Skip to content

Sword of Coming 599

บทที่ 599 หมัดเดียวต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่ำ

ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยคารวะแม่นางหนิง”

หนิงเหยายิ้มกล่าว “ดีใจมากที่ได้พบกับอาจารย์หลิว”

ป๋ายโส่วยื่นมือมาปัดนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่วางไว้บนศีรษะตัวเองออก เขารู้สึกมึนงงสับสน คำเรียกขานเช่นนี้ ชวนให้ขบคิดแหะ

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตามไปด้วย

ส่วนกาเหล้าที่วางไว้บนม้านั่งตัวยาวนั้น ก่อนที่เขาจะเอาสองมือสอดกันก็แอบยื่นนิ้วข้างหนึ่งผลักมันไปไว้ข้างกายป๋ายโส่วก่อนแล้ว อาจารย์และศิษย์คู่นี้ เป็นคู่ผีขี้เหล้าน้อยใหญ่ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ต้องเกลี้ยกล่อมสักหน่อยแล้ว

หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน

ป๋ายโส่วขยับไปนั่งข้างกายฉีจิ่งหลง ตอนที่ลุกขึ้นยังไม่ลืมหยิบเหล้ากานั้นมาด้วย

หนิงเหยาเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยว่า “ในอดีตข้าเคยไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปมาก่อน เพียงแต่ว่าไม่เคยไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนใหญ่ล้วนท่องอยู่ด้านล่างภูเขา”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “วันหน้าสามารถหวนกลับไปยังอุตรกุรุทวีปพร้อมกับ เฉินผิงอันได้ ทัศนียภาพบนยอดเขาเพียนหรานไม่เลวเลยจริงๆ”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ช่วงนี้คงจะยาก”

ฉีจิ่งหลงตอบ “ก็จริง”

หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มป๋ายโส่ว

ป๋ายโส่วรีบขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวมทันที

หนิงเหยาเอ่ย “ในเมื่อเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของอาจารย์หลิว เหตุใดไม่ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”

แม้ว่าในประโยคจะมีคำว่า ‘ทำไม’ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แสดงการซักไซ้

ป๋ายโส่วตอบอย่างระมัดระวังราวกับกำลังตอบคำถามของอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน “พี่หญิงหนิง ข้าจะตั้งใจ!”

หนิงเหยาเอ่ย “ฝึกกระบี่เรียนกระบี่ จำเป็นต้องถามเจตนาเดิมของตัวเอง ถามกระบี่ ถามกระบี่ คือการที่ตนคิดร้อยพันตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จึงต้องใช้กระบี่ถามฟ้าดินโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด ต้องสอนให้ฟ้าดินรู้ว่า ไม่อยากตอบก็ต้องตอบ”

เด็กหนุ่มน้อยใจแต่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

แต่คำพูดของพี่หญิงหนิงก็ช่างเต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญจริงๆ เวลานี้ฟังคำสอนของพี่หญิงหนิง เขาก็ถึงขั้นอยากดื่มเหล้าแล้ว จะต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีๆ แน่นอน

ฉีจิ่งหลงไม่คิดว่าคำพูดของหนิงเหยามีอะไรไม่เหมาะสม

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่พูดประโยคนี้ บางทีอาจไม่ถูกกาลเทศะ แต่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หนิงเหยาชี้แนะวิชากระบี่ให้แก่ผู้อื่น ก็ไม่ต่างจากเซียนกระบี่ถ่ายทอดความรู้ให้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หนิงเหยายังยินดีจะเอ่ยเช่นนี้ ไม่ใช่ว่า หนิงเหยาต้องการจะพิสูจน์ข่าวลือ แต่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางคือเพื่อนของเฉินผิงอัน และลูกศิษย์ของเพื่อน ขณะเดียวกันก็เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ฝึกกระบี่

หนิงเหยาลุกขึ้นเอ่ยขอตัว “ข้าไปปิดด่านต่อแล้ว”

ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นตาม “รบกวนการปิดด่านของแม่นางหนิงแล้ว”

หนิงเหยาหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ในบ้านยังมีเหล้าที่เก็บเอาไว้เป็นอย่างดีอยู่อีก ไปขอจากท่านปู่น่าหลันได้เลย”

ฉีจิ่งหลงอึ้งตะลึง ก่อนจะอธิบายว่า “แม่นางหนิง ข้าไม่ดื่มเหล้า”

หนิงเหยายิ้มกล่าว “อาจารย์หลิวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ต่อให้สุราในจวนหนิง มีไม่มากพอ กำแพงเมืองปราณกระบี่นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้วก็สุรานี่แหละที่มีเยอะ”

เฉินผิงอันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้ารับ “นั่นสิๆ”

แล้วแอบยกนิ้วโป้งให้หนิงเหยา

อันที่จริงในบันทึกภูเขาสายน้ำที่เฉินผิงอันเขียนด้วยตัวเองเล่มนั้น สรุปว่าฉีจิ่งหลงชอบดื่มเหล้าหรือไม่ เขาเขียนบอกไว้นานแล้ว แน่นอนว่าหนิงเหยาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ

พอหนิงเหยาจากไป

ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอนตัวพิงพังพาบอยู่กับราวรั้ว ของศาลา พูดด้วยสายตาที่มีแววตำหนิ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่กลัวพี่หญิงหนิงเลยหรือ? ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกับเจ้าสำนักยังไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้ มาก่อนเลย”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “กลัวอะไรกัน บุรุษตัวโตๆ จะกลัวภรรยาของตัวเองได้อย่างไร”

ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามองไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างระเบียงทางเดินกับหน้าผาสังหารมังกร

เส้นเอ็นหัวใจเฉินผิงอันหดเกร็งทันใด ยื่นคอยืดยาวออกไปมอง แต่กลับไม่เห็นเรือนร่างของหนิงเหยา ถึงได้ด่าขำๆ ว่า “ฉีจิ่งหลง เจ้าตัวดี กลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว หลักการเหตุผลไม่เห็นมีเพิ่มขึ้น แต่ความคิดชั่วร้ายกลับมีเต็มท้อง!”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าบอกข้ามาตามตรง สรุปว่าทุกวันนี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีกี่คนที่คิดว่าข้าเป็นผีขี้เหล้า? ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูด”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเองก็เห็นว่าข้าเพิ่งจะมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้นานแค่ไหนกันเอง ทุกวันต้องยุ่งวุ่นวาย ต้องมานะขยันฝึกวิชาหมัด ใช่ไหม? แล้วยังต้องไปหาศิษย์พี่ที่หัวกำแพงเมืองเพื่อฝึกกระบี่บ่อยๆ อีก หากไม่ทันระวังก็จะต้องนอน บนเตียงสิบวันครึ่งเดือน แล้วทุกวันยังต้องหลอมลมปราณอีกสิบชั่วยามเต็ม ดังนั้น ทุกวันนี้จึงฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณแล้ว เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตห้า อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่บนถนนทุกเส้นล้วนเต็มไปด้วยเซียนกระบี่ ข้าจะมีหน้าออกมาเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกบ่อยๆ หรือ? เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถอะว่าหนึ่งปีมานี้ ข้าจะได้รู้จักคนสักกี่คนกันเชียว?”

ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ต้องอธิบายยาวขนาดนี้เชียว?”

เฉินผิงอันบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีจริงๆ

ฉีจิ่งหลงยิ้มพูดพลางลุกขึ้นยืน “ได้ยินชื่อเสียงของแท่นสังหารมังกรและฟ้าดินเล็กเมล็ดงาของจวนหนิงมานานแล้ว แท่นสังหารมังกรได้เห็นแล้ว ลงไปดู ลานประลองยุทธกัน”

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างกังขา “ได้เห็นแท่นสังหารมังกรที่ไหน อยู่ที่ไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีหัวสุนัขน้อยๆ เสียเปล่า ตาสุนัขหรือไรเจ้า?”

ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เห็นแก่หน้าของพี่หญิงหนิง ข้าจะไม่ถือสาเจ้า!”

เฉินผิงอันกระทืบเท้า “ก้มหัวสุนัขลงมอง เบิกตาสุนัขให้กว้าง”

ป๋ายโส่วอึ้งงันเป็นไก่ไม้ “ภูเขาเล็กๆ ทั้งลูกด้านล่างศาลานี้ก็คือแท่นสังหารมังกรทั้งหมดเลยหรือ?!”

เฉินผิงอันเดินลงจากแท่นสังหารมังกรมุ่งหน้าไปยังฟ้าดินเล็กเมล็ดงาแห่งนั้นพร้อมกับฉีจิ่งหลงแล้ว

ป๋ายโส่วไม่ได้ไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย ฟ้าดินเล็กเมล็ดงาอะไรกัน ไหนเลย จะทำให้เด็กหนุ่มสนใจได้มากกว่าอยู่บนแท่นสังหารมังกร ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คลังเจี่ยจ้าง แค่เคยได้ยินมาว่าที่นี่มีแท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่มาก แต่ตอนนั้นจินตนาการของเด็กหนุ่มมีจำกัด คิดว่าอย่างมากก็น่าจะใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง ไหนเลยจะคิดได้ว่ามันจะมีขนาดพอๆ กับจวนหนึ่งหลัง! เวลานี้ป๋ายโส่วนอนคว่ำอยู่บนพื้น กระดกก้นขึ้น ยื่นมือไปลูบพื้นดิน จากนั้นก็เบี่ยงหน้าไปด้านข้าง งอนิ้วเคาะลงเบาๆ เพื่อฟังเสียงของมัน ผลคือไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ป๋ายโส่วใช้ข้อมือ เช็ดพื้น พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เด็กดี บ้านของพี่หญิงหนิงมีเงินจริงๆ !”

