Skip to content

Sword of Coming 581

บทที่ 581 ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ตรงกลาง

เตี๋ยจ้างมองไปทางนอกร้าน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บัณฑิตของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มีไม่มากจริงๆ ที่นี่ไม่มีโรงเรียนอะไร แล้วก็ไม่มีอาจารย์สอนหนังสือ เด็กๆ จากตรอกเก่าโทรมที่มีชาติกำเนิดอย่างนางเตี๋ยจ้าง มักจะรู้จักตัวอักษรได้ ด้วยการจำตัวอักษรน้อยใหญ่บิดๆ เบี้ยวๆ บนป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ตามมุมตามตรอก เล็กแคบของถนนน้อยใหญ่ แต่ละวันจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้นทีละนิด นานวันเข้า หากตั้งใจจริงๆ ก็สามารถอ่านหนังสือออก ส่วนความรู้ที่มากกว่านั้น ก็แค่ไม่มีเท่านั้น

แม้ว่าหนิงเหยาจะไม่เคยพบเหวินเซิ่งมาก่อน แต่ก็ยังพอจะเดาตัวตนของอาจารย์ผู้เฒ่าออก ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งนัก ความรู้สึกเดียวก็คือเขาดูไม่เหมือน ในภาพเหมือนเหวินเซิ่งที่ยังไม่ถูกทำลายทิ้งซึ่งตนได้เห็นตอนเดินทางท่องไปใน ใต้หล้าไพศาลสักเท่าไร ภาพเหมือนในตำราเหล่านั้นไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นภาพครึ่งตัวหรือภาพเต็มตัวก็ล้วนวาดเหวินเซิ่งให้ดูองอาจผึ่งผาย ตอนนี้ มองดูแล้ว อันที่จริงเขากลับเป็นผู้เฒ่าร่างผอมบางคนหนึ่ง

เตี๋ยจ้างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย หนิงเหยาจึงเอ่ยว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราไป ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”

ด้านนอก คือการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนานซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดฝัน

นอกจากรอยยิ้มแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองแม่นางน้อยสองคนที่อยู่ในร้าน แล้วถามเบาๆ ว่า “คนไหน?”

เฉินผิงอันตอบเสียงเบาว่า “คนที่หน้าตาดีกว่าหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าเป็นปลื้มสุดขีด เขากุมหมัดวางไว้ตรงหน้าอกแล้วยกนิ้วโป้งขึ้น

เฉินผิงอันบอกให้อาจารย์ผู้เฒ่ารอสักครู่ จากนั้นตนเองก็เข้าไปในร้าน บอกกล่าวแก่เตี๋ยจ้างคำหนึ่งแล้วก็ยกเก้าอี้ออกไป ได้ยินว่าในร้านของเตี๋ยจ้างไม่มีกับแกล้ม จึงถามหนิงเหยาว่าช่วยไปซื้อมาให้หน่อยได้หรือไม่ หนิงเหยาพยักหน้ารับ เพียงไม่นานก็หิ้วกล่องอาหารมาจากร้านเหล้าใกล้เคียง นอกจากกับแกล้มหลายอย่างแล้ว ยังมีครบทั้งถ้วยชาม เฉินผิงอันกับอาจารย์ผู้เฒ่ามานั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กแล้ว ใช้เก้าอี้ตัวนั้นต่างโต๊ะเหล้า มองดูแล้วชวนขบขันเล็กน้อย เฉินผิงอันลุกขึ้นเตรียมจะรับเอากล่องอาหารมาเปิดออกด้วยตัวเอง ผลกลับถูกหนิงเหยาขึงตาใส่ นางจัดวางกับแกล้มและจานชามไว้ให้เรียบร้อย แล้วจึงเอากล่องอาหารที่ว่างเปล่าวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เอ่ยกับซิ่วไฉเฒ่าว่า อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเชิญดื่มเหล้าให้อร่อย ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนนานแล้ว เขายืนอยู่คู่กับเฉินผิงอัน เวลานี้ยิ่งยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง คำว่าอารมณ์ดีราวกับบุปผาผลิบานก็หนีไม่พ้นเป็นเช่นนี้เอง

