Skip to content

Sword of Coming 576

บทที่ 576 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

หนิงเหยาตั้งใจหลอมลมปราณอยู่บนหน้าผาสังหารมังกร

เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ศาลา แต่ฝึกตนอยู่ในเรือนหลังเล็กของตน

หนิงเหยายังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าปราณวิญญาณของแท่นสังหารมังกรแถบนี้เปี่ยมล้นมากกว่า เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการฝึกตนของ จวนหนิง แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ประโยชน์ที่ได้รับย่อมน้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้วก็ยังคงเป็นสถานที่ที่สมควรเลือกเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ทำเพียงแค่มองหนิงเหยาอยู่เงียบๆ

หนิงเหยาจึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า มิน่าเล่าถึงได้ฝึกตนช้าขนาดนี้

เฉินผิงอันจึงยิ่งจนใจมากกว่าเดิม

ในสวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆของอุตรกุรุทวีป และบนภูเขาอย่างภูเขาเหมิงหลงของแจกันสมบัติทวีป สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ได้ในเวลาสิบปี ไม่ถือว่า ช้าแล้วจริงๆ

น่าเสียดายที่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเร็วในการฝึกตนของเฉินผิงอันก็ สมกับคำกล่าวที่ว่าเต่าย้ายบ้าน มดย้ายรังของเผยเฉียนอย่างแท้จริง

ทว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาคนนี้ ไม่พูดถึงการฝึกหมัดของนาง พูดถึงแค่ปราณกระบี่สิบแปดหยุด ปีนั้นตนที่เป็นอาจารย์คิดจะถ่ายทอดประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเสียหน่อยก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงเหยา ปีนั้นตอนที่พูดถึงปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ เฉินผิงอันถามว่าคนวัยเดียวในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะสามารถควบคุมได้ หนิงเหยาจึงบอกให้ฟังว่าพวกเยี่ยนจั๋ว เตี๋ยจ้าง ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะควบคุมวิธีหลอมลมปราณและวิธีหลอมกระบี่ของ ปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้ เดิมทีนั่นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงมากพออยู่แล้ว ผลคือเขาเองทนไม่ไหวจึงถามความเร็วของหนิงเหยาว่าเป็นอย่างไร หนิงเหยาหัวเราะเฮอๆ ที่แท้นั่นก็คือคำตอบแล้ว

เพราะฉะนั้นตอนนั้น เฉินผิงอันถึงขั้นรู้สึกว่าที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่บอกว่าตน มีคุณสมบัติของเซียนดิน ก็เป็นแค่คำปลอบใจเท่านั้น

หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่ใช้วิธีการฝึกตนมองถ้ำสวรรค์ภายใน ปล่อยดวงจิตที่เล็กเท่าเมล็ดงาให้จมจ่อมอยู่ในเรือนไม้ก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมายาวเหยียด หยุดการฝึกตนไว้ก่อนชั่วคราว เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเหมือนในอดีต แต่ออกจากเรือนมายืนอยู่ตรงระเบียงแห่งหนึ่งที่ห่างจากแท่นสังหารมังกร มาพอสมควร มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังนั้น ผลคือเขามองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่ง ที่นั่น ปราณกระบี่ในฟ้าดินมารวมตัวกันจนเกิดเป็นแสงแก้วใสเจ็ดสี เหมือนนกตัวน้อยแอบอิงคนที่ค่อยๆ บินล้อมวนอยู่ช้าๆ หากมองไปยังจุดที่ สูงกว่าอีกสักหน่อยยังถึงขั้นมองเห็นบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับ ‘เส้นสายน้ำ’ อยู่ด้วย นี่คงจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างถ้ำสวรรค์น้อยใหญ่อย่างฟ้าดินและร่างกายมนุษย์กระมัง อาศัยสะพานแห่งความเป็นอมตะของจวนเซียนทำให้คนและฟ้าดินสอดผสานรวมกันเป็นหนึ่ง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงเสาระเบียง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ดูเอาเถอะ แม่นางที่ข้าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ยามที่ตั้งใจฝึกตนขึ้นมา ร้ายกาจหรือไม่เล่า?

ในขณะที่เฉินผิงอันแอบเบิกบานใจอยู่กับตัวเอง ผู้เฒ่าก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ถามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย “คุณชายเฉินมองเห็นด้วยหรือว่าปณิธานเซียนกระบี่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในฟ้าดินพวกนั้นโปรดปราณคุณหนูของพวกเราอย่างถึงที่สุด?”

เฉินผิงอันรีบขยับตัวยืนดีๆ เอ่ยตอบว่า “ท่านปู่น่าหลัน แค่พอจะมองเบาะแสบางอย่างออก ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนัก”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พูดถึงแค่สายตาของคุณชายเฉิน นี่ก็ไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของพวกเราแล้ว”

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “หนิงเหยาจะฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองได้เมื่อไหร่?”

น่าหลันเย่สิงกล่าว “อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอให้ศึกใหญ่ครั้งถัดไปปิดฉากลงกระมัง”

เฉินผิงอันถาม “ทุกครั้งที่หนิงเหยากับเพื่อนออกจากหัวกำแพง ตอนนี้ข้างกายมีอาจารย์กระบี่ติดตามอยู่กี่คน มีขอบเขตเท่าไร?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มตอบ “ตอนที่คุณชายเฉินจากไป การเข่นฆ่าครั้งนั้น คนสามสิบกว่าคนที่รวมคุณหนูของข้าอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ออกจากหัวกำแพงเมืองไปทางทิศใต้ ทุกคนล้วนมีอาจารย์กระบี่ติดตามไปเป็นองค์รักษ์ แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างก็มี เพราะว่าเด็กกลุ่มนี้ ล้วนถือเป็นเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในเรื่องนี้ ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปช่วยได้มากจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็คงไม่เพียงพอ ช่วยไม่ได้ เด็กรุ่นของคุณหนูมีพรสวรรค์กันมากจริงๆ อาจารย์กระบี่ที่รับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ส่วนใหญ่มักจะมีพลังพิฆาตสูง ออกกระบี่ ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่ต้องการก็คือเมื่อออกหนึ่งกระบี่ไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถแลกชีวิตกับนักฆ่าของเผ่าปีศาจได้”

“นอกจากนี้แล้วก็ยังมีข้ารับใช้เก่าแก่ของจวนหนิงอย่างข้าที่คอยให้การปกป้องคุณหนูอย่างลับๆ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิวก็มีอาจารย์กระบี่ของตระกูลคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย พอถึงสงครามครั้งที่สอง เด็กรุ่นหลังพวกนี้ก็พากันฝ่าทะลุขอบเขต ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรหรือมีสถานะแบบไหน เมื่อเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ทางกำแพงเมือง ปราณกระบี่จัดหาอาจารย์กระบี่ไปช่วยคุ้มกันให้อีก พวกคุณหนูคือกลุ่มหนึ่ง อีกทั้ง แต่ละคนยังมีความหวังบนมหามรรคา เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีอาจารย์กระบี่ทั่วไป แต่ก็ยังมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ถ่ายทอดกระบี่ให้ด้วยตัวเอง เป็นทั้งผู้ ปกป้องมรรคา แล้วก็เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดมรรคา เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ท่านนี้ ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเด็กรุ่นหลังให้มากเกินไปนัก ส่วนใหญ่แล้วก็ยังต้องรับผิดชอบความเป็นความตายกันเอาเอง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้พวกคุณหนู ล้วนรบตายกันหมด เซียนกระบี่ที่เหลือรอดชีวิตเพียงลำพังท่านนั้นก็ไม่มีทางถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ตำหนิเอาโทษแม้แต่ครึ่งคำ”

น่าหลันเย่สิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรแปลก รอจนพวกคุณหนูเติบโตอย่างแท้จริงก็จะต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามให้กับเด็กรุ่นหลัง กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการสืบทอดเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหน ชื่อแซ่ใด แน่นอนว่าอยู่ในนครแห่งนี้ย่อมมีประโยชน์ ในช่วงเวลาของความสงบสุขระหว่างศึกใหญ่สองครั้ง ทรัพย์สินและทรัพยากรในการฝึกตน เมื่อเทียบกับคนที่มีชาติกำเนิดยากจนแล้ว ลูกหลานแซ่ใหญ่ล้วนได้เปรียบอย่างแท้จริง แต่พอไปถึง สนามรบทางทิศใต้ จะแซ่อะไรก็ไร้ความหมายแล้ว ขอแค่ขอบเขตสูง อันตราย ก็ยิ่งมาก ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราจะไม่มีพวก รักตัวกลัวตาย มีคุณสมบัติและฐานะทางบ้านดีเสียเปล่า แต่จิตแห่งกระบี่กลับ ไม่ได้เรื่อง ก็เลยจงใจเผาผลาญเวลาทิ้งอย่างเสียเปล่า ทั้งชีวิตได้ขึ้นไปบน หัวกำแพงเมืองแค่ไม่กี่ครั้ง”

น่าหลันเย่สิงมองไปทางแท่นสังหารมังกรแล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง การปรากฏตัวของแซ่ใหญ่ในแต่ละครั้ง ล้วนจะต้องตามมาด้วยเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการสังหารปีศาจใหญ่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้เมล็ดพันธ์ผู้ฝึกกระบี่ที่ครอบครัวยากจน แต่กลับฝึกตนได้เร็วจะเข้าใจมาตั้งแต่เด็กว่า ทำเพื่อตัวเองก็ดี เพื่อลูกหลานก็ช่าง สิ่งที่พวกเขา ต้องทำก็หนีไม่พ้นสังหารปีศาจให้ได้มากขึ้น จากนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อมีชีวิตอยู่ยาวนานถึงจะมีโอกาสก่อร่างสร้างตัว บุกเบิกจวนใหญ่ กลายเป็นเรื่องราวเรื่องใหม่จากปากของคนรุ่นหลัง”

นายท่านของตนมีชาติกำเนิดจากจวนหนิง หนึ่งในความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ สืบทอดควันธูปต่อไป สร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่วงศ์ตระกูลอีกครั้ง ช่วยให้แซ่หนิงกลับคืนมาอยู่ในอันดับของแซ่ใหญ่ลำดับต้นๆ ของกำแพงเมือง ปราณกระบี่อีกครั้ง

ความปรารถนาอีกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าหวังให้หนิงเหยาบุตรสาวของเขาได้แต่งงานกับคนดีที่คู่ควรแก่การฝากฝัง

เฉินผิงอันกล่าว “ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล มีหลายคนที่ไม่คิดเช่นนี้”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “ตอนที่ข้ายังเด็ก ตัวข้าเองก็เป็นคนประเภทนี้ เห็นคนวัยเดียวกันของบ้านเกิดไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ ก็จะบอกกับตัวเองว่า พวกเขาก็แค่มีพ่อแม่ที่แข็งแรง ในบ้านมีเงิน ขนมของตรอกฉีหลงมีอะไรอร่อย กินมากไปก็ไม่อร่อยเลยสักนิด แอบน้ำลายไหลไปด้วยแล้วก็คิดแบบนี้ไปด้วย ก็จะไม่อยากกินถึงขนาดนั้นอีกแล้ว หรือหากอยากกินจริงๆ ก็มีวิธี แค่วิ่งกลับไปที่ ลานบ้านของตัวเอง มองปลาน้อยที่จับมาจากในลำธารแล้วเอามาวางตากแดด บนกำแพงไว้ มองหลายๆ ทีหน่อยก็พอประทังให้หายหิว พอให้คลายความอยากไป ได้บ้าง”

เพราะฉะนั้นเฉินผิงอันกับเผยเฉียน พวกเขาที่ตอนแรกยังไม่กลายเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน ตอนที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวจึงเหมือนคนประเภทเดียวกัน แต่กลับเป็นเรื่องราวคนละเรื่องราว

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ท่านปู่น่าหลัน ฟังข้าพูดเรื่องพวกนี้ต้องทำลายบรรยากาศมากแน่ๆ”