เดินเข้าไปในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาพร้อมกับเฉินผิงอัน ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ตอนอยู่ที่คลังเจี่ยจ้างได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อย ฉายาเถ้าแก่รองนี้ อย่าว่าแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย ต่อให้ตอนข้าอยู่เรือนชุนฟานก็ยังได้ยิน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องดีไม่ทิ้งชื่อ เรื่องเลวร้ายแพร่ไปพันลี้”

ฉีจิ่งหลงถาม “คุยกันที่นี่หรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นคำพูดทั่วไป ไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง”

มีน่าหลันเย่สิงคอยช่วยจับตามองให้อยู่ บวกกับที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ต่อให้มีเซียนกระบี่ลอบมองมาก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงพลังสังหารจากการ รวมตัวกันของสามกองกำลัง

นอกจากเซียนกระบี่ของจวนหนิงที่ต่อให้ขอบเขตถดถอยก็ยังเป็นหยกดิบอย่างน่าหลันเย่สิงแล้ว เดิมทีฉีจิ่งหลงก็เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เบื้องหลังยังมี หานไหวจื่อเจ้าสำนักและลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิง หรือควรจะพูดว่าตลอดทั้งอุตรกุรุทวีป ส่วนเฉินผิงอันก็มีศิษย์พี่จั่วโย่วที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง แค่นี้ก็เพียงพอ

ฉีจิ่งหลงถึงได้เอ่ยว่า “มีอยู่สามเรื่องที่เจ้าทำได้ดีมาก ความรู้ที่ไม่เก็บเงินในใต้หล้า ความรู้ประเภทที่ว่าถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นให้คนเก็บมาได้เปล่าๆ ส่วนใหญ่มักจะ ไม่มีคนสนใจ เก็บมาแล้วก็ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า”

สีหน้าของเฉินผิงอันจริงจัง “พูดต่อได้เลย เจ้าเป็นคนนอกของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ช่วยข้าทบทวนกระดานหมากย่อมดียิ่งกว่า”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยเนิบช้า “เปิดร้านเหล้า ขายเหล้าหมักตระกูลเซียน แต่จุดสำคัญนั้นอยู่ที่คำโคลงคู่และคำกลอน รวมไปถึงชื่อและความในใจของทุกคนที่เขียนลงไป บนป้ายสงบสุข ต่อให้ไปดื่มเหล้าที่ร้านก็มองไม่เห็น”

“ทางฝั่งของร้านผ้าแพร จากตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ไปจนถึงตำรา ตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ แล้วก็ไปถึงพัดพับ”

“นักเล่านิทานตรงมุมของถนนที่ขอขนมและเมล็ดแตงจากพวกเด็กๆ กิน”

ฉีจิ่งหลงพูดสามเรื่องนี้จบก็เริ่มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง “ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้านี้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด แล้วก็จนที่สุด ก็คือผู้ฝึกกระบี่ เพื่อเลี้ยงกระบี่ คอยเติมเต็ม หลุมที่ไร้ก้นนี้ แต่ละคนยอมทุบหม้อขายเหล็กจนเหมือนคนล้มละลาย บางครั้ง มีเงินเหลือบ้าง อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ บุรุษก็หนีไม่พ้นเอามาใช้ซื้อ เหล้าดื่มและพนันขันต่อ ส่วนผู้ฝึกกระบี่หญิง เมื่อเทียบกันแล้วจะไม่มีเรื่องให้ทำมากกว่า นี่ก็หนีไม่พ้นอาศัยความชื่นชอบของแต่ละคนมาซื้อของที่ถูกตาต้องใจ เพียงแต่ว่าการจ่ายเงินประเภทนี้ มักจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สตรีรู้สึกว่ามีค่าควรให้เอามาพูดถึง เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูก หรือควรจะเรียกว่าเหล้าภูเขาชิงเสิน โดยทั่วไปแล้วคงได้แค่ทำให้คนมาดื่มครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่อาจรั้งคนเอาไว้ได้ ไม่อาจแย่งชิงลูกค้ามาจากร้านเหล้าน้อยใหญ่เหล่านั้น แต่ไม่ว่าความตั้งใจแรกจะเป็นอย่างไร ขอแค่ได้แขวนป้ายสงบสุขไว้บนผนังแล้ว ในใจก็จะมีความผูกพันเล็กๆ เกิดขึ้น มองดูเหมือนเบาบางมาก แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับพวกเซียนกระบี่ ที่มีนิสัยแตกต่างกันไป ใช้ปราณกระบี่ต่างพู่กัน ตวัดพู่กันจะเบาบางได้หรือ?

คำพูดมากมายบนป้ายสงบสุข ไหนเลยจะเป็นถ้อยคำที่ไร้ความตั้งใจได้ สำหรับเซียนกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่บางคนก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการทิ้งคำสั่งเสียให้แก่ฟ้าดิน แห่งนี้”

“หากเปลี่ยนมาเป็นข้าฉีจิ่งหลง ตอนที่ไปดื่มเหล้าที่ร้านแห่งนั้น ต่อให้จะนั่งอยู่บนโต๊ะเก่าๆ ดื่มเหล้าชั้นเลว กินบะหมี่หยางชุนกับผักดองที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงขั้นไปนั่งดื่มเหล้าข้างทาง แต่คนที่นั่งเคียงข้างข้าอย่างแท้จริงคือปณิธานอันแจ่มชัดของเซียนกระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่ร้อยกว่าท่าน คือจุดศูนย์รวมของปณิธานกระบี่ตลอดทั้งชีวิต คือความจริงในใจที่เอ่ยออกมาหลังเมามาย และยิ่งหวังว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่ คนรุ่นหลังจะมาพลิกเปิดป้ายสงบสุขเหล่านั้นแล้วได้รู้ว่า ระหว่างฟ้าดินเคยมีปราชญ์ ผู้ล่วงลับได้มาออกกระบี่ที่นี่”

“แน่นอนว่าเมื่อมีร้านเหล้าแล้ว ขอแค่กิจการไม่เลว เถ้าแก่รองอย่างเจ้าที่อยู่ที่นั่นก็สามารถใช้วิธีการเป็นธรรมชาติที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้มากที่สุดมารับฟังเรื่องราวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้มากที่สุด ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจกระดานหมากของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สถานการณ์ซับซ้อนด้วยความเร็วสูงสุด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นอกจากนี้แล้ว ข้ายังช่วยหาลูกค้ามาให้กับแม่นางเตี๋ยจ้าง ที่เป็นเพื่อนของหนิงเหยา และตอนนี้ก็เป็นเพื่อนของข้าด้วย นี่ต่างหากจึงจะเป็นเจตนาแรกเริ่มสุดของข้า ความคิดต่อมาจึงทยอยกันเกิดขึ้น เจตนาเดิมกับอุบาย อันที่จริงระหว่างสองอย่างนี้ห่างกันแค่นิดเดียว แทบจะเป็นว่าเมื่อมีความคิดแรก ผุดขึ้นมาก็มีความคิดต่อมาตามมาติดๆ”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “สามารถพูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้ได้ วันหน้าเมื่อได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ จิตแห่งกระบี่เดินไปบนเส้นทางที่สะอาดสว่าง ก็มากพอจะมาแขวนชื่อไว้ใน สำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้าแล้ว”

เฉินผิงอันถาม “ไม่ได้ลองเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนักหานดูหรือ?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เกลี้ยกล่อมแล้ว ก็แค่หาเรื่องให้ตัวเองโดนด่าเท่านั้น ยังจะทำอย่างไรได้อีก อันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้อยากจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่เป็นเพราะบรรพจารย์หวงถงเกลี้ยกล่อมข้าให้มาเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสเรียกร้องมา มิกล้าปฏิเสธ”

ก่อนหน้านี้ฉีจิ่งหลงลืมเหล้ากาที่อยู่บนม้านั่งยาวไปแล้ว เฉินผิงอันจึงช่วยหิ้วมาให้เขา ยามนี้จึงได้เวลาใช้งาน เขายื่นส่งมันไปให้อีกฝ่าย “ตามคำกล่าวของที่แห่งนี้ เซียนกระบี่ไม่ดื่มเหล้า ก่อกำเนิดจะจากไป รีบดื่มเร็วเข้า หากไม่ระวังแอบฝ่า ทะลุขอบเขตอีกรอบ กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินเหมือนกันแล้ว แล้วค่อยอาศัยวัย ที่น้อยกว่า ให้เจ้าสำนักหานกดขอบเขตมาประลองฝีมือกับเจ้า ถึงเวลานั้นซ้อมจนเจ้าสำนักหานของพวกเจ้าเป็นฝ่ายหนีกลับไปที่อุตรกุรุทวีปเอง นั่นจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ?”

