารถในการดูแลตัวเองนั้น กลับยังพอมีอยู่บ้าง จะไม่ทำเรื่องที่เป็นการวาดงูเติมขาเด็ดขาด ข้าจะอยู่ข้างกาย หนิงเหยา ถือเสียว่าให้นางมีคนดูแลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”

หญิงชรากล่าวอย่างเป็นกังวล “ไม่ใช่ว่าดูถูกคุณชายเฉิน แต่เป็นเพราะบนสนามรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไปจริงๆ แตกต่างจากการเข่นฆ่าในใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง พูดถึงแค่เรื่องเดียว นอกจากการต่อยตีต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ในยุทธภพและในสนามรบแล้ว คุณชายเฉินเคยตกอยู่ในสภาพที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง สี่ทิศล้วนมีแต่ศัตรูหรือไม่?

ที่บ้านเกิดของพวกเรานี้ ขอแค่ออกจากหัวเมืองไปยังทิศใต้ หากไม่ระวังแม้เพียงนิด ก็ต้องมีจุดจบที่เจอกับศัตรูนับร้อยนับพันกรูกันเข้ามาหา”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ป๋ายหมัวมัวออมมือมากเกินไป เกรงใจกันเกินไป ไม่สู้ใช้ขอบเขตสูงสุดของเดินทางไกลมาชี้แนะวิชาหมัดให้ผู้น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ช่างเป็นคำว่า ‘เกรงใจกันเกินไป’ ที่ดีนัก”

หญิงชราไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง หมัดหนึ่งถูกปล่อยออกมา ผู้เฒ่าเอียงศีรษะหลบหมัดนั้นได้พอดี

หญิงชราลุกขึ้นยืน “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้นหญิงแก่อย่างข้าก็คงต้องล่วงเกินแล้ว ต่อให้หลังจบเรื่องคุณหนูจะตำหนิ ก็ต้องเอาเรี่ยวแรงออกมารับรองแขกให้มากขึ้น อีกหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เรือนกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ชุดเขียวพลิ้วไหวไปอยู่นอกศาลา ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้น มือทั้งสองข้างก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อยพร้อมตั้งท่าหมัดเตรียมรอ “ป๋ายหมัวมัว ครั้งนี้ผู้น้อยก็จะออกแรงเต็มที่แล้วเหมือนกัน”

ถึงอย่างไรหญิงชราก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ พลังอำนาจทั่วร่างของนางพลันแปรเปลี่ยน นางไม่ได้รีบร้อนออกมาจากศาลา ปลายเท้าเสียดสีกับพื้นเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก พูดกลั้วยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าคุณชายเฉินมีโอกาสออกหมัดหรือไม่”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน มองคนหนุ่มที่อยู่บนลานประลองยุทธเบื้องล่างแล้วแอบพยักหน้ากับตัวเองเงียบๆ ผู้ฝึกยุทธที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ถือเป็นบุคคลที่ค่อนข้างหาได้ยาก

เจ้าเด็กนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ได้มีดีแต่ท่า นี่คือจุดที่หาได้ยากอย่างยิ่ง คนหนุ่มในใต้หล้านี้ที่มีคุณสมบัติดี ขอแค่โชคไม่แย่เกินไปนัก หากพูดถึงแค่ขอบเขต มีขอบเขตเท่านี้ก็ถือว่าน่าตกใจมากแล้ว

ประเด็นสำคัญก็คือต้องดูว่าขอบเขตนี้แน่นหนาพอหรือไม่ ในประวัติศาสตร์ ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ที่มาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วตกอับก็มีมากมาย นับไม่ถ้วน เกินครึ่งยังเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดตามคำกล่าวของอุตรกุรุทวีป ด้วยซ้ำ แต่ละคนมีปณิธานสูงส่งยาวไกล สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร รอจนกระทั่งมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังไม่ทันขึ้นไปบนหัวกำแพงก็ถูกซ้อมอยู่ในนคร จนไม่เหลือนิสัยร้ายๆ เจ้าอารมณ์อยู่อีกแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จงใจ รังแกคนต่างถิ่น เพราะมีกฎข้อหนึ่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรบอกไว้ว่า ได้แต่ให้ขอบเขตเท่ากันต่อสู้กันเท่านั้น คนหนุ่มต่างถิ่นที่เอาชนะคนคนหนึ่งได้ บางที อาจมีส่วนของความบังเอิญและความโชคดี อันที่จริงนี่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่หากเอาชนะได้สองคน แน่นอนว่าถือว่าพอจะมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง แต่หากสามารถเอาชนะคนที่สามได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงจะยอมรับว่าเจ้าก็คือ ผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง

ในอดีตเฉาสือผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกัน ผลกลับกลายเป็นว่า คนหนุ่มชุดขาวใช้แค่มือเดียวก็สามารถผ่านด่านติดกันได้ถึงสามด่าน

แต่นี่ก็มีส่วนที่ว่าผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มพวกนั้นไม่ใช่ฝ่ายได้เปรียบเป็นสาเหตุด้วย เพราะอย่างมากสุดก็จะเลือกแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตให้มาออกรบ อีกอย่าง เจ้าเด็กบื้อพวกนั้นก็มักจะเป็นพวกที่ยังไม่เคยไปเยือนสนามรบนอกกำแพงเมือง ปราณกระบี่มาก่อน ได้แต่อาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งพุ่งเข้าชนปะทะไป มั่วซั่ว ตอนนั้นมีเพียงคนที่สามที่ประมือกับเฉาสือเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ วิถีกระบี่ที่แท้จริง อีกทั้งยังเคยเข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายทางทิศใต้ของ หัวกำแพงเมืองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าก็ยังคงพ่ายแพ้ให้แก่เฉาสือที่ใช้มือเดียวรับมือกับคู่ต่อสู้อยู่ดี

แต่การทะเลาะต่อยตีกันของเด็กรุ่นหลังครั้งนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดริ้วคลื่นอะไรมากมายในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือก็ยังต่ำ

เรื่องที่ทำให้เหล่าเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตกตะลึงได้อย่างแท้จริงก็คือการไหลเวียนของปณิธานหมัดที่ทอดยาวเป็นสายของเฉาสือขณะที่เขาเดิน ปล่อยหมัดกลับไปกลับมาบนหัวกำแพงทุกวันหลังจากที่มาสร้างกระท่อมพักอยู่บนนั้น

ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันกลับมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง จากนั้นก็เดินเข้ามาในจวนหนิงภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องยุ่งยากที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่เรื่องหนึ่ง

อีกทั้งเฉินผิงอันยังมาพักอยู่ในจวนหนิง แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหนูของตนก็แทบจะชัดเจนมากพออยู่แล้ว น่าหลันเย่สิงจึงยากที่จะวางใจได้อย่างแท้จริง

หากออกจากบ้านไป ด้วยนิสัยของเจ้าพวกบื้อที่คอยจับจ้องอยู่ด้านนอกนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องเกิดความขัดแย้งกันอย่างแน่นอน เฉินผิงอันเลือกจะยอมให้ ก็ได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ต้องถูกคนนอกดูแคลน กลายเป็นตัวตลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากเลือกตาต่อตาฟันต่อฟัน ต่อให้จะผ่านสองด่านแรกมาได้ คนที่ออกกระบี่ในด่านที่สามย่อมไม่ง่ายดายแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมาตรฐานเท่าเทียมกับพวกเยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว หรืออาจจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยที่เก่งกาจ กว่าด้วยซ้ำ อีกทั้งอายุจะยังต่ำกว่าสามสิบปีด้วย อย่างมากที่สุดก็ไม่มีทางเกิน สามสิบปีห้า คนผู้นั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าสูงอย่างถึงที่สุด ยกตัวอย่างเช่นเจ้าลูกกระต่ายตระกูลฉี ที่ยโสโอหัง นับตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยเห็นหัวใครผู้นั้น

น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามองหญิงชราที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง

ป๋ายเลี่ยนซวงคือคนที่ได้ครอบครองโชคชะตาบู๊ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ว่ามีนิสัยดื้อดึงดัน จงรักภักดีกับฮูหยินและตระกูลเหยามาตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นด้วยตบะวิถีวรยุทธ ของนาง หากรีบเปลี่ยนตระกูลตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงได้กลายเป็น ‘ป๋ายฮูหยิน’ ของตระกูลชั้นสูงไปแล้ว แต่นี่กลับกลายเป็นว่าค่อยๆ เปลี่ยนจากแม่นางน้อยที่หน้าตางดงาม เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นสาวเทื้อที่ชอบทำหน้าบูดบึ้งทั้งวัน แล้วก็ค่อยกลายมาเป็นหญิงชราที่เส้นผมขาวโพลน

