Skip to content

Sword of Coming 595

บทที่ 595 คนแก่และเด็กบนภูเขาลั่วพั่ว

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงร้อนจัด เฉินผิงอันแทบไม่เคยย่างเท้าออกจากบ้าน วันหนึ่ง ใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมงหมดไปกับการหลอมลมปราณ

หนิงเหยายิ่งหนักกว่า แทบจะเรียกว่าปิดด่านไปแล้ว

พอมีกระบี่บินส่งข่าวมาถึงจวนหนิง ฟ่านต้าเช่อก็จะไปฝึกปรือฝีมือที่จวนหนิง หากไม่ต้องกินหมัดของเฉินผิงอันก็ต้องโดนกระบี่บินของเยี่ยนจั๋วหรือไม่ก็ของ ต่งถ่านดำ เฉินซานชิวจะไม่ลงมือ เพราะต้องแบกฟ่านต้าเช่อกลับบ้าน จื่อเตี้ยนกระบี่ประจำตัวเยี่ยนจั๋วและหงจวงกระบี่ประจำตัวต่งฮว่าฝู หากถูกชักออกจากฝักเมื่อไหร่ ฟ่านต้าเช่อก็ยิ่งมีสภาพอเนจอนาถ ตอนนี้ฟ่านต้าเช่อได้แต่เจ็บใจที่คุณสมบัติของตัวเองแย่เกินไป ลำพังมีแค่ ‘ต้าเช่อ’ (ใส/ชัดเจน) ไม่มี ‘ต้าอู้’ (บรรลุอย่างปรุโปร่ง) ก็ไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้ เฉินผิงอันบอกว่าขอแค่เขาฟ่านต้าเช่อเลื่อนขั้นเป็น โอสถทอง การฝึกกระบี่ก็จะยุติลงช่วงหนึ่ง จากนั้นหากไปโพนทะนาที่ร้านเหล้าดังๆ ก็จะถือว่างานใหญ่ประสบผลสำเร็จแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไหนเลยจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นโอสถทองได้ง่ายดายเพียงนั้น สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว นี่ก็เหมือนพิธีสวมกวานที่แท้จริงครั้งหนึ่ง

การที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สามารถกลายเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่แข็งแกร่งที่สุด ในหลายใต้หล้า อีกทั้งยังสามารถชักนำให้ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าของ ใต้หล้าไพศาลมาขัดเกลาวิถีกระบี่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีความลี้ลับมหัศจรรย์อยู่ และความมหัศจรรย์ที่ว่านั้นก็อยู่ที่เมื่อฝึกกระบี่ที่นี่ ก็จะเหมือนผู้ฝึกยุทธที่ถูก ป้อนหมัดไม่หยุดแม้แต่เค่อเดียว รากฐานขอบเขตถูกปูมาแน่นหนาดีเยี่ยม เมื่อรากฐานแน่นหนาก็หมายความว่าคอขวดของการฝ่าทะลุขอบเขตจะใหญ่ยิ่งขึ้น เหมือนถูกมหามรรคากดทับลงมาบนบ่า ไม่อาจยืดเอวตั้งตรงได้

เป็นฟ่านต้าเช่อเหมือนกัน เป็นขอบเขตประตูมังกรเหมือนกัน หากไปอยู่ ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาล การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะง่ายกว่ามาก เพียงแต่ว่า การฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้ ระดับขั้นของโอสถทองจะด้อยกว่ากันเยอะ มองใน ระยะยาวก็จะได้ไม่คุ้มเสีย เว้นเสียจากผู้ฝึกตนเซียนดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่ไร้ความหวังจะฝ่าทะลุขอบเขตจริงๆ ที่จะไปฝึกตนยังภูเขาห้อยหัวช่วงระยะ เวลาหนึ่งเพราะหวังว่าจะลองเสี่ยงดวงดู เพราะถึงอย่างไรหลังจากเป็นโอสถทองแล้ว ทุกๆ ครั้งที่ระดับเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นก็เท่ากับว่าอายุยืนยาวร้อยปีถึงพันปีอย่างจริงแท้แน่นอน

แต่หากเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป จะไม่ไปฝึกตนที่ภูเขาห้อยหัวเด็ดขาด นี่คือกฎเหล็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็เพื่อตัดขาดความคิดที่หวังว่าจะโชคดีของพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นตอนนั้นที่หนิงเหยาแอบออกจากบ้านไปเยือนภูเขาห้อยหัว ต่อให้มีคุณสมบัติอย่างหนิงเหยาก็ยังไม่มีทางลัดอะไรให้เดิน แล้วก็ยังถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้ บวกกับที่มีอาเหลียงคอยช่วยคุ้มกันให้นางอย่างลับๆ ติดตามหนิงเหยาจนนางไปถึงศาลาจัวฟ่างของภูเขาห้อยหัวด้วยตัวเอง คนนอกก็ได้แต่บ่นไม่กี่คำ ไม่มีทางมีเซียนกระบี่คนใดจะห้ามปรามหนิงเหยาจริงๆ