ฉีจิ่งหลงรับกาเหล้ามา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เขาไม่อยากต่อบทสนทนาเรื่องนี้เลยสักนิด จึงเอ่ยหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อว่า “วัตถุอย่างตราประทับนั้น เดิมทีคือเครื่องประดับที่วางไว้บนโต๊ะของปัญญาชน สอดคล้องกับความรู้และจิตดั้งเดิมของ แต่ละบุคคลมากที่สุด ในใต้หล้าไพศาล อย่างมากสุดบัณฑิตก็ยืมมือคนอื่น ทุ่มเงิน ก้อนใหญ่จ้างผู้เชี่ยวชาญมาแกะสลักตัวอักษรและริมขอบตราประทับให้ น้อยครั้งที่จะมอบทั้งตราประทับและให้คนอื่นคิดตัวอักษรที่จะสลักไปพร้อมกันทีเดียว ดังนั้น การที่เจ้าทำตราประทับออกมาสองร้อยชิ้นโดยที่ไม่สนใจสิ่งใด ตอนแรกก็เป็น ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ก่อน ภายหลังจึงมีตำราตราประทับสองร้อย เซียนกระบี่ อยากอ่านหรือไม่ก็ตามใจ อยากซื้อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า อันที่จริง นี่เป็นการทดสอบเรื่องของการซื้อขายที่อาศัยการถูกชะตามากที่สุด ดังนั้นจึงถือว่า เจ้ามีความตั้งใจอย่างมาก แต่หากไม่มีเรื่องเล่าและข่าวลือเล็กๆ มากมายที่แพร่จากร้านเหล้าช่วยปูพื้นให้เจ้า ทำให้เจ้ามีเป้าหมาย การที่ต้องคาดเดาความคิดจิตใจ เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่เซียนดินตั้งมากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาดเดาเรื่องเส้นทางชีวิตของพวกเขา เจ้าย่อมมีทางได้ผลลัพธ์อย่างทุกวันนี้แน่นอน การที่ ทำให้คนยอมอดทนรอคอยตราประทับชิ้นถัดไป ต่อให้ตัวอักษรจะไม่ตรงใจ แต่ก็ยังถูกคนกวาดเอาไปเกลี้ยงได้อย่างทุกวันนี้ นั่นก็เพราะไม่ว่าใครล้วนรู้ดีว่า

ตราประทับของร้านผ้า เดิมทีก็ไม่แพงอยู่แล้ว ซื้อตราประทับมาสิบชิ้น ขอแค่ขายไปได้สักชิ้นก็ได้กำไรแล้ว ดังนั้นตอนที่เจ้าจะรวมเล่มตำราตราประทับสองร้อย เซียนกระบี่ อันที่จริงเจ้าก็เป็นกังวล กังวลว่าตราประทับนี้เป็นเพียงแค่การค้าเล็กๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากมีตราประทับชุดที่สาม จะทำให้วัตถุชิ้นนี้ล้นตลาด ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อแรงใจที่ทุ่มเทลงไปกับตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ก่อนหน้านี้ นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้าไม่ได้เดินไปบนเส้นทางสุดโต่ง ไม่ได้ทุ่มเทจิตใจ ทุ่มแรงกายทั้งหมดแกะสลักตราประทับอีกร้อยชิ้น แต่หันไปเลือกวิธีอื่นด้วยการขายพัดพับแทน เนื้อหาตัวอักษรบนหน้าพัดก็ยิ่งเขียนไปเรื่อยเปื่อยตามใจชอบ ‘ผลงานลายมือแท้ลำดับรองลงมา’ ประเภทนี้ ไม่เพียงแต่สามารถดึงให้สตรีมาซื้อ ในทางกลับกันยังทำให้พวกคนซื้อที่ตราประทับไปเก็บสะสมไว้มีการนำมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็จะรู้สึกว่าตราประทับที่ได้มาอยู่ในมือก่อนหน้านี้ ซื้อมาเก็บไว้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด และยังมีอีกข้อหนึ่ง การที่ข้าหันไปขายพัดพับแทนนั้นก็เพราะหวังว่าจะสามารถปกปิดความตั้งใจของตัวเองเอาไว้ได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเซียนกระบี่คนใดมองออกแล้วรู้สึกว่าคนผู้นี้กลอุบายลึกล้ำเกินไป จึงรู้สึกรังเกียจขึ้นมา แต่หากทำถึงขั้นนี้แล้วยังถูกคนจับได้ อันที่จริงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรแสวงหาความสมบูรณ์แบบกับทุกเรื่อง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็จะต้องมีโอกาสที่เซียนกระบี่บางท่านจะขบคิดได้ แล้วด่าขำๆ ว่าไอ้เด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่ถือสา? ก็เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มมา คนที่ข้าหวังให้ได้ตราประทับและพัดพับทุกชิ้นของข้าไปครอง ล้วนไม่ใช่พวกผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ความคิดจิตใจโปร่งใสเป็นที่สุด และประสบการณ์ชีวิตก็โชกโชนอย่างที่สุดอยู่แล้ว แน่นอนว่าในบรรดา คนเหล่านี้ หากมีใครที่มองความจริงออกแต่กลับไม่เปิดโปง หรือถึงขั้นยังยินดีที่จะเก็บตราประทับบางชิ้นที่ถูกชะตาเอาไว้ ข้าก็จะยิ่งเคารพเลื่อมใสเขาจากใจจริง หากมีโอกาสล่ะก็ ข้ายังจะพูดกับเขาต่อหน้าว่า ‘ใช้วิธีการต่ำช้าขายความรู้ เป็นผู้น้อยที่เสียมารยาท’ ด้วย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ความคิดรอบคอบรัดกุม รับมือได้อย่างเหมาะสม”

เฉินผิงอันตบไหล่ฉีจิ่งหลงหนักๆ “ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งเคยไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของข้า! ไปไม่เสียเที่ยวเลย! แต่เจ้าลูกกระต่ายป๋ายโส่วนั่นใช้ไม่ได้ หัวทึ่มไปสักหน่อย ได้แต่เรียนรู้มาอย่างผิวเผิน คำพูดของเขาก่อนหน้านี้น่ะเรียกว่ากลับลำอย่างแข็งทื่อ ช่วยให้เสียเรื่องซะมากกว่า”

ฉีจิ่งหลงกระดกเหล้าดื่มด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก มองไปยังทิศทางของร้านเหล้า ที่นั่นนอกจากผู้ฝึกกระบี่และสุราแล้ว ยังมีตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซี ฯลฯ และยังมีเด็กๆ หลายคนที่ตลอดชีวิตได้เห็นมาดของเซียนกระบี่มาจนเอียน แต่กลับไม่เคยรู้ถึงขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลแม้แต่น้อย ฉีจิ่งหลงเช็ดมุมปาก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากไม่มีเวลาหลายสิบปี หรือถึงขั้นเป็นร้อยปี เจ้าทำอย่างนี้ย่อมมีความหมาย ไม่มาก”

เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากไม่ทำอะไรบ้างเลย ในใจคงอึดอัดมากอย่างแน่นอน เรื่องนี้ก็เรียบง่ายเพียงเท่านี้ ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนนัก”

ฉีจิ่งหลงชูกาเหล้าขึ้นมาราวกับต้องการชนกับกาของเฉินผิงอันแล้วดื่มให้เต็มคราบ

ผลคือเฉินผิงอันพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “ข้าผู้อาวุโสต้องใช้กลยุทธทั้งหมดที่มี เปลืองแรงไปมหาศาลกว่าจะหลอกเอาเหล้าสองกานี้มาจากร้านเหล้าได้ กาหนึ่งให้เจ้า อีกกาหนึ่งป๋ายโส่วก็เอาไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพเซียน มีความสามารถมากขนาดที่หลอกเอาเหล้ามาสามกาได้รวดเดียวจริงๆ หรือไง?!”

ฉีจิ่งหลงร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่ดื่มอีก

ฉีจิ่งหลงถาม “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าบอกว่าเขียนจดหมายไปบอกให้เผยเฉียนมากำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินหน่วนซู่กับโจวหมี่ลี่จะทำอย่างไร? หากไม่ให้แม่นางน้อยสองคนมาด้วย ในจดหมายฉบับนั้นเจ้าได้อธิบายให้ดีหรือไม่? เจ้าน่าจะรู้ว่าด้วยนิสัยของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนั้นของเจ้า ได้รับจดหมายฉบับนั้นต้องไม่ต่างจากได้รับพระราชโองการแน่นอน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมจะโอ้อวดเพื่อนสองคนของนางด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินออกมาจากฟ้าดินเล็กเมล็ดงา “จะพาเจ้าไปดูอะไรหน่อย”

ป๋ายโส่วเดินลงมาจากหน้าผาสังหารมังกรแล้ว เขาเดินวนรอบภูเขาลูกเล็กอยู่หลายรอบ รู้สึกว่าแท่นสังหารมังกรใหญ่ขนาดนี้ ตนควรจะต้องเชิญจิตรกรมาช่วย วาดภาพเหมือนให้ตนสักภาพ ภาพตอนยืนอยู่ตรงตีนเขาภาพหนึ่ง นั่งอยู่ในศาลา อีกภาพหนึ่ง พอกลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาเพียนหราน พอคลี่ม้วนภาพนั้นออก เจ้าพวกคนที่สุมหัวอยู่ด้านข้างจะยังไม่สูดลมหายใจดังเฮือก ตาเบิกถลน กันทุกคนเลยหรอกหรือ ชื่อเสียงของสำนักก็จะเพิ่มขึ้นพรวดพราดเพราะ เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่ว ดังนั้นหากอาศัยคนแซ่หลิว คงไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรตนก็ควรจะต้องพึ่งตัวเอง อาศัยพี่น้องเฉินผิงอันของตน น่าจะพึ่งพาได้มากกว่า