อันที่จริงน่าหลันเย่สิงที่อายุมากกว่าและมีความอาวุโสมากกว่าล้วนเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด

ความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็คือเสียดายแทนนาง

เพราะฉะนั้นการถกเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ในหลายๆ ครั้ง เขาจึงยอมให้นางอยู่เสมอ

ไม่อย่างนั้นแท่นสังหารมังกรของจวนหนิงใต้ฝ่าเท้านี้ ก่อนหน้าที่นายท่านจะเติบโต ไม่ว่าทำอย่างไรก็คงรักษาไว้ไม่อยู่

หญิงชราดีดปลายเท้าพลิ้วกายออกไปนอกศาลาบนยอดเขาลูกเล็ก แล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วลง แต่ทันใดนั้นนางก็พลันร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินสั่นสะเทือน แล้วร่างของหญิงชราก็กลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่ง

ผู้เฒ่าหรี่ตาลง มองประเมินสถานการณ์การต่อสู้อย่างตั้งใจ

เห็นการประมือกันระหว่างผู้ฝึกกระบี่มาจนชินแล้ว การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเลี่ยงซวงเป็นคนออกหมัด โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยจริงๆ

ต่างฝ่ายต่างแลกหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าใส่กัน

ชุดเขียวไถลถอยกรูดออกไป ข้อศอกแตะกับกำแพงด้านหลังเบาๆ จากนั้น ก็เดินหน้ามาช้าๆ

ยายแก่ป๋ายก็โดนเจ้าเด็กนั่นเตะเหมือนกันหรือ? แม้ว่าจะไม่หนักมาก แล้วก็ถูกป๋ายเลี่ยนซวงใช้พายุลมกรดที่เปี่ยมล้นกระเทือนพละกำลังที่เหลืออยู่ให้สลายไปอย่างง่ายดาย ทว่าหนึ่งเท้าเตะโดนหรือไม่โดน นั่นก็คือความต่างราวฟ้ากับเหว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่มีความหมายชวนให้ขบคิดนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเฉินผิงอัน ออกหมัดโดยมีความเร็วเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุด แต่เป็นเพราะเขาสามารถเดาจุดที่เท้าของป๋ายเลี่ยนซวงจะร่วงลงและเส้นทางการออกหมัดของนางได้อย่างแม่นยำ

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ไม่เกรงใจป๋ายหมัวมัวของเจ้าเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า แต่กลับไม่ได้เดินตรงไปข้างหน้า เขาขยับเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก็แค่ป๋ายหมัวมัวประมาทเท่านั้น”

ป๋ายเลี่ยนซวงเกิดปณิธานในการต่อสู้อย่างที่หาได้ยาก ก่อนหน้านี้ตอนที่หยั่งเชิงอยู่ในระเบียง บวกกับหมัดเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรนางก็ยังมองเฉินผิงอันเป็นว่าที่ท่านเขยอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตั้งใจออกหมัดอย่างจริงจัง

ไม่เสียแรงที่เป็นเด็กรุ่นหลังบนเส้นทางการเรียนวรยุทธที่เคยกินหมัดสามหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาก่อน

หญิงชราเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้าวย่างนั้นเล็กแคบอย่างถึงที่สุด มือทั้งสองตั้งท่าหมัด แม้จะเป็นกระบวนท่าเล็กๆ แต่กลับมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ มีปณิธานหมัดยิ่งใหญ่ นางยิ้มถามว่า “เฉินผิงอัน กล้าเป็นฝ่ายขยับเข้ามาต่อสู้ ประชิดตัวเพื่อออกหมัดหรือไม่?”

เฉินผิงอันก้าวหกก้าวตามท่าเดินนิ่ง ก้าวสุดท้ายที่กระทืบลงพื้น ปณิธานหมัดของทั้งร่างก็ไหลทะลักราวกับน้ำตก

หญิงชราบิดตัว ฝ่ามือข้างหนึ่งปัดหมัดของเฉินผิงอันทิ้ง ฝ่ามืออีกข้าง ผลักหน้าผากของเฉินผิงอัน มองดูเหมือนเป็นท่าทางที่เรียบง่ายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วพละกำลังกลับหนักอึ้งเหมือนค้อนใหญ่ที่ถูกห่อด้วยผ้าฝ้ายเหวี่ยงตีลงบนระฆัง อย่างแรง

ต่อให้เป็นน่าหลันเย่สิงก็ยังรู้สึกว่าหมัดนี้ไม่ถือว่าออมมือเลยจริงๆ

เฉินผิงอันถูกฝ่ามือนั้นตบให้ปลิวกระเด็นไป เพียงแต่ว่าปณิธานหมัดของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ขาดสะบั้นเพราะเหตุนี้ กลับกันยังยิ่งถูกหล่อหลอมได้อย่างหนาข้น ประหนึ่งน้ำลึกไร้เสียงที่ไหลเวียนวนไปทั่วร่างกาย

เขาพลิกตัวกลับกลางอากาศ เท้าข้างหนึ่งที่สัมผัสลงพื้นก่อนไถลออกไปเบาๆ หลายจั้ง อีกทั้งยังไม่ติดขัดใดๆ ขณะที่เท้าทั้งสองกำลังจะสัมผัสพื้น เขาก็ขยับเท้า ในองศาเล็กๆ อยู่หลายครั้ง ไหล่จึงขยับเบาๆ ตามไปด้วย ชุดสีเขียวเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ช่วยตัดทอนพายุหมัดที่เหลืออยู่ในหมัดนั้นของหญิงชราไปอย่างที่ มองไม่เห็น ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าในมือของตัวเองมาเลียนแบบปณิธานหมัดของป๋ายหมัวมัว ด้วยการขยับมือทั้งสองเข้ามาใกล้กัน อีกเล็กน้อย พยายามที่จะทดลองทำให้ถึงขอบเขตที่เก็บปณิธานหมัดได้มากก็ปล่อยออกไปได้มาก

หญิงชราอดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เวลาอย่างนี้ยังจะขโมยเรียนท่าหมัด ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่ขอบเขตถดถอยอย่างข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ?”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “เป็นความเคยชินไปเสียแล้ว”

เฉินผิงอันเตรียมจะขยายโครงท่าหมัดฟื้นคืนท่ากระบวนเทพตีกลองสายฟ้ากลับมาอีกครั้ง

หญิงชรากลับอาศัยช่องว่างนี้พุ่งมาถึงอย่างว่องไว หมัดหนึ่งแนบติดหน้าท้อง อีกหมัดหนึ่งพุ่งออกไปเป็นเส้นตรง พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันที่เดิมทีก็เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่แล้วจะใช้หมัดแลกหมัด ใบหน้าของเขารับหมัดหนึ่งที่ทุบเข้ามาจังๆ แต่หมัดหนึ่งของเขาก็ต่อยเข้าที่หน้าผากของหญิงชราเต็มแรงเช่นกัน

เท้าทั้งคู่ของหญิงชราพลันหนักอึ้ง เรือนกายหยุดนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่ว่า ตรงหน้าผากกลับเริ่มเขียวและปูดนูนน้อยๆ

เฉินผิงอันยังคงเอาหลังพิงกำแพง เข่าสองข้างงอเล็กน้อย ท่าหมัดหนึ่งเปิดหนึ่งปิด ประหนึ่งเจียวหลงที่ขยับกระดูกสันหลัง สลายพายุหมัดของหญิงชราออกอีกครั้ง

ส่วนเลือดสดที่ไหลเป็นทางลงมาจากบนใบหน้า

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เขาไม่สนใจเลยจริงๆ เพราะมัน กลับกลายเป็นว่าทำให้เขารู้สึกสงบสบายใจมากขึ้น

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ป๋ายหมัวมัวใช้เรือนกายของขอบเขตเก้าปล่อยหมัดของขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุดกระมัง?”

