บทที่ 584 ยังไม่มาโดนซ้อมอีกหรือ
เมื่อเทียบกับในอดีต จวนหนิงก็แค่มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน จึงไม่ได้ครึกครื้นเท่าใดนัก
สาเหตุที่ทำให้จวนหนิงเงียบสงบเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป
เดิมทีหลังจากหนิงเหยาถือกำเนิด จวนหนิงก็มีโอกาสได้กลายเป็นตระกูลชั้นสูงอย่างพวกสามแซ่เช่นต่ง ฉี เฉิน ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเป็นดั่งเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาไป ทว่าพยับเมฆอึมครึมกลับไม่สลายหายไปด้วย
กลับเป็นทางฝั่งของร้านเตี๋ยจ้างที่เนื่องจากการดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากลับบ้านเกิดของหวงถงเซียนกระบี่สำนักกระบี่ไท่ฮุย เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงออกหน้า ด้วยตัวเอง พาเซียนกระบี่ทั้งหมดหกท่านมาดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันที่ร้าน และยังมี เซียนกระบี่อีกสามท่านที่สลักตัวอักษรไว้บนป้ายสงบสุข เป็นเหตุให้กิจการของ ร้านเหล้าที่เตรียมจะเดินลงเนินกลับคืนมารุ่งโรจน์จนน่าเหลือเชื่อ ผู้ฝึกกระบี่ที่มา นั่งยองดื่มเหล้ามีเป็นกลุ่มใหญ่ ขณะเดียวกันทางร้านก็เสนอผักดองที่มีเฉพาะของร้านเยี่ยนจี้ ซื้อเหล้าหนึ่งกาแถมผักดองหนึ่งจาน บวกกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่รสชาติค่อนข้างจืดจาง สูดสวบหนึ่งที เคี้ยวผักดองกร้วมๆ อีกคำ รสชาติเลิศล้ำอย่างถึงที่สุด
การกินการอยู่ของเฉินผิงอันในจวนหนิงมีระเบียบอย่างยิ่ง หากไม่นับรวมการหลอมลมปราณในศาลาหน้าผาสังหารมังกรวันละหกชั่วยามแล้ว ส่วนใหญ่แล้ว ช่วงเช้าตรู่เขาก็จะต้องมากวาดลานบ้านร่วมกับป๋ายหมัวมัวครึ่งชั่วยาม ช่วงเวลาระหว่างนี้ก็จะคอยสอบถามเรื่องการฝึกหมัดอย่างละเอียด ตอนที่หลี่เอ้อร์ป้อนหมัดให้บนยอดเขาสิงโต เขาพูดละเอียดมากพอ เพียงแต่ว่าปรมาจารย์บนยอดเขาที่ แตกต่างกัน ต่างคนก็ต่างบรรยายสัจธรรมของหมัดที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วรากฐานจะเชื่อมโยงกัน เพียงแต่เส้นทางแตกต่างกันไป ทัศนียภาพจึงไม่ค่อยเหมือนกันนัก ทุกครั้งที่พูดถึงรายละเอียดปลีกย่อย หญิงชรามักจะแสดงกระบวนท่าหมัดให้ดูด้วยตัวเองไปด้วย และเฉินผิงอันก็จะทำเลียนแบบอย่างเข้าท่าเข้าที
อันที่จริงหญิงชราปลาบปลื้มอย่างมาก เพราะตอนที่อยู่ในศึกบนถนน เฉินผิงอันได้ใช้กระบวนท่าหมัดของนางด้วย วิชาหมัดของป๋ายเลี่ยนซวงจะอยู่ตรงข้ามกับ วิชาหมัดส่วนใหญ่บนโลก ให้ความสำคัญกับการเก็บหมัดมากที่สุด ปณิธานหมัด จะถูกเก็บอยู่ด้านใน ขัดเกลาจนถึงขอบเขตที่สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ เลิศล้ำยอดเยี่ยมเสียก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการออกหมัดใส่ศัตรู
ทุกวันตอนเที่ยงจะไปทำความเข้าใจกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบจากน่าหลันเย่สิงที่ลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม
พอถึงยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็ยังมีการฝึกยุทธอีกหนึ่งครั้ง นี่ก็คือข้อเรียกร้องของน่าหลันเย่สิง คิดอยากจะเรียนแก่นปณิธานกระบี่สองชนิดที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงจากเขา สองชั่วยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุด
เรียนวิชากระบี่กับน่าหลันเย่สิงมักจะบาดเจ็บบ่อยๆ ไม่เหมือนการฝึกหมัดกับป๋ายหมัวมัว แต่อันที่จริงการออกกระบี่ของน่าหลันเย่สิงกลับมีการกะน้ำหนัก หนักเบาอย่างดีเยี่ยม แค่มองดูว่าเฉินผิงอันมีบาดแผลเหวอะหวะเท่านั้น เพราะเนื้อหนังที่ปริแตกนั้นล้วนเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย แต่ป๋ายหมัวมัวกลับสงสารเขามาก มีครั้งหนึ่งที่เฉินผิงอันบาดเจ็บค่อนข้างหนัก การฝึกกระบี่ยามจื่อผ่านไป ตามกฎเดิมแล้วจะต้องดื่มเหล้ากับท่านปู่น่าหลันสองจอก ผลกลับกลายเป็นว่า ป๋ายหมัวมัวกลับด่าน่าหลันเย่สิงเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ด่าจนหูชา น่าหลันเย่สิงก็ได้แต่ยื่นมือมาปิดปากจอกเหล้า ไม่กล้าเถียงสักคำ อันที่จริงเรื่องการฝึกกระบี่นี้ เฉินผิงอันเคยบอก หนิงเหยาเองก็เคยช่วยพูด พวกเขาต่างก็ไม่ต้องการให้ป๋ายหมัวมัวเป็นกังวล แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หญิงชราที่เรียกได้ว่ารอบรู้มีความสามารถ กลับมีเพียงเรื่องนี้ ที่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรนัก ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ คนลำบากก็มีแต่น่าหลันเย่สิงแล้ว
ภายหลังได้ยินว่าคอขวดปราณกระบี่สิบแปดหยุดของเฉินผิงอันเริ่มคลายตัว มีลางว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต หญิงชราถึงได้ข่มกลั้นความสงสาร พอจะยอมปล่อยผ่านน่าหลันเย่สิงที่ไม่มีคุณความดี มีเพียงคุณความเหนื่อยยากไปได้บ้าง
เกี่ยวกับสิบแปดหยุดที่อาเหลียงเคยปรับปรุงแก้ไขมาก่อนนี้ เฉินผิงอันเคยถาม หนิงเหยาเป็นการส่วนตัวว่าเหตุใดจึงสอนให้กับคนแค่ไม่กี่คน
หนิงเหยาสีหน้าเคร่งเครียด บอกว่าไม่ใช่ว่าอาเหลียงไม่อยากสอนคนมากกว่านี้ แต่ไม่กล้า
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ในศาลาขนลุกชันด้วยความตกใจ เหงื่อเย็นๆ ผุดออกจากทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากสอนมากไป ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจรุ่นเยาว์ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ล้วนสามารถยกวิถีกระบี่ให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งได้พร้อมเพรียงกัน!