หนิงเหยาเรียกเตี๋ยจ้างให้ออกจากร้านไปเดินเล่นด้วยกัน

ซิ่วไฉเฒ่าสูดเหล้าดังซู้ดเสียงดัง แล้วก็ตัวสั่นเยือกราวกับหนาว เขาสูดหายใจ เข้าลึกหนึ่งครั้ง “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาเป็นเทพเซียนเสียที”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าช้าๆ ยิ้มมองอาจารย์ผู้เฒ่าที่ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงผู้นี้

ซิ่วไฉเฒ่าคีบกับแกล้มขึ้นมา เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีความเคลื่อนไหวก็ยกตะเกียบในมือขึ้น พูดเสียงอู้อี้ว่า “รีบกินเร็วเข้า เอาแต่เลียนแบบเรื่องดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่ได้หรอก ดื่มเหล้าโดยไม่กินกับแกล้มคู่ไปด้วยก็ไร้รสชาตินัก ปีนั้นเป็นเพราะว่า ข้ายากจน ได้แต่อาศัยตำราของอริยะปราชญ์มากินต่างกับแกล้ม เจ้าตะพาบน้อย ชุยฉานนั่น แรกเริ่มยังดื้อดึง เข้าใจผิดคิดว่าดื่มเหล้าไปอ่านตำราไปก็คือเรื่องที่ สุภาพสง่างามจริงๆ ภายหลังถึงได้ยอมเรียนรู้เสียใหม่ ไหนเลยจะรู้ว่าหากในกระเป๋าของข้ามีเงิน ก็คงวางกับแกล้มไว้เต็มโต๊ะนานแล้ว หนังสืออริยะปราชญ์กับมารดาอะไรนั่นไปให้พ้นๆ เลย”

คนที่ด่าตัวเองได้อำมหิตที่สุด ถึงจะด่าได้อย่างมีเหตุผลที่สุด

เฉินผิงอันคีบกับแกล้มขึ้นมาเคี้ยวละเอียดแล้วกลืนช้าๆ จิบเหล้าหนึ่งคำ ท่าทางคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องให้พูดคุย แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่พูดได้ เรื่องอะไรที่พูดไม่ได้

ซิ่วไฉเฒ่าจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน ดื่มเหล้าไม่หยุด ก็โชคดีที่หนิงเหยาซื้อมาเยอะมากพอ

ถ้วยเหล้าของอาจารย์ผู้เฒ่าว่างเปล่าแล้ว เฉินผิงอันจึงค้อมตัวเอื้อมมือไปช่วย รินเหล้าให้

กินกับแกล้มอิ่ม ดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินผิงอันก็เก็บจานกับแกล้มทั้งหมดใส่กลับลงไปในกล่องอาหาร ซิ่วไฉเฒ่าใช้ชายแขนเสื้อเช็ดคราบเหล้าที่อยู่บนเก้าอี้

ผลคือจั่วโย่วมาพลิ้วกายลงหน้าประตูร้านในชั่วพริบตา

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “มาทำไม?”

จั่วโย่วตอบ “ศิษย์อยากจะมาดูอาจารย์สักหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ยิ้มพูดฉุนๆ ว่า “วิชากระบี่ของเจ้าสูงที่สุด ถ้าอย่างนั้นเจ้านั่งตรงนี้?”

จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงได้แต่ยกม้านั่งตัวเล็กที่ตัวเองนั่งให้อีกฝ่าย ลุกขึ้นเดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า

ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่มานั่งบนเก้าอี้ ส่วนเฉินผิงอันก็นั่งลงบนม้านั่ง

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “พวกเจ้าสองคนรับศิษย์พี่ศิษย์น้องกันหรือยัง?”