น่าหลันเย่สิงที่อยู่ในศาลากลั้นยิ้ม

หญิงชราเองก็หัวเราะเหมือนกัน ไม่ได้รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาตามตรง นอกจากสามหมัด ขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว เจ้ายังโดนปรมาจารย์ซ้อมมาอีก กี่มากน้อย?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เคยถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสองท่านป้อนหมัดมาก่อน ครั้งที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็คือประมาณหนึ่งเดือน ระหว่างนี้อีกฝ่ายป้อนหมัด ข้ากินหมัด ไม่เคยหยุดเลยสักครั้ง แล้วก็มีจุดจบที่ต้องนอนหายใจรวยริน ถูกคนลากไปแช่ในถังยาแทบทุกครั้ง”

น่าหลันเย่สิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หญิงชราส่ายหน้า เก็บท่าหมัด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องออกหมัดแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่ขบขันของทุกคน ดึกดื่นค่ำมืดขนาดนี้จะให้ไปเตรียมถังยามาไว้เพราะการประลองฝีมือกันก็คงไม่ใช่เรื่อง”

แม้ว่านางจะเคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แต่กลับหยุดอยู่ที่ปราณโชติช่วง นี่ไม่เกี่ยวข้องกับว่าคุณสมบัติของนางดีเลว หรือผ่านการขัดเกลาประสบการณ์มา กี่มากน้อย แต่เป็นเพราะผิดที่เกิดมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงถูกสยบกำราบ มาแต่กำเนิด โชคดีได้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบก็ถือว่าเป็นเรื่อง ไม่คาดฝันที่ใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้ว หากจะบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าไพศาล ล้วนไม่มีค่าในสายตาของคนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถ้าอย่างนั้นนางก็เคยได้ยิน อริยะท่านหนึ่งยิ้มกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล เรียกได้ว่ามีเท้าเงิน เท้าทอง เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดทุกคนล้วนมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ราวขุนเขา เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ป๋ายเลี่ยนซวงจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก ความไม่เพียงพอเพียงอย่างเดียวก็คือไม่เคยประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาก่อน

อันที่จริงหลังจากเฉินผิงอันพูดประโยคนั้นออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก จึงรีบพยักหน้าเอ่ยว่า “เพียงพอแล้ว ปณิธานหมัดและกระบวนท่าหมัดของ ป๋ายหมัวมัวมากพอจะทำให้ผู้น้อยได้รับผลประโยชน์มหาศาลแล้ว เป็นดั่งม้วนภาพวิถีวรยุทธใหม่เอี่ยมที่ผู้น้อยไม่เคยเล่าเรียนจากที่ไหนมาก่อน”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้าเบาๆ

เป็นคนคนหนึ่งที่ตามีแวว แล้วก็เป็นคนที่รู้จักพูด

รอยยิ้มของหญิงชราค่อยๆ ผลิบาน

ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็เบี่ยงตัวหลบ

หญิงชราหันหน้ามาคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้าแก่หนังเหนียว มีใครเขาลอบโจมตีผู้อื่นอย่างเจ้าบ้าง?”

น่าหลันเย่สิงเพียงแค่มองเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือความเร็วของกระบี่บิน ที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของพวกเรามี หลบไม่พ้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าขอแค่มีความคิดที่จะเบี่ยงหลบก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่เคยมองเห็นกระบี่บินเล่มนั้นเลย

ผู้เฒ่าโบกมือ “คุณชายเฉินรีบพักผ่อนเถอะ”

แล้วร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไปจากในศาลา

หญิงชราก็ขอตัวลาไปด้วย

แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยรั้งไว้ด้วยรอยยิ้ม “ขอคุยกับป๋ายหมัวหมัวอีกหน่อย ได้หรือไม่”

หญิงชราคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอัน ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดทิ้งนานแล้ว เขาถามเสียงเบาว่า “ป๋ายหมัวมัว ข้าขอดื่มเหล้าหน่อยได้ไหม?”

หญิงชรายิ้มกล่าว “มีอะไรไม่ได้กัน ดื่มได้ตามสบาย หากคุณหนูบ่น ข้าจะช่วยพูดให้เอง”

เฉินผิงอันจึงหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาหนึ่งกา หลังจากดื่มไปสองสามอึกแล้วก็วางกาเหล้าลง เล่าถึงเรื่องของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่า ยังพูดถึงประสบการณ์ในยุทธภพที่พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย

บางครั้งก็ลุกขึ้นยืน วางเกาเหล้าลง ตั้งท่าหมัดกระบวนท่าหมัดที่แอบเรียนมาให้หญิงชราดูประกอบไปด้วย

ส่วนใหญ่หญิงชราจะแค่รับฟังคนหนุ่มที่มีชีวิตชีว่าผู้นี้พูดคุย นางมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา คอยพยักหน้ารับเบาๆ เป็นระยะ ไม่ได้พูดอะไรมาก

นิสัยของคนหนุ่มหนักแน่นสุขุม แต่ก็สดใสมีชีวิตชีวา

น่าหลันเย่สิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางม่านราตรีห่างไปไกลมองภาพในศาลาแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สายตาของคุณหนูดีเหมือนฮูหยินในตอนนั้นเลย”

หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างตีหน้าเคร่ง แต่กลับปกปิดความชื่นมื่นเอาไว้ไม่อยู่ นางเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าด้วย!”

……

การจากลาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็หนีไม่พ้นความเป็นความตาย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่จากลากันไปไกลมากนัก

เมื่อวานตอนกลางวัน เจ้าของศีรษะทั้งหลายที่เรียงกันอยู่บนหัวกำแพงเหล่านั้น หลังออกมาจากจวนหนิงก็ต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองไป

เยี่ยนจั๋วเดินอาดๆ กลับมาที่จวนมลังเมลืองของตัวเอง กอดไหล่พูดคุยกับคนเฝ้าประตูอายุมากอยู่พักใหญ่ถึงได้เดินไปที่ห้องลับแห่งหนึ่งที่มีกลไกซับซ้อนของสำนักโม่ ทิ้งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้ ไปต่อสู้กับหุ่นเชิดสามตัวที่พลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอยู่พักใหญ่ หรือความจริงควรจะพูดให้ถูกว่าถูกซ้อม อย่างอำมหิตอยู่พักใหญ่ แล้วถึงได้ไปสวาปามอาหาร ล้วนเป็นอาหารที่เป็นยาหายากซึ่งสำนักกสิกรรมและสำนักแพทย์ช่วยปรุงให้อย่างตั้งใจ สิ่งที่กินเข้าไปล้วนเป็น เงินเทพเซียนชามใหญ่ชามแล้วชามเล่า โชคดีที่ตระกูลเยี่ยนไม่เคยขาดแคลนเงินทอง

เยี่ยนจั๋วกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็บีบเนื้อใต้คางของตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม อาเหลียงเคยบอกว่าไม่ว่าอะไรตนก็ดีไปหมด อายุน้อยๆ ก็มีเงินมากขนาดนั้น ประเด็นสำคัญคือยังนิสัยดีอีกด้วย หน้าตาก็น่าเอ็นดูชวนให้คนชื่นชอบ

เพราะฉะนั้นหากผอมอีกหน่อยก็จะยิ่งหล่อเหลาแล้ว สองคำว่าหล่อเหลานี้เรียกว่าเป็นถ้อยคำที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับวัดเอาจากตัวของเขาเยี่ยนจั๋วชัดๆ ตอนนั้นเยี่ยนจั๋วเกือบจะร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ รู้สึกว่าใต้หล้านี้ก็มีแค่ อาเหลียงเท่านั้นที่ใจดีที่สุด มองของมองคนได้เก่งที่สุด ส่วนอาเหลียงตอนนั้นก็มองประเมินถุงเงินหนาหนักที่เพิ่งจะได้มาอยู่ในมือด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า

ครั้งแรกที่เยี่ยนจั๋วออกจากหัวกำแพงไปพร้อมกับพวกหนิงเหยา ไปเข่นฆ่าอยู่ท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลน เขาค้นพบว่าพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้น ต่อให้ขอบเขตจะสู้หุ่นเชิดกลไกในห้องลับบ้านตัวเองไม่ได้ แต่วิธีการที่ใช้กลับน่าเหลือเชื่อมากยิ่งกว่า ทำให้เขากลัวเข้าไปถึงกระดูกได้มากกว่า ดังนั้นครั้งนั้นอาจารย์กระบี่สองคนที่ทางตระกูลจัดหามาไว้ข้างกายเขาจึงต้องตายเพราะเขา กลับมาถึงบ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอเด็กหนุ่ม เจ้าอ้วนน้อยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ยินว่าวันหน้าไม่ต้องไปสังหารปีศาจแล้ว แม้แต่ที่หัวกำแพงเมืองก็ไม่ต้องไป ก็ทั้งเสียใจ แล้วก็ทั้งรู้สึกว่าดูเหมือนเป็นแบบนี้ถึงจะดีที่สุด แต่ภายหลังอาเหลียงมาที่บ้าน ไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกับพวกผู้ใหญ่ เขาเยี่ยนจั๋วถึงได้มีโอกาสอีกครั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอเยี่ยนจั๋วขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองก็เริ่มขาอ่อนอีกครั้ง จิตแห่งกระบี่สั่นไหว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่าว่าแต่จะพุ่งเข้าสังหารศัตรูอย่างเฉียบคมอะไรเลย แม้แต่จะควบคุมมันให้มั่นคงเขาก็ยังทำไม่ได้ ทว่าก่อนที่จะออกไปจากหัวกำแพง อาเหลียงได้มาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มตัวอ้วนโดยเฉพาะ พูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า ลงจากหัวกำแพงเมือง แค่ก้มหน้าก้มตาเข่นฆ่าไปก็พอ ไม่มีทางตายหรอก ข้าอาเหลียงไม่ช่วยเจ้าสังหารปีศาจ แต่ก็รับรองว่าเจ้าจะไม่มีทางตาย หากขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าออกกระบี่สุดกำลัง วันหน้าก็ทำตัวเป็นนายน้อยผู้มีเงินอยู่ในบ้านไปแต่โดยดีเถอะ แต่เขาอาเหลียงจะไม่มีทางไปขอยืมเงินซื้อเหล้าจากเขา อีกแล้ว ยืมเงินจากคนขี้ขลาด ต่อให้เหล้าที่ซื้อมาแพงแค่ไหนก็ไม่มีรสชาติอะไรอยู่ดี