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “จนถึงทุกวันนี้ ข้าเพิ่งเคยสอนเผยเฉียนไปคนเดียว”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ถามว่านอกจากตำราสองเล่มที่จัดพิมพ์แล้ว ในนครแห่งนี้ยังมีผลงานส่วนตัวของเซียนกระบี่ที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานของผู้ฝึกกระบี่ในท้องที่หรือต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนถึงประสบการณ์ การเข่นฆ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือบันทึกภูเขาสายน้ำในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ได้หมด หนิงเหยาบอกว่าหนังสือเบ็ดเตล็ดจำพวกนี้ ทางจวนหนิงมีเก็บไว้ไม่มาก ในหอเก็บตำราส่วนใหญ่จะเป็นตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนัก แต่สามารถไปลองเสี่ยงดวงดูที่หอมายาทางเหนือของนครแห่งนั้นได้
แต่เฉินผิงอันกลับเกิดลังเลขึ้นมา
ตลาดแห่งนั้นประหลาดอย่างมาก รากฐานของมันคือสิ่งมายาภาพลวงตาที่แท้จริง แต่กลับรวมตัวอยู่อย่างยาวนานไม่สลายหายไปไหน จนกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง หอแก้วเสาหยก มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม ประหนึ่งจวนตระกูลเซียน คือกลุ่มสิ่ง ปลูกสร้างหลากหลายสีสันที่มีมากเกือบสี่สิบกว่าหลัง สามารถรองรับคนได้มาก หลายพันคน เดิมทีตัวนครก็มีการป้องกันที่เข้มงวดอยู่แล้ว สำหรับคนต่างถิ่น เข้าออกล้วนไม่ง่าย ดังนั้นพ่อค้ารายใหญ่ของใต้หล้าไพศาลที่ทำการค้าอย่างยาวนานกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนจะต้องไปทำการค้าที่นั่น ของประหลาดแปลกตา ของโบราณหายาก สมบัติอาคมอาวุธหนัก มีสารพัดรูปแบบ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีหอมายาแห่งนั้นจะกลายเป็นภาพมายา ผู้ฝึกตนที่พักอยู่ที่นั่นจะต้องย้ายออกมาครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะคนหรือวัตถุก็ล้วนต้องย้ายออก รอให้หอมายารวมตัวกลับเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงอีกครั้งถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ข้างในได้ใหม่
หนิงเหยาเคยถูกลอบฆ่าที่นั่นครั้งหนึ่ง
ป๋ายหมัวมัวก็ต้องขอบเขตถดถอยจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาเป็นขอบเขตยอดเขา ที่นั่นเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตถดถอยทั่วไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่าการลอบฆ่าในปีนั้นอันตรายและโหดร้ายมากแค่ไหน
เฉินผิงอันไม่ได้รับปากว่าจะไปที่นั่นกับหนิงเหยา เขาแค่คิดจะให้คนช่วยรวบรวมตำรามาให้ ก็แค่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำงานเหนื่อยยากหาเงินมา อย่างลำบากเพื่ออะไร
หากไม่พูดถึงการเข่นฆ่าที่ทุ่มเอาทุกวิธีการที่มีออกมาใช้ พูดถึงแค่ความช้าเร็วในการฝึกตน
ต่อให้เฉินผิงอันไม่เปรียบเทียบกับหนิงเหยา ลำพังเพียงแค่เปรียบเทียบกับพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว เขาก็ยังคงรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้อยู่ดี มีครั้งหนึ่งเยี่ยนจั๋วที่อยู่บนสนามประลองยุทธ บอกว่าจะ ‘ถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์’ จึงถ่ายทอดวิชาหมัดล้ำโลกชุดนั้นให้แก่แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่ว
เฉินผิงอันนั่งมองอยู่ด้านข้าง ไม่สนใจหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่ก่อเรื่องเหลวไหล เพียงแค่เหลือบตามองไปยังภาพบรรยากาศการหลอมปราณวิญญาณของเฉินซานชิวกับต่งฮว่าฝูที่อยู่ในศาลา พวกเขาใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดินเล็กใหญ่ ปราณวิญญาณไหลวนอย่างรวดเร็วจนทำให้คนต้องมองตามตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันมองแล้วก็ให้กลัดกลุ้มเล็กน้อย มักรู้สึกว่าการเข้าฌานทำสมาธิของตนในทุกวันนี้ผิดต่อสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างหน้าผาสังหารมังกรแห่งนี้ยิ่งนัก
หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยปลอบใจว่า “สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้ายังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งพวกเขาสองคนยังเป็นผู้ฝึกตนโอสถทอง เจ้าถึงได้รู้สึกว่าห่างชั้นไกลมาก รอให้เจ้ารวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตครบห้าชิ้น ห้าธาตุ ช่วยสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน ตอนนี้วัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสามชิ้นอย่าง ตราประทับอักษรน้ำ ดินของขุนเขาทั้งห้าแห่งแจกันสมบัติทวีป เทวรูปไม้ ระดับขั้นของวัตถุทั้งสามสิ่งนี้ล้วนดีมากพอ จึงทำให้มีเค้าโครงของฟ้าดินขนาดเล็กแล้ว ต้องรู้ว่าต่อให้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินส่วนใหญ่ก็ยังไม่มี ห้องโอสถที่ซับซ้อนขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ดีพอเล่มหนึ่งก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมายขนาดนี้มาช่วยประคับประคองเสียหน่อย”
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าก็กำลังพูดปลอบใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับน้ำใจไว้แล้ว”
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เตี๋ยจ้างต้องยุ่งอยู่กับกิจการของร้านทุกวัน จะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนของนางจริงๆ หรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่หรอก นอกจากการเลื่อนขั้นจากห้าขอบเขตล่าง สู่ขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตโอสถทองที่ต้องมาอยู่ในจวนหนิงแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตของเตี๋ยจ้างครั้งอื่นๆ ล้วนอาศัยตัวเองทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่ผ่านการขัดเกลาบนสนามรบ เตี๋ยจ้างก็จะฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วมาก นางคือผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาก็เหมาะแก่เข่นฆ่าสังหารที่มีรูปแบบใหญ่มากที่สุด คราวก่อนที่นางประมือกับต่งฮว่าฝู อันที่จริงเจ้ายังไม่ได้เห็นรอบด้าน รอจนลง สนามรบอย่างแท้จริง ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเตี๋ยจ้างเมื่อไหร่ เจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดเตี๋ยจ้างถึงถูกพวกเฉินซานชิวมองเป็นเพื่อนตาย นอกจากข้าแล้ว ทุกครั้งที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง เฉินซานชิวจะต้องถามเจ้าอ้วนเยี่ยนกับต่งด่านดำว่า มองท้ายทอยของเตี๋ยจ้างชัดเจนดีหรือยัง สรุปว่าสวยหรือไม่”
หนิงเหยาเอ่ย “นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้อาวุโสของต่ง เฉินสองตระกูลชื่นชอบเตี๋ยจ้าง ที่มีชาติกำเนิดไม่ค่อยดีอยู่มาก โดยเฉพาะทางฝั่งของตระกูลต่งที่ยังตั้งใจจะให้คนหนุ่มมากความสามารถในตระกูลคนหนึ่งมาสู่ขอเตี๋ยจ้าง พี่ชายของเฉินซานชิวคนนั้น พยักหน้าตอบตกลงแล้ว เพียงแต่เตี๋ยจ้างเองที่ไม่ตกลง ท่านปู่ต่งยินดีมาเลี้ยงอำลาหวงถงเซียนกระบี่แห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยเลือกร้านของเตี๋ยจ้าง นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า แต่เป็นเพราะเตี๋ยจ้างเคยช่วยชีวิตต่งถ่านดำเอาไว้ เตี๋ยจ้างเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘หากข้าต้องตาย ไม่จำเป็นต้องช่วยข้า’ ท่านปู่ต่งจึงชื่นชมนาง อย่างมาก”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “เรื่องพวกนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรกับเตี๋ยจ้างมากนัก นางเป็นคนละเอียดอ่อน มักจะคิดมากอยู่เสมอ ข้ากลัวว่านางจะเสียสมาธิ นางเลื่อมใสพวก เซียนกระบี่อาวุโสที่มีผลงานการรบเลื่องลือมากเกินไป ซึ่งอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านเจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นจั่วโย่วหรือ ท่านปู่ต่ง หรือไม่ก็พวกหานไหวจื่อ ลี่ไฉ่ พอเตี๋ยจ้างเห็นพวกเขาก็จะต้องมีท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สังเกตเห็นอยู่จริงๆ หากเจ้าตอบตกลง วันหน้า ข้าสามารถคุยกับนางเรื่องนี้ได้ ข้าค่อนข้างจะมั่นใจ”
หนิงเหยาจ้องเฉินผิงอัน ถามว่า “เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องไม่ตอบตกลงกันเล่า หรือจะบอกว่า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไร้เหตุผล?”