จั่วโย่วกล่าว “ไม่คิดว่าต้องรับ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เหตุผลเดียวกัน”

ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ย่อมต้องลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ดังนั้นจึงตบเข้าที่หัวจั่วโย่วซึ่งนั่งอยู่ต่ำกว่าตนไปเล็กน้อย “เป็นศิษย์พี่ภาษาอะไรกัน ก็แค่กราบอาจารย์ขอเล่าเรียนก่อนก็เท่านั้น เจ้าร้ายกาจอะไรนัก เป็นโสดมาตั้ง กี่ปีแล้ว? อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเพียงแค่เรื่องใหญ่นี้ สายเหวินเซิ่งของพวกเรา ตอนนี้ก็ได้แต่พึ่งศิษย์น้องของเจ้าให้ช่วยประคับประคองหน้าตาแล้ว! พกกระบี่วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที ช่วยทำให้ผ้าห่มเจ้าอุ่นได้หรือ ช่วยยกน้ำส่งชาให้เจ้าได้หรือไร”

เฉินผิงอันพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงผู้อาวุโสจั่วคิดว่าจะสอนวิชากระบี่ให้กับผู้น้อย ผู้อาวุโสจั่วกังวลว่าผู้น้อยขอบเขตต่ำเกินไป เลยค่อนข้างจะลำบากใจ”

โดนตบอีกทีอย่างไม่ต้องสงสัย จั่วโย่วหน้าดำ ในใจคิดว่ารอให้อาจารย์ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนเถอะ ข้าจั่วโย่วจะไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “แต่ตอนที่ผู้อาวุโสจั่วได้พบกับท่านผู้เฒ่าเหยา ยังช่วยหนุนหลังให้ผู้น้อยด้วย”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที หันหน้ามาพูดง่ายๆ ว่า “ฝ่ามือเมื่อครู่นี้ อาจารย์ตีผิดไป จั๋วโย่วเอ๋ย ทำไมเจ้าไม่รู้จักอธิบายบ้างเลย เป็นอย่างนี้มาแต่เล็กแต่น้อย วันหน้า ต้องปรับปรุงบ้างนะ ตีเจ้าผิด เจ้าคงไม่อาฆาตอาจารย์กระมัง? หากในใจรู้สึกไม่ อยุติธรรม จำไว้ว่าต้องพูดออกมานะ รู้ผิดแล้วแก้ไข แก้ไขอย่างไม่ลังเล คือ ความประเสริฐอันใหญ่หลวง ปีนั้นข้าก็อาศัยประโยคนี้ถึงได้ร่ายเหตุผลสูงส่งลึกล้ำออกมาได้เป็นกระบุงโกย ทำเอาพวกลูกศิษย์ลัทธิพุทธลัทธิเต๋าทั้งหลายอึ้งกันไปเลย ถูกไหม?”

แน่นอนว่าอาจารย์ต้องถูกทั้งหมด เพราะฉะนั้นจั่วโย่วจึงปิดปากสนิท แต่ตัดสินใจแล้วว่าจะสอนวิชากระบี่ให้เจ้าเด็กนี่สองครั้ง แค่ครั้งเดียวไม่พอแน่

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยา คิดถึง…อาจารย์มาตลอด”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเรียกอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอย่างเรียบง่ายว่าอาจารย์

ซิ่วไฉเฒ่าแผดเสียงเรอดังเอิ้ก แล้วทำท่าเงี่ยหู แสร้งกล่าวอย่างสงสัยว่า “ใคร อะไรนะ? พูดอีกรอบสิ”

จั่วโย่วกลอกตามองบน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่เหมาคิดถึงอาจารย์มาก”

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามา ฟุบตัวลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ มองเฉินผิงอัน ยิ้มร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวตงน่ะหรือ ยินดีใช้วิธีที่โง่ที่สุดอบรมสั่งสอนคนที่สุด มีความอดทนเป็นเลิศ เหมือนข้าที่สุด แต่ก็ไม่ต่างกับจั่วโย่วสักเท่าไร บทจะดื้อขึ้นมาก็รั้งไม่อยู่ ปีนั้นขาดก็แค่ข้าไม่ได้จับเหมาเสี่ยวตงมัดยัดใส่กระสอบป่าน แล้วโยนเขาไปที่สถานศึกษาหลี่จี้ ก็เท่านั้น ข้าอุตส่าห์ยอมขายขี้หน้าแก่ๆ ของตัวเอง แอบไปช่วยปูทางหาเส้นสาย ช่วยเขา เขาดันไม่ไป ข้าที่เป็นอาจารย์ก็จนปัญญาแล้วจริงๆ”

จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ทำไมปีนั้นไม่ยินดีรับอาจารย์เป็นอาจารย์ ตอนนี้ขอบเขตสูงแล้ว กลับกลายเป็นยอมรับอาจารย์แล้ว?”