สุดท้ายการออกจากเมืองไปสังหารศัตรูครั้งนั้น การแสดงออกของเยี่ยนจั๋วทำให้ทุกคนต้องมองเขาเสียใหม่ แม้แต่พวกคนแก่หัวโบราณในตระกูลที่ไม่ว่าจะมองเขาอย่างไรก็ล้วนไม่ถูกชะตาก็ยังไม่พูดจาระคายหูที่ชวนให้คนโมโหอีก

อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าก็ไม่พูดว่าเขาเยี่ยนจั๋วคือ ‘หมูที่ถูกตระกูลเยี่ยนตั้งใจเลี้ยงดู ไม่รู้ว่าปีศาจตนใดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โชคดีขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้อง เปลืองแรงมากมาย ลำพังแค่เลือดหมูก็เอาไปขายได้หลายตัง ช่างเป็นการค้า ที่ดีจริงๆ ’ อีก

และครั้งนั้นก็เป็นครั้งที่ท่านแม่ของตนมองดูบุตรชายที่นอนป่วยอยู่บนเตียง แล้วร้องไห้ได้สมเหตุสมผลมากที่สุด

เมื่อก่อนทุกครั้งที่ออกไปก่อเรื่องนอกบ้าน ถูกคนรังแกก็ดี ต่อให้ถูกคนต่อยตี จนหน้าบวมจมูกเขียวก็ช่าง พอกลับมาถึงบ้าน ท่านพ่อจะไม่พูดอะไร ถึงขั้นคร้าน จะมองบุตรชายอย่างเขาด้วยซ้ำ ในเรื่องของการออกจากบ้านลงสนามรบของเขานี้ บุรุษที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างมานานแล้วอย่างมากสุดก็แค่ชำเลืองตามองสตรี แต่งงานแล้วทีหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างเย็นชา แต่ครั้งนั้นที่เยี่ยนจั๋วออกจากหัวกำแพงเมือง บุรุษพูดน้อยที่ไม่มีมือสองข้างมานานกี่ปีก็ไม่เคยไปที่หัวกำแพงเมืองมานานเท่านั้นกลับพยายามค้อมเอวลงเพื่อแบกบุตรชายกลับเข้ามาในเมืองด้วยตัวเอง

ตอนนั้นกลับมาถึงตระกูลเยี่ยน นอนอยู่บนเตียง อาเหลียงยืนเอนพิงกรอบประตู ยิ้มตาหยีมองเยี่ยนจั๋วแล้วยกนิ้วโป้งให้

ตอนนี้นายน้อยใหญ่ของตระกูลเยี่ยนไม่ได้มีขอบเขตสูงที่สุด กระบี่บินก็ไม่ได้เร็วที่สุด สังหารศัตรูไม่ได้มากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ตอแยด้วยยากที่สุด เพราะไอ้หมอนี่มี วิชาเอาตัวรอดเยอะที่สุด

เตี๋ยจ้างที่มีแขนข้างเดียว หลังจากแยกกับพวกเพื่อนๆ แล้วก็กลับไปยังตรอกเก่าโทรมสภาพรกรุงรังแห่งหนึ่ง อาศัยเงินเทพเซียนที่สะสมมาช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ นางจึงสามารถซื้อเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งได้ นี่ก็คือความฝันที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของ เตี๋ยจ้าง สามารถมีที่พักพิงให้หลบลมหลบฝนได้สักแห่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้เตี๋ยจ้างจึงไม่มีความปรารถนาอะไรอีกแล้ว

เดิมทีเตี๋ยจ้างนึกว่าความฝันนี้คงไม่อาจเป็นจริงได้ จนกระทั่งนางได้พบกับ ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมคนนั้น เขาชื่อว่าอาเหลียง

ตอนเป็นเด็กนางชอบช่วยวิ่งไปซื้อเหล้าให้เขามากที่สุด ไม่ว่าจะตรอกเล็กหรือถนนใหญ่นางก็ล้วนไปมาหมดเพื่อซื้อเหล้าหลากหลายชนิดมาให้เขา อาเหลียงบอกว่า คนคนหนึ่งในช่วงเวลาที่อารมณ์แตกต่างกันก็จะต้องดื่มเหล้าที่แตกต่างกัน เหล้าบางอย่างช่วยทำให้ลืมความทุกข์ได้ ทำให้จากที่ไม่สบายใจกลายเป็นสบายใจ แล้วก็มีเหล้าบางอย่างที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนาน ทำให้อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีขึ้น ไปอีก เหล้าที่ดีที่สุดก็คือเหล้าที่ทำให้คนดื่มโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ดื่มเหล้าก็คือ แค่ดื่มเหล้า

ตอนนั้นเตี๋ยจ้างอายุยังน้อยเกินไป นางจึงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย สนใจแต่ว่าทุกครั้งที่ตนวิ่งไปซื้อเหล้าให้เขาจะสามารถเก็บสะสมเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่ แน่นอนว่าก็มีบางครั้งที่ต้องติดค้างค่าเหล้าเอาไว้ก่อน พอสนิทสนมกับอาเหลียงแล้ว อาเหลียงก็บอกว่าเป็นสตรีคนหนึ่ง ในเมื่อเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังหน้าตาดีขนาดนี้ ก็ควรต้องมีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นค่าเหล้าบางส่วนก็ให้บันทึกลงบัญชีของเตี๋ยจ้าง เขาอาเหลียงเป็นคนอย่างไร จะชักดาบไม่จ่ายเงินหรือ? วันหน้าหากมีโอกาสก็ลองไปถามใต้หล้าไพศาลดู ลองถามใครดูก็ได้ ถามสิว่ารู้จักบุรุษที่ชื่ออาเหลียงหรือไม่ ถามดูว่าอาเหลียงเคยติดหนี้ใครแล้วไม่จ่ายเงินไหม เด็กสาว เตี๋ยจ้างที่ตอนนั้นยังไม่ถูกปีศาจตัดแขนไปข้างหนึ่งมองอาเหลียงที่ตกอับเสียงดัง สนั่นฟ้า ก็หลงเชื่อ

อันที่จริงชื่อเตี๋ยจ้างนี้ ยังเป็นอาเหลียงที่ช่วยตั้งให้ เขาบอกว่าทัศนียภาพของ ใต้หล้าไพศาลงดงามกว่าสถานที่ที่นกไม่มาขี้แห่งนี้มากนัก โดยเฉพาะขุนเขาที่ ทับซ้อนกัน (เตี๋ยจ้าง) สีเขียวมรกตราวกับจะคั้นน้ำได้นั้น งดงามเกินคำบรรยาย ภูเขาเขียวแต่ละลูกก็คล้ายกับสตรีแต่ละคนที่เรือนกายสะโอดสะองบอบบาง พวกนางตัวสูงขนาดนั้น ต่อให้บุรุษคิดจะไม่มองพวกนาง ก็ยังยาก

เตี๋ยจ้างเปิดประตูเรือน มานั่งอยู่ในลานบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นพี่หญิงหนิง ได้กลับมาพบเจอกับคนที่ตัวเองชอบหลังจากจากลากันไปนานอีกครั้ง

นางจึงนึกถึงบัณฑิตลัทธิขงจื๊อที่เอา ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) เล่มนั้นไป ปีนั้นเป็นนักปราชญ์ที่มาฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอกลับไปก็ได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษาแล้ว

ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เจ้าของเรือนหลังนี้จะจากโลกนี้ไป จะยังมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้งหรือไม่ ความในใจบางอย่าง ไม่ว่าพูดไปแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ควรจะให้เขารู้สักหน่อย