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมาบีบแก้มหนิงเหยา “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่คอยตาดูหูฟังรอบทิศอยู่ตลอดเวลาไม่ทันระวังโดนแม่นางน้อยที่เรียนวิชาฝ่าเท้าจากเขาไปเตะเข้าที่ใบหน้า เยี่ยนจั๋วไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด เขาหันไปขยิบตาให้กวอจู๋จิ่ว แม่นางน้อยจึงหันไปมอง แล้วก็ต้องสูดลมหายใจดังเฮือก อาจารย์ช่างใจกล้ายิ่งนัก สมกับเป็นยอดฝีมือผู้กล้าหาญจริงๆ ! ส่วนตนก็ยิ่งฉลาดเฉลียวและโชคดีอย่างถึงที่สุด กราบอาจารย์ขอเรียนวิชาครั้งนี้ มีแต่กำไรไม่มีขาดทุน!
หนิงเหยายืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เจ้าคนผู้นั้นใช้สองนิ้วหนีบแก้มสองข้าง “เก่งขนาดนี้ ไม่สู้ไปที่ฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ให้ข้าช่วยฝึกซ้อมมือให้เจ้าดีไหม?”
เฉินผิงอันรีบดึงมือกลับมา แต่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายไปยังลานฝึกยุทธ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญ”
หนิงเหยาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วทะยานร่างเข้าไปในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาสนามประลองยุทธที่อยู่ทางใต้สุดแห่งนั้น พอพลิ้วกายหยุดยืนนิ่งแล้วก็บิดหมุนข้อมือเบาๆ
เฉินผิงอันวิ่งหายไปไม่เหลือเงา
หนิงเหยาเองก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไป เพียงแค่เรียกกระบี่บินออกมา เดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ไม่ถือว่าเป็นการฝึกกระบี่ แค่ให้กระบี่บินของตัวเองออกมาเจอฟ้าดินภายนอกหลังจากที่ไม่ได้ออกมานานก็เท่านั้น
เรื่องของการฝึกตน สำหรับหนิงเหยาแล้ว ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างเหม่อลอยว่า “รู้จักประเมินสถานการณ์ ยืดได้หดได้ อาจารย์ของข้าสมกับเป็นชายชาตรีจริงๆ”
เยี่ยนจั๋วถาม “ลวี่ตวน ข้าสอนวิชาหมัดให้เจ้า เจ้าวิชาประจบสอพลอนี้ให้ข้า ตกลงไหม?”
แม่นางน้อยเลียนแบบอาจารย์มือดาบชุดเขียวตอนอยู่ในศึกใหญ่บนถนนที่ ก่อนเผชิญหน้ากับศัตรูจะต้องตั้งท่าอันสง่างามด้วยการเอามือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้เบื้องหน้า อีกมือหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าไม่จริงใจมากพอ คุณสมบัติก็ยิ่งแย่”
เยี่ยนจั๋วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
หนิงเหยากวักมือเรียก “ลวี่ตวน มาโดนซ้อม”
กวอจู๋จิ่วร้องรับคำหนึ่งว่าได้เลย จากนั้นก็เริ่มเผ่นหนี จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง ทะยานลมหลบหนีจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าไม่ได้คล่องแคล่ว ดุจเมฆคล้อยน้ำไหลเหมือนว่าที่อาจารย์ของนางก็เท่านั้น
ศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องอับอาย
น่าเสียดายก็แต่หนิงเหยาได้ยื่นมือมาคว้าจับ ใช้ปราณกระบี่เล็กๆ เสี้ยวหนึ่ง ที่กะน้ำหนักอย่างพอดีมาห่อหุ้มร่างของกวอจู๋จิ่วเอาไว้ แล้วกระชากอีกฝ่ายมาอยู่ ข้างกายตัวเองได้อย่างง่ายดาย
กวอจู๋จิ่วเดินเซไปก้าวหนึ่งก่อนจะหยุดยืนนิ่ง นางตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ประกบสองมือเข้าด้วยกัน จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็ทำมุทราตัดสลับกัน “ฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ดินศักดิ์สิทธิ์ พี่หญิงหนิงมองไม่เห็น โดนตีก็ไม่เจ็บ!”
เยี่ยนจั๋วยกสองมือปิดหน้าแล้วขยี้หน้าตัวเองอย่างแรง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “หากจะให้ข้ารับคนอย่างลวี่ตวนเป็นลูกศิษย์ ข้ายอมกราบนางเป็นอาจารย์ดีกว่า”
หากกวอจู๋จิ่วคิดว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถหลบพ้นหายนะไปได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น นางก็ดูแคลนหนิงเหยาเกินไปหน่อยแล้ว
แม่นางน้อยออกมาจากจวนหนิงด้วยใบหน้าที่เขียวช้ำจมูกบวม แต่ก็ยังกระโดดโลดเต้นได้ ตอนที่เดินออกจากประตูยังถามว่าพี่หญิงหนิงอยากกินขนมหรือไม่ อีกทั้งยังตบอกรับรองว่าจะบอกกับคนที่บ้านว่า เป็นเพราะตนเดินไม่ดูทางก็เลยสะดุดล้ม ผลคืออยู่ดีๆ ก็ถูกพี่หญิงหนิงจับหัวเล็กๆ กระแทกเข้ากับประตูใหญ่อีกหนึ่งที
กวอจู๋จิ่วที่มึนๆ งงๆ ออกมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการเรียนวิชาหมัดแห่งนั้นเพียงลำพัง นางเดินอยู่บนถนนใหญ่อย่างน่าสงสาร ลูบใบหน้าตัวเอง ฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดกำเดา นางจึงเช็ดมันกับเสื้อผ้าบนร่าง แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้นสูง เดินไปข้างหน้าช้าๆ ในใจคิดว่าฝึกวิชาหมัดไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่นี่เป็นเรื่องดีนะ การฝึกวิชาหมัดล้ำโลกในใต้หล้านี้ไหนเลยจะเรียนเป็นกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น? รอให้ตนเรียนจนสำเร็จ เจ็ดแปดส่วนแล้ว พี่หญิงหนิงนั้นช่างเถิด เพราะอาจารย์แม่ย่อมใหญ่ที่สุด แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าอาจารย์จะเข้าข้างตน ถ้าอย่างนั้นนางก็จะยอมอดทนแล้วกัน แต่สาวเทื้อ ที่ขายไม่ออกอย่างต่งปู้เต๋อนั่น วันหน้าเวลาเดินตอนกลางคืน ก็คงต้องกลัดกลุ้ม ซะแล้วล่ะ
แม่นางน้อยที่ห้อยแท่นฝนหมึกทรงสีเหลี่ยมสีเขียวมรกตไว้ตรงเอวแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามไร้เมฆกว้างไกลหมื่นลี้นั้นอยู่ตลอดเวลา นางพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ วันนี้คือวันดีนะ
วันนี้เฉินผิงอันกับหนิงเหยาเดินเล่นไปถึงที่ร้านของเตี๋ยจ้างด้วยกัน
ในอดีตเวลาที่คนทั้งสองฝึกหลอมลมปราณ พอถึงช่วงเวลาหยุดพักของแต่ละคนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมาเจอกัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเฉินผิงอันที่ไปร้านเหล้าของ เตี๋ยจ้างเพียงลำพัง
วันนี้เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาตั้งใจหยุดการฝึกตนกลางคัน เพราะต้องการจะไปที่ร้านพร้อมกับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ตอนที่เดินผ่านร้านเหล้าบนถนนที่กิจการไม่รุ่งเรืองเท่าร้านของตน เฉินผิงอันมองคำโคลงคู่และบทกลอนเดี่ยวน้อยใหญ่ทั้งหลายแล้วก็เอ่ยกับหนิงเหยาเบาๆ ว่า “ตัวอักษรเขียนสวยสู้ข้าไม่ได้ ความหมายก็ยิ่งห่างชั้นไกลโข ว่าไหม?”