เฉินผิงอันตอบ “ปีนั้นข้าไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน อาศัยอะไรมารับอาจารย์ อาศัยว่าอาจารย์คือเหวินเซิ่งงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าข้า พวกเขายินดีรับข้าเป็นศิษย์ ข้าก็ต้องยอมด้วย? อาจารย์ยินดีรับลูกศิษย์ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเข้าสำนักก็ต้องเลือกอาจารย์ได้! อ่านตำราของสามลัทธิร้อยสำนักมาแล้วก็เหมือนการเปรียบเทียบของสามร้านนั่นแหละ สุดท้ายเมื่อแน่ใจว่าความรู้ของอาจารย์ดีที่สุดจริงๆ ข้าถึงได้ยอมรับ ต่อให้อาจารย์เปลี่ยนใจไม่รับข้าเป็นศิษย์แล้ว ตัวข้าเองก็จะยังคอยกราบอาจารย์ขอศึกษาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แบบนี้ถึงจะถือว่าจริงใจจริงๆ”

จั่วโย่วอึ้งไปนาน

เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน เจ้าเด็กเฉินผิงอันนี่ บ้านเจ้าเปิดร้านขายเหตุผลหรือไร?

สามครั้ง!

ซิ่วไฉเฒ่าเตะจั่วโย่วหนึ่งที “มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไม เอาเหล้ามาสิ”

จั่วโย่วกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าไม่ชอบดื่มเหล้าสักหน่อย อีกอย่างบนร่างของเฉินผิงอันก็มีเหล้าตั้งเยอะ”

“จั่วโย่วเอ๋ย ก็เจ้าเป็นโสดน่ะสิ ติดหนี้อะไรก็ไม่ต้องกลัว”

ซิ่วไฉเฒ่าใช้น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดีเอ่ยหลักการเหตุผลโน้มน้าวใจคน ค่อยๆ หลอกล่อไปทีละนิดว่า “แต่ศิษย์น้องเล็กของเจ้ากลับไม่เหมือนกัน เขามีทั้งภูเขาเป็นของตัวเอง แล้วอีกเดี๋ยวก็ต้องสู่ขอภรรยาแล้ว นี่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมาก แค่ไหน? ปีนั้นเจ้าช่วยดูแลเรื่องเงินทองให้อาจารย์ จะไม่รู้ถึงความลำบากในการ หาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวได้หรือ? เอามาดของศิษย์พี่ออกมาใช้เสียบ้าง อย่าให้คนอื่นดูแคลนสายของพวกเรา ไม่เอาสุรามาดื่มคารวะอาจารย์ก็ได้ไป เจ้าไปตะโกนอยู่ที่หัวกำแพงนั่น บอกไปว่าตัวเองคือศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน หลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์ไม่อยู่ที่นี่แล้วศิษย์น้องของเจ้าถูกคนรังแก”

จั่วโย่วแสร้งทำตัวเป็นหูหนวกเป็นใบ้

ในชีวิตของการขอศึกษาเล่าเรียนในอดีต นี่ก็คือการต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดที่จั่วโย่ว มีต่ออาจารย์ของตัวเองแล้ว

เฉินผิงอันเอาเหล้าสองกาออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ ล้วนส่งมอบให้ซิ่วไฉเฒ่าทั้งหมด

ล้วนเป็นเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดที่เขตการปกครองหลงเฉวียน เหล้าตระกูลเซียนเขายกให้ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่เฝ้าหน้าประตูภูเขาห้อยหัว ไปหมดแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นส่งให้จั่วโย่วหนึ่งกา

จั่วโย่วไม่ได้ปฏิเสธ

เฉินผิงอันเอาออกมาให้ตัวเองหนึ่งกา

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “จั่วโย่ว รสชาติเป็นอย่างไร?”