ต่ง เฉิน คือแซ่ใหญ่ที่แท้จริงของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตระกูลของเจ้าอ้วนเยี่ยนอาจจะอาศัยเงินเทพเซียนที่มากมายดุจภูเขาเงินภูเขาทอง แต่ตระกูลของต่งฮว่าฝูและเฉินซานชิวสองคนนี้กลับอาศัยเซียนกระบี่รุ่นแล้วรุ่นเล่า

บ้านของต่งฮว่าฝูอยู่ใกล้กับบ้านของเฉินซานชิวมาก จวนทั้งสองตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน

เด็กสาวหลายคนที่พอเติบใหญ่ ใบหน้ากลมๆ ก็แปรเปลี่ยนตามกาลเวลาไปเป็นใบหน้าเรียวเล็ก คางแหลมกันตามธรรมชาติ แต่พี่สาวของต่งฮว่าฝูกลับไม่เหมือนกัน ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางกลับยังมีใบหน้ากลมเกลี้ยง เพียงแต่ต่งปู้เต๋อที่เป็นเช่นนี้กลับยังมีคนมากมายที่มาชื่นชอบทั้งอย่างโจ่งแจ้งและทั้งแอบรักอย่างลับๆ เพราะวิชากระบี่ของต่งปู้เต๋อสูงมาก พลังพิฆาตก็ยิ่งโดดเด่นกว่าใคร ยามที่สังหารศัตรูต่งปู้เต๋อชอบเดิมพันด้วยชีวิตเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นจึงสามารถตัดสินเป็นตายได้อย่างรวดเร็ว เป็นบุคคลที่ขนาดตัวอ่อนเซียนกระบี่ใหญ่ที่หยิ่งทระนงอย่างหนิงเหยา ก็ยังต้องเคารพนับถือ

ต่งฮว่าฝูไม่สนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิง แล้วก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็รู้ว่าเฉินซานชิวสหายรักของตนชอบต่งปู้เต๋อพี่สาวของเขามาโดยตลอด คนทั้งสองอายุห่างกันไม่มาก ได้ยินมาว่าตอนเป็นเด็กยังเป็นเพื่อนเล่นเติบโต มาด้วยกัน น่าเสียดายที่พี่สาวไม่ชอบเฉินซานชิว แล้วก็เคยพูดกับน้องชายอย่างเขาเป็นการส่วนตัวว่า นางรังเกียจที่เฉินซานชิวหน้าตาดีเกินไป แม้แต่ต่งฮว่าฝูที่เป็นดั่ง ตอไม้ทึ่มทื่อก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย ต่งฮว่าฝูถึงขั้นกลัวว่า หากวันใดพี่สาวจะต้องแต่งงานออกเรือนไปจริงๆ เฉินซานชิวจะเสียใจจนกลายไปเป็นผีขี้เหล้า เฉินซานชิวชอบตามก้นอาเหลียงไปขอเหล้าดื่มมาตั้งแต่เด็ก วิชากระบี่เรียนรู้จากเขามาได้ไม่มาก ทว่านิสัยเสียๆ กลับเอามาหมด แต่พูดไปแล้วก็แปลก เฉินซานชิวชอบพี่สาวตน ชอบอย่างสุดจิตสุดใจ ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอง แต่เวลาอยู่กับสตรีมากมายที่เห็นได้ชัดว่างดงามกว่าพี่สาวเขา เฉินซานชิวก็ได้รับ ความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ที่ดูเหมือนว่าขอแค่สตรีโตเต็มวัย ขายเหล้าพวกนั้นได้เห็นเฉินซานชิว ดวงตาก็จะเป็นประกาย ปล่อยให้เฉินซานจิว ค้างค่าเหล้าได้ตามใจ

หน้าประตูจวนตระกูลต่งมีต่งปู้เต๋อพี่สาวของเขา และยังมีสตรีออกเรือนแล้วที่ท่าทางตื่นเต้นคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือมารดาแท้ๆ ของพวกเขาสองพี่น้องนั่นเอง

ต่งฮว่าฝูรู้สึกหัวโตเล็กน้อย เขารู้ดีว่าพวกนางสองแม่ลูกต้องได้ยินข่าวแล้ว ก็เลยคิดจะมาถามว่าตนรู้เรื่องเกี่ยวกับเฉินผิงอันมากน้อยแค่ไหน หรือว่าสตรีใต้หล้านี้ ล้วนชอบเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยแบบนี้กันทุกคน?

ต่งฮว่าฝูหันไปมองเฉินซานชิวที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมบนถนนใหญ่ แล้วค่อยหันไปมองพี่สาวที่กวักมือรัวๆ เรียกหาตน

ต่งฮว่าฝูรู้สึกเจ็บปวดแทนอีกฝ่ายนิดๆ เฉินซานชิวไม่เลวเลยจริงๆ นะ เหตุใด พี่หญิงถึงไม่ชอบเขาล่ะ

ต่งฮว่าฝูเดินเข้าไปหาช้าๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเพิ่มปัญหาให้ตัวเองอีก เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องของพี่หญิงหนิงกับเฉินผิงอันผู้นั้น ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น หากอยากรู้ พวกท่านก็ไปถามที่จวนหนิงเอาเอง”

นี่เป็นเพราะต่งฮว่าฝูมีบทเรียนแล้ว ปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันไปจากหัวกำแพงเมือง มีครั้งหนึ่งที่พักดื่มเหล้าระหว่างสองศึกใหญ่ พี่หญิงหนิงดื่มเยอะอย่างที่หาได้ยาก นางไม่ทันระวังพูดความในใจของตัวเองออกมา บอกว่ามือข้างเดียวของนางก็สามารถจัดการเฉินผิงอันร้อยคนได้ ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าคำพูดนี้น่าสนใจ พอกลับไปบ้านไม่ทันระวังเลยไปพูดให้พี่สาวอย่างต่งปู้เต๋อฟัง ผลกลับดีนัก พอพี่สาวรู้ ท่านแม่ก็รู้ พอพวกนางสองคนรู้ สตรีทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็รู้กันเกือบหมด

สุดท้ายพี่หญิงหนิงโมโหจนหน้าเขียว คราวนั้นถึงกับไม่ให้เขาเข้าบ้าน พวกเจ้าอ้วนเยี่ยนต่างก็ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของเขา แล้วพากันเดินเอ้อระเหยเข้าจวนไป หากตอนนั้นไม่เป็นเพราะต่งฮว่าฝูมีไหวพริบ ยืนอยู่นิ่งๆ แล้วพูดว่าตนยินดีให้พี่หญิงหนิงใช้กระบี่ฟันหลายๆ ทีถือเป็นการไถ่โทษ คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปชมทัศนียภาพที่หน้าผาสังหารมังกรของจวนหนิงอีก ปกติแล้วพี่หญิงหนิงไม่ค่อยโกรธใคร แต่ขอแค่นางโกรธขึ้นมา นั่นก็จบเห่แล้ว ปีนั้นแม้แต่อาเหลียงก็ยังจนปัญญา คราวนั้นพี่หญิงหนิงแอบออกไปจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่เพียงลำพัง อาเหลียงไปที่ภูเขาห้อยหัวก็ยังขวางนางไม่อยู่ พอกลับมาที่นครแห่งนี้ก็ดื่มเหล้าเงียบๆ หน้าตาไร้รอยยิ้มอยู่หลายวัน จนกระทั่งเยี่ยนจั๋วบอกว่า ไม่มีเงินแล้วจริงๆ อาเหลียงถึงได้ยิ้มกว้าง บอกว่าเหล้านี่ได้ผลจริงๆ ดื่มเหล้าไปแล้ว ความกลัดกลุ้มทุกอย่างก็จางหายไป จากนั้นอาเหลียงก็คล้องแขนเฉินซานชิว บอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์ไปแล้ว พวกเราไปดื่มเหล้าไร้ทุกข์กันบ้างดีกว่า

คิดมาถึงตรงนี้ ต่งฮว่าฝูก็ให้รู้สึกนับถือคนแซ่เฉินผู้นั้นจากใจจริง ดูเหมือนว่า ต่อให้พี่หญิงหนิงจะโกรธจริงๆ ไอ้หมอนั่นก็สามารถทำให้พี่หญิงหนิงหายโกรธได้ อย่างรวดเร็ว

ต่งปู้เต๋อกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างร้อนใจว่า “ได้ยินมาว่าคนผู้นั้นมาถึงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง?”