หนิงเหยาเอ่ย “มีเหลาสุราขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเชิญให้ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของอริยะลัทธิขงจื๊อ คือวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา ให้มาเขียนคำกลอนคู่และเดี่ยวให้ด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่ก็คือคัมภีร์การค้าชั้นหยาบที่เรียนรู้ไปได้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ไม่มีทางทำสำเร็จหรอก ข้ากล้าเดิมพันเลยว่า หากกิจการของที่ร้านไม่แย่ลงกว่าเดิม เถ้าแก่ของที่นั่นก็ควรจุดธูปไหว้พระแล้ว อย่าได้หวังว่าลูกค้าจะรับน้ำใจ ร้านขายเหล้าน้อยใหญ่เจ็ดสิบกว่าร้านของที่นี่ ทุกคนต่างก็ขายเหล้า เหล้าหมัก ตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลมีเป็นร้อยชนิด อยากดื่มเหล้าอะไรก็ล้วนไม่ยาก แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว สรุปว่าขายอะไร?”
หนิงเหยาถาม “ขายอะไร?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ยังคงมองประเมินเนื้อหาของคำโคลงคู่ที่เหมือน แม่นางน้อยขี้อายเหล่านั้นต่อไป
หนิงเหยาเอ่ย “ไม่บอกก็ช่าง”
เฉินผิงอันจึงรีบกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องการให้คนที่ซื้อเหล้า คนที่มาดื่มเหล้าของข้า ไม่ใช่เซียนกระบี่แต่เหนือกว่าเซียนกระบี่ เป็นเซียนกระบี่แล้วก็เก่งกาจกว่าเซียนกระบี่ ร้านเล็กๆ ม้านั่งโต๊ะเหล้าล้วนทำขึ้นอย่างหยาบๆ แต่กลับไร้พันธนาการ จอกเหล้าเล็กๆ ฟ้าดินกลับกว้างใหญ่ ดังนั้นเตี๋ยจ้างบอกว่าเพื่อให้หาเงินมาได้มากขึ้นก็จะต้องเปลี่ยนโต๊ะเปลี่ยนม้านั่งใหม่เอี่ยมเลียนแบบพวกเหลาสุราขนาดใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เด็ดขาด เจ้าอ้วนเยี่ยนเสนอว่าเขาจะเอาเงินส่วนตัวมาร่วมหุ้นด้วย เอาร้านผ้าแพรขนาดใหญ่ในนามของเขาที่กิจการไม่รุ่งเรืองนักมาเข้าร่วม
แต่ก็ถูกข้าปฏิเสธไปโดยตรง หนึ่งเพราะจะทำลายฮวงจุ้ย ทำลายเอกลักษณ์ที่มเฉพาะของร้านเหล้าในตอนนี้ไป อีกอย่างนครแห่งนี้ของพวกเราก็ไม่ถือว่าเล็กแล้ว มีคนหลายหมื่นคน นับจำนวนสตรีที่มีถึงครึ่งหนึ่ง เขาจะขายผ้าไหมผ้าแพรต่วน ไม่ออกเลยหรือ? ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะพูดกับเจ้าอ้วนเยี่ยนอีกสักหน่อยว่าอย่าเอาเงินเขามาเข้าร่วมร้านเรา และอย่าให้พวกเราออกเงินเข้าร่วมร้านผ้าแพรของเขาอีกเลย สองร้านนี้ คนที่ยินดีควักเงินจ่ายที่แท้จริง นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบดื่มเหล้าแล้วก็คือสตรีที่ชอบให้คนชื่นชมการแต่งกายของตัวเอง และกลอนคู่บทใหม่ของร้านผ้าแพรนั่น ข้าก็คิดคร่าวๆ มาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย…”
หนิงเหยาเอ่ยเนิบช้าว่า “อาเหลียงเคยบอกว่า บุรุษฝึกกระบี่ อาศัยแค่พรสวรรค์ก็กลายเป็นเซียนกระบี่ได้ แต่หากคิดอยากจะเป็นบุรุษที่ดีที่เข้าใจคนอื่นเช่นเขา หากไม่เคยเจ็บปวดกับความรักเพราะคำพูดที่ดุจกระบี่ทิ่มแทงใจจากสตรีมาก่อน ไม่เคยต้องทุกข์ทรมานกับความรักเพราะสตรีจากไปไกลไม่หวนคืนมา ไม่เคยดื่มเหล้าร้อยจินพันจินเพราะความคิดถึงคะนึงหา ก็อย่าได้หวังเลย”
เฉินผิงอันหันกลับมามองหนิงเหยา กะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “พูดถูกนะ สิบปีที่ผ่านมา ในใจคิดถึงคนคนหนึ่งตลอดเวลา อยู่ห่างไกลแสนไกล แม้แต่กระบี่บินของเซียน ก็ยากจะไปได้ถึง มีเพียงฝึกหมัดดื่มเหล้าให้คลายทุกข์เท่านั้น”
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็พลันตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก
สีหน้าของหนิงเหยาหม่นหมองอย่างไม่ปิดบัง
ในดวงตาของนางคู่นั้นเหมือนมีถ้อยคำที่อยากจะพูด แต่ไม่กล้าพูดออกมา นางพูดไม่เก่ง จึงไม่เคยเอ่ยอะไร เพราะนางไม่เคยรู้ว่าควรจะพูดจาหวานๆ อย่างไร
เมื่อก่อนเด็กหนุ่มรองเท้าเตะที่ต้องฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งถึงจะเดินทางมาถึงภูเขาห้อยหัวก็พูดไม่เก่งเช่นเดียวกับนาง นางจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ราวกับว่าก็ควรเป็นเช่นนั้น อยู่แล้ว เจ้าไม่พูดข้าไม่เอ่ย แต่ก็รู้กันอยู่ในใจ
เฉินผิงอันยื่นนิ้วโป้งมาลูบขนคิ้วของหนิงเหยาเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “อย่าไม่มีความสุขเลย คลายหัวคิ้วออกเถอะนะ”
หนิงเหยาเอ่ย “ก็ข้าไม่มีความสุข”
เฉินผิงอันก้มตัวลง อุ้มหนิงเหยาขึ้นมาแล้วเริ่มออกวิ่ง
หนิงเหยาทำอะไรไม่ถูก
เฉินผิงอันอุ้มนางวิ่งจนไปถึงร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง ผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่หลายสิบคน ที่ทั้งนั่งอยู่บนโต๊ะและนั่งยองอยู่กับพื้น แต่ละคนล้วนมองตาค้าง
ในจำนวนนั้นยังมีเด็กสาวอีกไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่สายตาของแต่ละคนกลับเรืองรอง สตรีบางคนใจกล้าหน่อยก็กระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่แล้วผิวปากหวืออย่างคุ้นเคย
เฉินผิงอันวางหนิงเหยาลงแล้วโบกมือ “ค่าเหล้าที่ยังไม่จ่าย ลดเก้าส่วนทั้งหมด!”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมอีกว่า “คำพูดของเถ้าแก่รองอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป ทุกอย่างอิงตามความต้องการของเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้าง”
พวกนักดื่มพากันหันไปมองเตี๋ยจ้างอย่างพร้อมเพรียงกัน เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ลดเก้าส่วน”