น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่ล้วนได้ฟังคนเล่าเรื่องใหญ่มาตลอดชีวิต เรื่องเล็กน้อยยิบย่อยพวกนี้ได้ยินน้อยครั้ง คราวก่อนก็คือครั้งที่คุณหนูกลับมาจาก ใต้หล้าไพศาล น่าเสียดายที่คุณหนูไม่ค่อยชอบพูด เพราะฉะนั้นจึงเล่าอะไรให้ฟัง ไม่มาก เรื่องขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลและประสบการณ์การท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำของคุณหนูนั้น สำหรับคนที่ชั่วชีวิตแม้แต่ภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่เคยไปเยือน อย่างพวกเรา ฟังแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง”

น่าหลันเย่สิงพูดกับเฉินผิงอันว่า “แม้ว่าตอนนี้คุณชายเฉินจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่สะพายกระบี่เล่มนั้น บวกกับมีกระบี่บินพวกนั้น ก็อย่าไปสนเลยว่าจะใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตหรือไม่ ควรจะขัดเกลาพวกมันเพิ่มขึ้นสักหน่อย อย่าปล่อยแท่นสังหารมังกรไว้ให้เสียเปล่า ตระกูลหนิงปกป้องมัน ไม่ยอมขายให้ใครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะเอา ตั้งไว้เป็นเครื่องประดับ หากแค่ข้อนี้คุณชายเฉินยังคิดได้ไม่กระจ่างก็คงทำให้ คนผิดหวังแล้ว ปีนั้นนายท่านมักจะบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่ที่คนรุ่นหลังของ ตระกูลหนิงสามารถอาศัยความสามารถของตัวเองมากินแท่นสังหารมังกรนี้จนหมด นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง”

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว”

น่าหลันเย่สิงโบกมือ “คุณชายเฉินมักจะทำตัวห่างเหินแบบนี้ ไม่ดีหรอกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากท่านปู่น่าหลันไม่ได้เป็นคนเปิดปากพูดเอง แล้วอยู่ดีๆ ผู้น้อยก็แล่นไปลับกระบี่ ในใจของท่านปู่น่าหลันจะไม่ตะขิดตะขวงหรือ? จะไม่รู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้ นิสัยใจคอก็พอจะใช้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไร หรอกหรือ?”

น่าหลันเย่สิงตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังก้อง “ก็จริงนะ”

เฉินผิงอันหัวเราะตาม “ข้ารอประโยคนี้ของท่านปู่น่าหลันมานานมากแล้ว”

น่าหลันเย่สิงตบไหล่ของชายหนุ่มชุดเขียว แสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าตัวดี ฉลาดเจ้าเล่ห์เสียจริง ยังดีที่ยามอยู่กับคุณหนู นับว่ายังมีความจริงใจอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร รับรองว่าเจ้าเข้าบ้านมาแล้วก็ยังอยู่ต่อไม่ได้แน่นอน”

เฉินผิงอันไม่ได้หลบ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง

กำแพงเมืองปราณกระบี่คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือสถานที่ฝึกตนที่ผู้ฝึกตนปรารถนาแม้แต่ในยามหลับฝัน แต่ก่อน จะมาเยือนได้ แน่นอนว่าต้องสามารถแบกรับการกัดกร่อน บั่นทอนทำลายของปณิธานกระบี่ไร้รูปลักษณ์ที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน ผู้ฝึกลมปราณทุกคน เว้นจากผู้ฝึกกระบี่ที่คุณสมบัติแย่หน่อยก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในด้านความก้าวหน้าของการเดินขึ้นเขา เมื่อตั้งใจหลอมลมปราณ ยามที่ถ้ำสถิตเปิดออก ปราณกระบี่กับปราณวิญญาณผสมปนเปจนขุ่นมัว ร่วมกันกรอกเทเข้าไปยัง ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแห่งต่างๆ ราวกับกระแสน้ำขึ้น ลำพังเพียงแค่การกำจัดเอาปราณกระบี่ที่รุกรานออกไปก็ทำให้ผู้ฝึกลมปราณปวดหัว ทรมานจนพูดไม่ออกแล้ว

น่าเสียดายก็แต่ต่อให้ข้ามผ่านด่านนี้ไปได้ก็ยังไม่อาจหยุดพักอยู่ได้นานนัก นี่ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแล้ว แต่เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ชอบผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว เว้นเสียจากว่ามีวิธี และยังต้องมีเงิน

เพราะว่านั่นคือเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตใดก็ต้องเสียดายอย่างสุดซึ้ง ราคายุติธรรม ทุกขอบเขตจะมีราคาเป็นของตัวเอง นี่ก็คือกฎที่บรรพบุรุษของเจ้าอ้วนเยี่ยนเป็นผู้ตั้ง ในประวัติศาสตร์เคยมีการเปลี่ยนแปลงราคาอยู่สิบเอ็ดครั้ง แต่ละครั้งล้วนเป็นดั่งเรือที่ลอยขึ้นตามกระแสน้ำ ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้ลดราคาลงเลย

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องในอดีตของตระกูลเหยากับป๋ายหมัวมัวอยู่หลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องตอนที่หนิงเหยายังเป็นเด็ก

วันนี้จึงสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับศึกใหญ่สองครั้งล่าสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่จากผู้ฝึกกระบี่อย่างผู้อาวุโสน่าหลันเย่สิง

เฉินผิงอันพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่พักหนึ่งก็ขอตัวลาจากไป

ก่อนจะไป เขาถามคำถามหนึ่งว่า คราวก่อนเซียนกระบี่ที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับพวกหนิงเหยาเยี่ยนจั๋วคือใคร ผู้เฒ่าบอกว่าบังเอิญยิ่งนัก ก็คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า นามว่าเว่ยจิ้น

เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อเว่ยจิ้น ปีนั้นที่พาพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ ต้าสุย ตอนที่อยู่เรือนของผีสาวสวมชุดแต่งงาน ก็เป็นเว่ยจิ้นที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าม่านฟ้าออกมา

ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ที่ปราณกระบี่พุ่งทะยานดุจสายรุ้ง สำหรับเด็กหนุ่ม สวมรองเท้าเตะในปีนั้นแล้ว จิตใจของเขายากที่จะสงบนิ่งไปได้อีกนานหลายปี

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อายุยังไม่ถึงหกสิบปี ต่อให้เอามาวางไว้ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ อายุน้อยอย่างถึงที่สุด ผู้เฒ่าเองก็มีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเว่ยจิ้น ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนมีความรู้สึกที่ดีต่อเว่ยจิ้นทั้งนั้น นอกจาก วิถีกระบี่ของตัวเว่ยจิ้นเองที่ไม่ธรรมดา

รวมไปถึงเรื่องที่เขากล้าทิ้งอนาคตอันงดงามที่รออยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ววิ่งมาลงสนามรบเข่นฆ่าที่นี่ทั้งที่ตัวเองอายุยังน้อยแล้ว ประเด็นสำคัญคือเว่ยจิ้นยังเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า การที่ตนสามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดได้รวดเร็วขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะคุณความชอบจากคำชี้แนะของอาเหลียงทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นตามคำบอกของบรรพจารย์ศาลลมหิมะของพวกเขา ก็คงต้องหยุดชะงักอยู่ที่ก่อกำเนิดนานถึงหกสิบปี ได้แต่อาศัยการขัดเกลาที่เป็นดั่งน้ำหยดลงหินทุกวัน ถึงจะมีหวังได้เป็นเซียนกระบี่อายุร้อยปี อันที่จริงประโยคนี้พูดได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกไปทั้งหมด ผู้ฝึกลมปราณ ใต้หล้านี้ฝึกตนบนเส้นทางนับร้อยนับพันรูปแบบ แต่ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เผาผลาญเงินเทพเซียนมากที่สุด แล้วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พิถีพิถันเรื่องคุณสมบัติมากที่สุด หากตัวของเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนมีแรงไฟไม่มากพอ รากฐานไม่ดีพอ ต่อให้เป็น อาเหลียงก็ไม่อาจกระชากพาเว่ยจิ้นเลื่อนไปสู่ขอบเขตหยกดิบได้

หลังจากที่เฉินผิงอันกลับไปเรือนหลังเล็กแล้ว

ป๋ายเลี่ยนซวงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่า

หญิงชราเอ่ยเหน็บแนมว่า “เซียนกระบี่ใหญ่น่าหลันที่ต่อให้ถูกไม้ฟาดก็ยังผายลมไม่ออก (เป็นคำด่าคนที่พูดไม่เก่ง ไม่รู้จักพูดคุย) วันนี้กลับพูดมากนัก เห็นว่าไม่มีใครช่วยท่านเขยของพวกเราพลิกเรื่องเก่าปีมะโว้ออกมา เลยคิดว่าเขาจะไม่มีโอกาสรู้เรื่องสกปรกในอดีตของเจ้ารึ?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เทียบกับเจ้าที่เขาคุยเรื่องไม่สำคัญ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ แต่ตอนพูดกับข้ากลับคุยทั้งเรื่องใหญ่ของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ แล้วก็คุยทั้งเรื่องเล็กยิบย่อยในชีวิตประจำ หากว่ากันตามนี้ ว่าที่ท่านเขยสนิทสนมกับใครมากกว่ากัน ก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว”

หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด “เจ้านี่ไม่ยอมเสียหน้าเลยจริงๆ”

น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างระอาใจ “พวกเรามาว่ากันตามเนื้อผ้าได้ไหม?”

หญิงชราย้อนถาม “เจ้าเองก็รู้หรือว่าตัวเองหน้าไม่อาย?”

น่าหลันเย่สิงทอดถอนใจหนึ่งที เอาสองมือไพล่หลัง คิดในใจว่าไปดีกว่า

ยามที่ฝึกตน หนิงเหยามักจะมีสมาธิแน่วแน่อยู่เสมอ

เป็นเหตุให้สองวันต่อมา อย่างมากสุดช่วงเวลาว่างระหว่างการฝึกตนนางก็จะ ทำเพียงแค่ลืมตาขึ้นมองว่าเฉินผิงอันอยู่ใกล้กับศาลาของหน้าผาสังหารมังกรหรือไม่ หากไม่อยู่ นางก็ไม่ได้เดินลงไปจากภูเขาลูกเล็ก อย่างมากสุดก็แค่จะลุกขึ้นยืนแล้ว เดินเล่นอยู่ครู่หนึ่ง

ผ่านไปหนึ่งครั้ง ผ่านไปสองครั้ง รอจนเฉินผิงอันรู้จักที่จะมาปรากฏตัวอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้ว หนิงเหยาก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วแกล้งทำเป็นเริ่มฝึกตนต่อ อีกครั้ง

เฉินผิงอันจึงได้แต่มองนางอยู่พักหนึ่งแล้วจากไป

นี่ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ แต่เป็นเพราะเมื่อมาฝึกตนอยู่ในจวนหนิง เขาค้นพบว่าหลังจากที่ตนเลื่อนเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่แล้ว ความเร็วในการหลอมอิฐเขียวสามสิบหกก้อนของอารามเต๋า เดิมทีก็เร็วขึ้นสามส่วนแล้ว พอมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีเรื่องน่ายินดีที่ไม่เล็กอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเขาสามารถ หลอมปณิธานเต๋าและโชคชะตาน้ำพวกนั้นให้เสร็จสิ้นได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก กว่าที่เฉินผิงอันจะตัดความคิดวุ่นวาย พยายามบอกให้ตัวเองคิดถึงนางน้อยลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถสงบใจฝึกตนได้อย่างแท้จริงแล้ว ยามอยู่ ในเรือนหลังเล็กก็ทั้งหลอมวัตถุและหลอมลมปราณ จึงเริ่มเข้าสู่สภาวะหลงลืมตนเอง

แต่ครั้งนี้หลังจากที่เดินออกมาจากศาลา เฉินผิงอันกลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนหลังเล็ก แต่ไปหาป๋ายหมัวมัว บอกว่ามีเรื่องอยากจะปรึกษาผู้อาวุโสทั้งสองท่าน จำเป็นต้องรบกวนให้ผู้เฒ่าทั้งสองไปที่เรือนของเขาสักหน่อย

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้ารับ แล้วออกเดินไปพร้อมกับเฉินผิงอัน ไม่มีท่าทีว่าจะไปเรียกน่าหลันเย่สิงมาแม้แต่น้อย แต่พอมาถึงประตูของเรือนหลังเล็ก นางกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เอ่ยว่าตาเฒ่ารีบไสหัวออกมา น่าหลันเย่สิงก็มาปรากฏตัวอยู่ใกล้กับ คนทั้งสองอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันพาผู้อาวุโสทั้งสองเข้าไปในห้องแห่งนั้น แล้วรินน้ำชาให้พวกเขาคนละถ้วย

บนโต๊ะวางเจี้ยนเซียนที่ปีนั้นได้มาจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ รวมไปถึงแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัว

เฉินผิงอันหน้าแดงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลังเลอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดเช่นไร

น่าหลันเย่สิงทำลายความเงียบขึ้นว่า “คุณชายเฉิน นี่คือสินสอดหรือ?”

