Skip to content

Sword of Coming 597

บทที่ 597 มีคนจะถามหมัดเฉินผิงอัน

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะตะกละอยากดื่มอะไรจริงๆ เพียงแค่รู้สึกว่าขายเหล้าอยู่ในถิ่นของตัวเอง แต่กลับหาเหล้าดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินแค่ครึ่งชามก็ยังไม่ได้ ออกจะ ไม่เข้าท่า นี่ใช่เรื่องของเหล้าครึ่งชามหนึ่งชามหรือ?

ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกกระบี่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสองคนข้างกายตัวเองที่ไม่ว่าจะดื่มเหล้า กินบะหมี่หรือคีบผักก็ล้วนจ้องตนเขม็ง เฉินผิงอันจึงต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไป ไม่น้อยกว่าจะเปลี่ยนพวกเขาจากนักพนันที่แพ้เงินเทพเซียนไปไม่น้อยให้กลายมา เป็นหน้าม้าของตัวเองได้ ค่าตอบแทนจากการขอเหล้าคนอื่นดื่ม ก็คือเฉินผิงอัน แอบบอกกับสองฝ่ายว่า ครั้งหน้าจะมีตะพาบคนใดได้มานั่งเป็นเจ้ามือหาเงินไร้สำนึก เขาที่เป็นเถ้าแก่รองสามารถช่วยนำพาให้ทุกคนได้กำไรก้อนใหญ่ไปด้วยกัน ผลคือ ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองแย่งกันจะเลี้ยงเหล้าเฉินผิงอัน แล้วยังไม่ใช่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูกที่สุดด้วย สุดท้ายผีขี้เหล้านักพนันชายโสดสองคนยืนกรานว่าจะรวมเงินกันซื้อเหล้า กาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะให้ได้ แล้วยังบอกด้วยว่าหากเถ้าแก่รองไม่ดื่มก็เท่ากับ ไม่เห็นแก่หน้าพวกเขา ดูแคลนสหาย

เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง รอคอยให้คนอื่นหิ้วเหล้ามาเงียบๆ ด้วยความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย สหายมาก คิดจะไม่ดื่มเหล้าก็ยังยาก

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพง เซียนกระบี่สิบท่านที่แข็งแกร่งที่สุดของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เด็กผู้ชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าบอกมา อันที่จริง ก็ไม่ได้ต่างจากตัวเลือกในใจของเฉินผิงอันเท่าใดนัก

เซียนกระบี่ใหญ่อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ

หากเฉินชิงตูออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง พลังพิฆาตของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่เคยมีคำกล่าวที่แน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่เพียงแค่ในถ้อยคำและจินตนาการที่ เต็มไปด้วยสีสันตระการตาของพวกเด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าเท่านั้น

เรื่องที่ต่งกวานพู่สมคบคิดกับเผ่าปีศาจจึงถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสังหาร ด้วยมือตัวเอง ทำให้ตระกูลต่งที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหายไปถึงพลัง ต้นกำเนิด ตลอดหลายปีมานี้ก็ดูเหมือนว่าต่งซานเกิ่งจะปรากฏตัวน้อยครั้งเช่นกัน คราวก่อนที่มาดื่มเหล้าเลี้ยงส่งหวงถงเซียนกระบี่จากสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ถือว่าเป็นการแหกกฎแล้ว

อาเหลียงไม่ได้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานมากแล้ว เขาสวมงอบสาน พกดาบไม่ไผ่ ภายหลังหลอกเอาลาตัวหนึ่งและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินลูกหนึ่งไปจากเว่ยจิ้น ต่อมาก็ได้มาเจอกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ข้างกายมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่ด้วย

ใต้เท้าอิ่นกวาน พลังการต่อสู้สูงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชัดเจนดีอยู่แล้ว ข้อสงสัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังการต่อสู้สูงสุดของใต้เท้าอิ่นกวานสูงแค่ไหนกันแน่ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่ว่าจะอยู่ในจวนหนิงหรืออยู่ที่ร้านเหล้า อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อให้ มีลูกค้าพูดถึงใต้เท้าอิ่นกวาน หากเป็นคนละเอียดอ่อนสักหน่อยก็จะค้นพบว่า ดูเหมือนใต้เท้าอิ่นกวานจะเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่

เฉินซีคือเจ้าประมุขสกุลเฉินคนปัจจุบัน แต่เมื่ออยู่กับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ เขากลับไม่เคยได้เงยหน้า ต่อให้อักษรเฉินตัวนั้นจะเป็นเฉินซีที่เป็นคนแกะสลักลงไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินชิงตู เขาก็ยังเป็นเหมือนเด็กที่ไม่โตอยู่ดี ดังนั้นท่ามกลาง ชนชั้นสูงแซ่ใหญ่ทั้งหมดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกหลานของสกุลเฉินจึงเป็น กลุ่มคนที่ไม่ชอบไปเยือนหัวกำแพงเมืองมากที่สุด

ฉีถิงจี้คือเซียนกระบี่ ‘หนุ่ม’ หน้าตาหล่อเหลาที่เฉินผิงอันเคยพบเมื่อครั้งฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงตอนที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งแรก เขาก็คือเจ้าประมุขตระกูลฉี

จั่วโย่ว ศิษย์พี่ใหญ่ของตน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก

น่าหลันเซาเหว่ยปิดด่านมานานมากแล้ว น่าหลันคือแซ่ใหญ่อันดับหนึ่งใน กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าน่าหลันเซาเหว่ยไม่ได้ปรากฏตัวมานานเกินไป จึงทำให้ตระกูลน่าหลันค่อนข้างจะเงียบหายไปจากวงสังคม ส่วนน่าหลันเย่สิงจะใช่ คนของตระกูลน่าหลันหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยถามมาก่อน แล้วก็ไม่คิดจะจงใจ ไปสืบเสาะด้วย

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ข้อสงสัยมีมากมาย แต่ก็จะต้องมีอยู่ไม่กี่คนไม่กี่เรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอย่างที่ในใจคิดไว้

ผู้เฒ่าหูหนวกก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่เล่าลือกันว่ามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ คอยดูแลคุกที่ขังปีศาจใหญ่ไว้หลายตน

ลู่จือ ทุกวันนี้ผู้คนหลงลืมสถานะผู้ฝึกตนอิสระจากใต้หล้าไพศาลของนางไปแล้ว ขอบเขตโอสถทอง เมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ฝ่าทะลุขอบเขตไปทีละก้าว ผลการศึกเหี้ยมหาญน่ายำเกรง

ทุกครั้งที่มีการเฝ้าเมือง ก็จะต้องมีศึกตาย

อาเหลียงเคยมาดื่มเหล้าร่วมกับนาง พูดประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแพร่สะพัดไปได้อย่างไร ครั้งนั้นคนทั้งสองก็แค่ดื่มเหล้าร่วมกันเท่านั้น

‘ผู้ที่แยกตัวออกจากฝูง หากไม่ใช่สัตว์ป่าก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์’

คนที่ต่งปู้เต๋อกับเตี๋ยจ้างเลื่อมใสที่สุดก็คือลู่จือ

ยามที่อาเหลียงดื่มเหล้า เขาตบโต๊ะด่าอย่างเดือดดาลท่าทางน่าเชื่อถือ บอกไม่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่คนไหนที่หน้าด้านเกินไปแล้ว ถึงขนาดแอบฟังข้ากับลู่จือคุยกัน! คำพูดส่วนตัวที่แอบกระซิบพูดคุยกับสตรีเช่นนี้ เอามากระจายเป็นข่าวลือตามใจชอบ ได้หรือ? ต่อให้ประโยคนี้จะมีความรู้อย่างยิ่ง ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง มีมาดองอาจ อย่างยิ่ง แต่แล้วจะอย่างไรล่ะ ได้รับคำอนุญาตจากเขาอาเหลียงและแม่นางลู่แล้ว หรือยัง?