ป๋ายโส่วเห็นว่าเจ้าคนสองคนที่สวมชุดเขียวเหมือนกันพากันเดินออกมาจาก ลานประลองยุทธ ก็เลยเดินตามคนทั้งสองไปยังที่พักของเฉินผิงอันด้วย

ป๋ายโส่วเห็นเรือนหลังเล็กที่น่าสงสารนั้น ในใจก็พลันรู้สึกเศร้าสร้อย จึงปลอบใจเฉินผิงอันว่า “พี่น้องคนดี ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันยกเท้าขึ้น

ป๋ายโส่ววิ่งหนีห่างไปไกล

ขนาดตัวเองยังรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย เด็กหนุ่มเดินเนิบช้าเข้าไปในบ้าน เลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่เดิมทีก็วางไว้ใต้ชายคาอยู่แล้ว แสร้งทำท่าเป็น นายท่านใหญ่

พอคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้าถ่านดำตัวขาดทุนผู้นั้นอาจโผล่มา ป๋ายโส่วก็รู้สึกเห็นค่าช่วงเวลาผ่อนคลายอันสงบสุขของตนในเวลานี้ยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าคนแซ่หลิวกับพี่น้องของตนกำลังคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่คุยเรื่อง ไร้สาระ แววตาแค่นี้เด็กหนุ่มยังพอจะมีอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่เข้าไปร่วมวงแล้ว

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินเข้าไปในห้องที่วางโต๊ะไว้สองตัว บนโต๊ะตัวหนึ่งยังวาง ซี่ไผ่โครงพัดหยกที่ยังขัดเกลาไม่เสร็จ รวมไปถึงหน้าพัดมากมายที่ขาวโพลน ไร้ตัวอักษร ตราประทับเปลือยๆ ที่ยังไม่มีตัวอักษรและการแกะสลักริมขอบก็มีอยู่ ไม่น้อย ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กแน่นขนัดบนกระดาษมากมายนั้นล้วนเป็น คำร่างของตัวอักษรที่จะสลักบนตราประทับและเนื้อหาบนหน้าพัด บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกันคือแผนที่ภูมิศาสตร์เตาเผามังกรทั้งหมดของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี

เขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ อาณาเขตหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่น ภูเขาเครื่องกระเบื้อง สุสานเทพเซียน และยังมีเตาเผามังกรทั้งหลาย ยังคงมี เมฆหมอกหนาชั้นปกคลุม ต่อให้โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนผ่านมาด้านบนก็ยังไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าทั้งหมดของพวกมันได้

ฉีจิ่งหลงยืนอยู่ข้างโต๊ะ วางกาเหล้าไว้บนโต๊ะเบาๆ ก้มหน้าลงมอง เตาเผามังกรทั้งหมดไม่ได้กระจายตัวอย่างไร้ระเบียบ แต่เรียงตัวกันเป็นเส้นโค้งยาวเส้นหนึ่ง ห่างจากเส้นยาวนี้ไปเล็กน้อย มีวงกลมเล็กๆ อยู่วงหนึ่ง ฉีจิ่งหลงชี้ไปที่จุดนั้น ถามว่า “คือบ่อโซ่เหล็กในเมืองเล็ก?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ฉีจิ่งหลงจ้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “เป็นภาพมังกรคาบไข่มุกโผบิน”

เฉินผิงอันพูดชื่นชม “สายตาดียิ่ง!”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ข้าวาดยันต์ค่ายกลบางส่วนเป็น สายตาดีกว่าของเจ้าเล็กน้อย ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ”

เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ใช้น้ำเสียงที่ผ่อนคลายที่สุดพูดว่าตัวเองร้ายกาจแค่ไหน ข้าได้เรียนรู้แล้ว”

ฉีจิ่งหลงสีหน้าเคร่งเครียด ยื่นมือมาลูบแผนที่ฉบับนั้นเบาๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ต่อให้จะแค่มองภาพนี้ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความดุร้ายและจิตสังหารที่วูบมาปะทะใบหน้า ดูท่าก่อนที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายจะตายไป จะต้องเคียดแค้นจนนึกอยากพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้ภูเขาสายน้ำหมุนตลบอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวฟุบตัวลงบนโต๊ะ

ฉีจิ่งหลงไล่อ่านชื่อของเตาเผามังกรเหล่านั้นไปทีละชื่อ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่ง ยื่นออกไปปาดผ่านแต่ละจุดเบาๆ “อยู่บนโครงกระดูกของมังกรที่แท้จริงตัวนั้นจริงๆ ด้วย สร้างเตาเผาขึ้นมาบนช่องโพรงสำคัญตามกระดูกสันหลังของมังกร เป็นเหตุให้เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตทุกชิ้นที่สร้างมาจากเตาเผามังกรล้วนมีวิชาอภินิหารแห่งชีวิตก่อนกำเนิดที่แตกต่างกันไป บุตรเก้าตัวของมังกรล้วนแตกต่างกัน สุภาษิตเรื่องเล่ามากมายที่สามารถถ่ายทอดมาสู่หมู่ชาวบ้านร้านตลาดได้นั้น ล้วนมีความรู้ ที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเดินเล่นในเมืองเล็ก แล้วก็ไปที่สะพานหินโค้งแห่งนั้น รวมไปถึงร้านกระบี่ที่อริยะหร่วนฉงสร้างขึ้นมาริมลำคลองหลงซวีด้วย บ่อน้ำเจ็ดแห่งที่ไม่ค่อยสะดุดตาพวกนั้น นอกจากเจ็ดองค์ประกอบขจัดภัยที่มีอยู่ในตัวเอง สามารถแบกรับผลกรรมของลัทธิพุทธได้แล้ว ในความเป็นจริงแล้วยังขานรับอยู่กับโครงกระดูกของมังกรตัวนี้อยู่ไกลๆ คือการช่วงชิงไข่มุกกัน แน่นอนว่าความตั้งใจเดิมหาใช่ต้องการจะช่วงชิง ‘หลีจู’ (หลีจูมีหลายความหมาย แปลได้ว่าไข่มุกหรืออัญมณี ที่ล้ำค่า และยังแปลได้ว่าดวงตามังกร) แต่ความหมายในการสยบความชั่วร้ายคว้า ชัยชนะนั้นมีมากกว่า อีกทั้งยังไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่นี้ เดิมทีเป็นสถานการณ์ที่อยู่ บนนภา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ทว่าเมื่อถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงหล่นลงสู่โลกมนุษย์ เชื่อมต่อกับอาณาเขตของต้าหลี ก็เกิดการพลิกกลับอย่างมหัศจรรย์ สลับกลายมาเป็นสถานการณ์บนปฐพีในเสี้ยววินาที อีกทั้งบวกกับที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเลือก ภูเขาใหญ่ทางแถบทิศตะวันตกเป็นตาของค่ายกล

ชักนำโชคชะตาเข้ามาในบ่อน้ำทั้งเจ็ดอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นสถานการณ์ที่ เทียนขุยเทียนเยว่ (เทียนขุยและเทียนเยว่คือชื่อของดวงดาว ซึ่งทั้งสองเป็นตัวแทนของผู้สูงศักดิ์ เทียนขุยเป็นตัวแทนของผู้สูงศักดิ์เพศชาย เทียนเยว่เป็นตัวแทนของ ผู้สูงศักดิ์เพศหญิง) คอยประคับประคองช่วยเหลือ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำส่วนใหญ่ถูกนำกลับมาหล่อเลี้ยงภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ เพียงแค่พูดถึงการจัดวางของเตาเผามังกรเหล่านี้ อันที่จริงเมื่อเทียบกับแผนที่ภูมิศาสตร์ การตามหาเส้นทางมังกรในปัจจุบันแล้ว โดยภาพรวมจะช่วยป้องกันความเสี่ยงให้แก่กันมากกว่า แต่กลับสามารถใช้สัจธรรมแห่งฟ้ามาสยบสัจธรรมแห่งดิน ช่างเป็นการลงทุนก้อนใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเสียจริง ยกตัวอย่างเช่นเตาเหวินชางกับเตาอู่หลงที่อยู่ใกล้กัน ตามหลักทฤษฎีเส้นรุ้งเส้นแวงที่สำนักหยินหยางของใต้หล้าไพศาลยกย่องในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นบนแผนที่ที่เจ้าวาดขึ้นมานี้ เตาเหวินชางจำเป็นต้องขยับออกไปด้านล่างครึ่งชุ่น หรือไม่ก็ให้เตาอู่หลงขยับไปทางขวาหนึ่งชุ่น ถึงจะได้ขอบเขตที่บุ๋นบู๊ของวิถีทางโลกช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะขาดความหมายไป หลายอย่าง ไม่ถูกสิ กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง จะต้องเป็นเตาแห่งอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับเตาสองแห่งนี้ นี่คือเตาชงเซียว? ก็ไม่ถูกอีก น่าจะเป็นสาเหตุจาก เตาก่งปี้แห่งนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเดินทางท่องเที่ยวผ่านที่นี่ ยังเห็นได้แค่เลือนราง ไม่ชัดเจนมากพอ ควรจะทะยานลมไปยังจุดสูงบนทะเลเมฆ ก้มหน้ามองลงมาให้ นานหน่อย…”