หญิงชราหัวเราะปากกว้าง ยกฝ่ามือที่เหี่ยวย่นข้างหนึ่งขึ้นมาปิดปาก หัวเราะอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน มีใครเขาเอาสินสอดมามอบให้ถึงบ้านด้วยตัวเองบ้างเล่า?”

เฉินผิงอันโบกมือ “ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน ข้าจะต้องหาแม่สื่อมาแน่นอน และในใจข้าก็มีตัวเลือกอยู่แล้ว ธรรมเนียมเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับพิธีงานแต่งงานของที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่าไร อีกทั้งที่นี่ ก็ไม่มีใครให้ข้าสอบถามเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่เรียกผู้อาวุโสทั้งสองท่านให้มาช่วยวางแผน ข้ากลัวว่าหากมอบของพวกนี้ไปให้ จะดูเป็นของขวัญที่เบาไปหรือเปล่า หรือจะละเมิดข้อห้ามอะไรไหม เลยอยากจะขอปรึกษากับผู้อาวุโสทั้งสองให้แน่ใจก่อน พยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ไม่ให้จวนหนิงต้องอับอายเพราะข้า”

ป๋ายเลี่ยนซวงหันมาสบตากับน่าหลันเย่สิงแล้วยิ้มให้กัน ต่างก็ไม่มีใครรีบร้อน เปิดปากพูด

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พูดเสียงทุ้มหนักว่า “แต่เรื่องพิธีการเหล่านี้ ข้าก็ได้แต่พยายามที่จะไม่ทำผิด พยายามทำให้ดีที่สุด รอบคอบที่สุด ทว่าเรื่องมาสู่ขอแม่นางหนิงนั้น ข้าเฉินผิงอันจะต้องเปิดปากพูดเองอย่างแน่นอน จวนหนิงและผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะตอบตกลงหรือไม่ ก็สามารถพูดมาตามตรงได้เลย ตระกูลเหยาจะมีความเห็นอะไรหรือไม่ ข้าก็ล้วนรับฟังได้หมด แต่ตัวข้าเฉินผิงอันเองอยากแต่งงานกับหนิงเหยา เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา ไม่ว่าใครที่มาเกลี้ยกล่อม บอกว่าเรื่องนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้เหตุผลของเจ้าจะดีจะถูกต้องแค่ไหน ก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

หญิงชราสบตากับน่าหลันเย่สิงอีกครั้ง คนทั้งสองยังคงไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินขยับไปด้านข้าง กุมหมัดคารวะ ค้อมเอวก้มหน้าลง คนหนุ่มพูดอย่างละอายใจว่า “ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ผู้อาวุโสในตระกูล ล้วนไม่อยู่แล้ว ผู้อาวุโสที่ให้ความเคารพบนเส้นทางการฝึกตนทั้งสองท่านก็ล้วนพากันจากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่ง ตอนนี้ไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาล และผู้น้อยก็ไม่อาจตามหาตัวเขาได้พบ ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ มาเยี่ยมเยือนจวนหนิงและจวนเหยากับข้า อย่างแน่นอน”

น่าหลันเย่สิงเตรียมจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกหญิงชราถลึงตาใส่ เขาเลยได้แต่ ปิดปากเงียบ

หญิงชรายิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายเฉิน นั่งลงพูดคุยกันเถอะ”

เฉินผิงอันกลับมานั่งอีกครั้ง เขานั่งหลังตรงอกตั้ง นั่งอย่างสำรวมเรียบร้อยอยู่ตรงข้ามกับหญิงชรา ต่อให้จะแสร้งทำท่าสุขุม แต่ก็ยังดูลุกลนอยู่เล็กน้อย

หญิงชราชี้ไปยังกระบี่และชุดคลุมอาคมบนโต๊ะแล้วยิ้มว่า “คุณชายเฉินสามารถบอกเล่าความเป็นมาของวัตถุทั้งสองชิ้นนี้ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันรีบพยักหน้ารับ แล้วเล่าถึงความเป็นมาของวัตถุทั้งสองคร่าวๆ ไปหนึ่งรอบ

น่าหลันเย่สิงที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เขาจิบน้ำชาพลางรับฟังไปด้วย ทว่าแท้จริงแล้วผู้เฒ่าที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างโชกโชนกลับ ตื่นตะลึงอยู่ในใจ

ชิ้นหนึ่งคือกระบี่เจี้ยนเซียนที่เฉินผิงอันบอกว่าไม่รู้ว่าเลื่อนขั้นไปอีกครึ่งระดับ ได้อย่างไร เป็นวัตถุที่หลังจากฮว่อหลงเจินเหรินของอุตรกุรุทวีปตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วก็บอกว่าเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง

อีกชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่แรกเริ่มสุดมีระดับขั้นแค่ชุดคลุมอาคม อาศัยการกินเหรียญทองแดงแก่นทองที่คนกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่คุ้นเคย ตอนนี้ ก็เลื่อนขั้นเป็นระดับอาวุธเซียนแล้วเช่นกัน

น่าหลันเย่สิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ต่อให้เป็นการแต่งงานระหว่างตระกูลแซ่ใหญ่อย่างเฉิน ต่ง ฉี สามารถเอาอาวุธ กึ่งเซียนหรืออาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาเป็นสินสอดหรือเป็นของขวัญได้ก็ถือเป็นเรื่องที่สร้างความครึกครื้นได้มากแล้ว อีกทั้งยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน นั่นคือทุกครั้งที่ทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่แต่งงานกัน อาจจะห่างไปสักร้อยปีหรือหลายร้อยปี อาวุธเซียน อาวุธกึ่งเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้พวกนี้ก็จะต้องเผยกายบนโลกอีกครั้ง สลับกลับกันไปมา สรุปก็คือจากบ้านนี้ไปอยู่บ้านนั้น แล้วก็เปลี่ยนถ่ายจากบ้านนั้นมาบ้านนี้ ส่วนใหญ่มักจะวนเวียนผลัดมือกันอยู่ระหว่างสิบกว่าตระกูลของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงเห็นเรื่องนี้จนชินชาแล้ว เวลาพวกมันปรากฏตัวจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร เมื่อก่อนตอนที่อาเหลียงอยู่ที่นี่ เขายังชอบนำขบวนผู้คนให้ลงเดิมพัน นำพาพวก ชายโสดกลุ่มใหญ่ที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำมาเดิมพันกันว่าของขวัญ สินสอดของสองบ้านที่ดองกันจะเป็นของสิ่งใดกันแน่

“เฉินผิงอัน เจ้าอายุยังน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้ว สำหรับเจ้าแล้วชุดคลุมอาคมจินหลี่ไม่ต่างจากซี่โครงไก่สักเท่าไร นำของชิ้นนี้มาเป็นสินสอด อันที่จริงก็ถือว่าเหมาะสมอย่างมาก”

ในที่สุดน่าหลันเย่สิงก็อดไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อเจ้าสัญญากับคุณหนูแล้วว่าจะเป็นเซียนกระบี่ เหตุใดถึงยังเอาเจี้ยนเซียนที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนมามอบ ให้อีก? ทำไม หรือคิดว่าถึงอย่างไรเมื่อมอบให้คุณหนู ก็ไม่ต่างจากเปลี่ยนจากมือซ้ายมาสู่มือขวา สุดท้ายก็ยังตกอยู่ในมือของตัวเองอยู่ดี? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเตือนเจ้า สักคำ จวนหนิงพูดง่าย แต่จวนเหยากลับไม่แน่เสมอไปว่าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า ระวังเถอะว่าถึงเวลานั้นเมื่อได้พบเจี้ยนเซียนเล่มนี้อีกครั้ง มันจะอยู่ในมือของเด็กรุ่นหลังตระกูลเหยาที่ออกกระบี่บนหัวกำแพงแล้ว”

หญิงชรากล่าวอย่างเดือดดาล “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง! เจ้าเฒ่าน่าหลัน ไม่พูด ก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

ทว่าคราวนี้น่าหลันเย่สิงกลับไม่คิดจะถอยให้แม้แต่น้อย เขาหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “คืนนี้คุยเรื่องใหญ่ ข้าคือบ่าวรับใช้เก่าแก่ของจวนหนิง ตอนที่นายท่านยังเด็ก ข้าก็คอยปกป้องนายท่านและแท่นสังหารมังกร นายท่านจากไปแล้ว ข้าก็จะปกป้องคุณหนูและแท่นสังหารมังกร พูดประโยคที่เหมือนคนหน้าด้านสักหน่อย ข้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของคุณหนูครึ่งตัว เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันในห้องนี้ ทำไมข้าถึงจะ ไม่มีสิทธิ์พูด? ต่อให้เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงออกหมัดขัดขวาง อย่างมากข้าก็แค่หลบไปพูดไป คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น วันนี้เดินออกจากห้องนี้ไปแล้ว หากข้ายังพูดมากอีกคำเดียว ก็ถือว่าข้าน่าหลันเย่สิงแก่แล้วแต่ยังไม่รู้จักทำตัวให้น่าเคารพ”

หญิงชราโมโหจนคิดจะออกหมัด

เฉินผิงอันต้องรีบห้าม “ป๋ายหมัวมัว ให้ท่านปู่น่าหลันพูดเถอะ สำหรับผู้น้อยแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี”

นางจึงหันหน้าไปพูดกับผู้เฒ่าว่า “น่าหลันเย่สิง ต่อจากนี้ทุกคำที่เจ้าพูดก็จะต้องเจอหมัดข้าหนึ่งหมัด เจ้าจงชั่งน้ำหนักดูให้ดี”