เพื่อสหายแล้ว ต่งฮว่าฝูก็ได้แต่เอาท่าไม้ตายออกมาใช้ “ท่านชอบอาเหลียงไม่ใช่หรือ? จะถามเรื่องของเฉินผิงอันทำไม? เปลี่ยนใจแล้วงั้นหรือ? ต่อให้เปลี่ยนใจท่านก็แย่งเขาจากพี่หญิงหนิงไม่ได้หรอก”

สตรียื่นนิ้วสองข้างออกมาทิ่มหน้าผากบุตรสาวของตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “เด็กดื้อ พยายามเข้าอีกหน่อย ต้องให้อาเหลียงมาเป็นลูกเขยของแม่ให้ได้นะ”

พอนึกถึงว่าในอนาคตวันหนึ่ง บุรุษใจดำตามืดบอดคนนั้นจะต้องดื่มเหล้าคารวะแม่ยายอย่างตนด้วยความเคาพนอบน้อม สตรีก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน นางยื่นมือมาแนบแก้ม จุ๊ปากพูดว่า “รู้สึกลำบากใจเลยนะเนี่ย”

ต่งปู้เต๋อยิ้มบางๆ “ท่านแม่ท่านรอก่อนเถอะ ต้องมีวันนั้นแน่นอน”

ต่งฮว่าฝูล่ะยอมแพ้สองแม่ลูกคู่นี้จริงๆ

ในอดีตท่านแม่ของตนเคยชอบอาเหลียง นั่นเป็นเรื่องที่คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรับรู้ ตอนนี้พวกท่านน้าท่านป้าทั้งหลายที่ชอบแวะเวียนไปเยือนตามบ้านต่างๆ ยังชอบจงใจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่านพ่อของเขาด้วย โชคดีที่ไม่ใช่ว่าท่านพ่อของเขา จะไม่มีวิธีรับมือ เพราะว่าถึงอย่างไรในบรรดาท่านน้าท่านป้าทั้งหลาย หรือไม่ก็ คนในครอบครัวของพวกนาง ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่ไม่เคยชอบอาเหลียงมาก่อน กลับกัน ยังมีหลายคนเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างบิดาของเขาต่งฮว่าฝูก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ เพียงคนเดียวที่สามารถถามกระบี่อาเหลียงติดต่อกันถึงสามครั้ง ชายโสดที่เป็นฝ่าย ขอถามกระบี่จากอาเหลียงมีมากมายก่ายกอง แต่ละคนพากันกรูเข้าไปหาอาเหลียง อาเหลียงเองก็มีน้ำใจ บอกว่าถามกระบี่นั้นได้ แต่ต้องรับเงินเทพเซียนในการประลองนี้มาก่อนก้อนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นวีรบุรุษชายชาตรีแต่ละคน หากทำร้ายให้เขาอาเหลียงได้รับบาดเจ็บ ซื้อยารักษาบาดแผลก็ต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ

ผลก็คืออาเหลียงได้เงินเทพเซียนมานับไม่ถ้วนภายในวันเดียว และจากนั้นอาเหลียง ก็เกือบจะใช้หนี้ค่าเหล้าได้หมดภายในค่ำคืนเดียว ต่อมาอาเหลียงก็วิ่งไปบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กุมหมัดตะโกนเสียงดังว่าข้าผู้อาวุโสยอมแพ้แล้ว นายท่านใหญ่ทุกท่านล้วนมีฝีมือร้ายกาจ ขออวยพรให้ทุกท่านได้กอดสาวงาม กลับบ้าน ค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ไม่ต้องขอบคุณผู้เฒ่าจันทราอย่างข้า อาเหลียง หากจะขอบคุณจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขัดขวางไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็มา เลี้ยงเหล้าข้าแล้วกัน หากทุกท่านเงียบ ข้าก็จะถือว่าทุกท่านไม่ตอบตกลง วันหน้า ค่อยมาพูดคุยกันใหม่ แต่หากมีความเคลื่อนไหว ก็ถือว่าพวกเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว

พออาเหลียงพูดจบ ในนครที่อยู่ท่ามกลางม่านราตรีก็เงียบสงัดไปครู่หนึ่งก่อน จากนั้นวินาถัดมาก็ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนนำ ชั่วพริบตานั้นตลอดทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงคำราม เสียงสบถก่นด่าของผู้ฝึกกระบี่ในเมือง ก่อนที่แต่ละคนจะพากันบังคับกระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศ คิดว่าจะไปเอาเรื่องเจ้าคนหน้าไม่อายผู้นั้น แต่อาเหลียงกลับหายตัวไปไม่เหลือเงา หนึ่งคนอาศัยหนึ่งกระบี่บุกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ผลคือพวกบุรุษที่มีศัตรูร่วมกันได้แต่หันมามองหน้ากันเองอยู่บนหัวกำแพง แต่ละคนไม่เพียงแต่เสียเงินเปล่า พอกลับมาถึงในนครกลับอนาถยิ่งกว่าเดิม พวกสตรีต่างก็ตำหนิว่าพวกเขาว่าทำร้ายให้อาเหลียงต้องพาตัวไปเสี่ยงอันตราย หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเขาขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!

แต่เรื่องที่น่าโมโหที่สุดกลับยังไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นเพราะมารู้ตอนหลังว่า คืนนั้นคนที่นำขบวนทุกคนก่อเรื่องวุ่นวายด้วยการพูดประโยคว่า ‘อาเหลียง ขอร้องเจ้าอย่าไปเลย บุรุษที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ล้วนไม่มีใครมีความรับผิดชอบได้เหมือนเจ้า’ กลับเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกคนหนึ่ง ว่ากันว่าประโยคชวนให้คนโมโหตายนี้เป็นอาเหลียงที่ยุยงให้นางพูด บุรุษตัวโตๆ อย่างพวกเขาจะไปเอาเรื่องแม่นางน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งก็คงไม่ได้ จึงได้แต่เงียบงันเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน แต่ละคนกลับไปลับดาบลับกระบี่

รอให้อาเหลียงกลับจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่ จะไม่ท้ารบเขาตัวต่อตัวแน่ แต่ทุกคนจะร่วมมือกันฟันเจ้าตะพาบที่คิดอยากหลอก เอาเงินค่าเหล้าจนเสียสติผู้นี้ให้ตาย

ผลคืออาเหลียงกลับมาแล้ว

แต่ยังพ่วงเอาปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานหลายตนไล่ตามก้นมาด้วย

ครั้งนั้นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมใจกันออกจากเมือง ไปสังหารศัตรู

ดูเหมือนว่าเมื่อมีอาเหลียงอยู่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายก็จะครึกครื้นขึ้นมา น่าเสียดายที่บุรุษผู้นั้นไม่เพียงแต่ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังออกไปจากใต้หล้าไพศาลด้วย

ได้ยินมาว่ายังได้แลกหมัดกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ของใต้หล้ามืดสลัวคนละหมัด

ส่วนเรื่องที่ว่าบ้านไหนมีสตรีคนใดชื่นชอบอาเหลียงบ้าง อันที่จริงล้วนไม่นับ เป็นอะไรได้ เพราะทุกคนมองว่าเป็นเรื่องสนุกสนานเรื่องหนึ่งมากกว่า

แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใครก็ล้วนเข้าใจดีว่า อาเหลียงไม่มีทางชื่นชอบใคร อีกทั้ง อาเหลียงมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่ไม่กี่ปี แทบทุกคนก็ล้วนรู้ว่า บุรุษที่ชื่อว่าอาเหลียง บุรุษที่ชอบไปนั่งดื่มเหล้าเพียงลำพังบนหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น สักวันหนึ่งจะต้องไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เงียบๆ ดังนั้นในเรื่องของการชอบ อาเหลียงนี้ จึงเป็นเรื่องสนุกที่แม่นางหลายคนเอามาใช้แก้เบื่อเท่านั้น บางคนที่ใจกล้าหน่อย พอเห็นอาเหลียงนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทางยังจงใจหยอกล้อเขา พูดจาด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนยิ่งกว่ารสชาติกับแกล้มบนโต๊ะเสียอีก และบุรุษคนนั้นก็จะแสร้งทำท่า เขินอาย แสร้งพูดจาจริงจังบอกว่าข้าอาเหลียงได้รับความรักความเมตตาจากพวกเจ้าแล้วรู้สึกมโนธรรมในใจไม่สงบอย่างไรบ้าง รบกวนวันหน้าแม่นางอย่าเอ่ยถ้อยคำที่ ทำให้ใจข้าอาเหลียงไม่สงบอีกเลย

เฉินซานชิวรอจนประตูจวนต่งปิดลงถึงได้เดินจากไปช้าๆ

อันที่จริงแม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตัวเอง เฉินซานชิวไม่ได้รู้สึกเสียใจมากนัก

เพราะเฉินซานชิวรู้สึกว่าคำพูดที่อาเหลียงพูดกับตนบนโต๊ะเหล้าในปีนั้นก่อนที่ อาเหลียงจะจากไป ถูกต้องอย่างยิ่ง