ทุกประโยคของฉีจิ่งหลง แน่นอนว่าเฉินผิงอันฟังเข้าใจทั้งหมด ส่วนความหมายในนั้น กลับไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ถึงอย่างไรใบหน้าเขาก็มีรอยยิ้ม เจ้าฉีจิ่งหลงพูดของเจ้าไป ข้าแค่รับฟังก็พอ หากข้าพูดมากแค่คำเดียวก็ถือว่าข้าแพ้

ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามาถาม “ตัวอักษรแปดตัวยามเกิดที่แน่นอนของเจ้าคืออะไร? ไม่อย่างนั้นหมากกระดานนี้ สำหรับข้าในเวลานี้แล้วยังคงยากเกินไป กระดานหมากใหญ่เกินไป หลักการลึกล้ำเกินไป หากมีเจ้าเป็นจุดเริ่มต้น นั่นถึงจะมีโอกาส ฝ่าสถานการณ์ไปได้”

เฉินผิงอันวางเมล็ดแตงกำหนึ่งลงบนโต๊ะ ยังคงเป็นเมล็ดแตงที่ขอคนอื่นเขามา เขาส่ายหน้า

ฉีจิ่งหลงขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าวางแผนที่จะทำลายสถานการณ์นี้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอม ให้ข้าช่วยเจ้าบ้าง? หากข้ายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้เลื่อนเป็น ห้าขอบเขตบนแล้ว เรื่องไม่คาดฝันจึงน้อยลงเยอะมาก”

เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง ยิ้มกล่าว “เจ้ามายุ่งด้วยไม่ได้ โกรธหรือไม่”

ฉีจิ่งหลงกลับไม่โกรธ เขานั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองภาพมังกรบินทะยานภาพเล็กๆ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศนับพันนับหมื่นภาพนั้นต่อไป บางครั้งก็ยื่นมือมา นับนิ้วคำนวณ ขณะเดียวกันก็เริ่มพลิกเปิดสมุดสองเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ

ขณะที่อ่านหนังสือ ฉีจิ่งหลงก็ถามชวนคุยว่า “เรื่องส่งจดหมายกลับบ้าน?”

เฉินผิงอันกล่าว “ปลอดภัยมั่นคงดี”

ฉีจิ่งหลงจึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก

เฉินผิงอันเอาแต่ง่วนอยู่กับการแทะเมล็ดแตง เรียกได้ว่าว่างมากจริงๆ

ตอนหลังก็ลุกไปยังโต๊ะด้านข้าง ยกพู่กันเขียนประโยคหนึ่งลงบนหน้าพัด ลมแปดทิศพัดข้าไม่สั่นคลอน ธงโบกใจไม่สะบัด

คิดแล้วก็เขียนตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันกำกับลงไปบนพื้นที่ว่างด้านข้างราวกับเป็นคำอธิบายว่า ‘หมื่นเรื่องผ่านใจ ล้วนคืนให้ฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งผ่านตา ล้วนกลายเป็นของข้า’

ถือหน้าพัด เป่าลมใส่รอยหมึกให้แห้ง แล้วเฉินผิงอันก็พยักหน้ากับตัวเอง ตัวอักษรดี อยู่ห่างจากขอบเขตของอริยะด้านตำราก็น่าจะเปลี่ยนจากห่างหมื่นก้าว มาเป็นห่างเก้าพันเก้าร้อยกว่าก้าวแล้ว

ฉีจิ่งหลงหมุนตัวมา ถามว่า “เจ้ารู้จักแม่นางหลูของภูเขาสุ่ยจิงหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “เทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิงผู้เลื่องชื่อ ข้าต้องรู้จักนางอยู่แล้ว แต่นางไม่รู้จักข้าหรอกนะ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? ทำไม หรือว่านางตามเจ้ามาที่ภูเขาห้อยหัวด้วย? ใช้ได้เลยนี่นา ความจริงใจทำให้ทองปริแตกได้ ข้าว่าไม่สู้เจ้ารับปากนางไปเถอะ คนอายุร้อยกว่าปีแล้ว เอาแต่อยู่ตัวเปล่าเล่าเปลือยแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผีขี้เหล้านักพนันล้วนดูแคลนคนโสด กันทั้งนั้นแหละ”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยอธิบาย “ไม่ได้ติดตามข้ามา แต่มาเจอกันโดยบังเอิญที่ภูเขาห้อยหัว จากนั้นก็มาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับข้า”

เฉินผิงอันที่มือหนึ่งถือพู่กันหยิบเปลี่ยนหน้าพัดใหม่เอี่ยมมาอีกหนึ่งอัน คิดว่า จะควักน้ำหมึกในท้องออกมาอีกสักหน่อย บอกตามตรง ทั้งตราประทับทั้งพัดพับ ถังน้ำหมึกครึ่งถังของเฉินผิงอันไม่พอให้เอามาแกว่งแล้ว เขายกมือขึ้น คร้านจะพูดกับฉีจิ่งหลงให้เปลืองน้ำลาย “คิดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาคุยกับข้า”

ฉีจิ่งหลงเหมือนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ ข้าควรทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนหน้าพัดต่อไป ปากก็พูดง่ายๆ ว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็แค่ทำตามมารยาทที่สมควรเท่านั้น นางมาพบเจ้า เจ้าก็ออกไปพบ อย่าได้ทำหน้าคร่ำเคร่ง คนเขาชอบเจ้า ไม่ได้ติดค้างเงินเจ้าสักหน่อย พอได้พบกันหลายครั้งเข้า ต่อให้เจ้าไม่ยินดีเป็นฝ่ายจะไปหานางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเข้าใจผิด ก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเมื่อต้องจากลากัน ไม่ว่าใครที่จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน เจ้าเป็นฝ่ายไปหานางก่อนสักครั้ง เอ่ยลากับนาง สักคำก็พอ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ไม่มีสตรีที่ชื่นชอบ อันที่จริงกลับทำให้ผึ่งผายได้มากกว่านี้อีก หากเจ้าเอาแต่ระมัดระวังอย่างเดียว กลับจะยิ่งทำให้นางคิดมากได้ง่าย”

ฉีจิ่งหลงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง

ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันเขียนลงไปบนหน้าพัด ไม่ได้เคร่งขรึมจริงจังเหมือนหน้าพัดอันก่อนหน้านี้ แต่จงใจให้มีกลิ่นอายของความอ่อนหวานของสตรีมากขึ้น ถึงอย่างไร ก็เป็นของที่เอาไปวางขายไว้ในร้านผ้า หากจริงจังเกินไป อย่าว่าแต่จะเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่เลย บางทีอาจยังขายไม่ออกด้วยซ้ำ เขาจึงเขียนประโยคว่า ‘คนที่คิดถึง คุณชายผู้สง่างาม คือสายลมดับร้อนอันดับหนึ่งบนโลก’

ฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองตัวอักษรบนหน้าพัดแล้วก็พูดไม่ออก

หวังจริงๆ ว่าตนจะเก็บคำพูดดีๆ ก่อนหน้านี้ได้กลับมาสักเกินครึ่ง เห็นได้ชัดว่าเจ้าคนที่เดินทางท่องอุตรกุรุทวีปไปตลอดทางก็เป็นร้านผ้าห่อไปตลอดทางตรงหน้าผู้นี้ ไม่เคยคิดเรื่องหาเงินน้อยลงเลย!

ความคิดมากมายบนโลกใบนี้ก็เหมือนเส้นเส้นหนึ่งที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่ละความคิดที่ถือกำเนิด แรงบันดาลใจในการประพันธ์ก็ยิ่งเหมือนตาน้ำพุผุดพุ่ง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เขียนอีกประโยคลงบนหน้าพัด ‘นับแต่โบราณสถานที่แห่งนี้ ไร้ไอร้อนแผดเผา ที่แท้ปราณกระบี่ก็ผลาญมันจนสิ้นสูญ’

ค่อนข้างพอใจกับประโยคนี้ เฉินผิงอันจึงหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งที่แกะสลักเสร็จเรียบร้อยแล้วมา เปิดกล่องตราประทับออกแล้วประทับลงด้านล่างของกลอนบทนี้เบาๆ ตราประทับสลักอักษรคำว่า ลมทองน้ำค้างหยก หญ้าเขียวขุนเขามรกต สองประโยคสอดคล้องรับกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษที่ซื้อพัดเล่มนี้ ก็ได้ทั้งนั้น

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ฝึกฝนจิตใจอย่างยากลำบาก ถือโอกาสฝึกฝนตัวเองให้เป็นร้านผ้าห่อบุญที่คิดคำนวณทุกอย่างอย่างรอบคอบแม่นยำด้วย เจ้าไม่เคยทำการค้า ที่ขาดทุนเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “เจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมข้าเสียทีเถอะ ระวังจะโดนกรรมตามสนอง ข้าจะเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเทพธิดาหลูจะต้องมอบตราประทับหรือไม่ก็พัดพับที่มาจากฝีมือข้าให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าจะเดิมพันด้วยไหมล่ะ?”

ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน “ข้าไปก่อนล่ะ ยังต้องไปที่หัวกำแพงเมืองเพื่อถ่ายทอด วิชากระบี่ให้กับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูออกมาด้วยกัน ป๋ายโส่วยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นเฉินผิงอันก็ยกเหล้ากาที่อยู่ในมือขึ้น เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเผยเฉียนมาถึงเร็ว ได้พบกับเจ้า ข้าจะช่วยตำหนินางแทนเจ้าเอง”

ป๋ายโส่วหลุดหัวเราะพรืด “ใช่ว่าทุกวันนี้ข้าจะเอาชนะนางจริงๆ ไม่ได้สักหน่อย ก็แค่นางอายุน้อย เริ่มฝึกหมัดช้า อีกทั้งยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ข้าจะกล้าออกแรงออกกระบวนท่าเต็มกำลังได้อย่างไร ต่อให้ชนะนางได้แล้วอย่างไร ไม่ว่ามองอย่างไรข้าก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้าถึงได้ไม่ยินดีให้มีการประลองครั้งที่สองอย่างไรเล่า”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “พูดจาให้ดีๆ”

ป๋ายโส่วรีบลุกขึ้นยืนทันใด วิ่งตุปัดตุเป๋มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มือทั้งสองข้างถือประคองเหล้ากานั้น “พี่น้องคนดี ขอร้องเจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเผยเฉียนหน่อย อย่าได้ประลองบู๊กันอีกเลย จะทำลายความปรองดองกันเปล่าๆ”

เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วตบหัวเด็กหนุ่มไปทีหนึ่ง “ไม่ว่าจะอยู่ในคลังเจี่ยจ้างหรือบนหัวกำแพงเมือง เจ้าควรฝึกกระบี่ให้มากพูดให้น้อย ไม่อย่างนั้นด้วยปากแบบนี้ของเจ้าก็ง่ายที่จะชักนำกระบี่บินของเซียนกระบี่ให้พุ่งมาหา”

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน ให้ความเคารพกันหน่อย ไม่รู้จักเด็ก จักผู้ใหญ่ หัดมีสัมมาคารวะบ้างได้ไหม?!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พอเผยเฉียนมาถึง หากเจ้ากล้าเรียกข้าว่าพี่น้องต่อหน้านาง ข้าก็จะยอมรับพี่น้องอย่างเจ้า เป็นอย่างไร?”

ป๋ายโส่วชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง “พี่น้องไม่พี่น้อง รอให้เผยเฉียนจากไปก่อนแล้วค่อยมาเป็นกันดีกว่ากระมัง”

เฉินผิงอันพูดเยาะเย้ย “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้าสิ”

สองมือของป๋ายโส่วประกบกันทำท่ามุทรากระบี่ แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า “วีรบุรุษชายชาตรีค้ำฟ้ายันดิน ไม่มัวมาขุ่นเคืองถือสาแม่นางน้อยหรอก”

เฉินผิงอันหัวเราะ ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม

มีเขาอยู่เคียงข้างฉีจิ่งหลงก็ไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นหากทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างก็เป็นน้ำเต้าตันทั้งคู่ คงไม่ค่อยดีเท่าไร

เฉินผิงอันเดินมาส่งฉีจิ่งหลงที่หน้าประตูใหญ่จวนหนิง ป๋ายโส่วเดินเร็วๆ ลงบันไดไปแล้วก็ยักไหล่ พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “จะได้ถามหมัดแล้ว เจ้าหนึ่งหมัดข้าหนึ่งหมัด”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ควบคุมเขาสักหน่อยหรือ?”

ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงหันไปพูดกับป๋ายโส่วว่า “คำพูดที่เป็นความจริงแบบนี้ เก็บไว้ในใจ ก็พอแล้ว”

ฉีจิ่งหลงหมุนตัว หันไปคารวะบอกลาน่าหลันเย่สิงที่อยู่ด้านข้าง

ป๋ายโส่วเห็นแล้วก็กุมหมัดคารวะตามคนแซ่หลิวอยู่ไกลๆ

สองอาจารย์และศิษย์ออกจากนครมุ่งหน้าไปยังคลังเจี่ยจ้าง

เฉินผิงอันเดินเคียงบ่ากับน่าหลันเย่สิง ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนคุณหนูจะปิดด่านได้ฝากให้ข้ามาบอกท่านเขย มีแค่สองคำ อย่าแพ้”

เฉินผิงอันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าควรจะออกหมัดหนักเบาแค่ไหน”

เกี่ยวกับระดับความสูงของคอขวดขอบเขตหกของตนและอวี้เจวี้ยนฟู เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่ในใจแล้ว ก่อนจะไปถึงยอดเขาสิงโตแล้วให้ท่านอาหลี่เอ้อร์ป้อนหมัดให้ เป็นอวี้เจวี้ยนฟูที่ขอบเขตสูงกว่าจริงๆ แต่ตอนที่เขาฝ่าคอขวดเลื่อนเป็นขอบเขต ร่างทองได้สำเร็จ ก็เหนือกว่าวิถีวรยุทธขอบเขตหกของอวี้เจวี้ยนฟูไปหนึ่งระดับแล้ว

หากไม่นับเฉาสือที่เฉินผิงอันคอยไล่ตามอยู่เงียบๆ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนอื่นๆ ขอแค่เป็นการช่วงชิงของขอบเขตเดียวกัน เฉินผิงอันก็ไม่อยากแพ้ แล้วก็แพ้ไม่ได้ด้วย

ส่วนเฉาสือนั้น ต่อให้ในอนาคตจะต้องแพ้อีกฝ่ายสามครั้ง หรืออาจถึงสามสิบครั้ง ขอแค่เฉาสือยังยินดีออกหมัด ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็จะออกหมัดไม่หยุด ความมั่นใจจะไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิด

จุดที่จิตของข้ามุ่งไปหา คือความรู้ของอาจารย์ฉี คือปณิธานหมัดของชุยเฉิง คือความอิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งที่อาเหลียงเคยพูดถึง นี่จึงเป็นเหตุให้บนมหามรรคา ในใจข้าไม่มีศัตรู มีเพียงข้าเฉินผิงอันที่เป็นศัตรูกับเฉินผิงอันเท่านั้น

น่าหลันเย่สิงประหลาดใจเล็กน้อย เขาหันหน้ามามอง

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ปณิธานฮึกเหิมพลุ่งพล่าน ปณิธานหมัดเอ่อล้น

ดังนั้นต่อมาเฉินผิงอันจึงต้องนอนแบ๊บอยู่บนเตียงถึงครึ่งเดือนเต็ม

บนหัวกำแพงเมือง สตรีที่มัดผมมวยขดเป็นก้อนซาลาเปากำลังนั่งแทะแผ่นแป้งย่าง ก่อนหน้านี้นางส่งข่าวไปที่นครแล้ว พูดอย่างชัดเจนว่าต้องการประลองฝีมือกับ เฉินผิงอันสามครั้ง ผลคืออาศัยข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ จึงรู้ว่าเถ้าแก่รองที่อยู่ในจวนหนิงคนนั้นอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้ออกจากจวนมาครึ่งเดือนแล้ว นางตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดใต้หล้าถึงได้มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่หน้าไม่อายขนาดนี้อยู่ด้วย?

ตอนนั้นเฉาสือพูดผิด มองคนผิดไปหรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉาสือถึงได้บอกว่าท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกยุทธมากมายในใต้หล้าที่อายุพอๆ กัน มีแค่คนสามประเภทเท่านั้น นั่นคือเขาเฉาสือที่เดินนำหน้าไปเพียงลำพัง ด้านหลังที่ตามมาติดๆ คือ เฉินผิงอัน นอกจากนี้แล้วก็คือทุกคนที่รวมเจ้าอวี้เจวี้ยนฟูอยู่ด้วย?

ประเด็นสำคัญคือขอแค่เฉาสือยินดีเปิดปากพูด เขาก็มักจะจริงจังเสมอ ทั้งไม่เคยพูดจาดีๆ เกินความจำเป็น แล้วก็ไม่เคยพูดจาร้ายๆ ที่ไร้ความสำคัญ อย่างมากสุด คงกลัวว่านางอวี้เจวี้ยนฟูจะได้รับผลกระทบทางจิตใจ เฉาสือก็เลยฝืนนิสัยพูดเพิ่มมาหนึ่งประโยค ถือเป็นการเตือนนางอวี้เจวี้ยนฟู

‘เฉินผิงอันมีนิสัยดึงดันหนักแน่นมาก อีกทั้งบนวิถีวรยุทธที่เขาเดินไปจะต้องมั่นคงทุกย่างก้าว ขอแค่วันนี้แพ้ให้เขาหนึ่งครั้ง วันหน้าก็มีโอกาสสูงว่าจะต้องแพ้เขาทุกครั้ง ไม่แน่ว่าข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ ข้าจะไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เดินมาข้างกายข้าเด็ดขาด’

อวี้เจวี้ยนฟูลุกพรวดขึ้นยืน คนอย่างเฉินผิงอันก็มีคุณสมบัติให้เฉาสือมองเขาแตกต่างไปจากคนอื่นขนาดนี้ด้วยหรือ?!