น่าหลันเย่สิงเริ่มดื่มชา

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “มอบสิ่งที่ดีที่สุดของตนให้กับคนที่ตัวเองรัก ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เพื่อให้มันได้เลื่อนขั้น ข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย แต่ข้าก็ไม่เคยลังเล ยิ่งไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลัง หนิงเหยาสวมมันไว้บนร่าง เมื่อต้องเข่นฆ่ากับศัตรูในอนาคต อีกครั้ง ข้าก็จะเบาใจได้มาก ข้าคิดแค่นี้เท่านั้น ส่วนเจี้ยนเซียน มันท่องเที่ยวอยู่ ข้างกายข้ามานานหลายปี หากจะบอกว่าไม่มีความผูกพันเลยก็ต้องเป็นคำโป้ปดแน่นอน อาวุธเซียนเล่มหนึ่ง มีมูลค่าสูงต่ำ หากบอกว่าไม่รู้ ไม่สนใจเลย ก็ยิ่งเป็นคำพูดหลอกตัวเองที่แม้แต่ตัวข้าก็ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักของ หนิงเหยาที่อยู่ในใจของข้าแล้ว มันก็ยังเปรียบเทียบไม่ได้อยู่ดี เกี่ยวกับว่าควรจะมอบเจี้ยนเซียนเล่มนี้หรือไม่ นอกเหนือจากความผูกพันแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียมาก่อน แน่นอนว่าต้องเคย หากอยู่ในมือของข้า แล้วในศึกใหญ่ครั้งต่อไปจะยิ่งสามารถปกป้องหนิงเหยาได้ ข้าก็จะไม่มอบออกไป ข้าไม่มีทางทำเพื่อ หน้าตาของตัวเอง หรือแค่เพื่อพิสูจน์ว่าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่เดินออกมาจากตรอกหนีผิงก็สามารถมอบสินสอดที่ไม่แพ้ตระกูลใหญ่โตตระกูลใดให้หนิงเหยาได้ ข้าไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน ตอนที่ยังเป็นเด็ก ต้องอยู่เพียงลำพัง มีชีวิตรอดจนมาเป็นเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ต้องเดินทางไกลหลายปีอย่างเดียวดาย ข้าเฉินผิงอันรู้ชัดเจน ดีว่าเมื่อไหร่ที่สามารถทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์ เรื่องใดที่จำเป็นต้องคิดคำนวณ อย่างละเอียด เมื่อไหร่ที่สามารถใช้ความรู้สึกตัดสิน หรือเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องระมัดระวังรอบคอบ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกเรื่องล้วนเคยคิดมาก่อนแล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่สามารถรับประกันว่าในอนาคตข้ากับหนิงเหยาจะมีชีวิตที่สงบสุข ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ทั้งตัวเองและหนิงเหยามีหน้ามีตา ข้าก็จะทำอย่างสบายใจ ระหว่างนี้คำพูด และสายตาของคนอื่นไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าอายุน้อยไม่รู้ความ รู้สึกว่าฟ้าดิน ก็คือข้า ข้าก็คือฟ้าดิน แต่เป็นเพราะขบคิดใคร่ครวญถึงขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้มาก่อนแล้ว

แต่ก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้ เมื่อทำแล้วถามใจตัวเองไม่ละอาย ค่าตอบแทนทั้งหลายที่ต้องจ่ายต่อจากนี้ก็ค่อยแบกรับเอาไว้ ก็แค่เหนื่อยกายเท่านั้น ไม่ได้เหนื่อยใจ”

สายตาเฉินผิงอันใสกระจ่าง คำพูดและจิตใจยิ่งมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ “หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน แล้วข้าพูดคำพูดแบบเดียวกันนี้ นั่นก็ต้องเรียกว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คือเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยผ่านการขัดเกลาจากความทุกข์ยากมาก่อน ถึงได้รู้สึกเพียงว่าการชื่นชอบใครแล้วไม่สนใจสิ่งใดก็คือความชื่นชอบที่แท้จริง คือความสามารถแล้ว แต่สิบปีให้หลัง ข้าไม่เคยหยุดยั้งทั้งการฝึกตนและฝึกฝนจิตใจ เดินทางผ่านภูเขาสายน้ำของสามทวีปเป็นระยะทางนับสิบล้านลี้ แล้วมาพูดประโยคนี้อีกครั้ง ก็คือเฉินผิงอันที่ในครอบครัวไร้ผู้อาวุโสคอยอบรมด้วยความจริงใจ จึงเติบโตมาด้วยตัวเอง รู้และเข้าใจเหตุผล พิสูจน์ได้แล้วว่าข้าสามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเริ่มทดลองหันมาดูแลสตรีที่ตัวเองรักได้บ้างแล้ว”

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน ข้าเป็นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก ชอบไปหลบอยู่เพียงลำพังแล้วชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย คอยสังเกตดูจิตใจของผู้อื่น มีเพียงเรื่องของหนิงเหยาเท่านั้นที่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้านาง ข้าก็ ไม่เคยคิดมาก เรื่องนี้ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลให้อธิบาย ไม่อย่างนั้นปีนั้น เด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงที่ร่อแร่ใกล้ตาย เหตุใดถึงได้ใจกล้าถึงขนาดกล้าไปชอบ แม่นางหนิงที่ราวกับอยู่สูงสุดขอบฟ้าได้? ภายหลังยังกล้าอาศัยข้ออ้างว่ามาส่งกระบี่ มาพบหนิงเหยาที่ภูเขาห้อยหัว? ครั้งนี้กล้ามาเคาะประตูใหญ่ของจวนหนิง ได้เจอ หนิงเหยาแล้วก็ไม่รู้สึกดั่งวัวสันหลังหวะ พบกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านแล้วก็ยิ่ง ไร้ความละอาย”

หญิงชราพยักหน้ารับ “พูดมาถึงขั้นนี้ นับว่าเพียงพอแล้ว หญิงแก่อย่างข้า ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากอีกแล้ว”

นางมองไปทางน่าหลันเย่สิง

เดิมทีน่าหลันเย่สิงอยากจะปิดปากเงียบ คิดไม่ถึงว่าในสายตาของหญิงชรา คล้ายจะมีคำพูดซ่อนอยู่ น่าหลันเย่สิงที่ใคร่ครวญคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “พูดได้ไม่เลว แต่หลังจากนี้จะทำอย่างไร ข้ากับป๋ายเลี่ยนซวงจะคอยจับตามอง จะให้คุณหนูต้องน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ในเรื่องใหญ่ๆ ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจับตามอง อย่างเข้มงวดได้เลย เพียงแต่ว่าเรื่องเล็กๆ ทั่วไปอย่างการเดินเล่นในจวนหนิง ขอร้องท่านผู้อาวุโสปล่อยผู้น้อยไปเถิด”

ป๋ายเลี่ยนซวงชี้ไปยังผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกาย “หลักๆ แล้วเป็นเพราะคนบางคนฝึกกระบี่ จนกลายเป็นคนไร้ค่า วันๆ จึงไม่มีอะไรให้ทำ”

น่าหลันเย่สิงกระแอมหนึ่งที ยกถ้วยชาที่ว่างเปล่าขึ้นมา แสร้งทำท่าจิบชา อย่างเข้าท่าเข้าทีอึกหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยว่า “ไม่รบกวนการฝึกตนของคุณชายเฉินแล้ว”

หญิงชราพลันถามว่า “ขอข้าละลาบละล้วงถามสักคำ ไม่ทราบว่าคนที่คุณชายเฉิน คิดจะให้มาเป็นแม่สื่อสู่ขอคือใคร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “คือผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บน หัวกำแพง แต่ในใจผู้น้อยก็ไม่มั่นใจนัก ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จะยินดีหรือไม่”

น่าหลันเย่สิงสูดลมหายใจดังเฮือก

เจ้าตัวดี ช่างใจใหญ่จริงๆ

เทพเซียนผู้เฒ่าที่ถูกอาเหลียงตั้งฉายาให้ว่าพี่ใหญ่เซียนกระบี่คนนั้น ดูเหมือนว่านับตั้งแต่วันแรกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกสร้างขึ้นมา เขาก็อยู่อาศัยบน หัวกำแพงเมืองมาโดยตลอด ไม่เคยขยับตัวไปไหน ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่อย่าง การแต่งงานของลูกหลานผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลเฉินเอง

หรือไม่ก็งานศพหลังจากที่เซียนกระบี่แซ่เฉินตายไป เฉินชิงตูก็ไม่เคยเดินลงจากหัวกำแพง ตลอดหมื่นปีมานี้ไม่เคยแหกกฎมาก่อน ลูกหลานสกุลเฉินแต่ละรุ่น ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

ป๋ายเลี่ยนซวงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “หากเรื่องนี้สำเร็จได้จริงๆ จะบอกว่าเป็นเกียรติที่ใหญ่เทียมฟ้าก็ไม่เกินจริงเลย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “ผู้น้อยพูดได้แค่ว่าจะพยายามทำหน้าหนาขอร้อง ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ให้ได้ แต่กลับไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นขอร้องป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันว่าอย่าตั้งความหวังกับเรื่องนี้มากเกินไปนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นผู้น้อยวางตัวไม่ถูก ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อในจวนหนิงแล้วจริงๆ”

น่าหลันสิงเย่ยิ้มกล่าว “กล้าคิดแบบนี้ก็ถือว่าดีกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมากแล้ว!”

ป๋ายเลี่ยนซวงหัวเราะเสียงเย็น “ในที่สุดสุนัขแก่น่าหลันก็พูดประโยคของคน กับเขาสักที”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ชมเกินไปแล้วๆ”

ป๋ายเลี่ยนซวงยิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “ฟังดูสิ นี่ใช่คำพูดของคนไหม? เพราะฉะนั้นคุณชายเฉิน วันหน้าเมื่อท่านอยู่กับน่าหลันเย่สิงผู้นี้ก็ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจใดๆ ตาเฒ่าคนหนึ่งที่ฝึกกระบี่อย่างเสียเปล่า หากเป็นเรื่องของการอำพรางตัวลงมือทำเรื่องใดแทนนั้น ยังถือว่าพอจะมีความสามารถเล็กเท่าเมล็ดงาอยู่บ้าง ไม่สู้คุณชายเฉินเห็นแก่หน้าเขาสักหน่อย ให้น่าหลันเย่สิงได้สอนวิชาถนัดที่พอจะเหลือฝีมืออยู่น้อยนิดให้แก่ท่านบ้างก็ได้”

น่าหลันเย่สิงพูดอย่างขันๆ ปนฉิว “ป๋ายเลี่ยนซวง เจ้าเชิญย่ำยีผู้ฝึกกระบี่ ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งตามสบายเถอะ หากข้ากล้าตอบโต้แม้แต่ครึ่งคำ ก็ถือว่าข้าน่าหลันเย่สิงใจคอคับแคบ”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าคำพูดนี้ซ่อนความรู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ วันหน้าตนสามารถเรียนรู้ดูได้

หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากไป

เฉินผิงอันก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือนเล็กที่เขาเดินมาส่งคนทั้งสอง

เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปที่เรือน แต่ยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าประตู หันหน้าไปมองมุมหนึ่ง

รออยู่พักใหญ่ถึงได้มีคนเดินออกมาช้าๆ เฉินผิงอันเดินหน้าไปหา ยิ้มกล่าวว่า “บังเอิญขนาดนี้เชียว? พอข้าออกจากบ้าน เจ้าก็ฝึกตนเสร็จพอดีแล้วเดินเล่นมาถึงที่นี่”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอะไรหน่อยสิ ช่วยดูหน่อยว่า กระดาษหน้าต่างของห้องถูกโจรตัวน้อยเจาะเป็นรูหรือไม่”

หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เจ้าพูดอะไรน่ะ? จวนหนิงจะมีโจรได้อย่างไร ตาลายแล้วกระมัง? แต่หากขโมยอะไรไปจริงๆ เจ้าต้องเป็นคนชดใช้นะ”

เฉินผิงอันกุมหมัดทุบลงบนหัวใจเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ช่างเป็นโจรที่ร้ายกาจนัก ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่ขโมยไป”

หนิงเหยาถลึงตาใส่อย่างเขินอายปนขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน! เจ้าลองพูดจากะล่อนแบบนี้ดูอีกสิ!”

เฉินผิงอันโอบกอดนางเบาๆ พูดเสียงแผ่วว่า “หนิงเหยาคือฟ้าดินทั้งใบสำหรับในใจของเฉินผิงอัน”

หนิงเหยาเพิ่งจะเตรียมออกแรงดิ้น กลับค้นพบว่าเขาปล่อยมือและถอยหลัง ไปหนึ่งก้าวแล้ว

หนิงเหยายิ่งโมโหมากกว่าเดิม

เฉินผิงอันจึงรีบอธิบายว่า “พวกเพื่อนของเจ้ามากันอีกแล้ว ครั้งนี้ค่อนข้าง เกินกว่าเหตุ จงใจแอบมาอย่างลับๆ ด้วย”

หนิงเหยาลองสงบจิตใจก็สัมผัสได้ถึงเบาะแสทันที

หนิงเหยาหันหน้าไปอีกทาง “ออกมา!”