แม่นางคนหนึ่งไม่ชอบเจ้า นั่นต้องเป็นเพราะว่าเจ้ายังไม่ดีพอ รอจนวันใดที่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองดีพอแล้ว บางทีแม่นางคนนั้นอาจจะแต่งงานไปแล้ว แม้แต่ลูกของนาง ก็อาจจะออกมาดื่มเหล้านอกบ้านแล้ว พอพบเจอเจ้าเฉินซานชิวบนถนนก็เรียกเจ้า คำหนึ่งท่านอาเฉิน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่ต้องเสียใจ เป็นบุพเพวาสนาที่ผิด ไม่ใช่ว่า เจ้าชอบคนผิด จำไว้ว่าหลังจากที่แม่นางคนนั้นแต่งงานไปแล้ว ก็อย่าไปตอแยนางอีก เก็บความชื่นชอบนั้นไว้ในใจ ซ่อนมันไว้ในสุรา ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า ก็จงหวังให้นาง ได้มีชีวิตในอนาคตที่ดี อย่าได้เอาแต่คิดว่าเมื่อนางมีชีวิตที่ไม่ดีก็จะเปลี่ยนใจหันมาชอบเจ้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นบุรุษคนหนึ่งที่ชื่นชอบแม่นางคนหนึ่งอย่างแท้จริง

และพอเฉินซานชิวนึกถึงคำพูดประโยคนี้อีกครั้ง เขาจึงไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ดื่มจนเมามายแล้วก็ด่าอาเหลียงเสียงดังว่า อาเหลียงเจ้าก็ พูดง่ายน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสยอมที่จะไม่ต้องได้ยินคำพูดผายลมสุนัขพวกนี้เสียดีกว่า ถ้าอย่างนั้นก็จะได้สามารถทำตัวหน้าหนา ไปชอบนางโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดได้ อาเหลียงเจ้าคืนเงินค่าเหล้ามาให้ข้าแล้วเอาคำพูดพวกนี้กลับคืนไป…

คนของร้านเหล้าเห็นจนชินตาเสียแล้ว นายน้อยตระกูลเฉินเมาคลุ้มคลั่งอีกแล้ว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรทุกครั้งก็สามารถเดินโซซัดโซเซกลับไปถึงบ้านของตัวเองได้

ระหว่างทางที่กลับไป คุณชายคนหนึ่งคอยเอาหัวกระแทกกำแพงดังปึงๆๆ โหวกเหวกให้เปิดประตูไปตลอดทาง

บนถนนใหญ่ก็ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจมากนัก

เพราะทุกสามวันห้าวัน นายน้อยใหญ่เฉินจะต้องแสดงฉากนี้สักครั้งหนึ่งอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นหลังจากที่เพื่อนรักอย่างเสี่ยวชวีชวีตายไป

ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามท่านแรกที่ตายไปเพราะเขาเฉินซานชิว

ยกตัวอย่างเช่นภายหลังมีผู้อาวุโสตระกูลเฉินรบตายอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

หรือยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ที่คิดถึงแม่นางตระกูลต่งที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับเหมือนอยู่ห่างไกลไปสุดขอบฟ้ามากๆ

ทุกครั้งที่เฉินซานชิวสร่างเมาจะต้องพูดว่า ตนก็เหมือนกับอาเหลียงที่ก็แค่เกิดมาชอบดื่มเหล้าเท่านั้น เพราะว่ามีคนบางคน เกิดมาแล้วก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องคบค้าสมาคมกับสุราไปตลอดชีวิต นี่ก็คือบุพเพวาสนา

……

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีสงครามให้รบ ขอแค่เป็นคนหนุ่มสาวที่รู้สึก เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำก็มักจะชอบหาเรื่องต่อสู้ต่อยตีกันอยู่เสมอ

เรื่องของการนัดต่อสู้ก็เป็นเรื่องปกติอย่างมาก มีทั้งสู้กันตัวต่อตัว หรือต่อยตีกันเป็นกลุ่มก็มีให้เห็นไม่น้อย แต่ก็มีขีดจำกัดที่ว่าห้ามทำลายรากฐานการฝึกตนของ อีกฝ่าย นอกจากนี้แล้ว อาการบาดเจ็บภายนอก เลือดไหลนองอะไรนั่น ต่อให้เป็นสตรีตระกูลต่งที่ขึ้นชื่อว่ารักและหวงแหนบุตรชายเป็นที่สุดเลื่องลือไปทั่วทั้งเมือง ก็ยังไม่พูดอะไรมาก อย่างมากนางที่อยู่ในบ้านก็แค่บ่นต่งฮว่าฝูผู้เป็นบุตรชายว่า ข้างนอกไม่มีอะไรน่าสนุก ในบ้านมีเงินมาก ไม่ว่าอะไรก็ซื้อกลับมาบ้านได้ ลูกชายเจ้าเล่นอยู่คนเดียวก็ได้

เช้าตรู่ของวันนี้

พวกเยี่ยนจั๋วพากันมาถึงด้านนอกประตูใหญ่ของจวนหนิงโดยไม่ได้นัดหมาย

ต่งฮว่าฝูที่ดำราวกับถ่านสีหน้าดำทะมึน เพราะบนถนนใหญ่มีคนที่จับกลุ่มกันมากลุ่มละสองสามคนมาร่วมวงดูความครึกครื้น ราวกับว่ารอให้มีคนเดินออกมา จากจวนหนิง

เฉินซานชิวสะบัดหัวไม่หยุด เมื่อวานดื่มมากไปหน่อย โชคดีที่เมื่อเช้าดื่มเหล้าถอน มาอีกรอบแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลานี้จะยิ่งแย่กว่าเดิม

มีแค่เตี๋ยจ้างที่ไม่ได้มา

แม่นางคนนี้เปิดร้านหลังเล็กที่อยู่ห่างไปจากตรอกของบ้านตัวเองไม่ไกล ขายของจุกจิกที่ได้กำไรน้อยนิดเท่าหัวแมลงวัน

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเส้นขีดจำกัดของเตี๋ยจ้าง หลังจากได้รู้จักกับพวกหนิงเหยา นั่นก็คือสหายส่วนสหาย บนสนามรบสามารถแลกชีวิตตายแทนกันได้ แต่มีเงินก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า นางเตี๋ยจ้างไม่จำเป็นต้องติดหนี้บุญคุณใคร หรือเอาเปรียบใครกับเรื่องเล็กๆ ในการใช้ชีวิตอยู่ทุกวันเช่นนี้ เยี่ยนจั๋วเคยรู้สึกเสียใจมาก จึงพูดด้วย ความเดือดดาลว่า อาเหลียงก็เคยช่วยเจ้าไว้มากไม่ใช่หรือ เจ้าถึงได้มีทรัพย์สินน้อยนิดและกิจการที่น่าสงสารอย่างทุกวันนี้ได้ เหตุใดพวกเราที่เป็นเพื่อนถึงไม่ใช่เพื่อน ของเจ้าแล้วล่ะ? ข้าเยี่ยนจั๋วช่วยเหลือเจ้าเตี๋ยจ้าง อีกทั้งยังไม่มีความคิดจะดูแคลนเจ้า แม้แต่น้อย หรือการที่ข้าหวังให้เพื่อนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็ผิดด้วย?

ตอนนั้นเตี๋ยจ้างกัดริมฝีปาก ไม่ได้เอ่ยอะไร

จากนั้นเยี่ยนจั๋วก็ถูกหนิงเหยาเล่นงาน ต้องกุมหัววิ่งหนีอุตลุด เป็นระยะเวลายาวนานมากช่วงหนึ่งที่เยี่ยนจั๋วไม่ได้พูดกับเตี๋ยจ้าง

แน่นอนว่าหนิงเหยาเองก็ไม่ได้พูดกับเยี่ยนจั๋วแม้แต่ครึ่งคำ ตอนนั้นก็เพราะว่าเรื่องนี้ ยามที่ทุกคนอยู่ด้วยกันถึงได้ไม่มีเรื่องให้พูดคุย

สุดท้ายมีวันหนึ่งเยี่ยนจั๋วเหมือนถูกผีเข้าสิงถึงได้ไปแอบนั่งยองอยู่ในมุมเลี้ยว ของตรอก มองเด็กสาวที่มีเพียงแขนเดียวทำงานง่วนอยู่ในร้าน มองอยู่นานมากถึงคิดจนเข้าใจถึงเหตุผลของเรื่องครั้งนั้น

แต่เยี่ยนจั๋วหน้าบาง จึงไม่ได้เอ่ยขอโทษ ภายหลังมีอยู่วันหนึ่งกลับเป็นเตี๋ยจ้างที่พูดขอโทษเขาเสียเอง ทำเยี่ยนจั๋วมึนงงไปหมด จากนั้นก็โดนพวกเฉินซานชิวและ ต่งถ่านดำซ้อมอีกรอบ แต่หลังจากนั้นมาเขาก็กลับมาคืนดีกับเตี๋ยจ้างอีกครั้ง

คนทั้งสามเข้ามาในจวนหนิงก็ได้เจอกับหนิงเหยาและเฉินผิงอันที่กำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกันพอดี

เยี่ยนจั๋วเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไร ข้าทำนายล่วงหน้าได้แม่นยำเลยใช่ไหมล่ะ พอเห็นพวกเรา พวกเขาสองคนต้องไม่จับมือกันแน่นอน”

เฉินซานชิวเอ่ย “ก็ได้ๆๆ เหล้ามื้อถัดไป ข้าจะเป็นคนเลี้ยงเอง”

ต่งฮว่าฝูเอ่ย “กฎเดิม คนอื่นเป็นคนเลี้ยง ข้าจะดื่มแค่เหล้าคงโหวกับเหล้าฉงฮุ่ยเท่านั้น”

หนิงเหยาถาม “พวกเจ้าอยากดื่มเหล้ามากนักหรือ?”