จั่วโย่วจึงได้แต่เอ่ยถ้อยคำที่ผิดต่อมโนธรรมในใจน้อยที่สุด “พอได้”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า จุ๊ปากพูด “นี่ก็คือถ้อยคำที่มีแต่คนไม่รู้จักดื่มเหล้าเท่านั้น ถึงจะพูดออกมา”

แล้วซิ่วไฉเฒ่าก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน

เขาไม่ทำให้ซิ่วไฉเฒ่าผิดหวังจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหล้าที่ดื่มโดยไม่ต้องเสียเงิน รสชาติดีที่สุด”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจ

หัวเราะอยู่นาน ถึงได้สังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันมองมาที่ตน

ซิ่วไฉเฒ่าจึงกระแอมอยู่สองสามที “วางใจเถอะ วันหน้าก็ให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนเลี้ยงเหล้า อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ขอแค่ดื่มเหล้า ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง หรือเรียกเพื่อนมาดื่มด้วย ล้วนลงบัญชีชื่อของจั่วโย่วไว้ได้เลย จั่วโย่วเอ๋ย…”

จั่วโย่วถอนหายใจ “ทราบแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจะเรียกอีกคำว่า “จั่วโย่วเอ๋ย”

จั่วโย่วกลับพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ไม่รู้สึกอยุติธรรม”

ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้รู้สึกพึงพอใจ

เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็ให้รู้สึกว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ วันเวลาของตนต่อจากนี้คงจะยิ่งทุกข์ทรมานแล้ว

คาดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะเอ่ยอย่างคนที่เข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีก่อนแล้วว่า “ศิษย์พี่จั่วโย่วของเจ้ามีวิชากระบี่ที่พอจะเอาออกมาโอ้อวดได้ แต่หากเจ้าไม่ยินดี จะเรียนก็ไม่ต้องเรียน อยากเรียนเมื่อไหร่ รู้สึกว่าควรจะให้เขาสอนอย่างไร ก็บอกกับศิษย์พี่เจ้าสักคำก็พอ ศิษย์พี่ไม่มีทางทำเกินกว่าเหตุแน่”

จั่วโย่วเอ่ย “สามารถเริ่มเรียนได้แล้ว”

เฉินผิงอันรีบพูดทันที “ไม่รีบ”

จั่วโย่วโน้มตัวมาด้านหน้า จ้องเฉินผิงอันเขม็ง

เฉินผิงอันมองซิ่วไฉเฒ่า

ซิ่วไฉเฒ่ารู้ใจ รีบยื่นมือมากดหัวจั่วโย่วแล้วผลักออกไปด้านหลัง เอ่ยสั่งสอนว่า “ยอมให้ศิษย์น้องของเจ้าหน่อย”

จั่วโย่วเริ่มดื่มเหล้าอึกใหญ่

ประหลาดมาก ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคน ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่า จะไม่เกรงใจจั่วโย่วมากที่สุด แต่ลูกศิษย์คนนี้กลับเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างอาจารย์ ไม่เคยห่างไกลไปไหนมากที่สุด

แม้แต่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างเหมาเสี่ยวตง คิดเรื่องนี้ร้อยตลบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ

เพียงแต่ว่านิสัยของศิษย์พี่จั่วโย่วรักสันโดษเกินไป เก็บตัวเกินไป พวกเหมาเสี่ยวตง หม่าจาน อันที่จริงล้วนไม่ค่อยกล้าเป็นฝ่ายชวนจั่วโย่วคุยสักเท่าไร