เฉินผิงอันดื่มเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วก็รู้สึกว่าตนเองอายุน้อยๆ แต่สามารถอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดในใจของหยวนจ้าวฮว่าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

มีผีขี้เหล้าคนหนึ่งถามชวนคุยขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง ได้ยินมาว่าเจ้ามีเพื่อน เป็นเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปอยู่คนหนึ่ง มีความสามารถในการกำจัดปีศาจ ปราบมารไม่น้อย ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ยิ่งร้ายกาจหรือ?”

เฉินผิงอันยื่นมือมานวดคลึงปลายคาง ใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ารวมกันแล้วยังสู้เขาไม่ได้เลยกระมัง”

แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเชื่อ

ท่ามกลางเสียงอึกทึกดังจอแจ จางเจียเจินมองอาจารย์เฉินที่มีสีหน้าเหม่อลอย

ดูเหมือนว่าตอนนี้อาจารย์เฉินจะอยากดื่มเหล้ากับคนผู้นั้นกระมัง?

เฉินผิงอันพลันคลี่ยิ้ม หันหน้าไปมองถนนเส้นเล็กแล้วจินตนาการถึงภาพภาพหนึ่ง

ฉีจิ่งหลงเดินเคียงไหล่กับเฉาฉิงหล่าง

เฉินผิงอันกระดกเหล้าถ้วยหนึ่งดื่มอย่างเต็มคราบ หยิบตะเกียบถ้วยและกาเหล้าขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดเสียงก้องกังวานว่า “เซียนกระบี่ทุกท่าน ค่าเหล้าในวันนี้!”

ลูกค้าทุกคนเงียบเสียงลงในชั่วพริบตา

ทำไม วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เถ้าแก่รองจะเลี้ยงเหล้าอย่างนั้นหรือ?!

คาดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นจะยิ้มกล่าวว่า “จำไว้ว่าอย่าลืมจ่ายเงินด้วย!”

สามวันต่อจากนั้น คนแซ่หลิวที่มีความอดทนเป็นเลิศก็ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ของภูเขาห้อยหัวเป็นเพื่อนแม่นางกุ้ยฮวาทั้งหลาย ซึ่งมีจินกุ้ยเป็นคนหนึ่งในนั้นจริงๆ ป๋ายโส่วไม่ได้มีความสนใจต่อหอซ่างเซียง เรือนหลิงจือเท่าใดนัก ต่อให้เป็นหอจิ้งเจี้ยนที่มีภาพเหมือนของเซียนกระบี่มากมายแขวนเอาไว้ เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมสักเท่าไร สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะเด็กหนุ่มยังไม่ได้มองตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ ป๋ายโส่วยังคงชื่นชอบหอเหลยเจ๋อมากที่สุด ที่นั่นมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบเสียงดังเปรี้ยงปร้าง มองไปแล้วน่า เกรงขามยิ่ง ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเทพีแห่งการต่อสู้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้นเพิ่งจะมาฝึกกระบี่ที่นี่ น่าเสียดายที่พี่สาวพวกนั้นยอมหยุดอยู่ที่ หอเหลยเจ๋อหลายชั่วยามก็เพราะเห็นแก่เด็กหนุ่มล้วนๆ จากนั้นพอไปถึงหน้าผาหมีลู่ พวกนางก็พูดคุยกันอย่างเบิกบานดุจเสียงสกุณาร้องขับขานทันที ตรงตีนเขาของ หน้าผาหมีลู่มีถนนเส้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย กลิ่นอายของสตรีเข้มข้น ยิ่งนัก ต่อให้เป็นจินซู่ที่ค่อนข้างจะมีนิสัยหนักแน่นสุขุม พอไปถึงที่นั่น เดินเข้าไป ตามร้านน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ยังควบคุมกระเป๋าเงินของตัวเองไม่ได้ ทำเอาป๋ายโส่ว ที่มองดูอยู่ถึงกับกลอกตามองบน ผู้หญิงนี่นะ

ฉีจิ่งหลงยังคงเดินเนิบนาบตามมาด้านหลังสุด สายตาคอยมองประเมินสถานที่ต่างๆ อย่างละเอียด ต่อให้เป็นตอนที่อยู่ในร้านตีนเขาของหน้าผาหมีลู่ก็ยังเดินเที่ยว อย่างตั้งใจ บางครั้งยังช่วยพวกแม่นางกุ้ยฮวาดูของด้วย

ในที่สุดป๋ายโส่วก็มองออกแล้วว่าอย่างน้อยก็มีแม่นางกุ้ยฮวาสองคนที่คิดไม่ซื่อ กับคนแซ่หลิว เวลาที่พูดกับเขา น้ำเสียงจะอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ สายตาก็มุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ

ป๋ายโส่วล่ะประหลาดใจนัก พวกนางไม่รู้สักหน่อยว่าคนแซ่หลิวเป็นใคร ไม่รู้จักสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยิ่งไม่รู้ว่าอะไรคือเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่บัณฑิตคร่ำครึที่ไม่มีเงินคนหนึ่ง เหตุใดถึงยอมให้น้ำมันหมูบดบังจิตใจตัวเองแบบนี้ได้นะ? วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนแซ่หลิวคงจะไม่ทำให้สตรีหลงใหลได้จริงๆ หรอกกระมัง? หากเป็นจริงล่ะก็ ป๋ายโส่วก็คิดว่าตัวเอง ก็สามารถตั้งใจเรียนวิชากระบี่จากเขาได้จริงๆ แล้ว

ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้เล่าให้เด็กหนุ่มฟังว่า อันที่จริงก่อนหน้านี้มีคนสองกลุ่มแอบติดตามพวกเขามาอย่างลับๆ ล่อๆ แต่กลับถูกตนทำให้ตกใจจนถอยหนีไปหมดแล้ว

ครั้งหนึ่งเขาเผยลมปราณของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองออกไป แต่คนที่แอบตามมา ก็ยังไม่ยอมถอดใจ จากนั้นก็มีผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งโผล่มา ฉีจิ่งหลงจึงได้แต่เพิ่มขอบเขต ไปอีกระดับ ถือเป็นการรับรองแขก

จากนั้นก็ไม่มีจากนั้นแล้ว

มองดูเหมือนว่าป๋ายโส่วที่เอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอยจะติดตามมาด้านหลังพวกนางอย่างไม่มีเบื่อ ภายหลังยังช่วยพวกนางหิ้วของ แต่แท้จริงแล้วในฐานะ ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย เขากลับเหมือนนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ในอดีตที่คอยระมัดระวังความเคลื่อนไหวรอบด้านมากกว่า

อันที่จริงฉีจิ่งหลงรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย

เจตนาเดิมมากมายค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละเล็กทีละน้อย

ถึงอย่างไรยามอยู่กับเขาฉีจิ่งหลง คนตระกูลฝูก็สร้างคลื่นลมมรสุมอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นป๋ายโส่วก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพียงแค่เดินเตร็ดเตร่เลือกหาสิ่งของไปอย่างสบายอารมณ์ หรือไม่ก็แอบบ่นนินทาอยู่ในใจขณะที่เดินท่องไปทั่วภูเขาห้อยหัวได้หรือไม่?