เจ้าอ้วนที่นั่งอยู่ตรงก้อนหินนั่งนิ่งไม่ขยับ มือทั้งสองคีบยันต์ ทว่าด้านหลังของเขากลับมีบุปผาดอกหนึ่งผลิบาน นั่นก็คือต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว

พอมาเจอหน้ากัน หนิงเหยาตีหน้าเคร่ง เฉินผิงอันมีสีหน้าเป็นปกติ คนทั้งกลุ่ม พากันเดินไปที่แท่นสังหารมังกร แต่กลับไม่มีใครเดินขึ้นเขาไปนั่งในศาลา

ต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างนัดหมายกันมาเรียบร้อยแล้วว่าจะมาประลองวิชากระบี่กันที่นี่

เจ้าอ้วนเยี่ยนยิ้มตาหยีมองเฉินผิงอัน บอกว่ายามที่พวกเราประลองฝีมือกันขึ้นมา หากไม่ทันระวังก็จะมีเลือดกระเซ็นไปทั่วทิศ อย่าได้กลัวเด็ดขาดเชียว

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกว่าต่อให้กลัวตนก็จะแสร้งทำเป็นไม่กลัว

เจ้าอ้วนเยี่ยนหัวเราะหึหึ

หนิงเหยามองเฉินผิงอันที่ปากพูดจาโป้ปดลื่นไหล แต่กลับมีท่าทางจริงจัง แต่พอเฉินผิงอันหันหน้ามามองนาง หนิงเหยากลับถอนสายตากลับมา

เฉินซานชิวไปถึงที่นั่นแล้วก็คร้านจะสนใจการประมือกันระหว่างต่งถ่านดำกับเตี๋ยจ้าง จึงเดินย่องเบามือเบาเท้าไปที่ตีนเขาของภูเขาลูกเล็กแท่นสังหารมังกร มือหนึ่งถือ จิงเหวิน มือหนึ่งถืออวิ๋นเหวิน แล้วเริ่มทำการลับกระบี่เงียบๆ จะมาเสียเที่ยวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคิดว่าทุกครั้งที่พวกเขามาเยือนจวนหนิง แล้วต่างคนต่างสะพายกระบี่ของตัวเองมาด้วยเพื่ออะไรเล่า? หรือคิดว่าพวกเขาจะเอามาโอ้อวดผู้อาวุโสเซียนกระบี่น่าหลัน? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้เขาเฉินซานชิวร่วมมือกับเจ้าอ้วนเยี่ยน เรียกได้ว่าหนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี มีครบทั้งป้องกันและโจมตี ปีนั้นอาเหลียงยังเอ่ยชมกับปากตัวเองว่าพวกเขาคือ ‘หยกคู่’ แต่ก็ยังแพ้ให้หนิงเหยาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เฉินซานชิวลับคมกระบี่พลางบ่นไปด้วยว่า “พวกเจ้าทั้งสองช่วยกินให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ? จะเกรงใจกันทำไม?”

บนสนามประลองยุทธ ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน หนิงเหยาโบกมือเปิดค่ายกลภูเขาสายน้ำขึ้นมา สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ฝึกกระบี่ของคู่รักเซียนกระบี่สองท่าน ดังนั้น ต่อให้ต่งถ่านดำกับเตี๋ยจ้างตีกันจนฟ้าทะลุ ปราณกระบี่ก็ไม่มีทางหลุดรอดออกไป นอกสถานที่ประลองยุทธได้

เฉินผิงอันมองการประมือของต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างอยู่สองสามที กระบี่พกของพวกเขาแบ่งออกเป็นหงจวง เจิ้นเยว่ หากพูดถึงแค่รูปแบบและขนาดเล็กใหญ่ของพวกมันก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว แต่ละคนต่างก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคนละหนึ่งเล่ม วิธีการก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระบี่บินของต่งฮว่าฝูนั้น เน้นที่ความเร็ว ส่วนกระบี่บินของเตี๋ยจ้างเน้นที่ความมั่นคง ในมือของต่งฮว่าฝู ถือหงจวง หญิงสาวแขนเดียว ‘หิ้ว’ เจิ้นเยว่เล่มใหญ่ยักษ์ ทุกครั้งที่ปลายกระบี่เสียดสีหรือฟันลงบนพื้นของสนามฝึกยุทธก็จะทำให้เกิดประกายไฟแลบปลาบขึ้นเป็นระลอก หันกลับมามองต่งฮว่าฝู ออกกระบี่อย่างเงียบเชียบ เกิดริ้วกระเพื่อมเล็กอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันถามเยี่ยนจั๋วหนึ่งคำถามว่าทั้งสองฝ่ายออกแรงกันคนละกี่ส่วน เจ้าอ้วนเยี่ยนตอบว่าประมาณเจ็ดแปดส่วนกระมัง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ต้องได้เห็นเลือดของเตี๋ยจ้างแล้ว แต่เตี๋ยจ้างไม่กลัวเรื่องนี้ที่สุด นางชอบด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่มักจะเป็น ต่งถ่านดำที่ครองความได้เปรียบเล็กๆ ทั้งหมด จากนั้นขอแค่ถูกเจิ้นเยว่ในมือเตี๋ยจ้างผลักร่างเบาๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต่งถ่านดำก็จะต้องนอนกระอักเลือดอยู่บนพื้น คืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปในคราวเดียว

เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นเตี๋ยจ้างที่ถือกระบี่ด้วยมือเดียวถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของต่งฮว่าฝูแทงทะลุ แล้วตอนนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางลมปราณเสี้ยวหนึ่งจากบนร่างของเตี๋ยจ้าง เฉินผิงอัน ก็ไม่มองการฝึกปรือวิชากระบี่ของทั้งสองฝ่ายอีก แต่มานั่งยองอยู่ข้างกาย เฉินซานชิวแทน

หากสมมติว่าตนเป็นคนคุมเชิงกับคนทั้งสอง จับคู่เข่นฆ่ากับใครสักคน แบ่งตัดสินเป็นตายก็ดี แบ่งแพ้ชนะก็ช่าง เขาก็ล้วนมีวิธีรับมือแล้ว

ถ้าอย่างนั้นหากมองต่อไปก็ไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไรแล้ว ถึงอย่างไรก็คง ไม่ควรแสร้งทำเป็นหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก สีหน้าตื่นตระหนกต่อหน้า เจ้าอ้วนเยี่ยน แล้วยังต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองออกเพียงแต่ไม่พูดออกมาจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น เฉินผิงอันคงไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้อยู่ในจวนหนิง อีกทั้งคนพวกนี้ยังเป็นสหายที่ดีที่สุดของหนิงเหยา เคยร่วมศึกใหญ่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง จะบอกว่าร่วมเป็นร่วมตายกัน ก็ยังไม่เกินไป ถ้าอย่างนั้นตนก็ควรต้องนำมาดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วมาใช้ นั่นคือต้องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจแล้ว

เฉินซานชิวที่อยู่ตรงแท่นสังหารมังกรยังคงลับกระบี่จิงซูครั้งหนึ่ง แล้วค่อยหันมาลับกระบี่อวิ๋นเหวินอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย

เฉินซานชิวหันหน้ามายิ้มถาม “คุณชายเฉิน อย่าได้ถือสาเลยนะ”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่ด้านข้าง เพ่งมองการขัดเกลาระหว่างคมกระบี่สองเล่มกับแท่นสังหารมังกรอย่างละเอียด พลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ถือสา หากคุณชายเฉินไม่ถือสา ข้ายังช่วยลับกระบี่ให้ได้ด้วยซ้ำ”

เฉินซานชิวส่ายหน้า “แบบนั้นไม่ได้หรอก อาเหลียงเคยบอกว่า กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็คือรากแห่งชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ กระบี่พกประจำกายก็คือภรรยาตัวน้อยของผู้ฝึกกระบี่ มอบให้คนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่มองกระบี่สองเล่มนั้นค่อยๆ แทะแท่นสังหารมังกรเหมือนมดแดงย้ายภูเขาที่แทบจะมองข้ามไปได้เลย

เจ้าอ้วนเยี่ยนพึมพำ “คุณชายเฉินทั้งสอง ทำไมได้ยินพวกเขาสองคนคุยกัน ข้าถึงได้ขนลุกนะ”

หนิงเหยาสีหน้าเฉยเมย

เจ้าอ้วนเยี่ยนจึงถามว่า “หนิงเหยา สรุปแล้วเจ้าหมอนี่มีขอบเขตอะไรกันแน่ คงไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจริงๆ หรอกกระมัง ถ้าอย่างนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธคือเท่าไร? เป็นขอบเขตร่างทองจริงๆ หรือ? แม้ว่าข้าไม่ค่อยเห็นดีในตัวของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมากนัก แต่หลายปีมานี้ตระกูลเยี่ยนก็พอจะมีความสัมพันธ์กับภูเขาห้อยหัว อยู่บ้าง แล้วก็เคยคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตยอดเขา รู้ว่าคนฝึกยุทธที่สามารถเดินไปถึงขอบเขตสามหลอมจิตที่เป็นขอบเขตสูงนี้ได้ ล้วนไม่ธรรมดา แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันยังหนุ่มขนาดนี้ ข้ารู้สึกคันไม้คันมือจริงๆ นะ หนิงเหยา ไม่อย่างนั้นเจ้าตอบตกลงให้ข้าประมือกับเขาดีไหม?”

นี่ก็คืออุบายเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าอ้วนเยี่ยนแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็ได้ สวมตำแหน่งของผู้ที่มีพรสวรรค์จริงแท้แน่นอน น่าเสียดายที่หากอยู่กับหนิงเหยา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ แต่เมื่ออยู่กับพวกต่งฮว่าฝูสามคน ขอแค่เป็นเรื่องการประลองวิชากระบี่ เขาก็ไม่เคยได้เปรียบมาก่อน

ตอนนี้กว่าจะคว้าจับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ยังไม่เป็นขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งมาได้ และสนามประลองยุทธของจวนหนิงก็แบ่งเป็นเล็กใหญ่ นั่นคือสนามที่อยู่ตรงหน้านี้ กับอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลสักหน่อย ซึ่งที่นั่นขึ้นชื่อด้านพื้นที่ที่กว้างขวาง คือ ‘ฟ้าดินเมล็ดงา’ แห่งหนึ่งที่เลื่องลือไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองดูเหมือน ไม่ใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ในนั้นถึงจะรู้ความลี้ลับของมัน หากเขาเยี่ยนจั๋วคิดจะประมือกับเฉินผิงอัน แน่นอนว่าต้องไปที่ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนั้น ถึงเวลานั้นข้าเยี่ยนจั๋ว ขัดเกลาวิชากระบี่ของข้า ส่วนเจ้าก็ขัดเกลาวิชาหมัดของเจ้า ข้าบินอยู่บนฟ้า เจ้าวิ่งอยู่บนพื้น แบบนั้นต้องสนุกมากแน่ๆ

หนิงเหยาเอ่ย “หากจะประลองฝีมือกัน เจ้าก็ไปถามเขาเอาเอง หากเขาตกลง ข้าก็ไม่ขวาง แต่หากไม่ตกลง เจ้าขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์”

เจ้าอ้วนเยี่ยนกลอกตาไปมา “ป๋ายหมัวมัวคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธเพียงคนเดียวของพวกเรา หากป๋ายหมัวมัวไม่รังแกเขาเฉินผิงอัน จงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขต ร่างทอง เฉินผิงอันผู้นี้สามารถแบกรับหมัดของป๋ายหมัวมัวได้กี่ที? สามหมัดห้าหมัด? หรือว่าสิบหมัด?”