ต่งฮว่าฝูที่เดินอยู่ตรงกลางสุดชี้ไปสองฝั่งข้างกายตัวเอง “พี่หญิงหนิง อันที่จริง ข้าไม่อยากดื่มเหล้า เป็นพวกเขาที่ยืนกรานจะเลี้ยง จะขวางก็ขวางไม่อยู่”

เยี่ยนจั๋วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “พี่น้องคนดี”

เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “มีคุณธรรม”

ต่งฮว่าฝูกำลังจะเปิดโปงความลับเรื่องหนึ่ง แต่กลับถูกเยี่ยนจั๋วอุดปาก ถูกเฉินซานชิวลากคอกระชากไปด้านหลังเสียก่อน เฉินซานชิวยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รบกวนทั้งสองคนแล้ว พวกเรากลับก่อนดีกว่า มีเรื่องอะไรก็เรียกหาพวกเราได้ตลอดเวลา เลยนะ”

หนิงเหยามองคนทั้งสามที่มาอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องอะไรกัน?”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะว่า “ต้องเป็นเพราะเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วลงเดิมพันกันว่าเมื่อคืนข้านอนที่ไหนแน่นอน”

หนิงเหยาถาม “พวกเขาอยากตายหรือไง?”

ตอนที่ถามคำถามข้อนี้ หนิงเหยาหันมาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง

เฉินผิงอันยกมือเช็ดหน้าผาก “คงจะ…ใช่กระมัง”

หนิงเหยาเดินเล่นต่อไปอีกครั้ง ถามชวนคุยว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถรับหมัด พวกนั้นของป๋ายหมัวมัวได้ ตอนนี้ไม่อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างหรือ? ถึงอย่างไรต่อให้สู้แพ้ก็ไม่แพ้จนน่าเกลียดเกินไปนัก”

เวลานี้สีหน้าของเฉินผิงอันกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เขาเอ่ยว่า “ถูกเจ้าชอบ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเอาออกไปโอ้อวดข้างนอกได้ตามใจ”

หนิงเหยาแค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งที หมุนตัวแล้วเดินหนีไป

เฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับตามนางไปด้วย จวนหนิงมีขนาดใหญ่ นี่เป็นเรื่องดี เดินเล่นครบไปแล้วรอบหนึ่ง กลับมาเดินอีกรอบหนึ่งก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือไว้แล้ว

มุมหนึ่งของเรือน หญิงชราถือไม้กวาดอยู่ในมือ กำลังกวาดลานบ้าน ชำเลืองตามองตาเฒ่าที่เงี่ยหูฟังอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วพูดกลั้วหัวเราะปนฉุนว่า “ตาแก่หน้าไม่อาย อย่าทำตัวหน้าหนานักได้ไหม?”

ผู้เฒ่ากล่าว “กลางวันแสกๆ แบบนี้ เจ้าเด็กนั่นต้องไม่มีทางพูดจาหรือทำเรื่องอะไร ที่เกินกว่าเหตุแน่นอน”

จากนั้นผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยชื่นชมว่า “เจ้าตัวดี ร้ายกาจจริงๆ”

คราวนี้เป็นทีของหญิงชราที่ต้องสงสัยใคร่รู้บ้างแล้ว นางอดไม่ไหวถามว่า “คุณหนูคุยอะไรกับคุณชายเฉินรึ?”

ผู้เฒ่ายังคิดจะอมพะนำต่อ แต่พอเห็นว่ายายแก่ทำท่าจะลงไม้ลงมือก็ได้แต่เอ่ยประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ

หญิงชรายิ้มบางๆ พูดอย่างปลาบปลื้มว่า “ว่าที่ท่านเขยของพวกเราคือคนดี ร้ายกาจไม่ร้ายกาจอะไรกัน”

ผู้เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย ยังทำท่าจะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของฝั่งนั้นต่อ ผลกลับถูกหญิงชราเหวี่ยงไม้กวาดออกมาด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ เขาถึงได้ยอมหยุด อย่างขุ่นเคือง

อีกฝั่งหนึ่ง ได้ยินว่าเตี๋ยจ้างเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ด เฉินผิงอันก็รีบพูดทันทีว่า “นี่เป็นเรื่องดีนะ มีโอกาสข้าจะต้องคุยกับเตี๋ยจ้างสักหน่อย จะได้ร่วมมือกันทำ การค้าได้”

หนิงเหยาส่ายหน้า “อย่าดีกว่า เตี๋ยจ้างเป็นคนอ่อนไหว รับเรื่องพวกนี้ไม่ได้มากที่สุด ปีนั้นเจ้าอ้วนเยี่ยนก็เกือบจะเลิกเป็นสหายกับเตี๋ยจ้างเพราะเรื่องนี้”

“เจ้าไม่ต้องเล่าอย่างละเอียด ข้าก็รู้แล้วว่าปัญหาของเยี่ยนจั๋วอยู่ตรงไหน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเป็นใคร? ข้าคือเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่เดินออกมาจากตรอกหนีผิง เป็นร้านผ้าห่อบุญมาแล้วหลายปีเชียวนะ ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน รับรองว่าแม่นางเตี๋ยจ้างจะหาเงินที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินได้อย่างสบายใจ และข้าก็จะได้อาศัยร้านนั้นหาเงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจมาได้ด้วย”

หนิงเหยาชำเลืองตามองเขา จุ๊ปากหนึ่งที “เข้าใจความคิดของสตรีดีเพียงนี้เชียวรึ ไม่เสียแรงที่เคยออกท่องยุทธภพมาก่อน ข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นนะ ก็แค่ มีหนึ่งพูดหนึ่ง”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตเท่ากระบุงในทันใด

หนิงเหยากลับหัวเราะเอ่ยว่า “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า หากเจ้าสามารถช่วยร้านของเตี๋ยจ้างได้บ้าง อีกทั้งยังไม่ทำให้นางคิดมาก ข้าก็จะดีใจมาก คนขี้งกอย่าง เตี๋ยจ้างนี้ ตอนนี้ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของนางก็คืออาศัยความสามารถของ ตัวนางเองมาซื้อเรือนที่ใหญ่กว่าเดิม”

เฉินผิงอันเพิ่งจะโล่งใจได้

หนิงเหยาก็เอาสองมือไพล่หลัง สายตามองไปเบื้องหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทำเรื่องที่ผิดมโนธรรม ไม่กลัวผีมาเคาะประตู จะร้อนตัวไปไย”

เฉินผิงอันมองใบหน้าด้านข้างของนาง แล้วพลันหยุดเท้า จากนั้นก็ทำท่าเหมือนเสือโหยกระโจนขย้ำลูกแกะ

หนิงเหยารีบเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว สองข้างแก้มแดงปลั่ง หันหน้ามาพูด อย่างเขินอายปนกรุ่นโกรธว่า “เฉินผิงอัน! เจ้าทำตัวให้ดีๆ หน่อย!”

เฉินผิงอันรีบพูดเสียงเบาทันที “พูดเบาๆ หน่อยสิ”

ผลกลับกลายเป็นว่าดูเหมือนหนิงเหยาจะร้อนตัวยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก นางรีบเม้มปากตัวเองแน่นทันที

รอจนหนิงเหยาคืนสติกลับมา

เฉินผิงอันก็วิ่งถอยหลังหนีไปแล้ว ตอนแรกหนิงเหยายังคิดอยากจะไล่ไปตีเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา ก็เลยยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น

นางมองเฉินผิงอันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าที่แท้เขาก็หน้าตาดีมากๆ กันนะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version