เสียงไชโยโห่ร้องดังสนั่นทันใด
มารดามันเถอะ สามารถลดค่าเหล้าจากเถ้าแก่รองผู้นี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมาตัวหนึ่ง เตรียมจะไปเป็นนักเล่านิทานที่มุมหัวเลี้ยวของตรอก เขาหันมามองหนิงเหยา หนิงเหยาพยักหน้าให้เบาๆ
เตี๋ยจ้างเดินมาหยุดข้างกายหนิงเหยา ถามเสียงเบาว่า “วันนี้เป็นอะไรหรือ? เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เป็นแบบนี้นี่นา ดูจากท่าทางเขาแล้ว ข้าว่าผ่านไปอีกไม่กี่วัน ก็คงไปตีฆ้องร้องป่าวอยู่บนถนนแล้ว”
หนิงเหยาชำเลืองตามองพวกสตรีโต๊ะหนึ่งที่คุยกันจอแจห่างไปไกลแล้วคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เตี๋ยจ้างกลั้นยิ้ม นางเคยแอบมาเล่าให้หนิงเหยาฟังว่าทุกวันนี้ที่ร้านมักจะมีสตรีมาดื่มเหล้าบ่อยๆ ดื่มสุราแต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติสุรา แน่นอนว่าก็ต้องมาเพราะ เถ้าแก่รองที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนนั้น มีสองคนที่หน้าไม่อาย ไม่เพียงแต่ซื้อเหล้า ยังเขียนชื่อไว้บนแผ่นป้ายสงบสุขซึ่งแขวนอยู่บนผนังของร้านเหล้า ด้านหลังแผ่นป้ายก็เขียนตัวอักษรไว้ด้วย หากเตี๋ยจ้างไม่ใช่เถ้าแก่ก็คงจะอดไม่ไหวปลดแผ่นป้ายนั้น ลงมา คราวก่อนหนิงเหยาไปพลิกอ่านแผ่นป้ายทั้งสองดูแล้วก็พลิกกลับคืนเงียบๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก เพียงไม่นานก็มีเด็กกลุ่มใหญ่มาล้อมวง
ยังคงเล่าเรื่องประหลาดแห่งขุนเขาสายน้ำที่คราวก่อนยังเล่าไม่จบแล้วดันหยุดลงต้องช่วงสำคัญพอดีโดยการยิ้มตาหยีทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า โปรดรอฟังตอนถัดไป
รอบด้านมีแต่เสียงบ่นดังขรม
เด็กตัวโตเท่าก้นผู้นั้นที่อยากจะเรียนวิชาหมัดก่อนกวอจู๋จิ่วเสียอีก เวลานี้มานั่งอยู่ข้างเท้าเฉินผิงอัน เขาควักเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งออกมา “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าต่อสิ มีเงินรางวัลให้ หากไม่พอ ข้าสามารถเพิ่มให้ได้”
เฉินผิงอันผลักหัวเด็กชายออก “ไปเล่นที่อื่นเลยไป”
จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่คัดลอกตัวอักษรออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก สะบัดคลี่เบาๆ “บนกระดาษแผ่นนี้ มีตัวอักษรที่ไม่รู้จักหรือไม่? มีตัวอักษรไหน ที่อยากเรียนไหม?”
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างอัดอั้นว่า “ตัวอักษรที่ไม่รู้จักมีเยอะจะตายไป เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร น่าเบื่อจะตาย ไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ เจ้าเล่าเรื่องนั้นต่อสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแล้วนะ”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เกี่ยวกับเรื่องการรู้ตัวอักษรอ่านออกเขียนได้ เด็กที่เติบโตในตรอกเก่าโทรมไม่ค่อยจะสนใจเรื่องนี้เท่าไรจริงๆ เมื่อความสดใหม่ผ่านไปก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน
เรื่องของการรู้ตัวอักษร ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ สำหรับคนโชคดีที่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้นั้น แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์
แต่ในครอบครัวยากจนตามตรอกเล็กถนนใหญ่พวกนี้ก็เป็นได้แค่เรื่องแก้เบื่อเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะอยากจะรู้ว่าบุคคลที่ถูกวาดในหนังสือคนตัวจิ๋วพวกนั้น พูดคุยกันเรื่องอะไรกันแน่ อันที่จริงทุกคนต่างก็รู้สึกว่าตัวอักษรบนป้ายศิลาที่ บิดๆ เบี้ยวๆ เหล่านั้น นับตั้งแต่เด็กจนถึงแก่ตายไป ทั้งสองฝ่ายก็คือเจ้าไม่รู้จักข้า ข้าไม่รู้จักเขา ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน วันนี้ข้าจะแค่อธิบายตัวอักษรให้พวกเจ้าฟัง พูดจบแล้วค่อยเล่าเรื่องต่อ”
เฉินผิงอันหยิบกิ่งไผ่ที่วางไว้บนหัวเข่าขึ้นมาเขียนตัวอักษรลงบนพื้นดิน เหวิ่น (มั่นคง)
เฉินผิงอันยิ้มถาม “มีใครรู้จักไหม?”
มีคนเอ่ยตอบออกมา
เฉินผิงอันจึงชูกิ่งไผ่สีเขียวที่เป็นสีเขียวมรกตราวกับจะคั้นน้ำได้และพอจะมองเห็นปราณวิญญาณล้อมวนได้ลางๆ กิ่งนั้นขึ้น เอ่ยว่า “วันนี้ใครสามารถช่วยข้าอธิบายคำนี้ได้ ข้าจะมอบกิ่งไผ่อันนี้ให้ แน่นอนว่าจำเป็นต้องอธิบายให้ดี ยกตัวอย่างเช่นอย่างน้อยที่สุดต้องบอกข้าว่าเหตุใดอักษรคำว่าเหวิ่นนี้
ทั้งๆ ที่ไม่มีความหมายว่าเร็ว แต่กลับมีตัวอักษรจี๋ที่แปลว่ารีบร้อนอยู่ในคำนี้ด้วย นี่จะไม่ขัดแย้งกันเองหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าตอนที่อริยะสร้างตัวอักษรแอบงีบหลับ ถึงได้สะลึมสะลือสร้างตัวอักษรส่งเดชแบบนี้ให้พวกเราหรอกนะ?”
เด็กกลุ่มใหญ่พากันเบิกตาใหญ่ตาเล็ก มองกันตาค้าง
รู้ว่ามันคืออักษรเหวิ่นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว ใครจะยังรู้เรื่องพวกนี้อีกเล่า
แม่นางน้อยคนหนึ่งที่แอบอยู่ในกลุ่มคนพูดขึ้นมาเสียงเบาว่า “ว่าที่อาจารย์ ข้ารู้ความหมายของมัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ได้ เจ้าเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก หากเจ้าเป็นคนอธิบายความหมายจะไม่ยุติธรรมกับคนอื่น”
กวอจู๋จิ่วอยากได้กิ่งไผ่ในมืออาจารย์ยิ่งนัก หากนางได้มันมาครอง กลับไปถึงถนนใหญ่ที่ตั้งบ้านของบ้านนาง นางจะไม่น่าเกรงขามมากเลยหรือ?