มุมปากของหนิงเหยากระดกขึ้น แต่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเห็น นางเอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัวเคยสอนหมัดเขาครั้งหนึ่ง แต่ไม่นานก็ยุติลง ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย แค่ได้ยินท่านปู่น่าหลันเล่าให้ฟังหลังจบเรื่อง แต่ข้าก็ไม่ได้ ถามมาก สรุปก็คือป๋ายหมัวสอนหมัดอยู่บนสนามประลองยุทธ สองฝ่ายต่อยกัน สองสามหมัด เตะกันสองสามทีก็ไม่สู้กันอีกแล้ว”

เจ้าอ้วนเยี่ยนถูมือ “เจ้าตัวดี ถึงขนาดประลองหมัดกับป๋ายหมัวมัวได้ถึงสองสามหมัด ต่อให้เป็นการประลองกันของขอบเขตร่างทองก็ถือว่าเฉินผิงอันร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ข้าจะต้องขอความรู้จากเขาดูสักหน่อยแล้ว”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้น ขอแค่เฉินผิงอันตอบตกลง พวกเจ้าจะประลองกันอย่างไรก็ตามใจ”

เจ้าอ้วนเยี่ยนถามอย่างระมัดระวังว่า “หากข้าไม่ทันระวังน้ำหนักมือ ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินไปบาดมือบาดขาของเฉินผิงอันเข้า จะทำอย่างไร? เจ้าคงไม่ช่วย เฉินผิงอันสั่งสอนข้าหรอกนะ? แต่ข้าสามารถรับรองได้ร้อยส่วนพันส่วนเลยว่า จะไม่มีทางออกกระบี่ใส่ใบหน้าเฉินผิงอันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าข้าแพ้!”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก

ปล่อยให้เยี่ยนจั๋วรนหาที่ตายอยู่กับตัวเองไป

ในช่วงเวลาที่ทั้งต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างต่างก็มีช่องโหว่ในการออกกระบี่ หนิงเหยา ก็จะช่วยชี้แนะพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา

ทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันจึงต่างจดจำเอาไว้ในใจ

อันที่จริงตอนที่คนวัยเดียวกันกลุ่มนี้เพิ่งจะได้รู้จักกัน หนิงเหยาก็เคยชี้แนะ วิชากระบี่ให้คนอื่นเช่นนี้ แต่พวกเจ้าอ้วนเยี่ยนมักจะรู้สึกว่าคำพูดของหนิงเหยา ไม่มีเหตุผล ถึงขั้นที่ว่าผิดมากกว่าเดิมเสียอีก

เป็นอาเหลียงที่บอกความลับสวรรค์ในภายหลัง บอกว่าจุดที่สายตาของหนิงเหยามองไปถึง ด้วยตบะขอบเขตและสภาพจิตวิถีกระบี่ของพวกเจ้าในเวลานี้ไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามปี ขอบเขตตามทันแล้วก็จะเข้าใจได้เอง

และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่อาเหลียงพูดนั้น ถูกต้องแล้ว

ในทางส่วนตัว ยามที่หนิงเหยาไม่อยู่ เฉินซานชิวก็เคยบอกว่า การที่ตนซึ่ง ความปรารถนาใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้คือได้เป็นเถ้าแก่ร้านขายเหล้าตั้งใจมุมานะฝึกกระบี่ถึงขนาดนี้ ก็เพื่อไม่ให้ถูกหนิงเหยาทิ้งระยะห่างไกลถึงสองขอบเขต

การคุมเชิงกันของผู้ฝึกกระบี่ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเสียเวลามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีแค่การตัดสินแพ้ชนะก็ยิ่งใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา หากไม่เป็นเพราะเวลานี้ต่งฮว่าฝูกับเตี๋ยจ้างอยากประลองฝีมือกัน อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ

หลังจากคนหนุ่มถ่านดำกับสตรีแขนเดียวต่างก็เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองไปแล้ว หนิงเหยาก็เดินเข้ามาในสนามประลองยุทธ มาหยุดอยู่ข้างกายคน ทั้งสอง แล้วเริ่มพูดถึงข้อบกพร่องที่เล็กน้อยยิบย่อยกว่าเมื่อครู่นี้

คนทั้งสองเงี่ยหูตั้งใจฟัง ไม่ได้รู้สึกว่าการรับฟังคำชี้แนะจากสหายมีอะไรน่าอาย ไม่อย่างนั้นคนวัยเดียวกันตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่รุ่นนี้ที่ผู้อาวุโสทุกคนของพวกเขาฝากความหวังไว้ให้ ก็คงต้องรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิงเหยา เพราะผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เคยยิ้มกล่าวว่า เด็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ แบ่งออกเป็นผู้ฝึกกระบี่สองประเภท หนิงเหยากับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนเว้นจากหนิงเหยา หากไม่ยอมแพ้ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรก็เอาชนะแม่หนูหนิง ไม่ได้อยู่ดี

แต่ยามที่อยู่กับหนิงเหยา ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็เคยพูดจาทำนองเดียวกันนี้ แต่กลับไม่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกกระบี่ แต่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าไพศาล

ผู้ฝึกยุทธของใต้หล้า คนรุ่นหนุ่มสาวก็มีสภาพการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แบ่งได้แค่สองประเภทเท่านั้น

ตอนนั้นหนิงเหยาไม่สนใจ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าท่านปู่เฉิน คำพูดประโยคนี้ของท่านไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้นางไม่อาจพิสูจน์ได้ ทว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีคนมาช่วยพิสูจน์ให้ว่านางพูดถูกต้องแน่นอน

ตอนนั้นดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคล้ายจะรอคำพูดประโยคนี้ของแม่นางน้อยอยู่ เขาจึงไม่ตอบโต้ แล้วก็ไม่ยอมรับ เอ่ยเพียงว่าเขาเฉินชิงตูจะตั้งตารอดู สิบปากว่า ย่อมไม่เท่าตาเห็น

เพียงแต่ตอนนั้นหนิงเหยากลับรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เดิมทีนางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เหตุใดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ถึงได้เห็นเป็นจริงเป็นจังได้ล่ะ?

ดังนั้นหนิงเหยาจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เฉินผิงอันฟัง พูดไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเขาจะคิดเป็นจริงเป็นจังอีก

ด้วยนิสัยของเขา ปีนั้นตอนที่ตนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วพูดเรื่องการฝึกหมัดเดินนิ่งกับเขาไปเรื่อยเปื่อย บอกว่าให้ฝึกหมัดได้หนึ่งล้านครั้งก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ผลกลับกลายเป็นอย่างไร คราวก่อนที่ได้กลับมาพบเจอกันที่ภูเขาห้อยหัวอีกครั้ง เขากลับบอกว่าเขาขาดอีกแค่ไม่กี่หมื่นหมัดก็จะฝึกจนครบหนึ่งล้านหมัดแล้ว

ตอนนั้นหนิงเหยาเกือบอดไม่ไหวปล่อยหมัดใส่หัวสมองทึ่มทื่อเหมือนตอไม้ของเขาแรงๆ เจ้าเฉินผิงอันโง่หรือไร? ฟังไม่ออกหรือว่านั่นเป็นประโยคล้อเล่นที่นางเอ่ยอย่างขอไปทีเท่านั้นเอง? บางครั้งข้าหนิงเหยาจะหาเรื่องชวนคุยกับเจ้าบ้างไม่ได้เลยหรือ?

เจ้าอ้วนเยี่ยนไปนั่งยองข้างกายเฉินผิงอัน พูดเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินท่านนี้ ข้าเองก็สร้างสรรค์วิชาหมัดขึ้นด้วยตัวเองหนึ่งชุด ไม่สู้เจ้าลองดูสักหน่อยแล้ว ช่วยชี้แนะให้ข้าดีไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา”

เยี่ยนจั๋วกระโดดผลุงขึ้นมา หอบหายใจฟืดฟาด แล้วปล่อยกระบวนท่าหมัดที่ เฉินซานชิวรู้สึกทนมองไม่ได้พร้อมเสียงดังฮื่อฮ่า

เฉินซานชิวเป็นเช่นนี้ ต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างที่มองแค่ครั้งเดียวก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียน ไม่ยินดีจะมองให้เสียสายตาอีกเด็ดขาด กลัวว่าตัวเองจะตาบอดเอาได้

คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มชุดเขียวจะมองวิชาหมัดบ้าคลั่งของเจ้าอ้วนเยี่ยนตั้งแต่ต้น จนจบด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่ามีส่วนคล้ายคลึงวิชากระบี่มารคลั่งของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน

เยี่ยนจั๋วทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “คุณชายเฉิน วิชาหมัดนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “มีพลังอำนาจอย่างมาก ในด้านพลังอำนาจนั้นต้องเรียกว่าอยู่ในสถานะมิพ่ายแล้ว เจอศัตรูแต่ตนอยู่ในสถานะที่มิพ่ายก่อนแล้ว ก็คือหนึ่งในเป้าประสงค์ของผู้ฝึกยุทธ”

มือที่ลับกระบี่ของเฉินซานชิวพลันสั่นเบาๆ รู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดที่คุ้นเคยในอดีตนั้นกลับมาอีกแล้ว

เฉินซานชิวล่ะประหลาดใจนัก หรือว่าเฉินผิงอันผู้นี้เรียนวรยุทธมาจากอาเหลียง? แต่เจ้าอาเหลียงผู้นั้นวิถีกระบี่และเวทกระบี่ล้วนสูงส่ง วิชาตระกูลเซียนซับซ้อนหลากหลายก็เข้าใจอยู่เยอะมาก มีเพียงอย่างเดียวคือไม่เคยบอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เข้าใจวิชาหมัด อย่างมากสุดก็แค่บอกว่าตัวเองคือมือกระบี่ในยุทธภพคนหนึ่งเท่านั้น

เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณชายเฉินคงไม่ขี้เหนียวที่จะสอนวิชาแก่ข้ากระมัง?”

สายตาของเฉินผิงอันเบนมองไปทางหนิงเหยา

หนิงเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “อย่าดีกว่า”

เยี่ยนจั๋วหุบยิ้ม เอ่ยเนิบช้าโดยไม่มีท่าทางล้อเล่นอีก “เฉินผิงอัน ขอแค่เจ้ายังต้องออกจากบ้าน ก้าวออกไปจากธรณีประตูของจวนหนิง ก็ยากที่เจ้าจะหนีพ้นการท้าสู้ไปได้ สามวันผ่านไป อย่าว่าแต่ฉีโซ่วที่ไม่ได้เรื่องนั่นเลย แม้แต่ผังหยวนจี้และ เกาเหย่โหว เจ้าสองคนนี้ที่ตอแยได้ยากยิ่งกว่าฉีโซ่วก็ต้องหมายหัวเจ้า ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีเจตนาร้าย แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาสองคนก็ต้องสงสัยใคร่รู้ในตัว ของเจ้ามาก”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที

คนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว้นเพียงหนิงเหยาที่ไม่ต้องพูดถึง อันที่จริงล้วนเป็นดั่งคำกล่าวของป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดและ ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่สามารถแบ่งออกคร่าวๆ ได้สามประเภท ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหว สามคนนี้คือผู้ที่โดดเด่นที่สุด ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของเซียนกระบี่ใหญ่ แม้จะบอกว่ามีคุณสมบัติเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะต้องเดินไปถึงที่สูงได้ ทว่าต่อให้ไม่พูดถึงความสูงส่งยาวไกลของมหามรรคา ในอนาคต พูดถึงแค่ตอนนี้ ขอบเขตและตบะของสามคนนี้ก็ล้วนชวนให้คนพรั่นพรึงได้อย่างไม่ต้องสงสัย เกาเหย่โหวที่เป็นคนหนึ่งในนั้นมีชาติกำเนิดเหมือนเตี๋ยจ้างที่ต่างก็เกิดและเติบโตมาในตรอกเก่าโทรม จากนั้นก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง เพียงไม่นาน ก็ลุกผงาดโดดเด่น และตอนนี้เกาเหย่โหวก็ได้กลายเป็นลูกเขยของตระกูลชั้นสูง บางตระกูลแล้ว