ต่อให้เป็นสำนักกระบี่ไท่ฮุยบ้านตัวเองก็ยังมีผู้สืบทอดสายตรงกี่มากน้อย ที่หลังจากกราบอาจารย์แล้ว จิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแต่ตัวเองกลับไม่รู้ตัวเลย? ทั้งการกระทำและคำพูด มองดูเหมือนเป็นปกติ ยังคงนอบน้อมระมัดระวัง รักษากฎเกณฑ์เป็นอย่างดี แต่แท้จริงกลับมีร่องรอยให้เห็นว่าเริ่มเดินเอนเอียงไป บนเส้นทางหัวใจแล้ว หากไม่ทันระวัง นานวันเข้า ชีวิตจะเดินมุ่งหน้าไปทางใด? ฉีจิ่งหลงที่อยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาเพียนหราน นอกจากจะฝึกตนอยู่ในบ้านตัวเองแล้วก็ยังพยายามช่วยให้คนรุ่นหลังในสำนักรักษาเจตจำนงเดิมอันบริสุทธิ์เอาไว้ด้วย เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา กลับยังคง ไม่อาจพูดมากหรือทำมากเกินไปได้

ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงไม่ค่อยชอบคำกล่าวที่ว่า ‘เมล็ดพันธ์เทพเซียน’ และ ‘ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด’ สักเท่าไร

พวกจินซู่กลับไปด้วยข้าวของเต็มไม้เต็มมือ แต่ละคนกลับไปถึงเกาะกุ้ยฮวาด้วยความพึงพอใจ เมื่อการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ครั้งนี้จบลง ต่อให้เป็นจินซู่ก็ยังรู้สึกดีกับฉีจิ่งหลงเพิ่มขึ้นเยอะมาก ก่อนจะจากกันนางจึงเอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

ฉีจิ่งหลงพาพวกนางมาส่งถึงศาลาจัวฟ่าง แล้วถึงได้พาป๋ายโส่วไปจ่ายเงินค่าเข้าพัก ที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เตรียมจะไปพักที่เรือนชุนฟาน แต่พอกลับไปถึงที่โรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มก็ต้องอดกลั้นความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเกือบตาย เพราะมีสตรีคุ้นเคยคนหนึ่งมายืนรออยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หน้าตาของนางงดงามมาก นางก็คือหลูสุ้ยเทพธิดาของภูเขาสุ่ยจิง อันดับที่แปดในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของ อุตรกุรุทวีป ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาที่เหมาะสมจะเป็นคู่รักเทพเซียนกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมากที่สุด

หลูสุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จิ่งหลง ทางฝั่งของเรือนชุนฟานได้ยินว่า เจ้ากับป๋ายโส่วมาถึงภูเขาห้อยหัวได้สามวันแล้ว ก็เลยให้ข้ามาเร่งเจ้า ข้าช่วยจ่ายค่าโรงเตี๊ยมให้แล้ว เจ้าคงไม่โทษข้ากระมัง?”

ฉีจิ่งหลงเอือมระอาอยู่ในใจ เขายิ้มพลางส่ายหน้า ดูเหมือนไม่ว่าจะพูดว่าโทษหรือไม่โทษก็คงผิดอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดมันเสียเลย

ทุกครั้งที่ถึงเวลาเช่นนี้ ฉีจิ่งหลงจะคิดถึงเฉินผิงอันอย่างอดไม่ได้

เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เรือนชุนฟานต้องมาเชิญด้วยตัวเองเลยหรือ?

คนต่างถิ่นชุดขาวที่อายุไม่มากคนนี้มีหน้ามีตามากเลยนี่นา?

จวนส่วนตัวที่มีชื่อเสียงซึ่งสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้าอย่างเรือนชุนฟาน จวนหยวนโหรวพวกนี้ โดยสถานการณ์ทั่วไปแล้ว หากไม่ใช่กลุ่มคนที่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเป็นผู้นำก็อาจจะเข้าไปไม่ได้แม้แต่ประตูด้วยซ้ำ

ฉีจิ่งหลงยิ้มบอกลาเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม

เถ้าแก่หนุ่มฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตนเป็นแค่เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจคนในกลุ่มเทพเซียน ประเภทนี้ เพราะถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต่อให้กระตือรือร้นแค่ไหนก็ยัง ตีสนิทไม่ได้อยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่ยินดีจะก้มหัวค้อมเอวให้ คนอื่นด้วย แค่ได้กำไรมาเล็กๆ น้อยๆ มีชีวิตสงบสุข ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากแล้ว

แต่บางครั้งที่ได้พบเจอคนหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน ฉีจิ่งหลงที่ราวกับมีเมฆหมอกลอยปกคลุมอยู่ทั่วร่างแบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าหากพวกเขามีชื่อเสียงแล้ว กิจการของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยก็อาจเหมือนเรือที่ลอยตามกระแสน้ำขึ้นก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าหากคิดจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

ก่อนจะไปถึงเรือนชุนฟาน ตลอดทางล้วนเป็นป๋ายโส่วที่ชวนหลูสุ้ยคุยอย่างกระตือรือร้น ป๋ายโส่วชื่มชมภูเขาสุ่ยจิงอย่างมาก ที่นั่นมีพี่สาวหน้าตางดงามอยู่เยอะนักล่ะ

อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ใช่คนเจ้าชู้ ก็แค่ชอบให้สตรีมาชอบตนเท่านั้น

ส่วนหลูสุ้ยเองก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับเทพธิดาหลูที่ปกติมีนิสัยเย็นชา จิตมุ่งไปบนมหามรรคาอย่างเดียวแล้ว เวลานี้กลับพูดเก่งกว่ามาก

ป๋ายโส่วเสียดายอยู่ไม่น้อย เขารู้สึกได้รับความอยุติธรรมแทนเทพธิดาหลูอย่างมาก ขนาดนี้แล้วคนแซ่หลิวยังไม่ชอบนาง ก็สมควรแล้วที่ต้องเป็นชายโสด ถูกสวีซิ่งจิ่ว แห่งนครเหนือเมฆมอมเหล้าเกือบตายถึงสองครั้ง

เจ้าของเรือนชุนฟานปรากฏตัวมารับรองฉีจิ่งหลงด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก

หลูสุ้ยช่วยชงชาให้เซียนกระบี่สองท่านที่อายุต่างกันมากอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มป๋ายโส่วรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเหตุใด ป๋ายโส่วไม่ค่อยมีความเคารพยำเกรงต่อสำนักกระบี่ไท่ฮุยมากนัก กับคนแซ่หลิวเขาก็ยิ่งไม่เกรงกลัว แต่คราวก่อนหลังจากที่ได้พบกับหวงถงเซียนกระบี่ผู้เป็นบรรพจารย์คุมกฎ ป๋ายโส่วกลับเริ่มตระหนกลนขึ้นมา

อันที่จริงเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ต้องไปพบเจ้าสำนักอย่างหานไหวจื่อ นี่ทำให้ป๋ายโส่วยิ่งกลัวมากกว่าเดิม

เวลานี้ได้พบกับเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับอาจารย์ตัวเอง ป๋ายโส่วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน

ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ในตำนานเชียวนะ

คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆได้

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ตนก็เป็นเซียนกระบี่เหมือนกัน แต่อยู่ด้วยกันทุกวัน เรียกอีกฝ่ายคนแซ่หลิวคำแล้วคำเล่า ป๋ายโส่วกลับเรียกได้อย่างคล่องปาก ไม่เคยตระหนกตกใจเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มกลับไม่เคยคิดให้ลึกซึ้ง

เพียงแต่พอมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า ตอนที่เขาอยู่กับผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ของเกาะกุ้ยฮวาอย่างจินซู่เป็นอย่างไร ยามมาอยู่ต่อหน้าเซียนกระบี่เจ้าของ เรือนชุนฟานก็ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น

มือทั้งสองรับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของหลูสุ้ยด้วยรอยยิ้ม ป๋ายโส่วก้มหน้าดื่มชา จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง

ฉีจิ่งหลงพูดถึงการจองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มพยักหน้าตอบตกลง แล้วยังตั้งราคาที่เป็นธรรมอย่างยิ่งด้วย

ฉีจิ่งหลงเอ่ยขอบคุณ

ป๋ายโส่วได้ยินตัวเลขก่อนจะตามมาด้วยคำว่าเงินฝนธัญพืช หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยว่า “นอกจากเป็นการค้าขายกันครั้งหนึ่งแล้ว สำนักกระบี่ไท่ฮุย ก็ไม่ถือว่าติดหนี้บุญคุณใดๆ เพียงแต่สหายฉีกลับติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง บอกตามตรงว่า สมมติน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สิบสี่ลูก สุดท้ายสามารถหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้สำเร็จเจ็ดลูก ภายในเวลาพันปีนี้ล้วนมีการจองไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ตามสัญญา สหายฉีถึงมีโอกาสได้เปิดปาก

แล้วข้าถึงได้กล้าพยักหน้าตอบตกลง ภายในหนึ่งพันปี การคืนน้ำใจก็แค่ต้องออกกระบี่หนึ่งครั้ง อีกทั้งสหายฉีก็สามารถวางใจได้ว่า การออกกระบี่ของเจ้าย่อมต้อง เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล จะไม่ทำให้สหายฉีต้องลำบากใจเด็ดขาด”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตกลง”

จากนั้นฉีจิ่งหลงก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “หากมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เกินเจ็ดลูก ข้าสามารถจองอีกลูกได้หรือไม่?”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “คงได้แต่มอบให้ผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดแล้ว ข้าเชื่อว่า คงยากที่สหายฉีจะสมใจปรารถนา”

ยังมีความจริงบางอย่างที่เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้เอ่ยออกมาตามตรง ต่อให้มี น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพิ่มอีกลูกให้ได้จองกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะซื้อไปก็ได้ การที่ ฉีจิ่งหลงได้จองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ เหตุผลมีอยู่สามข้อ เรือนชุนฟานและเขาเส้าอวิ๋นเหยียนต่างก็เห็นดีในผลสำเร็จในอนาคตของฉีจิ่งหลงที่ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้อที่สอง มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่สุดว่าฉีจิ่งหลงจะได้เป็น เจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนถัดไป ข้อสาม เส้าอวิ๋นเหยียนเองก็มีชาติกำเนิดมาจาก อุตรกุรุทวีป นี่ก็ถือเป็นสัมพันธ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อย่างหนึ่ง

การที่เขาไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ให้มากความก็เป็นเพราะในใจของเจียวหลงบนบก ที่อายุน้อยผู้นี้ย่อมเข้าใจดี

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เป็นผู้น้อยที่คิดมากไปจริงๆ”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ได้พึ่งใบบุญของสหายฉี ข้าถึงได้ดื่มชาฝีมือแม่หนูหลู”

หลูสุ้ยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เจ้าสำนักภูเขาสุ่ยจิงให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด

และคนผู้เดียวที่เส้าอวิ๋นเหยียนติดค้างในชีวิตนี้ ก็คืออาจารย์ของหลูสุ้ย

ปีนั้นเถาวัลย์น้ำเต้าสมบัติล้ำค่าก่อนกำเนิดต้นที่อยู่ในเรือนชุนฟาน เป็นคนทั้งสอง ที่ได้มาครอบครองพร้อมกันด้วยวาสนาที่ประจวบเหมาะ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่า นางเป็นคนออกแรงมากกว่า แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลนานาประการ คนทั้งสองกลับไม่อาจเดินไปด้วยกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนได้ สำหรับเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้ว เถาวัลย์น้ำเต้าต้องตกเป็นของใคร นางไม่เคยเปลี่ยนความคิดมาก่อน ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เส้าอวิ๋นเหยียนก็ยิ่งไม่สบายใจ เป็นเหตุให้เส้าอวิ๋นเหยียนที่ไร้บุตรหลานมองหลูสุ้ย ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของนางเป็นดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง นอกจากนี้หลูสุ้ย ที่รักมั่นในตัวฉีจิ่งหลง ไยจะไม่เหมือนกับเส้าอวิ๋นเหยียนและอาจารย์ของหลูสุ้ย ในปีนั้นเล่า?

ป๋ายโส่วรู้สึกอึดอัดนิดๆ เหตุใดเซียนกระบี่เส้าผู้นี้ถึงได้ไม่ต่างจากเฉินผิงอัน สักเท่าไรเลย คนหนึ่งเรียกฉีจิ่งหลง คนหนึ่งเรียกสหายฉี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ป๋ายโส่วเคยได้ยินข่าวลือเล็กๆ บางอย่างมาจากยอดเขาเพียนหราน ดูเหมือนว่าแรกเริ่มสุด แซ่เดิมของคนแซ่หลิวตอนอยู่ล่างภูเขาคือแซ่ฉี ภายหลังขึ้นมาฝึกตนบนภูเขา ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในศาลบรรพจารย์ แต่กลับเขียนเป็นชื่อ หลิวจิ่งหลง

เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มชาไปแล้ว พูดคุยเรื่องน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้วก็รีบ ขอตัวลาจากไป

หลูสุ้ยยังคงอยู่ต่อเพื่อต้มชาให้

ป๋ายโส่วมองฝีมือการชงชาของพี่สาวเทพเซียนคนนี้แล้วก็ให้รู้สึกสบายตาสบายใจนัก

หลูสุ้ยยิ้มบางๆ ถามว่า “จิ่งหลง มองเรื่องวงในบางอย่างของภูเขาห้อยหัวออกหรือไม่?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “สถานที่ท่องเที่ยวแปดแห่งซึ่งมีศาลาจัวฟ่าง เรือนซือเตาเป็นหนึ่งในนั้น คือตาค่ายกลแปดจุดของค่ายกลใหญ่ ภูเขาห้อยหัวไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นตราประทับตัวอักษรภูเขาเท่านั้น แต่เป็นอาวุธเซียนที่ผ่านการหล่อหลอมชั้นแล้วชั้นเล่าจนได้ทั้งโจมตีและป้องกันมานานมากแล้ว ส่วนต้นกำเนิดของค่ายกลก็น่าจะมาจากหนึ่งในสามอาคมใหญ่ที่เก่าแก่ซึ่งท่านซานซานจิ่วโหวทิ้งเอาไว้ ความลี้ลับ ที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าใช้ภูเขามาหลอมน้ำ พลิกกลับจักรวาล หากเรียกออกมาก็จะเป็นวิชาอภินิหารที่สามารถพลิกตลบฟ้าดินได้”

หลูสุ้ยมีสีหน้าสดใส ต่อให้นางจะแค่มองคนแซ่หลิวแค่แวบเดียวแล้วก็ก้มหน้า จ้องไฟในเตาต่อ แต่กระนั้นก็ยังยากจะปิดบังความคิดของสตรีที่วกวนร้อยพันตลบของนางเอาไว้ได้

ทว่าความคิดของฉีจิ่งหลงกลับจมจ่อมอยู่กับค่ายกลใหญ่ของภูเขาห้อยหัว

ป๋ายโส่วที่มองดูอยู่นึกอยากจะทุบหัวทึ่มๆ ของคนแซ่หลิวยิ่งนัก

ดูเหมือนหลูสุ้ยจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อาจารย์ของข้าเป็นเพื่อนสนิทของ เซียนกระบี่ลี่ สามารถไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับเจ้าได้พอดี คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวภูเขาห้อยหัวพร้อมกับข้ายังมีแม่หนูหลงชงคนนั้น จิ่งหลง เจ้าน่าจะเคยเห็นนางมาก่อน ครั้งนี้ข้าเดินทางมาที่ภูเขาห้อยหัวก็เพราะมาเป็น เพื่อนนาง”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ

ดูเหมือนจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว

ป๋ายโส่วที่มองดูอยู่ด้านข้างรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก ต้องดื่มชาระงับความอัดอั้นในอก เหตุใดเทพธิดาหลูถึงต้องมาภูเขาห้อยหัว เหตุใดต้องไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าช่วยฉลาดหน่อยได้หรือไม่!