แม่นางน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “หากรู้แต่แรกก็ไม่เรียนหนังสือแล้ว”
กลุ่มคนที่พอสังเกตเห็นกวอจู๋จิ่วก็พากันขยับเท้าออกห่างนางคล้ายตั้งใจคล้าย ไม่เจตนา ไม่เพียงแต่หวาดเกรงและอิจฉา ยังรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย และยังมี ความทระนงตนซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเพื่อนบ้านกับต่ำต้อยอยู่เสมอด้วย
แม่นางน้อยที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่เดิมก็ไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย แม้ว่าแท่นฝนหมึกขนาดเล็กที่นางห้อยไว้ตรงเอวจะสัมผัสโดนดิน นางก็ไม่ถือสา
เด็กหนุ่มยากจนที่หน้าตาคมคาย แต่กลับสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนคนหนึ่งปลุกความกล้าให้ตัวเอง เขาหน้าแดงน้อยๆ ชี้ไปยังตัวอักษรที่เขียนบนพื้นด้านหน้าเฉินผิงอันแล้วพูดเบาๆ ด้วยเสียงสั่นๆ ว่า
“เหอและจี๋รวมกันคือเหวิ่น (คำว่าเหวิ่น (มั่นคง) 稳 เกิดจากการผสมกันของ สองตัวอักษรอย่างเหอ 禾 ที่แปลว่าต้นข้าว และจี๋ 急 ที่แปลว่ารีบร้อน/เร่งด่วน) อันที่จริงต้นข้าวนั้นสูงไวมาก แต่กลับเติบโตช้า ในตรอกหลิงซีบ้านข้ามีป้ายศิลาเล็กอยู่ก้อนหนึ่ง ด้านบนสลักคำว่า ‘เต้า (稻ต้นข้าว/ข้าว ) ปี่ (秕 เมล็ดข้าวที่ลีบ) ฟู (稃 เปลือกนอกแข็งที่หุ้มรวงของพืชประเภทข้าวสาลี) รวมตัว ร่ำรวยดุจอ๋องโหว’ ข้าเคยถามพี่หญิงเตี๋ยจ้าง นางรู้ความหมาย เพียงแต่พี่หญิงเตี๋ยจ้างก็บอกว่าอันที่จริงนางก็ไม่เคยเห็นเต้าปี่ฟูอะไรนี่มาก่อนเหมือนกัน ข้ารู้สึกว่าอักษรเหวิ่นนี้ มีอักษรเหอเป็นรากฐาน มีอักษรจี๋เป็นความหมาย ก็เหมือนร้านเหล้าที่เจ้ากับพี่หญิงเตี๋ยจ้าง เพิ่งเปิดใหม่ หาเงินได้เร็ว แต่ใช้จ่ายเงินช้า ก็จะทำให้มีกำลังทรัพย์ พี่หญิงเตี๋ยจ้าง ก็จะสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่กว่าเดิมได้”
เฉินผิงอันสังเกตเด็กหนุ่มคนนี้มานานแล้วว่าเขาคือคนที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าและ การอธิบายตัวอักษรอย่างจริงจังมากที่สุด
และเด็กหนุ่มก็คือหนึ่งในลูกศิษย์ของพวกช่างที่มาซ่อมผิวถนนก่อนหน้านี้
แต่เฉินผิงอันกลับค้นพบว่าร่างกายของเด็กหนุ่มอ่อนแอ ไม่เพียงแต่สูญเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกหมัดไปแล้ว ร่างกายยังไม่เหมาะแก่การฝึกยุทธมา โดยกำเนิดด้วย นี่ไม่ค่อยเหมือนกับจ้าวซู่เซี่ยเท่าใดนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถเรียน วิชาหมัดได้ เรียนได้ก็จริง แต่กลับยากที่จะประสบความสำเร็จ อย่างน้อยที่สุด ความยากลำบากของขอบเขตสามก็คงจะผ่านพ้นไปไม่ได้
เฉินผิงอันยังไม่ถอดใจ หลังจากสอบถามหนิงเหยาแล้ว หนิงเหยามองเด็กหนุ่มอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่งก็ส่ายหน้า บอกว่าเด็กหนุ่มไม่มีคุณสมบัติของการฝึกกระบี่ ก้าวแรกข้ามผ่านไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่สำเร็จ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องหวัง เรียกร้องอย่างไรก็ไม่ได้ มาครอง เฉินผิงอันถึงได้ยอมตัดใจ
บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะเด็กหนุ่มรักการเรียนรู้ตัวอักษรสักเท่าไร เพียงแต่นับตั้งแต่เด็กก็ต้องมีชีวิตโดดเดี่ยวยากลำบาก ที่บ้านไร้คนให้พึ่งพา ไม่มีเรื่องอะไร ให้ไขว่คว้า จึงคิดว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง หากไม่ต้องจ่ายเงินแล้วสามารถทำให้ตัวเองแตกต่างไปจากคนวัยเดียวกันได้สักเล็กน้อย เด็กหนุ่มผู้ยากจนก็จะตั้งใจ มากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จางเจียเจิน การอธิบายตัวอักษรเหวิ่นของเจ้า ถูกไปเกินครึ่ง ดังนั้นข้าจึงมอบกิ่งไผ่นี้ให้เจ้า”
เฉินผิงอันยื่นกิ่งไผ่ส่งไปให้ เด็กหนุ่มที่คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะรู้ชื่อแซ่ของตนพลันหน้าแดงซ่าน ตื่นตระหนกทำตัวไม่ถูก เขาส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ต้องการสิ่งนี้”
เฉินผิงอันจึงเก็บกิ่งไผ่ไป ยิ้มถามว่า “ทำไม อยากเรียนวิชาหมัดหรือ?”
จางเจียเจินยังคงส่ายหน้า “มันจะถ่วงการทำงานในระยะยาว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีทักษะที่ตัวเองถนัดอย่างแท้จริง จึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนที่สำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะมีชีวิตที่ดีได้ ถึงเวลานั้นคิดจะโทษฟ้าโทษคนอื่นก็มีเหตุผลให้ตัวเองได้ทุกเรื่อง รู้สึกว่าคนดีก็ยังผิด แบบนี้จะทำให้จิตใจย่ำแย่แล้ว”
เด็กหนุ่มคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต่อให้ในบรรดาคนวัยเดียวกันที่อยู่ในตรอกใกล้เคียง เขาจะเป็นคนที่รู้ตัวอักษรมากที่สุด แต่ความรู้ที่แท้จริง เขาจะรู้ได้อย่างไร?
ทว่าถึงอย่างไรถ้อยคำเหล่านี้ของเฉินผิงอันก็ไม่ใช่หลักการของอริยะปราชญ์ คือเรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปที่ตื้นเขิน จางเจียเจินจึงพอจะฟังเข้าใจบางส่วน ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันยอมรับเรื่องที่เขาทำงานใช้แรงงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง นี่จึงทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบสุขขึ้นมาเยอะมาก
การที่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ต่อให้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่สำหรับเด็กหนุ่มอย่างจางเจียเจินแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
เด็กที่กอดไหไว้ในอ้อมอกคนนั้นโหวกเหวกขึ้นมาว่า “ข้าไม่เป็นช่างก่ออิฐ ปูกระเบื้องหรอกนะ! ไม่มีทางได้ดิบได้ดี เมียที่แต่งมาได้ก็มีทางสวย!”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กข้างกายแล้วโยกเบาๆ “เจ้ามันมีปณิธานสูงส่งยาวไกล พอใจแล้วหรือยัง? ตอนเจ้ากลับไปถึงบ้านก็ลองถามท่านพ่อเจ้าดูนะว่า ท่านแม่ของเจ้าสวยหรือไม่? หากเจ้ากล้าถาม ด้วยความกล้าหาญนี้ ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดพิสดารให้เจ้าฟังคนเดียวเลย การค้าครั้งนี้ จะทำหรือไม่?”