ช่วงนี้การฝึกฝนบนลานประลองยุทธหลายๆ ครั้ง เฉินผิงอันจะจับคู่กับฟ่านต้าเช่อ เยี่ยนจั๋วกับต่งฮว่าฝูร่วมมือกัน ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ตามสบาย แต่จะไม่ใช้กระบี่ที่พกติดตัว คนทั้งสี่แค่ถือท่อนไม้ต่างกระบี่ วิธีในการแบ่งแพ้ชนะก็ ประหลาดมากเหมือนกัน หากกระบี่ไม้ของใครหักก่อน ฝั่งนั้นก็จะถือว่าแพ้ ผลคือท่อนไม้กองใหญ่ที่วางไว้บนลานประลองยุทธถูกฟ่านต้าเช่อใช้ไปเกือบหมด นี่ยังเป็นผลลัพธ์จากการที่เฉินผิงอันคอยช่วยเหลือฟ่านต้าเช่อครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย

ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็สามารถเดินออกไปจากจวนหนิงได้เสียที ทุกครั้งก่อนจะกลับไปถึงบ้านก็จะต้องแวะไปดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ถูกที่สุดกาหนึ่ง

เฉินซานชิวเองก็จะพูดคุยเรื่องผลได้ผลเสียยามฝึกกระบี่ ข้อด้อยยามออกกระบี่กับฟ่านต้าเช่อเช่นกัน ฟ่านต้าเช่อที่ดื่มเหล้าพลางรับฟังคำชี้แนะอย่างตั้งใจจากสหาย ดวงตาก็จะเป็นประกายสดใส

โดยเฉพาะเมื่อเฉินผิงอันเสนอความเห็นว่า วันหน้าพวกเขาสี่คนจะช่วยกันคุมเชิงต่อสู้กับน่าหลันเย่สิงผู้อาวุโสเซียนกระบี่ นี่ก็ยิ่งทำให้ฟ่านต้าเช่อกระเหี้ยนกระหือรืออยากลองเต็มที่

ร้านผ้าแพรต่วนของเยี่ยนจั๋ว นอกจากมีตราประทับเซียนกระบี่ร้อยกว่าอัน ที่ทยอยส่งมอบออกไปแล้ว ที่ร้านยังมีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่รวม เล่มใหม่เอี่ยมเพิ่มมาอีกกองหนึ่ง อีกทั้งยังมอบพัดไม้ไผ่เพิ่มให้ด้วย บนหน้าพัดประทับตราเฉพาะที่อยู่นอกเหนือจากในตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ ตัวซี่ไม้ไผ่และหน้าพัดล้วนทำมาจากวัสดุธรรมดา แต่เน้นลงฝีมือที่บทกวีที่เขียนและตราประทับที่ประทับลงไป

ก็ไม่ต่างจากคำโคลงคู่ที่ร้านเหล้าน้อยใหญ่ถูกร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างบีบให้แขวนตาม ตอนนี้ร้านผ้าแพรต่วนน้อยใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกร้านของเยี่ยนจั๋วบีบให้มอบของกระจุกกระจิกอย่างพวกพัดพับ ผงแป้งประทินโฉม ถุงเครื่องหอม ฯลฯ ตามไปด้วย เพียงแต่ว่าลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีสูงศักดิ์ที่ฐานะทางบ้านมั่นคง ไม่ขาดแคลนเงินทองกลับคล้ายว่าจะไม่ค่อยอยากจ่ายเงินซื้อของของร้านอื่นเท่าไร อันที่จริงเด็กสาวจำนวนไม่น้อยก็ใช่ว่าจะชื่นชอบตราประทับหรือพัดพับของ ร้านตระกูลเยี่ยนจริงๆ เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่หญิงหลายคนซึ่งรวมถึงลี่ไฉ่เป็นหนึ่ง ในนั้น และยังมีสตรีโตเต็มวัยที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงล้วนพากันมา แวะเวียนร้านของตระกูลเยี่ยน ราวกับว่าหากสตรีเหล่านี้ไม่ไปซื้ออะไรสักอย่างที่นั่น ก็คล้ายว่าสายตาของพวกนางจะแย่กว่าคนอื่น จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พวกนายท่านใหญ่ทั้งหลายที่เวลาปกติโง่เขลายิ่งกว่าอะไร ก็ไม่รู้ว่าไปได้ยินอะไรมาตอนดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง ถึงได้เป็นฝ่ายไปเยือนร้านของเยี่ยนจั๋วด้วยตัวเองหรือไม่ก็สั่งให้ข้ารับใช้ในจวนแวะไปซื้อผ้าแพรงามประณีติที่มีดีแค่ความงาม แล้วนำมามอบให้สตรีของตนพร้อมกับพัดพับที่ทางร้านมอบให้ อันที่จริงเด็กสาวหลายคนรู้สึกว่าซื้อแพงไปด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเมื่อพวกนางเห็นแววตาคาดหวังจากบุรุษที่ทึ่มทื่อของตนก็ได้แต่บอกเขาไปว่านางชอบ ภายหลังเวลาอยู่ว่างๆ ช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดไปหลบร้อนอยู่ในศาลา โบกพัดพับเบาๆ พัดเอาลมเย็นๆ เข้าใส่ตัว มองตัวอักษรงดงามบนหน้าพัด หากไม่เข้าใจก็จะถามคนข้างๆ เสียงเบา พอรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำนั้นแล้วก็จะรู้สึกว่ามันดีมากจริงๆ

วันนี้เฉินผิงอันหลอมลมปราณเสร็จก็มาเดินเล่นท่ามกลางม่านราตรี เขาเดินมาที่ศาลาของหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง

ตอนนี้หนิงเหยาปิดด่านอยู่ในห้องลับ ก่อนจะปิดด่าน หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไรมาก พูดแค่ว่าไม่ได้ปิดด่านเพื่อฝ่าทะลุขอบเขตสู่ก่อกำเนิด แต่เอาเป็นว่าไม่มีความเสี่ยงอะไรอยู่แล้ว

เฉินผิงอันจะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้อย่างน้อยที่สุดก็ห้าปี หากถึงเวลานั้นศึกใหญ่ยังคงไม่เปิดฉาก เขาก็คงต้องรีบกลับแจกันสมบัติทวีปไปก่อน เพราะถึงอย่างไรธุระที่ภูเขาลั่วพั่วอันเป็นบ้านเกิดก็มีไม่น้อยเหมือนกัน จากนั้น ก็จะต้องเดินทางกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวทันที ตอนนี้การส่งกระบี่บินข้ามทวีป ทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวต่างก็มีการควบคุมอย่างเข้มงวด จำเป็นต้องผ่านสองด่าน หากตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดพลาดถึงจะมีโอกาสส่ง ออกมาหรือถูกรับมาไว้ในมือ สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่เป็นปัญหายุ่งยากอย่างมาก

ไม่ใช่ไม่สามารถคำนวณเวลาอย่างแม่นยำแล้วไปที่ภูเขาห้อยหัวรอบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งมอบจดหมายลับหรือจดหมายจากทางบ้านให้แก่เกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน นครมังกรเฒ่า หรือไม่ก็เต่าทะเลภูเขาของซุนเจียซู่ เพราะโดยภาพรวมแล้ว ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ถือว่าทำลายกฎเกณฑ์

พยายามให้จดหมายส่งไปถึงแจกันสมบัติทวีปก่อนแล้วค่อยส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว อีกที เฉินผิงอันในเวลานี้หากคิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็ไม่ถือว่ายาก แต่ก็แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทน ไม่อย่างนั้นการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวตรวจสอบกระบี่บินจะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า เห็นเซียนกระบี่กับเต้าจวินเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ หรือไร แต่เฉินผิงอันไม่ได้กลัวว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอนนั้น อีกทั้งยังไม่คาดหวังให้ตระกูลฟ่านและตระกูลซุนมีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วมากเกินกว่าการทำการค้าร่วมกันอย่างเปิดเผย คนเขาอุตส่าห์หวังดี ทำการค้าร่วมกับภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้กลายเป็นว่ายังไม่ทันได้แบ่งผลประโยชน์กันก็ถูกเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ถูกชักดึงเข้ามาในวังน้ำวนแล้ว

เฉินผิงอันเดินลงจากหน้าผาสังหารมังกร กลับไปที่เรือนหลังเล็ก ห้องที่เดิมทีมีแค่โต๊ะตัวเดียวเอาไว้วางตราประทับ ตอนนี้กลับมีโต๊ะเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ด้านบนวางแผนที่ของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เฉินผิงอันวาดขึ้นด้วยมือตัวเอง หากขุนนางผู้ตรวจการงานเครื่องปั้นมาเจอเข้าคงไม่ค่อยยินดีนัก เพราะบนแผนที่ฉบับนี้ วาดเตาเผามังกรหลงเฉวียนน้อยใหญ่ทั้งหมดไว้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเตาเทียนขุย เตาซิงโต่ว เตาเหวินชาง เตาอู่หลง เตาชงเซียว เตาฮวาฮุ่ย เตาถงอิน เตาจื่อเจิ้น เตาหลิงจือ เตาอวี้ชิ่น เตาเฮอฮวา…

บนโต๊ะยังวางสมุดไว้สองเล่ม ล้วนเป็นสมุดที่เฉินผิงอันเขียนขึ้นมาเอง เล่มหนึ่งบันทึกประวัติศาสตร์การสืบทอดเตาเผาทั้งหมดเอาไว้ อีกเล่มหนึ่งเขียนถึง การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันของสิบสี่แซ่ตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก ล้วนเขียนเป็นตัวอักษรบรรจงแบบเล็กทั้งหมด ตัวอักษรที่เขียนไว้ถี่ยิบแน่นขนัด คาดว่าที่ว่าการอำเภอไหวหวงและที่ว่าการฝ่ายกรมอาญาของต้าหลีเห็นเข้าก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไร

บันทึกมากมาย เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำจดเอาไว้ และยังมีเอกสารลับอีก เกินครึ่งที่ก่อนหน้านี้อาศัยการแอบทยอยสะสมทีละเล็กละน้อยตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โยกเรือนกายไปหน้าทีหลังทีเบาๆ จ้องนิ่งไปยังภาพแผนที่ตรงหน้า

เขายื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ สองนิ้วคีบเปิดหนังสือหน้าหนึ่งในนั้นโดย ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง บนหน้าหนังสือนั้นคือภาพของภูเขาตะวันเที่ยง ชำเลืองตามองแวบหนึ่งก็เปิดไปอีกหน้า คือสกุลสวี่ของนครลมเย็น ล้วนเป็นคนคุ้นเคยทั้งสิ้น

บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของพวกเขาล้วนถูกบันทึกไว้ในสมุดอย่างชัดเจน คาดว่าเฉินผิงอันคงรู้เส้นสายอย่างละเอียดของภูเขาและตระกูลแต่ละแห่งชัดเจนยิ่งกว่า ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนสองแห่งนี้เสียอีก

นี่คือสมุดจริงสองเล่มที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้จะยังมีอีกสองเล่ม ตัวอักษรที่เป็นเนื้อหาด้านในมีมากยิ่งกว่า เล่มหนึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตจากเตาเผามังกร รวมไปถึงตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปและสำนักของทวีปอื่น ที่อาจเป็นผู้ซื้อ นอกจากตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาที่มองดูเหมือนอยู่ระดับล่างสุดในหมู่ชาวบ้านแล้ว ยังมีสำนักฉงหลินที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใด อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหาเงิน ตอนที่เขียนถึงสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีป ย่อมหนีสวีเซวี่ยนและเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงไม่พ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เกี่ยวพันไปถึงสำนักโองการเทพผู้นำตระกูลเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปด้วย อีกเล่มหนึ่งเขียนความเกี่ยวพันระหว่างตระกูลใหญ่ของเมืองเล็กกับตระกูลเซียนมากมายนอกถ้ำสวรรค์หลีจู สมุดทั้งสองเล่มต่างก็มีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน

เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง น่าหลันเย่สิงยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแฝงไว้ด้วยแววเดือดดาลอยู่หลายส่วน เพราะข้างกายผู้เฒ่ามีลูกศิษย์ ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งยืนอยู่ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่

ปราณสังหารของน่าหลันเย่สิงเข้มข้น ราวกับว่าหากยั้งตัวเองไม่อยู่ก็จะสังหาร คนผู้นี้ให้ตายคาที่ทันที

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หันไปยิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่าว่า “ท่านปู่น่าหลัน ไม่ต้องโทษตัวเองเช่นนี้ วันหน้าหากมีเวลาว่าง ข้าจะพูดถึงสถานการณ์ถามใจครั้งหนึ่งให้ท่านปู่น่าหลันฟัง”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ แล้วจึงหันหน้าไปพูดกับชุยเหวยว่า “นับแต่คืนนี้ไป เจ้าและข้าน่าหลันเย่สิงไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นอาจารย์และศิษย์กันอีก”

สีหน้าชุยเหวยหม่นหมอง กุมหมัดขออภัยเซียนกระบี่ท่านนี้

ส่วนข้อที่ว่าตอนนี้ในใจของชุยเหวยคิดอย่างไรกันแน่ คนคนหนึ่งที่สามารถอดทนมาได้ถึงตอนนี้ ย่อมไม่มีทางเปิดเผยความรู้สึกออกมาอย่างแน่นอน

ร่างของน่าหลันเย่สิงวูบหายไป

เฉินผิงอันยกเก้าอี้ออกมาสองตัว ชุยเหวยนั่งลงเบาๆ “ท่านเฉินน่าจะเดาได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนแรกยังสงสัยอยู่บ้าง เพราะแซ่สกุลสะดุดตาเกินไป ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี จะไม่ให้ข้าคิดมากก็คงไม่ได้ เพียงแต่เมื่อผ่านการสังเกตมาเป็นเวลานาน จิตใจที่กังขาเดิมทีได้ลดหายไปแล้วเกินครึ่ง เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่น่าจะเคยออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ยากที่จะเชื่อได้ว่า จะมีคนที่อดทนข่มกลั้นได้ดีถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงยินดีเสียสละเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมว่า ผู้สืบทอดมรรคาที่แท้จริงคนแรกสุดที่นำพาเจ้าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก็คือหมากตัวหนึ่งที่ชุยฉานวางไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มานานมากแล้ว?”

ชุยเหวยพยักหน้ารับ “ท่านเฉินเดาได้ถูกแล้ว ไม่เพียงแค่ข้า แต่ทุกคนที่ไม่เคยมีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นหนอนบ่อนไส้ ยกตัวอย่างเช่นหวงโจวของตรอกต้าอวี่หลิ่ง ล้วนได้มาเดินบนเส้นทางการฝึกตนก็เพราะเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่สะดุดตา ไร้ร่องรอย ให้สืบหา ถึงขั้นที่ว่าตอนแรกพวกเราเองก็ถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้น ควรจะทำอะไร ควรพูดอะไร ล้วนอยู่ในการควบคุมที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง

สุดท้ายสักวันหนึ่งก็จะเป็นเหมือนข้าชุยเหวยที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับคำสั่งลับบางอย่าง ที่เหมาะสมแก่เวลา จึงยินดีเดินเข้ามาในจวนหนิงเพื่อเปิดเผยตัวตนของตัวเองกับ ท่านเฉิน”

ชุยเหวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องต่างๆ ที่ผ่านไป ต่อให้ท่านเฉินซักถามอย่างละเอียด ข้าก็ไม่มีทางพูด พูดไปแล้วก็ยิ่งไร้ความหมาย ผู้สืบทอดมรรคาคนแรกสุดของชุยเหวยตายไปบนสนามรบทางทิศใต้นานแล้ว วันนี้ชุยเหวยมาเยือนจวนหนิง ก็เพื่อพูดเพียงเรื่องเดียว วันหน้าขอแค่ท่านเฉินต้องการส่งจดหมายลับไปยัง แจกันสมบัติทวีปก็สามารถมอบหน้าที่นี้ให้แก่ชุยเหวยได้ แน่นอนว่าท่านเฉินสามารถเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่เชื่อเจ้า แล้วก็ไม่มีทางมอบจดหมายใดๆ ให้แก่เจ้า แต่เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าชุยเหวยยังไม่เคยสร้างประโยชน์และไม่เคยสร้างหายนะใดๆ ให้แก่จวนหนิง ข้าก็จะไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็น วันหน้าชุยเหวยยังคงเป็น ชุยเหวย เพียงแต่ขาดความเชื่อมโยงในชั้นของลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงไปก็เท่านั้น”

ชุยเหวยหยิบหินไข่ห่านก้อนหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมามอบให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านนี้ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

เฉินผิงอันรับมาไว้ในมือ คือหินก้อนที่ชุยตงซานเก็บมาได้จากลำธารของ หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งสวนน้ำค้างวสันต์

เฉินผิงอันเอาก้อนหินที่รับมาเก็บใส่ชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าเจ้ากับข้าพบกัน ก็อย่าให้เป็นที่จวนหนิงอีกเลย พยายามไปที่ร้านเหล้าดีกว่า แน่นอนว่าพวกเราควรพบกันให้น้อยหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเกิดความสงสัย หากข้ามีเรื่องอยากพบเจ้าก็จะไปขยับแผ่นป้ายสงบสุขของเจ้าชุยเหวย นับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ไม่พูดถึงยามที่ข้ามีเวลาว่างไปดื่มเหล้ากับสหาย หากต้องการส่งจดหมายหรือ รับจดหมาย ก็จะไปขยับป้ายสงบสุขแผ่นนั้นไว้ก่อน

จากนั้นจะมาพบเจ้าเฉพาะวันแรกของเดือนเท่านั้น หากไม่มีข้อยกเว้น เดือนถัดถัดไปก็จะขยับไปเป็นวันที่สองของเดือน หากมีข้อยกเว้น ยามที่ข้าพบเจ้าก็จะบอกล่วงหน้าไว้ก่อน โดยทั่วไปแล้วการรับและการส่งจดหมายภายในหนึ่งปี อย่างมากสุดแค่ สองครั้งก็เพียงพอแล้ว หากมีวิธีติดต่อที่ดีกว่านั้น หรือเจ้ามีเรื่องอะไรที่ต้องกังวล ก็สามารถคิดหาวิธีมาได้ แล้ววันหน้าค่อยมาบอกข้า”

“รับทราบ”

ชุยเหวยลุกขึ้นยืนแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ได้ไปส่ง

น่าหลันเย่สิงปรากฏตัวใต้ชายคา พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ควรดีใจที่ ‘หมื่นหนึ่งที่ไม่ดี’ ข้างกายตนลดน้อยลงไปอย่างหนึ่ง”

ส่วนข้อที่ว่าให้ช่วยพูดจาดีๆ เกี่ยวกับชุยเหวย หรือช่วยน่าหลันเย่สิงด่าชุยเหวยอะไรนั่น ล้วนไม่มีความจำเป็น

น่าหลันเย่สิงยิ้มจืดเจื่อน ยิ่งสะท้อนใจหนักกว่าเก่า

เฉินผิงอันพาผู้เฒ่าไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าหยิบกาเหล้าออกมาสองกา ไม่มีกับแกล้มก็ไม่เป็นไร

จากนั้นเฉินผิงอันก็เล่าสถานการณ์ถามใจที่ทะเลสาบซูเจี่ยนให้น่าหลันเย่สิงฟัง เรื่องวงในมากมายพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังเล่าภาพรวมคร่าวๆ เพื่อให้ผู้เฒ่า สบายใจ และการแพ้ให้ชุยฉานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

น่าหลันเย่สิงฟังแล้วก็อดดื่มเหล้าเพิ่มอีกกาหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายถามว่า “เรื่องที่ชวนให้จิตใจย่ำแย่ขนาดนี้ ท่านเขยผ่านมันมาได้อย่างไร”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านปู่น่าหลันก็บอกคำตอบออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?”

น่าหลันเย่สิงอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจได้จึงหัวเราะเสียงดังกังวาน

กำแพงเมืองปราณกระบี่กำลังอยู่ในช่วงที่อากาศร้อนระอุ เขตการปกครองหลงเฉวียนของแจกันสมบัติทวีปใต้หล้าไพศาลกลับเกิดหิมะใหญ่เท่าขนห่านครั้งแรกหลังจาก เข้าสู่ช่วงหน้าหนาว

ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้อยู่บนยอดเขาหลัก แต่ห่างจากเรือนที่พักไปช่วงระยะทางหนึ่ง ทว่าทุกๆ ห้าวันเฉินหน่วนซู่จะไปเยือนศาลบรรพจารย์บน ยอดเขาจี้เซ่อ เปิดประตูใหญ่ ทำความสะอาดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

วันนี้เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ก็ตามเฉินหน่วนซู่มาด้วย บอกว่าจะมาช่วย ระหว่างที่เดินไป เผยเฉียนยื่นมือออกมา ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็ยื่นสองมือประคองส่งไม้เท้าเดินป่าให้อย่างนอบน้อม เผยเฉียนร่ายกระบวนท่าวิชากระบี่มารคลั่งไปตลอดทาง ฟาดให้เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย

พอไปถึงประตูใหญ่ด้านนอกสุดของเรือนที่ตั้งศาลบรรพจารย์ เผยเฉียนเอาสองมือ ค้ำไม้เท้ายืนอยู่บนขั้นบันได กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นเพียงหิมะขาวโพลนสุด ลูกหูลูกตา อาจารย์ไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางจึงรู้สึก เงียบเหงาดั่งใต้หล้าไร้ศัตรูที่จะทัดทานนางได้

เฉินหน่วนซู่ที่หิ้วถังน้ำใบเล็กมาด้วยหยิบเอากุญแจออกมาเปิดประตูใหญ่ หลังเปิดประตูใหญ่แล้วก็เจอกับหลังคาสี่เหลี่ยมเปิดอ้า หลังจากนั้นถึงจะเป็น ศาลบรรพจารย์ที่ไม่ได้ปิดประตู โจวหมี่ลี่รับถังน้ำมา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ร่ายใช้วิชาอภินิหารชักเท้าวิ่งตะบึงอยู่บนพื้นด้านล่างเพดานเปิดโล่งที่มีหิมะกองสะสมกันหนา มือสองข้างที่ถือถังน้ำเหวี่ยงอย่างแรง ไม่นานก็มีน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาเต็มถัง แล้วจึงชูขึ้นสูง มอบมันให้กับหน่วนซู่ที่ยืนอยู่ในจุดสูง เฉินหน่วนซู่เตรียมจะเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในศาลบรรพจารย์ที่แขวนภาพเหมือนและวางเก้าอี้เอาไว้

เผยเฉียนกลับรั้งตัวเฉินหน่วนซู่เอาไว้กะทันหัน ดึงนางมาไว้ด้านหลังตัวเอง เผยเฉียนค้อมเอวลงเล็กน้อย ในมือถือไม้เท้าเดินป่า จ้องเขม็งไปยังเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับเก้าอี้ตัวกลางซึ่งวางไว้ด้านหน้าสุดในศาลบรรพจารย์

นั่นคือเก้าอี้ของอาจารย์ตน

ริ้วคลื่นกระเพื่อมเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏเป็นร่างของอาจารย์ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เส้นผมและหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวหิมะ

เผยเฉียนมองผู้เฒ่าตัวเล็กผอมบางผู้นั้นด้วยสายตาเหม่อลอย

แสงตะเกียงนับหมื่นดวงในโลกมนุษย์ดุจดั่งทางช้างเผือก

นั่นคือคสภาพจิตใจอย่างหนึ่งที่นางไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มองไปแล้ว กว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าไม่ว่านางจะเบิกตากว้างมองไปแค่ไหน ทัศนียภาพก็ยังกว้างสุดลูกหูลูกตาไม่มีสิ้นสุด

ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่ข้างเก้าอี้ จุดสูงด้านหลังของตนก็คือภาพหมือนสามภาพ มองแม่นางน้อยนอกประตูที่ตัวสูงกว่าเดิมไม่น้อย เขาก็ให้รู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ตนย่อมเอาหน้าแก่ๆ ไปเดิมพัน ทั้งยืมของจากคนอื่น แล้วก็ทั้งเดิมพัน กับคนอื่น

จะว่าไปแล้วยังคงเป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนไม่เคยทำให้อาจารย์กับศิษย์พี่ผิดหวังนั่นเอง

เผยเฉียนถาม “ท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง?”

ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ยังไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มาก่อนจริงๆ จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดถึงเป็นท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง?”

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จะได้ดูว่ามีวัยวุฒิสูงมากเป็นพิเศษอย่างไรเล่า”

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ “แบบนี้ประเสริฐยิ่งแล้ว”

ความรู้บางอย่าง วิชาลับไม่แพร่งพรายที่รู้กันโดยนัยของสายเขา สืบทอดได้เจริญรุ่งเรืองเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เผยเฉียนมองภาพเหมือนที่แขวนไว้สูงที่สุด ก่อนดึงสายตากลับมา พูดด้วยเสียงก้องกังวานว่า “ท่านผู้เฒ่าผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านตัวเป็นๆ แบบนี้ ดูเหมือนว่าจะมีบารมีน่าเกรงขามยิ่งกว่าในภาพเหมือนเสียอีกนะ!”

เฉินหน่วนซู่กะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยอะไร

โจวหมี่ลี่เอียงศีรษะ ขมวดคิ้วมุ่น มองกลับไปกลับมาระหว่างซิ่วไฉเฒ่ากับภาพเหมือน นางมองไม่ออกเลยจริงๆ

ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมสองสามที ขยับคอเสื้อให้เข้าที่ ยืดเอวตั้งตรง ถามว่า “จริงหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ ย่นคอลง เอียงคอไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวา เขย่งปลายเท้ามองบนมองล่าง สุดท้ายก็พยักหน้า “จริงแท้แน่นอน ถูกต้องไม่มีผิดเป็นแน่! ขนาดเจ้าห่านขาวใหญ่ยังชมว่าข้ามองคนได้แม่นยำนัก!”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะจนหุบปากไม่ลง เรียกให้แม่นางน้อยทั้งสามมานั่ง ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่พวกนางก็มีเก้าอี้อยู่แล้ว ซิ่วไฉเฒ่ากดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้ามาภูเขาลั่วพั่ว พวกเจ้ารู้กันแค่สามคนก็พอแล้ว ห้ามเอาไปบอกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ”

เผยเฉียนกระแอมหนึ่งที “หน่วนซู่ หมี่ลี่!”