ยังจะพยักหน้า พยักหน้ากับท่านปู่เจ้าน่ะสิ!

เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาป๋ายโส่วเข้าข้างคนอื่น แต่พี่น้องเฉินของข้าคนนั้นทิ้งห่างจากเจ้าคนแซ่หลิวไปไกลเป็นสิบแปดเส้นถนนใหญ่เลยจริงๆ !

ช่างเถิด รอให้เจอกับเฉินผิงอันก่อนค่อยว่ากัน

ถึงเวลานั้นเขานายท่านใหญ่ป๋ายโส่วจะยอมฝืนทนขอร้องให้พี่น้องเฉินผิงอันคนดีช่วยถ่ายทอดวิชาให้เจ้าสามส่วนห้าส่วนก็แล้วกัน

หลูสุ้ยกลับเคยชินเสียแล้ว ตอนที่เติมน้ำชาให้ฉีจิ่งหลงก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ได้ยินว่าทางฝั่งของตำหนักสุ่ยจิงมีผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งมาจากทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลาง ใช้ขอบเขตร่างทองขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดฝ่าทะลุคอขวดอยู่ที่ ทวีปเกราะทอง ได้รับคำแนะนำจากเฉาสือไปไม่น้อย ครั้งนี้เดินทางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สตรีผู้นั้นต้องการไปที่หัวกำแพงเมืองเพื่อเลียนแบบเฉาสือที่เคยไป ฝึกหมัดอยู่ที่นั่นหลายปี”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่ตอนนี้ก็ฝึกหมัดอยู่ที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่พอดี ไม่แน่ว่าทั้งสองฝ่ายอาจได้เจอกัน”

ทุกวันนี้พอป๋ายโส่วได้ยินคำว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ก็อดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้

หลูสุ้ยถามอย่างใคร่รู้ “คือเฉินผิงอันจากแจกันสมบัติทวีปผู้นั้นหรือ?”

คราวก่อนตอนที่อยู่ศาลซานหลาง ฉีจิ่งหลงเคยพูดถึงชื่อนี้ ดูเหมือนว่าก็เพื่อ เฉินผิงอันผู้นี้ ก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะเจอกับการถามกระบี่สามครั้งถึงได้แล่นไปซื้อของถึงที่ภูเขาชังกระบี่และศาลซานหลาง ดังนั้นหลูสุ้ยจึงจำคนผู้นี้ได้อย่างแม่นยำ

ฉีจิ่งหลงยิ้มพยักหน้ารับ

หลูสุ้ยยิ้มกล่าว “ข้าเริ่มสงสัยใคร่รู้ในตัวเฉินผิงอันผู้นี้แล้ว ไม่นึกว่าเขาจะทำให้ จิ่งหลงมองเขาแตกต่างไปจากคนอื่นได้ถึงเพียงนี้”

ฉีจิ่งหลงยังคงไม่เอ่ยอะไร

ป๋ายโส่วอดไม่ไหวเอ่ยว่า “พี่หญิงหลู พี่น้องคนดีของข้าคนนั้นไม่มีข้อดีอะไรหรอก ก็มีแค่ความสามารถในการยุคนให้ดื่มเหล้าที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มบางๆ มองป๋ายโส่ว

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวท่าทางเที่ยงตรง “แต่พอเหล้าเข้าปาก เฉินผิงอันผู้นี้ก็มีสภาพไม่น่าดูเท่าไร! มีพี่น้องที่เป็นเช่นนี้ ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก!”

หลูสุ้ยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เหตุใดฉีจิ่งหลงถึงได้หาลูกศิษย์ ที่ไม่ยี่หระสิ่งใดแบบนี้มาได้นะ

บนหัวกำแพง

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับพวกหลินจวินปี้ เหยียนลวี่ สิ่งที่ขู่เซี่ยถ่ายทอดให้ก็คือวิชากระบี่วิชาหนึ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อนุญาตให้ คนนอกเล่าเรียนได้

ทุกคนนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง เงี่ยหูตั้งใจฟังคำชี้แนะจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ย

ขู่เซี่ยอธิบายความหมายคร่าวๆ ของคาถาวิชากระบี่บทนี้ก่อน จากนั้นค่อยไล่อธิบายวิชาที่ต่อเนื่องเป็นชุดอย่างการโคจร การชักนำ และการขานรับต่อ ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญ เขาอธิบายได้ละเอียดอย่างมาก จากนั้นก็ให้ทุกคนถามถึงจุดที่ตัวเองไม่เข้าใจ หรือไม่ก็เสนอความคิดถึงสิ่งที่ตัวเองคิดว่า เป็นปมปัญหาจุดสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วขู่เซี่ยจะให้หลินจวินปี้ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมที่สุดเป็นผู้ช่วยไขข้อข้องใจให้แทน

หากมีจุดไหนที่หลินจวินปี้อธิบายได้ไม่ครอบคลุมมากพอ ขู่เซี่ยถึงจะช่วยพูดเสริมให้ ชดเชยในส่วนที่ขาดไป

ความประหลาดของวิชากระบี่ชั้นสูงนี้อยู่ที่ว่า มีเพียงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เท่านั้นถึงจะแสดงให้เห็นประสิทธิผลที่เด่นชัด ไปถึงใต้หล้าไพศาลก็พอจะร่ายใช้ได้ เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ จะน้อยนิดมาก สำหรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับเวทกระบี่บทนี้ซึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ในสำนักที่ไม่ขาดเวทกระบี่ชั้นสูงแล้ว เวทกระบี่บทนี้ จึงมีความหมายไม่มากนัก พูดง่ายๆ ก็คือเวทกระบี่วิชานี้พิถีพิถันในคำว่าฟ้าอำนวย ดินอวยพรเกินไป คิดจะหาผลประโยชน์ให้แก่วิถีกระบี่และจิตวิญญาณ ต่อให้เป็น ลูกรักแห่งสวรรค์ที่แบกโชคชะตาแห่งแคว้นเอาไว้อย่างหลินจวินปี้ ก็ยังคงได้แค่อาศัยการขัดเกลาทีละน้อยดุจน้ำหยดลงหินอยู่บนหัวกำแพงเมือง ตบะถึงจะมีการพัฒนา ไปได้บ้าง

อันที่จริงในใจของขู่เซี่ยค่อนข้างจะเป็นกังวล เพราะคนที่ถ่ายทอดวิชากระบี่นี้ เดิมทีควรเป็นเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอย่างซุนจวี้เฉวียน แต่ความประทับใจที่ ซุนจวี้เฉวียนมีต่อเสาคานในอนาคตของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ย่ำแย่เกินไป ถึงขั้น ทิ้งภาระหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ขู่เซี่ยเองก็เป็นพวกดึงดัน ทีแรกไม่ยอมที่จะถอยไปเลือกลำดับรองอย่างการถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง แต่ภายหลังซุนจวี้เฉวียนถูกตอแยจนรำคาญใจ ถึงได้พูดกับขู่เซี่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า หากราชวงศ์เส้าหยวนยังอยากจะพาคนมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และยังคงได้มาพักในจวนซุนอีก ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็อย่าทำให้เขาซุนจวี้เฉวียนต้องลำบากใจเกินไปนัก

ขู่เซี่ยมองเจี่ยงกวนเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนแล้วก็ทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด

ทั้งกังวลกับนิสัยตรงไปตรงมาของลูกศิษย์คนนี้ แล้วก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่เรียนวิชากระบี่และการวางตัวเป็นคนในสังคม ไม่จำเป็นต้องให้เหมือนหลินจวินปี้มากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับพวกเด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนข้างกาย เจี่ยงกวนเฉิงที่ใจแคบดุจไส้ไก่และเต็มไปด้วยกลอุบายแล้ว

ขู่เซี่ยก็ยังมองลูกศิษย์ของตัวเองแล้วสบายตามากกว่า การที่ขู่เซี่ยเลือกเจี่ยงกวนเฉิงเป็นลูกศิษย์ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล มหามรรคาคล้ายคลึงกันก็คือเงื่อนไขแรก เพียงแต่ว่าเส้นทางการเดินสู่ที่สูงของเจี่ยงกวนเฉิงจำเป็นต้องขัดเกลาอีกมาก

ต่อให้หลินจวินปี้จะเพียงแค่นั่งอยู่บนเบาะ มือทั้งสองแบวางทับกันไว้ตรงหน้าท้อง แย้มยิ้มพูดคุยอย่างผ่อนคลาย แต่ก็ยังมีมาดของเจ๋อเซียนบนภูเขาที่พบเห็นได้ยาก

เหยียนลวี่คอยเลียนแบบหลินจวินปี้มาโดยตลอด อีกทั้งยังตั้งใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการรับรองผู้คน หรือเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าอย่างการวางตัวอยู่ในสังคม เหยียนลวี่ก็ยังรู้สึกว่าแม้หลินจวินปี้จะอายุน้อย แต่กลับคู่ควรให้ตน ลองเอาข้อดีของเขามาปรับใช้

เมื่อก่อนเหยียนลวี่มองคนเรียบง่ายมาก เพียงแค่แบ่งพวกเขาออกเป็นคนโง่และคนฉลาด ส่วนดีหรือเลวนั้น เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย คนที่ข้าเอามาใช้ประโยชน์ได้ก็ถือเป็นสหาย คนที่ข้าเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าที่ตัวเองพูดคุยไปด้วยตามมารยาทเท่านั้น

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางมาร่วมกันครั้งนี้ อันที่จริงไม่มีคนโง่ แค่แบ่งเป็น คนที่ฉลาดมากพอกับฉลาดไม่มากพอเท่านั้น

คนที่ฉลาดไม่มากพอก็เหมือนเจี่ยงกวนเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย และยังมีเด็กสาวโง่เขลาที่หลงรักหลินจวินปี้คนนั้น

คนที่ฉลาดมากพอ ก็เหมือนอย่าง ‘คนโง่’ ที่ตอนนั้นพูดจาผดุงความเป็นธรรมให้แก่หลินจวินปี้ มองดูเหมือนพลิกขาวกลับดำ จริงเท็จปะปนกันส่งเดช แต่คิดจริงๆ หรือว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้จักหนักเบา ไม่รู้ผลดีผลเสีย? ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการคืออะไร? ก็แค่อยากจะพูดจาสวยหรูที่ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าแต่ไม่ต้องเปลืองแรงกับหลินจวินปี้เท่านั้น ส่วนลึกในใจ ไม่แน่อาจหวังให้หลินจวินปี้ไม่ทันระวัง เป็นเด็กหนุ่มที่เลือดร้อนกำเริบเสิบสาน

ถูกผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหาย หากหลินจวินปี้ทำอะไรไป โดยอารมณ์ ดึงดันว่าไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับเฉินผิงอันย่อมดีที่สุด ต่อให้ถอยไป พูดหนึ่งก้าว สุดท้ายทั้งสองฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผลกลับกลาย เป็นว่ามังกรผู้แข็งแกร่งมิอาจข่มงูเจ้าที่ได้ ไปชนตอจากฝั่งของฉินผิงอันเข้า แล้วจิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้ได้รับความเสียหาย ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวเช่นกัน

บนเส้นทางของการฝึกตน หากขาดหลินจวินปี้ไปคนหนึ่ง สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว เรื่องที่คนอื่นเสียหายแล้วตัวเองยังไม่ได้รับผลประโยชน์ พวกเขากลับยินดีที่จะทำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองอยู่ด้วย

เพราะถึงอย่างไรอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวน ผลประโยชน์ก็มีความพัวพันกันอยู่ จับมือเดินทางมาท่องเที่ยวร่วมกันครั้งนี้ หลินจวินปี้โดดเด่นมากเกินไปจริงๆ ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังของราชวงศ์เส้าหยวนที่ฝึกตนอย่างพวกเขาก็ยังสังเกตเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่า หากปล่อยให้หลินจวินปี้เดินขึ้นเขาอย่างราบรื่น ในอนาคตร้อยปีพันปี ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ ‘คนผู้หนึ่งยึดครองมหามรรคาไปเพียงลำพัง’

หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนก็เหมือนกับเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ที่เล่าเรียนอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ

คนที่เป็นผู้ร่วมทางกับพวกเขา ล้วนเป็นคนน่าสงสาร

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว จูเหมยและจินเจินเมิ่งก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วถือว่ามีกลอุบายน้อยกว่า

แต่เหยียนลวี่กลับไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้เท่าใดนัก

ส่วนลึกในใจของเหยียนลวี่กลับชอบคบค้าสมาคมและยินดีจะทุ่มเทแรงใจไป สานสัมพันธ์กับกลุ่มพวกหมาป่าตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน) เลี้ยงไม่เชื่องซึ่งตรงข้ามกับพวกจูเหมยและจินเจินเมิ่งมากกว่า

คบหากับจูเหมยที่ชาติกำเนิดไม่แพ้ตนหรือสานสัมพันธ์กับจินเจินเมิ่งที่จิตแห่งเต๋ามั่นคง ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหยียนลวี่ไม่ยินดีจะจ่าย หรือควรจะพูดว่าไม่เชี่ยวชาญจะจ่าย

หลินจวินปี้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัว ขณะเดียวกันก็แบ่งสมาธิไปที่จุดอื่นแล้ว

บนหัวกำแพงเมืองแห่งอื่น ทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งจะมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์

ส่วนทุกคนที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงเหยียนลวี่ผู้นั้น หลินจวินปี้ไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนอยู่แล้ว นิสัยใจคออ่อนแอเกินไป คุณสมบัติย่ำแย่เกินไป หัวสมองก็โง่เขลาเกินไป เป็นเหตุให้ที่พึ่งและภูมิหลังของพวกเขาล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย บางครั้งหลินจวินปี้ยังนึกอยากจะหัวเราะ อยากหัวเราะแล้ว พูดความในใจกับพวกเขาว่า พวกเจ้าควรจะทะนุถนอมและเห็นค่าช่วงเวลาตอนนี้ ไว้ให้ดี สามารถมาเดินร่วมทางกับข้าหลินจวินปี้ได้อย่างถูไถ จะดีจะชั่วยามอยู่ บนเส้นทางของมหามรรคาก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของเขาหลินจวินปี้ และตอนนี้ก็ยิ่งโชคดีได้ฝึกกระบี่ร่วมกันบนหัวกำแพง ถือว่าได้นั่งทัดเทียมกัน

เปียนจิ้งไม่ได้มาเรียนกระบี่กับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยบนหัวกำแพงเมือง

แต่ไปร่วมความครึกครื้นที่หอมายา ที่นี่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง บอกว่าเป็นลานประลองยุทธ แต่แท้จริงกลับคล้ายคลึงกับภูเขาตี่ลี่ของอุตรกุรุทวีป สองฝ่ายที่คุมเชิงกัน ไม่แบ่ง แพ้ชนะ ได้แต่แบ่งเป็นตายเท่านั้น