“ข้าคันหนังหรือไงล่ะ? เรื่องเล่าเจ้าต้องเล่าให้ฟังบ่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย แต่หากท่านแม่ข้าโมโหขึ้นมา ท่านพ่อก็มีแต่จะผลักให้ข้าไปโดนซ้อม แทนเขา”
เด็กคนนั้นชูไหขึ้น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เฉินผิงอัน สรุปว่าเจ้าจะสอนวิชาหมัด ให้ข้าหรือไม่?! มีเงินมายื่นให้ถึงมือแต่ไม่ยอมรับไว้ เจ้าเป็นคนโง่หรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้เล่าเรื่องช่วงหลังเสร็จ ข้าจะสอนวิชาหมัดหยาบๆ ชุดหนึ่งให้พวกเจ้า ทุกคนล้วนสามารถเรียนได้ แต่บอกไว้ก่อนว่า วิชาหมัดนี้ น่าเบื่ออย่างมาก เรียนไปแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้ดิบได้ดี อย่างมากสุด ยามหน้าหนาวที่หิมะตกลงมาก็จะไม่หนาวมากเหมือนเดิมอีก”
เด็กชายร้องอ้อหนึ่งที รู้สึกว่าแบบนี้ก็ได้ ไม่เรียนก็เสียเปล่า ดังนั้นจึงรีบกอดไหไว้แน่น
เฉินผิงอันหัวเราะพูดกับเด็กคนนั้น “ยังไม่ส่งไหเงินมาให้ข้าอีก?”
เด็กชายถาม “เจ้าเฉินผิงอันก็หลอกเอาเงินจากเด็กได้ลงคอหรือ? ยอดฝีมืออย่างเจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือไร ดีนะที่ข้าไม่เรียนวิชาหมัดจากเจ้า ไม่อย่างนั้นหากวันหน้าได้เป็นยอดฝีมือแล้วจะไม่ยอมเป็นเหมือนเจ้าเด็ดขาดเลย”
เสียงหัวเราะดังครืนรอบม้านั่งตัวเล็ก
ต่อให้จะเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างจะอายุมากอย่างจางเจียเจินก็ยังรู้สึกอิจฉา ความใจกล้าของเด็กคนนั้นที่กล้าพูดกับเฉินผิงอันแบบนี้
เฉินผิงอันเล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่มีทั้งภูตผีก่อกวน แล้วก็มีผู้ฝึกตนมากำจัดปีศาจปราบมารเรื่องนั้นต่อไป จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน วางกิ่งไผ่ไว้บนม้านั่งตัวเล็ก พวกเด็กๆ พากันแหวกพื้นที่ว่างให้กับเขา แล้วก็มองดูบุรุษชุดเขียวคนนั้นค่อยๆ เดินนิ่งหกก้าว ไปช้าๆ
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ยิ้มกล่าว “ทำเป็นแล้วหรือยัง?”
กวอจู๋จิ่วมองตาไม่กะพริบ วิชาหมัดเลิศล้ำ มีมาดของปรมาจารย์อย่างเต็มเปี่ยม!
เด็กที่กอดไหเงินพูดอย่างอึ้งตะลึง “จบแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นจะให้เป็นยังไงอีกล่ะ?”
เด็กชายวางไหลงเบาๆ ลุกขึ้นแล้วออกกระบวนท่ากางเล็บแยกเขี้ยว หลังจากเก็บหมัดพร้อมกับเสียงหอบหายใจดังฮักๆ แล้ว เด็กชายก็เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “นี่ต่างหาก ถึงจะเป็นวิชาหมัดที่ก่อนหน้านี้เจ้าเอาชนะเซียนกระบี่น้อยมากมายขนาดนั้นมาได้ เฉินผิงอัน! เจ้าคิดจะหลอกใครกัน? เดินธรรมดาทีละก้าว แถมยังช้าแทบตายแบบนี้ ข้ายังร้อนใจแทนเจ้าแล้วด้วยซ้ำ!”
เฉินผิงอันชี้ไปยังตัวอักษรบนพื้น ยิ้มกล่าว “ลืมไปแล้วรึ?”
เฉินผิงอันเดินนิ่งหกก้าวอีกรอบ เขายังคงเดินเนิบช้าพลางค่อยๆ ปล่อยหมัด เดินไปพร้อมพูดไปด้วยว่า “การฝึกวิชาหมัดทุกชนิดล้วนแสวงหาคำว่ามั่นคง สักวันหนึ่งเมื่อฝึกวิชาหมัดได้สำเร็จ พอปล่อยหมัดนี้ออกไป…”
หมัดสุดท้ายของท่าเดินนิ่ง เฉินผิงอันหยุดฝีเท้า แล้วปล่อยหมัดขึ้นสู่ม่านฟ้า ในแนวเฉียง
พวกเด็กๆ พากันเบิกตากว้างมองท้องฟ้า
เฉินผิงอันเก็บหมัดมาเงียบๆ แล้ว เขาหยิบกิ่งไผ่และหิ้วม้านั่งขึ้นมา เตรียมจะกลับร้านแล้ว
เด็กคนนั้นถามอย่างเหม่อลอยว่า “หมัดนี้ปล่อยออกไป ไม่มีเสียงฟ้าร้องสักหน่อยหรือ?”
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้ารับ รู้สึกไม่สาแก่ใจเลยสักนิด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ปล่อยหมัดจริงๆ สักหน่อย”
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
กวอจู๋จิ่วกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน แล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ครืนๆๆ !”