เฉินหน่วนซู่รีบพยักหน้ารับทันใด “ตกลง”

โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่าที่เผยเฉียน ‘ประทานให้’ นางยืดอกตั้ง หุบปากแน่นสนิท

นับแต่บัดนี้ไป นางจะต้องทำตัวเป็นคนใบ้แล้ว อีกอย่างเดิมทีนางก็คือภูตน้ำใหญ่ที่มาจากทะเลสาบคนใบ้อยู่แล้วนี่นา

ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในศาลบรรพจารย์สืบเท้าเดินเนิบช้า เฉินหน่วนซู่เริ่มทำ ความสะอาดเก้าอี้แต่ละตัวด้วยความคล่องแคล่วคุ้นชิน เผยเฉียนยืนอยู่ข้างเก้าอี้ ของตัวเอง โจวหมี่ลี่อยากจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่แปะกระดาษแผ่นเล็กว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา แต่กลับถูกเผยเฉียนถลึงตาใส่ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย ผู้อาวุโสของอาจารย์ตนมาเยือนทั้งที ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ายังไม่ได้นั่ง เจ้าจะมานงมานั่งได้อย่างไร โจวหมี่ลี่รีบขยับยืน ตัวตรงทันที ในใจอดน้อยใจนิดๆ ไม่มี ตนก็แค่อยากให้อาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นรู้ว่า ตนเป็นใครแค่นั้นเอง

ซิ่วไฉเฒ่าเห็นอยู่ในสายตา รอยยิ้มประดับใบหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

สามารถพาเผยเฉียนเดินทีละก้าวจนมาอยู่บนทางสายใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนต้องสิ้นเปลืองสติปัญญาและความคิดจิตใจไปไม่น้อยเลยจริงๆ สั่งสอนนางออกมาได้ดีขนาดนี้ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก

อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ซิ่วไฉเฒ่ามาเยือนภูเขาลั่วพั่ว สองครั้งก่อนหน้านี้ไปมาอย่างรีบร้อน ไม่ทันได้เหยียบยืนนานๆ ด้วยซ้ำ และหลังจากครั้งนี้ไปเขาก็ต้องยุ่งวุ่นวายอีกแล้ว ชีวิตช่างลำบากเสียจริง

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแอบไปที่โรงเรียนของเมืองเล็กมารอบหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็ไปยืนอยู่ในตำแหน่งหนึ่ง

ทอดสายตามองไป ในอดีตนั้น ห้องเรียนแห่งนี้น่าจะมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม มองดูเหมือนตั้งใจเรียนหนังสือ แต่แท้จริงแล้วความคิดกลับล่องลอยไปไกล

แล้วก็มีหลินโส่วอีที่สีหน้ามุ่งมั่น อาจารย์พูดถึงเรื่องไหน เขาก็คิดตามไปถึงเรื่องนั้น

มีหลี่ไหวที่นั่งสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

มีจ้าวเหยาที่ตอนนั้นย่อมไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ตนต้องไปจากข้างกายอาจารย์ นั่งรถเทียมวัวเดินทางไปไกล สุดท้ายก็ไปท่องอยู่ใน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง

มีต่งสุ่ยจิ่งที่มองดูเหมือนโง่เขลาแต่กลับฉลาดหลักแหลม มีแม่นางน้อยที่ มัดผมแกละสองข้าง

ตอนนั้นที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงนั้นก็คิดถึงลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเหมือนกับเหมาเสี่ยวตง หม่าจาน เดินผิดไปก้าวหนึ่งก็ผิดไปทุกก้าว หลังจาก ตระหนักรู้กระจ่างแจ้ง ทั้งๆ ที่มีโอกาสแก้ไขความผิดพลาด แต่กลับยินดีที่จะใช้ ความตายมาพิสูจน์ปณิธาน

ผู้เฒ่าค้นพบว่าถึงท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่าความผิดพลาดทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวเขาเอง ในฐานะอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาช่วยไขข้อข้องใจ ความรู้ที่ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ ไม่มากพอ วิชาที่ช่วยให้มีชีวิตหยัดยืนได้อย่างสงบสุขก็ยิ่งเละเทะไม่ได้เรื่อง

ซิ่วไฉเฒ่าก้มหน้าลูบหนวดด้วยความกลัดกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม

เพียงแต่ว่าวันนี้พอได้มาเยือนศาลบรรพจารย์บนภูเขาลั่วพั่วของลูกศิษย์ คนสุดท้ายของตน ภาพเหมือนที่แขวนไว้สูง เก้าอี้ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ประตูหน้าต่างสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็น แม่นางน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูทั้งสามคน ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มออกได้หลายส่วน แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับยิ่งละอายใจมากกว่าเดิม เหตุใดภาพเหมือนของตนถึงได้แขวนไว้สูงที่สุด? อาจารย์ผายลมสุนัขไม่ได้ความอย่างตน ทำเพื่อลูกศิษย์ได้มากน้อยแค่ไหน? เคยตั้งใจสืบทอดวิชาความรู้ เคยช่วยไขข้อข้องใจให้เขาอย่างละเอียดบ้างหรือไม่? เคยพาเขาเดินทางไปท่องเที่ยวไกลเป็นหมื่นลี้อยู่ข้างกายเหมือนอย่างที่ทำกับชุยฉานหรือไม่?

ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาเคยได้สอบถามอาจารย์ยามที่เกิดความสงสัยในใจเหมือนอย่างเหมาเสี่ยวตง อย่างหม่าจานหรือไม่? นอกจากทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่กรอกเทให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างเลอะเลือนไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ลูกศิษย์ที่อายุน้อยๆ ต้องติดอยู่กับที่ไม่อาจเดินหน้า กลายเป็นคนคิดมากกับทุกเรื่อง และปีนั้นก็ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำเมามายไม่กี่ประโยคเท่านั้น แล้วจะกลายเป็นอาจารย์ของคนอื่นเขา ได้อย่างไร?

ความรู้บางอย่างหากสัมผัสเร็วเกินไป ก็ยากเหมือนขึ้นเขาแล้วยังต้องย้ายภูเขา

อาจารย์ผู้เฒ่าละอายใจเกินจะทานทน

ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเรียน ผู้เฒ่าหันไปมองข้างนอกก็เหมือนได้เห็นเด็กใบหน้าผอมตอบคนหนึ่งยืนเขย่งปลายเท้าอยู่นอกหน้าต่าง เด็กคนนั้นเบิกตากว้าง เงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงท่องหนังสือ พอได้กลิ่นหอมของตำราก็มองเข้ามายังอาจารย์และลูกศิษย์ที่อยู่ในห้อง ในดวงตาที่สะอาดบริสุทธิ์คู่นั้นของเด็กที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ข้างนอกโรงเรียนเพียงลำพังเต็มไปด้วยแวววาดฝัน

ชีวิตในภายหลังของเด็กคนนั้น บางทียามที่ต้องแบกตะกร้าสานใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เพื่อปลุกความกล้าให้ตัวเองก็คงตะโกนประโยค ‘แต่เดิมสันดานมนุษย์นั้นดีงาม’ ที่ตัวเองไม่เข้าใจออกมา ตอนที่เดินลงจากภูเขาก็อาจจะท่องประโยค ‘เดิมนั้นฟ้าดินกว้างใหญ่อึมครึม จักรวาลไพศาลไร้ขอบเขตสิ้นสุด’ อย่างเบิกบานใจ ระหว่างที่ขึ้นเขาและลงเขา แสงแดดแผดเผาจนเหงื่อท่วมเต็มตัว เด็กน้อยไปหลบพักอยู่ใต้เงาร่มไม้ เล่นดึงหญ้าอยู่กับตัวเอง แพ้ชนะก็ล้วนเป็นตัวเอง ชูมือขึ้นสูงร้อง เสียงดังว่าชนะแล้วๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความไร้เดียงสาของเด็ก

บนโลกใบนี้มีความยากลำบากมากมาย เด็กที่มีชีวิตแบบนี้ ไม่ถือว่าหายาก

เพียงแต่ว่าอายุน้อยๆ กลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนขนาดนี้ กลับพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก

ซิ่วไฉเฒ่าถึงขั้นนึกเสียใจที่ตอนนั้นเอ่ยประโยค ‘บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรจะแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและกอหญ้านกบินวนดั่งทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ’ กับเฉินผิงอัน

หากพูดกับพวกเด็กๆ อย่างเผยเฉียนย่อมไม่มีปัญหา แต่พูดเรื่องแบบนี้กับเฉินผิงอัน จะเป็นดั่งคนยืนพูดไม่ปวดเอวเกินไปหน่อยหรือไม่?

แต่พอซิ่วไฉเฒ่าคิดอีกที ลองหันมามองภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้อีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ กลับเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

สุดท้ายพวกเผยเฉียนก็สังเกตเห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลท่านนี้ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด เขานั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองภาพแขวนทั้งสาม

ไม่มองภาพเหมือนของตัวเองที่อยู่ตรงกลาง แต่มองภาพเหมือนของชุยเฉิง อยู่นาน แล้วพยักหน้าเบาๆ พึมพำกับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ยิน สุดท้ายผู้เฒ่า ก็มองภาพลูกศิษย์ของตัวเองโดยไม่เอ่ยอะไรอีกเป็นนาน

อาจารย์ผู้เฒ่าพึมพำ “มีคนกล่าวว่า ‘ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น จะเป็น เช่นไร?’”

แล้วอาจารย์ผู้เฒ่าก็ถามเองตอบเองว่า “ขงจื๊อกล่าวว่า ‘ยามที่คนอื่นปฏิบัติต่อเจ้าด้วยคุณธรรม เจ้าถึงจะต้องใช้คุณธรรมตอบแทนกลับคืน’”

เกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่มาจากแจกันสมบัติทวีป มีอาจารย์และศิษย์ ผู้ฝึกกระบี่คู่หนึ่งที่มาจากอุตรกุรุทวีปเดินลงมา

เซียนกระบี่ชุดเขียวคนที่เป็นอาจารย์นั้นคงยังไม่รู้ว่า ทุกวันนี้เขามีชื่อเสียง เล็กๆ น้อยๆ อยู่ท่ามกลางตรอกมากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version