ทั้งๆ ที่มีผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันท้ารบอย่างผึ่งผาย มีหมัดแต่กลับไม่ออกหมัด เจ้าจะเก็บเอาไว้กินแทนข้าวหรือไร?!

หรือว่ากริ่งเกรงที่พึ่งเบื้องหลังของข้าอวี้เจวี้ยนฟู? เพียงแค่เรื่องนี้ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว คนหนึ่งก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าแล้ว?

อวี้เจวี้ยนฟูกินแผ่นแป้งย่างหมดก็เก็บกาน้ำใส่ไว้ในห่อสัมภาระ ไม่ได้สะพายไว้บนร่าง แต่ขอให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยดูให้ ส่วนนางวิ่งตะบึงไปยังทิศเหนือของ หัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง แล้วพลันกระโดดทะยานตัวขึ้น สุดท้ายก้าวออกไปจาก ริมขอบของหัวกำแพง เหยียบลงบนผนัง วิ่งตะบึงลงไปยังพื้นดิน

ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นไปอีกหลายสิบจั้ง นางก็กระทืบเท้าลงบนกำแพงหนักๆ ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งฉิวออกไป พลิ้วกายลงบนพื้น แล้วพุ่งตัวไปยังนคร พลังอำนาจ น่าครั่นคร้าม

ไม่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่คนใดที่เปิดเผยความลับนี้ก่อน ยังไม่ทันที่สตรีผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะเข้าไปในนคร ด้านในนคร กิจการของบ่อนน้อยใหญ่ตามถนนต่างๆ กลับรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว แต่ละคนราวกับถูกฉีดเลือดไก่ (เปรียบเปรยว่าคึกคัก/ตื่นเต้น/ฮึกเหิม) เทียบกับการเดิมพันของสนามประลองหอมายาที่ทุกคนมุ่งตรงไปก็เพื่อหาเงินมาเลี้ยงกระบี่บินแล้ว ต่อให้เงินเดิมพันในครั้งนี้จะน้อยกว่า แต่กลับทำให้คนลิงโลดได้มากกว่า ราวกับกำลังเฉลิมฉลองวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น พากันตะโกนคำว่าลงเงินแล้วก็เอามือไปห่างๆ เดิมพันมากก็ได้มาก เงินก้อนหนึ่งได้เมียมาคนหนึ่ง มีการเดิมพันสารพัดรูปแบบ เสียงร้องเสียงรับดังขึ้นๆ ลงๆ ครึกครื้นอย่างยิ่ง และยังมีเจ้ามือบางคน ที่ไร้จิตสำนึกให้ลงเดิมพันว่า หลังจากที่เถ้าแก่รองชนะแล้ว จะถูกใจสตรีแซ่อวี้ พอนางชม้อยชายตาให้ก็เกิดใจสงสารจนไม่อาจเก็บซ่อนความคิดของบุรุษไว้ได้ จากนั้นจึงถูกหนิงเหยาซ้อมอย่างหนักหรือไม่

ส่วนรากฐานของอวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้น พวกนักพนันน้อยใหญ่ที่กินอิ่มว่างงานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ตรวจสอบจนรู้ชัดเจนหมดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่รองที่เจ้าเล่ห์ใจดำผู้นั้นยังต้องใช้หมัด ปะทะหมัดอย่างเดียว ทำให้เสียโอกาสใช้ลูกไม้มากมายในการหลอกคนไป อย่างเปล่าๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังคงลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะชนะการต่อสู้ ครั้งแรกนี้ได้อย่างมั่นคง เพียงแต่ว่าจะชนะได้ที่กี่สิบหมัด นั่นต่างหากจึงจะเป็น กุญแจสำคัญที่ตัดสินว่าจะได้กำไรมากหรือน้อย

แต่ก็มีนักพนันที่ประสบการณ์บนโต๊ะพนันโชกโชนบางคนคอยบ่นพึมพำอยู่ในใจไม่หยุด สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเถ้าแก่รองผู้นี้จะเดิมพันว่าตัวเองแพ้หรือไม่? มารดา มันเถอะ ถึงเวลานั้นเขาคนเดียวจะไล่ฆ่าคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยหรือไม่? เรื่องแบบนี้ต้องสงสัยด้วยหรือ? ตอนนี้ลองถามเด็กๆ ตามทางสักคนดู ไม่ว่าใครก็ รู้สึกว่าเถ้าแก่รองสามารถทำแบบนี้ได้แน่นอน

หลังจากที่อวี้เจวี้ยนฟูเข้าเมืองมา ยิ่งขยับเข้าใกล้ถนนใหญ่ของจวนหนิง ฝีเท้าก็ยิ่ง เนิบช้าและมั่นคง

ผลคือพอนางไปถึงถนนใหญ่ก็พบว่าสองฝั่งของถนนมีคนนั่งยองอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนพากันหันมามองนาง

อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย การประลองฝีมือถามหมัดกันของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน จำเป็นต้องมีเซียนกระบี่มาชมศึกมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเคยพูดเรื่องบางอย่างกับนาง ส่วนใหญ่เป็นการช่วยนางทบทวนสี่ศึกใหญ่ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ รวมถึงข่าวลือบางอย่างมากกว่า

เดิมทีเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากอยู่แล้ว ทุกครั้งที่พูดคุยกับ อวี้เจวี้ยนฟูก็ล้วนเป็นความจริงที่เน้นสาระสำคัญ เป็นเหตุให้ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างบรรยากาศเป็นพิษที่อวี้เจวี้ยนฟูได้ยินมาจึงมาจากผู้ฝึกตนเด็กสาวที่ชื่อว่า จูเหมยเสียมากกว่า

อวี้เจวี้ยนฟูเดินหน้าไปตลอดทาง แล้วจึงมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนหนิง กำลังจะเปิดปากพูด แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังครืน

อวี้เจวี้ยนฟูขมวดคิ้ว

นางกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าแทบทุกคนล้วนพากัน หันไปมองบนหัวกำแพงมุมหนึ่งที่ตนเพิ่งเดินผ่านมา ที่นั่นมีเจ้าอ้วนคนหนึ่ง เด็กหนุ่มผอมบางคนหนึ่ง สตรีแขนเดียวคนหนึ่ง คุณชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งอยู่ และยังมีคนหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งที่กำลังซุบซิบพูดคุยกับคนอื่น

คนหนุ่มผู้นั้นลุกขึ้นยืนช้าๆ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็คือเฉินผิงอัน คนที่แม่นางอวี้ จะถามหมัด”

ไฟโทสะของอวี้เจวี้ยนฟูพลันเดือดพล่าน

ปั่นหัวข้าอวี้เจวี้ยนฟูอย่างนั้นรึ?!

เหตุใดผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ถึงต้องให้ความร่วมมือกับคนผู้นี้ด้วย? ก่อนหน้านี้ทุกคนถึงได้จงใจไม่มองไปทางเฉินผิงอันผู้นี้?

เฉินผิงอันเดินขึ้นมาบนถนนใหญ่เพียงลำพัง อยู่ห่างจากอวี้เจวี้ยนฟูแค่ยี่สิบกว่าก้าว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแบออก ผายออกไปเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มมองอวี้เจวี้ยนฟู แล้วกดมือลงอยู่สองที

จิตของอวี้เจวี้ยนฟูพลันหดตัวกลายเป็นเมล็ดงา ไม่เหลือความคิดวุ่นวายใดๆ อีก ปณิธานหมัดไหลวนไปทั่วเรือนกาย ทอดยาวดุจมหานทีที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง นางมองไปยังผู้ฝึกยุทธหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นหยกขาวเหมือนบัณฑิตผู้นั้น แล้วพยักหน้า

เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้พอจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธอยู่บ้าง

เฉินผิงอันถาม “ถามหมัดต้องเอาจำนวนเยอะไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูพูดเสียงทุ้มหนักว่า “ครั้งแรกนี้ พวกเราต่างก็ออกแรงเต็มกำลัง แลกกันคนละหมัด?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าออกก่อนหนึ่งหมัด หากข้ารับไหว ค่อยต่อยคืนเจ้าหนึ่งหมัด หากเจ้ารับไว้ไม่ได้ แน่นอนว่าเจ้าแพ้ จากนั้นก็ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ใครล้มแล้ว ลุกไม่ขึ้นก่อน ก็ถือว่าคนนั้นแพ้”

อวี้เจวี้ยนฟูตอบรับอย่างฉับไหว “ตกลง! อีกครึ่งเดือนให้หลังค่อยมาสู้กันเป็นครั้งที่สอง แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น เจ้าต้องรักษาบาดแผลให้หายดีเสียก่อน”

หมัดนี้เป็นเขาที่รนหาที่เอง

คำพูดนี้หลุดออกจากปาก เสียงผิวปากก็ดังระงมขึ้นรอบด้าน

เห็นได้ชัดว่าแม่นางอวี้ผู้นี้รอคอยเถ้าแก่รองอย่างเสียเวลาเปล่ามาถึงครึ่งเดือน ก็เลยไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร

นี่ยังไม่นับเป็นอะไร เพราะยังมีแม่นางน้อยคนหนึ่งวิ่งตะบึงไปบนหัวกำแพงของเรือนแต่ละหลัง พลางตีฆ้องร้องป่าวประกาศเสียงดังสนั่นฟ้า “ว่าที่อาจารย์ ข้าแอบออกมาให้กำลังใจท่านแล้ว! ฆ้องนี่ตีแล้วเสียงดังนัก ข้าว่าอีกเดี๋ยวท่านพ่อต้องออกมาจับตัวข้ากลับไปแน่ๆ ข้าตีได้นานแค่ไหนก็จะตีให้นานเท่านั้นนะ!”