ฉีโซ่วคือลูกหลานตระกูลฉี

ส่วนผังหยวนจี้ผู้นั้นก็ยิ่งเป็น ‘คนสมบูรณ์แบบ’ รุ่นเยาว์ที่หาข้อบกพร่องใดๆ ไม่เจอ มีชาติกำเนิดจากตระกูลระดับกลาง แต่วันที่เขาลืมตาดูโลกก็ชักนำให้เกิดภาพบรรยากาศเหมือนยามที่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ลำดับต้นๆ ถือกำเนิดแล้ว อายุน้อยๆ ก็ได้ติดตามใต้เท้าอิ่นกวานที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้นเริ่มฝึกตน ถือเป็นลูกศิษย์ของ ใต้เท้าอิ่นกวานครึ่งตัว และผังหยวนจี้ก็สนิทกับอริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่มาก มักจะขอความรู้จากอริยะทั้งสามท่านบ่อยๆ

ดังนั้นหากจะบอกว่าฉีโซ่วคือคนหนุ่มที่มีฐานะเหมาะสมกับหนิงเหยาที่สุด ถ้าอย่างนั้นเพียงแค่ตัวตนของผังหยวนจี้ก็สามารถทำให้ผู้เฒ่าหลายคนรู้สึกว่า เขาต่างหากถึงจะเป็นเด็กรุ่นหลังที่คู่ควรกับหนิงเหยามากที่สุด

ต่อจากสามคนนี้ ถึงจะเป็นกลุ่มของต่งฮว่าฝู

ตามหลังพวกต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง ก็คือคนกลุ่มที่สาม ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยู่อันดับ ‘ล่างสุด’ ชั่วคราวแล้วจะทำให้คนอื่นไม่เห็นความสำคัญ ในความเป็นจริงแล้วต่อให้คนพวกนี้ไปอยู่ในอุตรกุรุทวีป นั่นก็ถือเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ตระกูลเซียนอักษรจงแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกแล้ว

แต่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ คำเรียกขานว่าผู้มีพรสวรรค์นี้กลับไม่ค่อยมีค่ามากนัก มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ที่มีอายุยืนยาวถึงจะถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง

เยี่ยนจั๋วเอ่ยต่อไปว่า “หากแม้แต่ข้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อเจ้าออกจากเรือนไป อย่างมากสุดผ่านได้แค่ด่านเดียวก็ต้องหยุดเดินต่อแล้ว”

เยี่ยนจั๋วจ้องคนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นเขม็ง “ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายอะไรต่อเจ้าเฉินผิงอันจริงๆ แต่ข้าเยี่ยนจั๋วเป็นสหายของหนิงเหยา จึงไม่หวังให้บุรุษที่หนิงเหยาเลือก ออกจากบ้านไป ก็ถูกคนคว่ำได้แค่ต่อยตีกันไม่กี่ที หากเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้น บางทีหนิงเหยา อาจไม่สนใจ และตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่วันหน้าข้า ต่งถ่านดำ เตี๋ยจ้าง ซานชิวก็คงไม่มีหน้าออกไปดื่มเหล้านอกบ้านแล้ว”

สุดท้ายเยี่ยนจั๋วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าติดค้างคำขอบคุณพวกเรามาสิบปี ขอบคุณที่พวกเราร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหนิงเหยามานานหลายปี ข้าไม่รู้ว่าพวกเตี๋ยจ้างคิดอย่างไร แต่ข้าเยี่ยนจั๋วยังไม่ได้รับเอาไว้ มีเพียงเจ้าซ้อมข้าให้นอนพังพาบได้ ข้าถึงจะยอมรับ

ต่อให้จะถูกเจ้าเล่นงานจนเลือดโชก เนื้อไขมันบนร่างหายไปหลายจินก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นแบบนั้นข้าจะยิ่งดีใจ! พูดแบบนี้ จะทำให้เจ้าเฉินผิงอันไม่สบายใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่ไม่สบายใจ ไม่มีเลยสักนิดเดียว”

เยี่ยนจั๋วกล่าวอย่างเดือดดาล “ถ้าอย่างนั้นยังมัวยืนบื้ออยู่ทำไม มา! พวกคนข้างนอกกำลังรอให้เจ้าออกจากบ้านอยู่นะ!”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “การต่อสู้ครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราออกไปข้างนอกกันก่อน พอกลับมาแล้ว ขอแค่เจ้าเยี่ยนจั๋วยินดี อย่าว่าแต่สู้กัน ครั้งเดียวเลย สามครั้งก็ยังได้”

เยี่ยนจั๋วเกือบจะสบถด่าออกไป เพียงแต่พอคิดว่าหนิงเหยาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็อดทนข่มกลั้นจนหน้าแดงคอแดง “เจ้าคนนี้ทำไมไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมบ้างเลย ข้าก็บอกแล้วว่ามาสู้กับข้าก่อน ไม่ต้องแบ่งแพ้ชนะ แค่แต่ละคนได้รับบาดเจ็บ…”

ชั่วพริบตานั้น

ม่านตาดำของเยี่ยนจั๋วพลันหดตัว

คนชุดเขียวมาโผล่พรวดอยู่ข้างกายเขา ยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ทำไมข้าต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บด้วย? เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้อย่างนั้นหรือ? ตลอดทางที่ข้าเดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผ่านการต่อสู้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กับอีกแค่สามครั้งจะเป็นไรไป”

เยี่ยนจั๋วถามเสียงเบา “เฉินผิงอัน ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงมาโผล่อยู่ข้างกายข้าได้? ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีความเร็วมากขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่อย่างนั้นพวกเรามาทิ้งระยะห่างจากกันแล้วค่อยประมือกันใหม่อีกครั้งดีไหม? เมื่อครู่นี้ข้าก็แค่กำลังโมโห ก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่นับๆ พวกเรามาเริ่มกันใหม่”

เฉินผิงอันยิ้มพลางคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “คือยันต์ฟางชุ่น สามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวย่อพื้นที่ได้”

เยี่ยนจั๋วพลันกระจ่างแจ้ง

เฉินผิงอันเก็บยันต์ลงไป

เยี่ยนจั๋วที่เพิ่งจะมารู้สึกตัวภายหลังพลันยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ายังไม่ได้ใช้ยันต์แผ่นนี้สักหน่อย?! เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่ากำลังหลอกคนโง่หรือไร?”

เฉินผิงอันซ่อนสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เขายกแขนขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “มีสองมือนะ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หุบยิ้ม มองไปยังสตรีแขนเดียวที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยขออภัยว่า “ไม่ได้คิดจะล่วงเกินแม่นางเตี๋ยจ้างนะ”

เตี๋ยจ้างยิ้มส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พุงใหญ่ แต่ใจแคบสักหน่อย คำพูดของคุณชายเฉินต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องที่ข้าแขนขาด เพราะมันคือเรื่องเล็ก ต่อให้เอามาล้อเล่นก็ไม่เป็นไรเลย พี่หญิงหนิงก็เคยล้อข้า บอกว่าหากวันหน้าได้ ครองคู่กับบุรุษที่รัก แล้วเกิดความรู้สึกที่ยากจะควบคุม อยากจะกอดกันและกัน แบบนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรือ ข้ายังเคยตั้งใจใคร่ครวญถึงปัญหายากข้อนี้ เป็นพิเศษ คิดว่าควรจะยื่นแขนข้างเดียวออกไปอย่างไร ควรจะใช้ท่าทางแบบไหน”

หนิงเหยายื่นมืดมาบิดแก้มเตี๋ยจ้าง “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”

ต่งฮว่าฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างถอนหายใจดังเฮ้อ ที่แท้พี่หญิงหนิงก็พูดคุยเรื่องพวกนี้ด้วย ถือว่าได้เปิดโลกเลยนะเนี่ย

หนิงเหยามองมาทางเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “ไป ไปหาเหล้าดื่มใกล้ๆ กับร้านของเตี๋ยจ้างกัน”

ตอนที่ทุกคนเดินออกจากบ้าน หนิงเหยายังสั่งสอนเตี๋ยจ้างที่ปากไม่มีหูรูดด้วยสายตา

เตี๋ยจ้างยิ้มเอ่ยขอโทษไปตลอดทาง ก็แค่ดูไม่มีความจริงใจสักเท่าไร

ต่งฮว่าฝูเดินอยู่รั้งท้าย เขาเคยชินเสียแล้ว

เฉินผิงอันถูกเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วขนาบข้างซ้ายขวาราวกับเทพทวารบาลสององค์ เยี่ยนจั๋วพูดเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน ด้วยวิชาที่โผล่เข้าโผล่ออกอย่างลึกลับนี้ของเจ้า บวกกับที่เจ้าคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ชื่อเสียงโด่งดังและมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าไพศาล การต่อสู้สองครั้งแรก หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ หากแพ้ในครั้งที่สาม ข้าผู้นี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจเป็นที่สุด จะยอมแบกเจ้ากลับมาที่นี่เอง!”

เฉินซานชิวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าไปเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของเจ้าอ้วนเยี่ยน ออกจากบ้านมาแล้ว การช่วงชิงกันในด้านปณิธานความฮึกเหิมของคนรุ่นเยาว์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างถิ่นที่เดินทางมาไกลอย่างเจ้า การจับคู่ประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา หนึ่งเพราะต้องทำตามกฎเกณฑ์ จึงไม่มีทางที่จะทำร้ายรากฐานการฝึกตนของเจ้า สองก็เพราะแค่ตัดสินแพ้ชนะกันเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ ออกกระบี่ล้วนรู้จักหนักเบาเสมอ ไม่มีทางที่จะทำให้เลือดท่วมร่างเจ้าแน่นอน”

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนทั้งสองมึนงงไม่เข้าใจ “หากเป็นอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก”

หลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของจวนหนิง แม้ว่าข้างนอกจะมีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อย มารวมกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน แต่กลับไม่มีใครออกหน้ามาพูด

จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มเดินไปใกล้จะถึงร้านของเตี๋ยจ้าง บนถนนสายยาวแทบจะ ไม่มีคนเดินเท้า สองข้างทางล้วนมีแต่ร้านเหล้าตั้งเรียงราย

มีหลายคนที่รีบรุดมาดื่มเหล้าก่อนเพื่อรอชมเรื่องสนุก แต่ละคนดื่มเหล้ากันไป แต่กลับไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงแค่รอยยิ้มที่คลุมเครือมีเลศนัย

มีคนหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่บนถนนใหญ่ ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน คนหนุ่มที่ตรงเอวพกกระบี่เล่มยาวก้าวเดินมาข้างหน้าช้าๆ

หนิงเหยาชำเลืองตามองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก แต่หันไปคุยกับเตี๋ยจ้างต่อ

เยี่ยนจั๋วเอ่ยเตือนเสียงเบา “คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร มีนามว่าเริ่นอี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้มีชื่อว่า…”

เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แค่รู้ว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไรและชื่ออะไรก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะชนะได้อย่างไม่สมเกียรติ”

เฉินซานชิวหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเริ่นอี้คนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นสุนัขรับใช้อันดับหนึ่ง ข้างกายฉีโซ่ว ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนชอบเป็นแนวหน้าอยู่เสมอ”

เริ่นอี้หยุดอยู่ห่างไปห้าสิบก้าว “เฉินผิงอัน ยินดีมาประลองกับข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันเดินนำไปข้างหน้าสองสามก้าวเพียงลำพัง แต่ปากกลับเอ่ยว่า “หากข้าบอกว่าไม่ยินดี เจ้าจะรับคำอย่างไร?”