แต่เมื่อเทียบกับภูเขาตี่ลี่ก็มีบางอย่างที่ต่างออกไป บนลานประลองยุทธนี้มีเพียงแค่การเข่นฆ่าของขอบเขตเดียวกัน เดิมพันด้วยชีวิตของทั้งสองฝ่าย หากชนะก็ได้กำลังทรัพย์ทุกอย่างของอีกฝ่าย รวมไปถึงส่วนแบ่งจากการเดิมพันที่มีจำนวนน่าทึ่งอย่างถึงที่สุด

การช่วงชิงกันของผู้ฝึกกระบี่ แท้จริงแล้วไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด อีกทั้งโอกาส ก็มีไม่มาก โดยทั่วไปแล้วก็หนีไม่พ้นสองฝ่ายผูกปมแค้นที่ต้องตายกันไปข้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมาที่นี่ นอกจากนี้การเข่นฆ่ากันของผู้ฝึกกระบี่สองคน ส่วนใหญ่มักจะสิ้นสุดลงในเสี้ยววินาที ไม่มีอะไรให้น่าดู นั่งยังไม่ทันก้นร้อนก็ต้องลุกจากมาแล้ว จืดชืดไร้รสชาติยิ่งนัก

จุดที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริงคือการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ส่วนที่มีสีสันที่สุด แน่นอนว่ายังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งสามารถโชคดีแลกชีวิตกับผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการเข่นฆ่าสูงสุดมาได้

เหตุใดผู้ฝึกกระบี่จำนวนน้อยถึงเป็นฝ่ายมาเสี่ยงอันตรายที่นี่ นอกจากขัดเกลาตบะของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าเพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน

เหตุใดผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ถึงได้ยินดีเสี่ยงอันตรายพาตัวมาตายที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเขารนหาที่ตายเอง แต่เป็นเพราะชีวิตไม่เป็นของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณเหล่านี้ถูกเรือข้ามทวีปจับยัดใส่ห้องลับแล้วพาตัวมาส่งที่นี่แทบทุกคน คือพวกผู้ฝึกตนอิสระในทวีปใหญ่ๆ ของใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็พวกวิญญาณผีเร่ร่อนที่สำนักถูกกวาดล้าง หากสามารถเอาชนะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเดียวกันได้สามครั้ง ก็จะสามารถมีชีวิตอด หากยังกล้าเป็นฝ่ายลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น ก็จะได้รับเงิน ไปตามกฎ หากสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้อย่างราบรื่น แค่ครั้งเดียว ก็จะกลับคืนมามีอิสระอีกครั้ง

เคยมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เจ็บปวดใจกับเรื่องนี้ รู้สึกว่าการกระทำที่ไร้สาระนี้เหยียบย่ำชีวิตคนเกินไป เคยซักถามกล่าวโทษกำแพงเมืองปราณกระบี่ว่าทำไมถึง ไม่ห้ามปราม ปล่อยให้เรือข้ามทวีปลำแล้วลำเล่าพาผู้ฝึกตนอิสระมากมายขนาดนั้น ให้มาตายอยู่ที่นี่

และยิ่งมีสตรีจากชนชั้นสูงของราชวงศ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนหนึ่งที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ครอบครัวของนางได้ครอบครองเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เมื่อมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ตรงมาเข้าพักที่จวนหยวนโหรว และการที่นางทุ่มทองพันชั่งจับจ่าย ซื้อของที่เรือนหลิงจือด้วยมาดของเจ้านายหญิงก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างกายนาง นอกจากปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่ง ที่แสดงตัวอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำอีกคนหนึ่ง เมื่อไปถึงลานประลองยุทธของหอมายา หลังจากที่สตรี ได้ชมศึกแล้วก็ไม่เพียงแต่สงสารผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลที่ถูกจับมายัง กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังสงสารผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ถูกมองเป็น ‘หินลับกระบี่’ อีกด้วย รู้สึกว่าในเมื่อพวกมันได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ก็ถือว่าเป็นคนแล้ว ได้รับการปฏิบัติอย่างทารุณเช่นนี้โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ไม่สอดคล้อง กับมารยาทพิธีการ ดังนั้นสตรีจึงอาละวาดอยู่ที่ลานประลองยุทธของหอมายาไป รอบหนึ่ง แล้วจึงจากมาอย่างหยิ่งผยอง ผลคือวันนั้นองค์รักษ์ที่เป็นผู้ฝึกตน สำนักการทหารคนนั้นของนางถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นท่านหนึ่งที่ออกจาก หัวกำแพงเมืองมาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้านั้นก็ไม่กล้า ออกหมัดแม้แต่น้อย เพราะนอกจากเซียนกระบี่ที่ออกกระบี่แล้ว เห็นได้ชัดว่า ยังมีเซียนกระบี่ที่รออยู่ในทะเลเมฆเตรียมจะออกกระบี่ได้ทุกเวลาอยู่อีก นางจึงได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บแค้น วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากซุนจวี้เฉวียนเซียนกระบี่ที่ สนิทสนมกับตระกูล ผลคือต้องเจอกับน้ำแกงประตูปิด ข้าวของทั้งหมดของกลุ่ม พวกนางล้วนถูกโยนไว้บนถนนใหญ่นอกจวนซุน และยังถูกซุนจวี้เฉวียนประทานคำว่าไสหัวไปให้อีกหนึ่งคำ

สตรีร้องไห้ดุจดอกสาลี่พร่างพรมพิรุณ ถูกคนพาหนีออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างฉุกละหุก ว่ากันว่าพอกลับไปถึงใต้หล้าไพศาล นางได้อาศัยวงศ์ตระกูลและ กำลังทรัพย์ให้คนรวบรวมลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและนักประพันธ์มีฝีมือในวงการวรรณกรรมกลุ่มใหญ่ เขียนโจมตีขนบธรรมเนียมอันป่าเถื่อนของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ประโยคหนึ่งในนั้นที่ถ้อยคำรุนแรงอย่างถึงที่สุด

แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีอะไรต่างจากเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?’ เพียงแต่ว่านับแต่นั้นมาคนในตระกูล คนในสำนักและคนในราชวงศ์ของนางก็ไม่มีใครที่สามารถเข้ามาเยือนภูเขาห้อยหัวได้อีก ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าแม้กระทั่งภูเขาห้อยหัวก็ไม่อาจเข้าไปได้ หากค้นพบว่ามีคนกล้าแอบขึ้นภูเขาห้อยหัวมา ย่อมต้องมีเซียนกระบี่ที่เฝ้าประตูปล่อยกระบี่ฟันเข้าใส่มหาสมุทร จุดจบเป็นอย่างไร เป็นตายอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต

ปีนั้นเรื่องนี้สร้างความครึกโครมไปมาก

แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ตระกูลต่งที่เคยรับผิดชอบจัดการเรื่องนี้ก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

วันนี้เปียนจิ้งไม่เพียงแต่ไปร่วมชมศึก ยังลงเดิมพันอยู่หลายอย่าง การเดิมพันเป็นตายส่วนใหญ่คนจะมั่นใจอยู่แล้วว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ นักพนันที่มามั่วสุมอยู่ที่นี่หลายปี แต่ละคนล้วนสายตาดีกันทั้งนั้น ดังนั้นจะเป็นกำไรที่ได้มาจริงๆ หรือเป็นการเดิมพันที่ขาดทุน ก็ยังคงเป็นการเดิมพันในข้อที่ว่านานแค่ไหนจึงจะมีคนเสียชีวิต ส่วนการ ลงเดิมพันว่าทั้งสองฝ่ายล้วนตายคู่ ขอแค่ลงเดิมพันถูก ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ชนะก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเหล้าไปอีกสองปีสามปี เพราะคิดจะดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ราคานั้นก็ไม่ใช่ถูกๆ เลยจริงๆ