เฉินผิงอันยกมือกุมขมับด้วยรู้สึกอับอายไม่น้อย แต่จะทำร้ายจิตใจแม่นางน้อย ก็ไม่ได้ เลยยอมผิดต่อมโนธรรมในใจเค้นรอยยิ้มส่งไปให้พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้นาง
เด็กคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเด็กเล็กเด็กโตต่างก็หันมามองหน้ากันเอง
แยกย้ายๆ น่าเบื่อจริงๆ ไว้รอฟังเรื่องเล่าครั้งต่อไปดีกว่า
เฉินผิงอันเรียกจางเจียเจินเอาไว้ เด็กหนุ่มมึนงง แต่ก็ยังเดินมาหยุดข้างกาย เฉินผิงอันด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย
สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว บุรุษที่ชื่อว่าเฉินผิงอันคนนี้ก็คือ…คนบนฟ้า
เฉินผิงอันออกเดินช้าๆ บิดหมุนข้อมือ แอบหยิบใบไผ่ใบหนึ่งออกมายัดใส่มือ จางเจียเจิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ให้เจ้า เวลาปกติสามารถพกติดตัวได้ ต่างก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกับวิชาหมัดนั้น ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะทดสอบอะไรเจ้า แต่ความจริง ก็เป็นเช่นนี้ ทว่าขอแค่เจ้ายินดีจะเรียนวิชาหมัด ทุกวันฝึกเดินท่านี้หลายๆ รอบ บวกกับใบไผ่เล็กๆ ใบนี้ มันจะช่วยให้เจ้าต้านทานลมหนาวได้อีกนิด อีกไม่นานหิมะ ก็จะตกแล้ว ช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ คิดจะทำงานใช้แรงงานให้สบายขึ้นมาหน่อยก็ยังพอจะช่วยได้”
จางเจียเจินกำใบไผ่แน่น เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าไม่เหมาะจะฝึกวรยุทธและฝึกกระบี่จริงๆ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
เด็กหนุ่มดวงตาแดงก่ำ ก้มหน้าไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า “อายุน้อยๆ ก็สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ นี่เป็นเรื่องที่ร้ายกาจมาก จางเจียเจิน เจ้าอย่าได้ดูแคลนตัวเอง”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชื่อเจียเจินนี้ เป็นเพราะเจ้าเห็นตัวอักษรมากมายบน ป้ายศิลาก็เลยเลือกมาให้ตัวเองสองตัว เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเองใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “พ่อแม่จากไปเร็ว ท่านปู่ไม่รู้หนังสือ เมื่อหลายปีก่อนมีแค่ ชื่อเล่นมาโดยตลอด”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเขา “เจียคือดีงาม เจินคือยืนหยัดหนักแน่น เป็นชื่อที่ดีมาก อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีชีวิตที่ไม่ค่อยดีนัก นี่เป็นเรื่องที่เจ้าไม่อาจควบคุมได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม แต่จะมีชีวิตอย่างไร เป็นเรื่องที่เจ้าตัดสินใจ ได้เอง
วันหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ บอกได้ยาก อาจจะมีชีวิตยากลำบากยิ่งกว่าเดิม หรือไม่วันหน้าเจ้าก็ฝึกปรือฝีมือได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญแล้ว ได้เงินมาเพิ่มมากขึ้น ก็จะกลายเป็นช่างที่ได้รับความเคารพจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หันหน้ากลับไป ยิ้มเอ่ยว่า “แต่อย่างน้อยที่สุด วันหน้าเมื่อข้าเล่าเรื่องราวภูเขาสายน้ำให้คนอื่นฟัง ก็อาจจะเล่าให้พวกเขาฟังว่า ที่ตรอกหลิงซีของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีช่างคนหนึ่งที่ชื่อว่าจางเจียเจิน นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว บางทีอาจไม่มีข้อดีอย่างอื่นอีก แต่เขากลับชอบอ่านตัวอักษรจาก บนป้ายศิลามาตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักตัวอักษรและอ่านออกได้ไม่แพ้บัณฑิตคนใด”
หลังจากที่จางเจียเจินจากไป
กวอจู๋จิ่วไม่ได้พูดอะไรมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางเอาแต่เงยหน้ามองบุรุษที่ อีกหนึ่งปีครึ่งก็จะกลายมาเป็นอาจารย์ของตัวเอง
ทันใดนั้นกวอจู๋จิ่วพลันเบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววคาดหวัง
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันนับนิ้วคำนวณ จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรื่องของการรับศิษย์ ต้องรออีกหนึ่งปีครึ่ง”
กวอจู๋จิ่วถอนหายใจหนักๆ
เฉินผิงอันเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง ในร้านเหล้าที่ผู้คนเบียดเสียด เงินทองไหลมาเทมาราวกับสายน้ำ เงินทุกเหรียญล้วนเข้ามาอยู่ในกระเป๋าทั้งหมด แค่มองไกลๆ ก็ปิติยินดี เฉินผิงอันที่อารมณ์ไม่เลวจึงถามชวนคุยว่า “เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวที่บอกว่าเพราะ ใต้หล้าเต็มไปด้วยเภทภัย ถึงฟูมฟักนักกวีที่บทประพันธ์สืบทอดยาวนานเป็นพันปีออกมาได้ หรือไม่?”
กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า “ว่าที่อาจารย์มีความรู้ยิ่งใหญ่ ว่าที่ลูกศิษย์มีความรู้น้อยนิด ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วบ้านตนลามมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วหรือ? ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา ตัวการใหญ่อย่างพวก ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา จูเหลี่ยน ฯลฯ ต่างก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปไกลมากเลยนะ
กวอจู๋จิ่วถามอย่างใคร่รู้ “หลังจากนั้นยังมีประโยคต่ออีกกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บทกวีพันปีที่ติดปากผู้คนไม่นับเป็นอะไรได้ พวกเจ้าทุกคน แต่ละยุคแต่ละรุ่น อยู่ที่นี่มานานนับหมื่นปี ก็มากพอจะทำให้บทกวีทุกบท อับอายแล้ว”
กวอจู๋จิ่วถาม “อาจารย์ ต้องการให้ข้าช่วยเอาประโยคนี้ของท่านไปตะโกนให้ทั่วถนนน้อยใหญ่หรือไม่? ศิษย์ฝึกท่าหมัดไปด้วยตะโกนไปด้วย ไม่เหนื่อยหรอก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ต้อง”
กวอจู๋จิ่วแอบชอบใจ ประโยคเมื่อครู่นี้แฝงความนัยเอาไว้ เรียกตัวเองว่าศิษย์ เรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ วันนี้ได้กำไรก้อนใหญ่แล้ว
พอมาถึงที่ร้านเหล้า
หนิงเหยามองกวอจู๋จิ่วที่เตรียมจะเผ่นหนี แม่นางน้อยวิ่งตุปัดตุเป๋มาตรงหน้า หนิงเหยา ยิ้มกล่าวว่า “พี่หญิงหนิง ทำไมวันนี้ถึงงามมากเป็นพิเศษเลยล่ะ”
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มเฝื่อน “ข้าไม่ได้สอนนางเรื่องพวกนี้นะ”
กวอจู๋จิ่วเห็นว่าพี่หญิงหนิงไม่ซ้อมตนอย่างที่หาได้ยาก จึงหยุดเมื่อพอสมควร กลับบ้านของตัวเองดีกว่า
ตอนยังเป็นเด็ก มักจะรู้สึกว่ามีเรื่องใหญ่มากมายให้ต้องกลัดกลุ้ม
แต่พอเติบใหญ่กลับลืมไปแล้วว่าความกลัดกลุ้มพวกนั้นคืออะไร
หนิงเหยากลับไปที่จวนหนิงพร้อมเฉินผิงอัน
หนิงเหยาถาม “คิดจะรับลูกศิษย์จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ให้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวไปก่อน ตระกูลกวอปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีคุณธรรม ยากนักกว่าที่ข้าจะทำอะไรเพื่อจวนหนิง ได้บ้าง”
เว่ยจิ้นที่ไม่รู้ว่ามาดื่มเหล้าที่ร้านตั้งแต่เมื่อไหร่คล้ายจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันหน้าไปมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เอาแต่มาดื่มเหล้าอย่างเดียว ลืมบอกเจ้าไปว่า ผู้อาวุโสจั่วฝากให้ข้ามาถามเจ้าตั้งนานแล้วว่า เมื่อไหร่จะไปฝึกกระบี่”
เฉินผิงอันหันหน้าไปตะโกนบอกเตี๋ยจ้าง “เถ้าแก่ใหญ่ วันหน้าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ย มาดื่มเหล้าที่นี่ก็ลดให้เขาสิบเอ็ดส่วนทุกครั้งเลยนะ!”
เว่ยจิ้นหยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ “ตกลง”
หนิงเหยาถาม “มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “ข้าต้องไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เดี๋ยวนี้เลย บอกให้ป๋ายหมัวมัวเตรียมถังยาให้ด้วย หากดึกแล้วยังไม่เห็นหน้าข้า เจ้าก็ไปแบกข้ากลับมาด้วยนะ”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่
จั่วโย่วหันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ นั่งขัดสมาธิ หลับตาพักผ่อน
มีหลายเรื่องราวที่จั่วโย่วไม่เข้าใจ บางเรื่องต่อให้จะเข้าใจก็ไม่ยินดียอมรับ
ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงอยู่ตัวคนเดียว เลือกจะออกไปให้ไกลจากความผิดความถูกในโลกมนุษย์ ขี่กระบี่มุ่งไปยังมหาสมุทรใหญ่
นี่ไม่ใช่เรื่องของเซียนกระบี่ผู้สง่างามอะไรเลย ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้ ผ่อนคลายแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้ เรื่องที่จั่วโย่วไม่เข้าใจมีเพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่องแล้ว
อาจารย์ไม่อยู่ข้างกาย ศิษย์น้องเล็กผู้นั้นก็ใจกล้าขนาดนี้แล้วหรือ