ชุยฉานที่ตอนนั้นยังไม่ได้หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนคือลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่โดดเด่นเป็นจุดสนใจมากที่สุด ข่มให้พวกนักปราชญ์และวิญญูชนของสำนักศึกษาสถานศึกษาทั้งหมดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหม่นหมองไร้ประกาย ความรู้สูง ตบะสูง วิชาหมากล้อมก็ยิ่งเลิศล้ำ แต่กระนั้นก็ยังถูกจั่วโย่วด่าจนไม่กล้าเถียงสักคำ ส่วนข้อที่ว่าตอนนั้นชุยฉานไม่ยินดี หรือว่าไม่กล้า พวกเหมาเสี่ยวตงก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้คำตอบนั้นอีกแล้ว

ส่วนความรู้ของจั่วโย่วนั้นเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ก็มากพอจะอธิบายทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว

น่าเสียดายที่ถูกวิชากระบี่ของเขากลบทับไปหมด

เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่คนบนโลกพูดถึงเซียนกระบี่จั่วโย่วที่ประสบความสำเร็จ ตอนอายุมากแล้ว ก็มักจะพูดแค่ว่ามีวิชากระบี่สูงมาก สูงสุดขีด และสูงที่สุดในโลก

ถึงขั้นมีคนไม่น้อยที่ลืมสถานะลูกศิษย์เหวินเซิ่งของเขาไปแล้ว

ใช้กำลังของคนคนเดียวสยบตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดทุกคนบนโลก นี่ก็คือจั่วโย่ว

แต่จั่วโย่วที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าประตูของร้านเล็กวันนี้ ในสายตาของ ซิ่วไฉเฒ่าแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มสูงใหญ่ที่มีดวงตาใสกระจ่างในปีนั้นที่พอมาเยือนถึงบ้านแล้วก็บอกว่าเขาไม่มีเงิน แต่อยากอ่านตำราอริยะปราชญ์ อยากเรียนหลักการเหตุผล ขอติดเงินไว้ก่อน

เมื่อรับอาจารย์แล้ว วันหน้าย่อมต้องชดใช้คืน แต่หากเรียนหนังสือแล้วสอบติดจ้วงหยวนหรือตำแหน่งอะไร แล้วช่วยหาลูกศิษย์มาให้อาจารย์ได้มากกว่าเดิม ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ใช้หนี้แล้ว

ตอนนั้นที่เด็กหนุ่มเอ่ยประโยคนี้ เขามีท่าทางที่จริงจังมาก

ซิ่วไฉยากจนที่ตอนนั้นอายุยังไม่มาก ยังไม่ได้กลายเป็นซิ่วไฉเฒ่า และยิ่งไม่ได้เป็นเหวินเซิ่ง เพียงแค่เพิ่งจัดพิมพ์ตำราไปเล่มหนึ่ง เงินทองในมือยังพอมีเหลือ ไม่ถึงขั้นยากจนจนดื่มเหล้าไม่ได้ จึงตอบตกลงไป ด้วยคิดว่าข้างกายชุยฉานไม่มีศิษย์น้อง คงไม่เข้าที แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็รู้สึกว่าความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองในชีวิตนี้ก็คือการได้มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง มีลูกศิษย์ใหญ่แล้ว ก็มีลูกศิษย์คนรอง นี่คือเรื่องดี ไม่สะสมการก้าวเดินไปทีละก้าว ก็ไม่มีทางเดินทางไกลได้เป็นพันลี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นประโยคดีที่ตนใคร่ครวญออกมาได้ เวลานั้น บุรุษที่มีเพียงตำแหน่งซิ่วไฉไม่ได้คิดอะไรมากนัก แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรไปยาวไกล ถึงขั้นรู้สึกว่าลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองนั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดที่ห่างไกลเกินกว่า จะเอื้อมถึง ก็เหมือนว่าตัวอยู่ในตรอกเก่าโทรม กินเหล้าขุ่นๆ จินครึ่งจินที่ซื้อมา อยู่ในบ้าน แล้วคิดถึงสุราเลิศรสกาแล้วกาเหล้าที่ขายอยู่ในเหลาสุราใหญ่ๆ พวกนั้น

ผ่านไปนานหลายปี ยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่า มีลูกสาวของเถ้าแก่เหลาสุราร้านหนึ่งที่หน้าตางดงามมาก