เปียนจิ้งนั่งอยู่ในมุมแห่งหนึ่งของอัฒจันทร์ที่เต็มไปด้วยผู้คน ดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ รอคอยให้สองฝ่ายที่จะเดิมพันกันด้วยชีวิตวันนี้เข้ามาในสนามประลอง

จากนั้นคนที่ปรากฏตัวก่อนเป็นคนแรกก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรของใต้หล้าไพศาลคนหนึ่งที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ แล้วจึงตามมาด้วยผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตเดียวกันที่เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อพลังการสู้รบของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเผ่าปีศาจก็มีเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานอยู่แล้ว ยิ่งได้รับบาดเจ็บ นิสัยดุดันก็ยิ่งสำแดงเดช และในฐานะ ผู้ฝึกกระบี่ พลังสังหารก็ยิ่งมาก

การคุมเชิงเช่นนี้ไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยนัก

เปียนจิ้งมองผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอายุน้อยที่สีหน้าเฉยชาคนนั้น ได้ยินมาว่าใน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ห่างเพียงหนึ่งกำแพงกั้นแห่งนั้น ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ ก็ล้วนถูกขนานนามให้เป็น ‘เมล็ดพันธ์แห่งมหามรรคา’ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ เมล็ดพันธ์บัณฑิตของใต้หล้าไพศาล

ว่ากันว่าหลังจากที่ศึกใหญ่ครั้งหนึ่งปิดฉากลง ปีศาจตนนี้ก็แอบลอบเข้ามาใน ซากปรักสนามรบเพื่อหวังเสี่ยงดวง พยายามจะขโมยเอาเศษซากโครงกระดูกของ ผู้ฝึกกระบี่ไป แต่กลับถูกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มาลาดตระเวน จับตัวไป เอากลับมาขังไว้ในคุก สุดท้ายก็มีจุดจบไม่ต่างจากเผ่าปีศาจส่วนใหญ่ที่ถูกจับโยนมาที่นี่ ส่วนที่ตายก็ตายไป แต่หากมีชีวิตรอดมาได้ก็จะถูกพากลับมาที่คุกอีกครั้งเพื่อรักษาบาดแผลให้หายดี รอคอยการจับคู่เข่นฆ่าครั้งต่อไปที่ไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร

เปียนจิ้งไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยว่าทำไมคนไม่น้อยของใต้หล้าไพศาล ที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ถึงได้เกิดความเห็นอกเห็นใจ

ดังนั้นเวลานี้เปียนจิ้งที่ดื่มเหล้าจึงรอคอยวันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก รอคอยว่าถึงเวลานั้นเมื่อเผ่าปีศาจยึดครองใต้หล้าไพศาล จะเกิดจิตเมตตาของคนดี เกิดความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้หรือไม่

ความคิดและจิตใจของเปียนจิ้งจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก บางสิ่งบางอย่าง ที่รับรู้ความคิดทั้งหมดของเขาแอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบหัวใจเปียนจิ้ง พอเห็นดวงจิตขนาดเท่าเมล็ดงาของเปียนจิ้งแล้วก็แสยะยิ้ม ทั่วร่างของสิ่งนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเปลี่ยวร้าง เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ชักนำให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตหลายแห่งของผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองพากันส่ายไหวแล้วเดือดพล่านดุจน้ำมันในกระทะร้อน โชคดีที่ปราณขุมนั้นแค่ กระจายออกไปเล็กน้อย

ไม่จำเป็นต้องให้เปียนจิ้งใช้จิตกำราบก็ถูกตัวของสิ่งนั้นเก็บมาเองอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยพิรุธ เพราะจากนั้นก็คงต้องถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นล้อมฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย เซียนกระบี่พวกนี้ไม่ใช่หมาแมวขอบเขตหยกดิบอะไรทั้งนั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นยังไม่พอจะยัดร่องฟันของมันด้วยซ้ำ แต่ไม่แน่ว่าในบรรดานี้อาจมีพวกตาแก่บางคนของแซ่ต่ง ฉี เฉินรวมอยู่ด้วย นี่ต่างหากที่จะยุ่งยาก กลายเป็นว่า ทุกอย่างที่ทำมาจะเสียเปล่าทั้งที่อยู่ห่างความสำเร็จอีกแค่ก้าวเดียว ยามที่บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลร่ายหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ขึ้นมา นับว่ายังพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง

มันเพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งกับดวงจิตเมล็ดงาของเปียนจิ้ง “หลังจากทำสำเร็จ คุณความชอบของข้ามากพอจะทำให้เจ้าได้รับอาวุธเซียนบางชิ้นได้ บวกกับข้อตกลงก่อนหน้านี้ ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ส่วนจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องดูที่โชควาสนาของตัวเจ้าเองแล้ว กลายเป็นขอบเขตบินทะยาน อีกทั้งยังมีกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่ง ยังจะมีใต้หล้าไพศาล ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอะไรอยู่อีก? จะมีที่ใดที่เจ้าไปเยือนไม่ได้บ้าง? ที่ใดใต้ฝ่าเท้าที่ไม่ใช่ยอดเขา? คนอย่างพวกหลินจวินปี้ เฉินผิงอัน ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรูก็ล้วนเป็นเพียงแค่มดตัวเล็กที่ไม่มีค่าคู่ควรให้เปียนจิ้งก้มหน้าลงมอง”

การไปมาระหว่างภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ มีประตูใหญ่ อยู่สองแห่ง

คู่อาจารย์และศิษย์อย่างฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่ว รวมไปถึงสหายสองคนอย่างหลูสุ้ยและเริ่นหลงฉง คนทั้งสี่เดินทางเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน

ป๋ายโส่วเวียนหัวตาลาย นั่งอาเจียนแห้งๆ อยู่กับพื้น ฉีจิ่งหลงย่อตัวลงช่วยกดบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ

เริ่นหลงฉงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เพียงแต่ฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ขณะเดียวกัน ก็ถูกหลูสุ้ยกุมมือช่วยสร้างความมั่นคงให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงวิญญาณ เริ่นหลงฉงที่สีหน้าซีดขาวถึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

และแทบจะเวลาเดียวกันนั้น ประตูบานใหญ่อีกบานก็มีสตรีคนหนึ่งออกจากตำหนักสุ่ยจิงมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ตอนที่หยุดยืนนิ่ง ปณิธานหมัดทั่วร่างของนางไหลรินออกมา สำหรับการกดกำราบที่พุ่งมามืดฟ้ามัวดินของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ขุมนั้น ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกปรับตัวไม่ทันเลยแม้แต่น้อย

นางเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ เดิมทีคิดจะไล่ตามรอยเท้าของเฉาสือ ไปพักอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือสร้างขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองเพื่อขัดเกลาขอบเขตร่างทองของตัวเอง หวังว่าจะสามารถใช้ขอบเขตเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดมาเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเดินทางไกล เพียงแต่พอได้ยินเรื่องราวบางอย่างตอนอยู่ในตำหนักสุ่ยจิ่งก็ทำให้นางรู้สึกว่านี่คือบัญชาจากสวรรค์! นี่จึงเป็นเหตุให้สิ่งเดียวที่นางต้องการในเวลานี้ก็คือ ใช้หมัดปะทะหมัดกับคนที่เฉาสือและหลิวโยวโจวพูดถึง อยู่บ่อยครั้งบนหัวกำแพง ให้เขาต้องแพ้ติดต่อกันสามครั้งอีกครา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version