เริ่นอี้เอามือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่ ยิ้มกล่าวว่า “หากไม่ยินดี ก็แสดงว่าไม่กล้า ข้าไม่ต้องรับคำ แล้วก็ไม่ต้องออกกระบี่”

พริบตานั้นทุกคนที่ชมศึกอยู่ก็เห็นเพียงว่าชุดสีเขียวพุ่งทะยานราวกับสายฟ้า กระโจนวูบไปถึง และจนกระทั่งบัดนี้ บนถนนถึงเพิ่งจะมีแรงสะเทือนอื้ออึงดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มห้าขอบเขตล่างที่ขอบเขตต่ำหน่อยพากันสบถด่ามารดาอีกฝ่าย เพราะจอกเหล้าถ้วยเหล้าบนโต๊ะล้วนเด้งกระดอนทำให้สุรากระฉอกออกมาไม่น้อย

ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่จะใช้ปราณกระบี่ของตัวเองสลาย ความเคลื่อนไหวนั้น แล้วก็รวบรวมสมาธิจ้องมองการต่อสู้ตรงจุดนั้นต่อ

ส่วนพวกเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่แอบปะปนมาอยู่ในกลุ่มคนกลับไม่สนใจ การกระทบกระแทกกันของถ้วยชามบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย

เริ่นอี้ผู้นั้นค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าข้างกายมีคนหนุ่มชุดเขียวมายืนอยู่ อีกฝ่ายเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับแขนข้างที่ชักกระบี่ของเขาเอาไว้ แค่นั้น เขาก็ไม่อาจชักกระบี่ออกมาได้แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ คนผู้นั้นยังยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องออกกระบี่กลับออกกระบี่ไม่ได้เลย คือคนละเรื่องเลยทีเดียว”

ร่างของเฉินผิงอันพุ่งวูบไปมาไม่อยู่นิ่ง คอยหลบกระบี่บินเล่มหนึ่งที่เร็ว ราวสายฟ้าแลบ เพียงแต่ว่าเมื่อเริ่นอี้จะออกกระบี่อีกครั้ง มือข้างที่จับกระบี่กลับถูกคนที่อยู่ด้านหลังผู้นั้นกุมเอาไว้อีก และยังคงชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้อยู่เหมือนเดิม

หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง เริ่นอี้ก็คิดจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เขาจะทะยานลมลอยขึ้นกลางอากาศ หมายทิ้งระยะห่างออกจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่บนพื้นคนนั้น จะได้ออกกระบี่ได้ตามใจชอบ

เพียงแต่ว่าไม่ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อเสียงด้านความรวดเร็วฉับไวเล่มนั้นจะมีวิถีการโคจรที่ยากจะคาดเดาแค่ไหน มุมการทิ่มแทงลึกลับเท่าไรก็ยังไม่อาจ แตะโดนแม้แต่ชายเสื้อของคนผู้นั้น

และเมื่อเท้าทั้งสองของเริ่นอี้เพิ่งจะลอยพ้นจากพื้นก็ถูกคนผู้นั้นใช้ฝ่ามือกดบ่าเบาๆ เท้าทั้งสองของเขาจึงถูกตบกลับมาบนพื้นอีกรอบ “ยามที่ผู้ฝึกกระบี่สังหารศัตรู เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ?”

สภาพจิตใจของเริ่นอี้ยังคงเป็นปกติ เตรียมจะ ‘แบ่งสมาธิ’ ไปบังคับตะเกียบที่อยู่ในร้านเหล้าสองด้านมาเป็นกระบี่บินของตัวเองชั่วคราว ใช้จำนวนที่มากกว่าคว้าเอาชัยชนะ ถึงเวลานั้นอยากจะรู้นักว่าไอ้หมอนี่จะหลบอย่างไร

เริ่นอี้ล้มเลิกความตั้งใจเดิมที่จะใช้กระบี่บินทำร้ายศัตรู เพียงแค่ใช้กระบี่บิน บินวนรอบด้าน ส่วนตัวเองเริ่มถอยหลังหนีห่างออกไป

แต่เริ่นอี้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ตนก็แค่ถ่วงเวลาสถานการณ์การรบไปได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม พยายามไม่ให้ตนแพ้อย่างไม่เหลือหน้าตาศักดิ์ศรีเกินไปก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้น ความทรงจำที่มอบให้ทุกคนก็จะกลายเป็นว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้เอาคืนเลย ส่วนอีกฝ่ายที่หากคิดจะออกหมัดทำร้ายเขา กลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง แต่ว่าหากคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดจริงๆ ทำอย่างนี้ยิ่งน่าอายกว่าเดิมเสียอีก! คาดว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวผู้นั้นก็คงคิดเช่นนี้ ถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายเริ่นอี้ แล้วใช้สองนิ้วคีบ กระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาผลักหัวของอีกฝ่ายให้เข้าไปในร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง

พละกำลังพอเหมาะพอดี เริ่นอี้ไม่ได้ชนโต๊ะเหล้าที่อยู่ติดกับถนน ฝีเท้าโซเซอยู่สองสามก้าวก็หยุดร่างยืนนิ่งได้อย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันโยนกระบี่บินเล่มนั้นกลับคืนไปเบาๆ เริ่นอี้ทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ทะยานลมออกไปจากถนนใหญ่โดยตรง

และเวลานี้เอง คุณชายชุดขาวเรือนกายสูงโปร่งคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างร้านเหล้า ไม่ได้พกกระบี่ก็เดินมาบนถนน “เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธก็กล้าหยามเกียรติผู้ฝึกกระบี่ อย่างพวกเรางั้นหรือ? ทำไม ชนะไปรอบหนึ่งแล้วก็เลยคิดจะดูแคลนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรางั้นรึ?”

ระหว่างที่พูด บริเวณรอบกายของคุณชายชุดขาวก็มีกระบี่บินมาลอยอยู่แน่นขนัด ไม่เพียงแค่นี้ ถนนทั้งเส้นด้านหลังของเขาล้วนประหนึ่งดั่งมีพลทหารที่จัดขบวนอยู่บนสนามรบ

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตต้องมีแค่เล่มเดียวแน่นอน แต่หากคิดจะหากระบี่บิน ที่แท้จริงเล่มนั้นกลับไม่ง่ายเลย

จุดที่ยุ่งยากที่สุดก็คือกระบี่บินของคนผู้นี้สามารถผลัดเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา จริงเท็จไม่แน่นอน หรือถึงขั้นพูดได้ว่ากระบี่บินทุกเล่มล้วนเป็นกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิต

เยี่ยนจั๋วยังอยากจะจงใจ ‘คุยเล่น’ กับเฉินซานชิว พูดถึงปัญหายุ่งยากของกระบี่บินของคนผู้นี้ แต่หนิงเหยากลับหันหน้ามามอง เป็นการบอกเป็นนัยแก่เจ้าอ้วนเยี่ยนว่าไม่ต้องพูด

เยี่ยนจั๋วจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด

สายตาของเฉินผิงอันมองตรงไปเบื้องหน้า กระบี่บินเหมือนน้ำหลากที่ ทะลักทลายกรูเข้าหาเขา

เฉินผิงอันขยับตัวในแนวขวางเข้าไปในร้านเหล้าพร้อมยิ้มบางๆ เอ่ยว่าหลีกทางหน่อยๆ อีกฝ่ายจึงแบ่งค่ายกลกระบี่ที่เหมือนทหารในสนามรบออกมากลุ่มแล้ว กลุ่มเล่า กระบี่บินสิบกว่าเล่มบินอ้อมกลับเสียงดังสวบๆ พากันพุ่งเข้าไปในร้านเหล้าน้อยใหญ่ขัดขวางทางไปของคนผู้นั้น เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นคอยผงกหัวขอทาง เดี๋ยวๆ ก็เดินเบี่ยงตัวหันข้างอยู่บนถนน เดี๋ยวๆ ก็เดินเข้าไปในร้านเหล้าอีกครั้ง กระบี่บินทั้งหลายขยับเข้าใกล้คนผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเคล้าไปด้วยเสียงก่นด่า ยังเจือปนมาด้วยเสียงโห่ร้องให้กำลังใจที่ไม่ค่อยเหมาะกับกาลเทศะเท่าไร อีกเล็กน้อย แต่กลับบาดหูมากเป็นพิเศษ

หากอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมควรเป็นเช่นนี้ แล้วก็ควรเป็นเช่นนี้

เซียนกระบี่กี่มากน้อยที่ก่อนจะตายได้จงใจพาตัวเองไปตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ?

มีเซียนกระบี่กี่มากน้อยที่เมื่ออยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าในสนามรบ จงใจเลือกที่จะใช้เผ่าปีศาจร่างกำยำที่มีหนังหนาแต่ไม่ฉลาดมากพอมาเป็นโล่คุ้มกัน ต้านทานการ ฟันผ่าที่พุ่งเข้ามามืดฟ้ามัวดิน หาโอกาสให้ตัวเองได้พักหายใจหายคอสักพัก?

หลังจากที่เฉินผิงอันเดินกลับขึ้นมาบนถนนใหญ่อีกครั้ง เขาก็ไม่ ‘เดินทอดน่องสบายอารมณ์’ อีก แต่เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง

คุณชายชุดขาวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นขมวดคิ้ว ไม่ได้เลือกจะเข้าใกล้อีกฝ่าย แต่ยกสองนิ้วทำมุทราพร้อมยิ้มบางๆ

หลังจากที่คนชุดเขียวผู้นั้นออกหมัดก็แค่ต่อยให้เสี้ยวเงาร่างที่ยังยืนอยู่ที่เดิม แตกสลายไปได้เท่านั้น ร่างจริงของผู้ฝึกกระบี่กลับไปรวมตัวกันอยู่ในค่ายกลกระบี่ด้านหลัง เรือนกายพลิ้วไสว มองดูแล้วสง่างามมากเป็นพิเศษ

ทำให้แม่นางน้อยและสตรีทั้งหลายที่มาชมศึกมีสีหน้าสดใสแช่มชื่น แน่นอนว่าพวกนางต้องหวังให้คนผู้นี้กุมชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นดูเหมือนว่าคนชุดเขียวจะเอาจริงแล้ว เรือนกายของเขาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ต่ำกว่าโอสถทองทุกคนมองเห็นใบหน้าของคน ผู้นั้นไม่ชัดอีกแล้ว

คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “กระบี่บินยังคงไม่เร็วมากพอ แพ้แล้ว”

นักดื่มที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเขาคือชายฉกรรจ์เคราดกที่ตาบอดข้างหนึ่ง เขาพยักหน้ารับแล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม

ครู่หนึ่งต่อมา

คุณชายชุดขาวสลายเรือนกายและกลับมารวมร่างใหม่หลายครั้งแล้ว แต่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายกลับขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัว

สุดท้ายเขาก็ถูกคนชุดเขียวใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดหน้า แต่กลับไม่ได้ผลักห่างออกไปไกล แต่กดลงเบื้องล่างโดยตรง ทำให้หลังของเขานอนแนบติดถนน กระแทกจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่

เฉินผิงอันไม่ได้มองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ลมปราณหยุดชะงักผู้นั้น เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่ร้ายกาจ คือตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ไม่ใช่เจ้าหรือว่าใคร ขอเจ้าโปรดจำเรื่องนี้เสียใหม่”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน “จำไม่ได้? ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนคนมา”

เฉินผิงอันสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็ม้วนขึ้นเบาๆ เดินพลางยิ้มไปด้วยว่า “จะต้องเป็นคนที่กระบี่บินเร็วมากพอ เพราะจำนวนมากนั้นไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ”

บนถนนใหญ่เงียบสงัด

เฉินผิงอันหยุดเดิน หรี่ตาลงเอ่ยว่า “ได้ยินว่ามีคนชื่อฉีโซ่วอยากได้แท่นสังหารมังกรของบ้านหนิงเหยาข้ามานานมากแล้ว ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระบี่บินของเจ้าจะเร็วมากพอ”

หนิงเหยากำลังจะเปิดปากพูด

เหมือนจิตของเฉินผิงอันจะสัมผัสได้ เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงแค่โบกมือเบาๆ

หนิงเหยาจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

หลังจากภาพเหตุการณ์นี้ผ่านไป คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าป่านผู้นั้นก็อดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ฉีโซ่วเลย แม้แต่ข้าก็ยังจะอดไม่ไหวอยากลงมือเต็มทีแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวบนถนนผู้นั้นจะหันมายิ้มมองเขา เอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถลงมือได้”

คนหนุ่มที่อยู่ในร้านเหล้าพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ากลัวว่าจะฆ่าเจ้าตาย”

เฉินผิงอันตอบ “ข้าขอร้องเจ้าว่าอย่าตาย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version