มองเห็นอยู่ไกลๆ ก็เหมือนได้ดื่มเหล้ารสชาติเข้มข้น ไม่อาจมองได้นานนัก เพราะจะเมามายเอาได้

ดังนั้นเมื่อมีอริยะใหญ่ลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังวิจารณ์ตำราบางเล่มของตาเฒ่า เขียนบรรยายว่าตาเฒ่าแสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน คร่ำครึเกินไป แก้ไขความหมายเดิมมากเกินพอดี จึงทำเอาซิ่วไฉเฒ่าโมโหหนัก ความรู้สึกระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดิน คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าที่จะไร้ความรู้สึก แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้นไม้ใบหญ้ายังสามารถวิวัฒนาการกลายเป็นภูตได้

คนเรามิใช่อริยะปราชญ์จะไม่เคยทำผิดพลาดเลยได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่อริยะปราชญ์ก็เคยผิดพลาดเช่นกัน นั่นก็ยิ่งไม่ควรคาดหวังให้มนุษย์ธรรมดา ทำตัวเป็นอริยะปราชญไปเสียทุกเรื่อง หากความรู้เช่นนี้กลายมาเป็นเพียงหนึ่งเดียว ย่อมไม่ได้เป็นการดึงบัณฑิตเข้าใกล้อริยะปราชญ์ แต่เป็นการค่อยๆ ผลักให้ห่างไกลออกไป ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้วิ่งไปอธิบายเหตุผลดีๆ ที่ศาลบุ๋น อีกฝ่ายก็ดื้อดึง ถึงอย่างไร เจ้าพูดอะไรมาข้าก็ฟังหมด แต่จะไม่ทะเลาะกับซิ่วไฉเฒ่า ไม่มีทางเปิดปากพูด แม้แต่ครึ่งคำ

ทว่ากลับเป็นอริยะที่มองดูเหมือนเย็นชาแล้งน้ำใจผู้นี้ที่ยอมเผาผลาญตบะทั้งหมดของตัวเองเป็นค่าตอบแทน ฝืนประคองหน้าด่านนั้นของใต้หล้าไพศาลเอาไว้ จนกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าและบัณฑิตที่ถือกระบี่เซียนไว้ในมือคนนั้นมาปรากฏตัว ต่อหน้าเขา อีกฝ่ายถึงวางภาระลงได้อย่างแท้จริง ลาจากโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบ เขาคลี่ยิ้มให้ซิ่วไฉเฒ่าอย่างเข้าใจ แล้วก็ตายไปอย่างฉับพลัน จิตวิญญาณแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือโอกาสกลับมาจุติใหม่ได้อีก

ชีวิตคนก็สั้นเพียงเท่านี้

สบตายิ้มให้กัน ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็เข้าใจ

ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้ากานั้นหมดแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนลุกจากเก้าอี้ สองมือของเขา กอดกาเหล้าไว้ นั่งอาบแสงแดดของใต้หล้าแห่งอื่นอยู่อย่างนี้

จั่วโย่วเอ่ยเบาๆ “อาจารย์ สามารถจากไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าแห่งนี้อาจจะลงมือขัดขวางการจากไปของอาจารย์”

เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นเอ่ยคำ

ซิ่วไฉเฒ่ายกมือขึ้นแล้วกดลงเบาๆ “ไม่ต้องพูดอะไร อาจารย์รู้ทุกอย่าง อาจารย์มีถ้อยคำมากมายที่ไม่อาจพูดกับเจ้าได้ในตอนนี้”

ซิ่วไฉเฒ่าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ท่วงท่าผ่อนคลาย เขาพึมพำว่า “นั่งต่ออีกสักเดี๋ยว ข้างกายอาจารย์ไม่มีลูกศิษย์สองคนมานั่งอยู่พร้อมกันนานหลายปีแล้ว”

ลูกศิษย์สองคนหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา อาจารย์นั่งอยู่ตรงกลาง

ในที่สุดข้างกายอาจารย์ ก็ไม่ได้มีแค่จั่วโย่วเพียงคนเดียวอีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version