เจ้าอ้วนเยี่ยนเงยศีรษะไปด้านหลัง เอาหัวกระแทกกำแพง นังหนูลวี่ตวนผู้นี้ เวลาพูดเจ้าหยุดตีฆ้องก่อนได้ไหม? ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างหลายคนที่มาร่วมวงความครึกครื้นคงไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอก

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองกวอจู๋จิ่วแล้วพยักหน้ายิ้มให้นาง

วินาทีนั้น

พายุหมัดของอวี้เจวี้ยนฟูพลันพัดโหมกระหน่ำ

มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่เป็นเจ้ามือคราวนี้ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องชนะได้เงินไปไม่น้อยกำลังนั่งดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อยู่บนหัวกำแพง มองสองฝ่ายที่กำลัง คุมเชิงกัน แล้วพลันก้มหน้าลง ปล่อยให้นังหนูที่ตะโกนเสียงดังว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่เถาเหวินหลบทางหน่อย’ ก้าวเท้าข้ามผ่านหัวไป

หนึ่งหมัดผ่านไป

อันที่จริงต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่เกิดใจดูแคลนต่ออวี้เจวี้ยนฟูก็ยังอด ขมวดคิ้วไม่ได้

แม่นางน้อยคนนี้ ช่างมีหมัดที่หนักหน่วงนัก

เฉินผิงอันที่เดิมทียืนอยู่ที่เดิมถูกหมัดหนึ่งที่พุ่งตรงมาต่อยเข้าที่หน้าอก ร่างจึงปลิวกระเด็นออกไปกระแทกลงบนสุดปลายถนนใหญ่

บนถนนใหญ่เกิดเสียงลมฟ้าลมฝนดังครืนครั่น นอกจากผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็ยังจำเป็นต้องใช้ ปราณกระบี่ต้านทานปณิธานหมัดที่กระจายไปสี่ทิศขุมนั้น

เฉินผิงอันนอนอยู่บนพื้นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นนั่ง ยื่นนิ้วมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก เรือนกายโงนเงน แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนได้

มีผู้ฝึกกระบี่จำนวนไม่น้อยโหวกเหวกขึ้นมาว่าไม่ได้การๆ เถ้าแก่รองประมาทเกินไป ต้องแพ้อย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ลงเดิมพันว่าเถ้าแก่รองต่อยไม่กี่หมัดก็ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูร่อแร่ใกล้ตายได้แล้ว แล้วก็เป็นพวกคนที่มักจะไปดื่มเหล้าที่ร้านบ่อยๆ จึงเชื่อใจ ในนิสัยใจคอของเถ้าแก่รองอย่างมาก

ทว่าทุกคนหรือแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ล้วนคิดไม่ถึงว่า อวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้น จะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “ครั้งแรก ข้ายอมแพ้ อีกครึ่งเดือนให้หลัง การถามหมัดครั้งที่สอง ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนี้ ออกหมัด ได้ตามสบาย”

เถ้าแก่รองที่ไม่เคยทำการค้าขาดทุนมาก่อนไม่มีเวลามามัวเก็บงำอำพรางอะไรอีกแล้ว ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ครั้งที่สองต่อสู้กันทันทีเลย ตกลงไหม?”

อวี้เจวี้ยนฟูหยุดเดิน หันหน้ามาเอ่ยว่า “การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธในใจเจ้าคือสภาพเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้าไปถ่มเลือดคำหนึ่ง พยักหน้า เอ่ยเสียงหนักว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ไปที่หัวกำแพงเมืองตอนนี้เลย”

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยประโยคนี้ได้ ก็ควรค่าแก่การเคารพอยู่หลายส่วน

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวควรให้ความเคารพคู่ต่อสู้อย่างไร? แน่นอนว่ามีเพียงการออกหมัด

อวี้เจวี้ยนฟูมองสายตาของเฉินผิงอัน รวมไปถึงกระบวนท่าหมัดและปณิธานหมัดที่เก็บซ่อนไว้บนร่างของเขา โดยเฉพาะกลิ่นอายบริสุทธิ์บางอย่างที่ปรากฎแล้ว ก็วูบหาย ตอนนั้นที่อยู่ในซากปรักสนามรบโบราณของทวีปเกราะทอง นางเคย ออกหมัดใส่เฉาสือไม่รู้กี่พันกี่หมื่นครั้ง ดังนั้นจึงทั้งคุ้นเคย แล้วก็ทั้งแปลกใหม่ คนทั้งสองเหมือนกันอย่างมาก แต่ก็ไม่คล้ายคลึงกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เสียด้วย!

“เฉินผิงอัน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าก็ไม่มีอคติใดๆ ต่อเจ้า ก็แค่การถามหมัดเท่านั้น แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีว่า หากไม่แบ่งเป็นตาย แค่แบ่งแพ้ชนะ การหยุด เมื่อพอสมควรที่ไม่เจ็บไม่คันแบบนั้น สำหรับวิชาหมัดและวิถีวรยุทธของทั้งสองฝ่ายแล้ว อันที่จริงไม่มีความหมายอะไรเลย”

อวี้เจวี้ยนฟูถาม “ดังนั้นไม่ต้องไปสนกฎการเฝ้าด่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หรือไม่ ระหว่างเจ้าและข้า เว้นจากจะไม่แบ่งเป็นตายแล้ว ต่อให้ต่อยให้อนาคตวิถีวรยุทธของอีกฝ่ายแหลกสลาย ต่างคนก็ต่างไม่เสียใจภายหลัง ได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันม้วนชายแขนขึ้นเสื้อช้าๆ หรี่ตาเอ่ยว่า “ไปถึงหัวกำแพงเมือง เจ้าสามารถลองถามเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก่อนได้ว่า เขากล้ารับรองแทนบรรพจารย์ตระกูลอวี้และโจวเสินจือหรือไม่ อวี้เจวี้ยนฟู คนฝึกยุทธอย่างเราๆ ไม่ใช่ว่าข้าแค่ ก้มหน้าก้มตาออกหมัด ไม่สนฟ้าดินไม่สนคนอื่นเป็นพอ หรือต่อให้จะมีหมัดนั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางปล่อยใส่เจ้าอวี้เจวี้ยนฟูอย่างแน่นอน หากให้พูดแรงหน่อยก็คือ เจ้าต้องมีปณิธานหมัดที่ยิ่งใหญ่พอถึงจะได้”

อวี้เจวี้ยนฟูเงียบงันไป

เฉินผิงอันสะบัดแขนสองข้าง ชายแขนเสื้อคลี่ตัวลงมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เหลือแค่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว พร้อมรับใช้ตลอดเวลา”

กวอจู๋จิ่วที่อยู่บนหัวกำแพงมุมหนึ่งลืมตีฆ้องไปแล้ว นางยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็เหวี่ยงไม้ที่อยู่ในมืออย่างแรง พูดอย่างสะท้อนใจ “แข็งแกร่งเกินไปแล้ว อาจารย์ของข้าแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่ต้องออกแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็สามารถใช้คำพูดทำให้ศัตรูล่าถอย ทำให้จิตแห่งมรรคาของศัตรูวุ่นวาย ที่แท้นี่ต่างหาก จึงจะเป็นยอดเขาของการเรียนวรยุทธ ยอดเขาบนมหามรรคาที่แท้จริง! ร้ายกาจยิ่ง ข้าหาอาจารย์ที่ร้ายกาจจริงๆ …”

จากนั้นแม่นางน้อยก็ถูกเซียนกระบี่กวอเจี้ยดึงหูกลับบ้านไป

เฉินผิงอันทอดถอนใจอยู่ในใจ

แล้วก็จริงดังคาด อวี้เจวี้ยนฟูที่เดิมทีตั้งใจจะจากไปแล้วกลับเอ่ยขึ้นว่า “ครั้งที่สองยังไม่ทันได้สู้ ครั้งที่สามก็ยิ่งไม่ต้องรีบร้อน”

เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด

พวกนักพนันรวมไปถึงเจ้าของบ่อนน้อยใหญ่ที่เกือบจะมึนงงไปอย่างสิ้นเชิง กลับช่วยเถ้าแก่รองตอบตกลงไปแล้ว หากอยู่ดีๆ การต่อสู้ก็หายไปรอบหนึ่ง พวกเขาจะได้เงินน้อยลงขนาดไหนเล่า?

ในศาลาบนแท่นสังหารมังกร หนิงเหยาขมวดคิ้วเอ่ย “ป๋ายหมัวมัว อาศัยอะไรบุรุษของข้าถึงต้องช่วยป้อนหมัดให้นางด้วย รับปากว่าจะต่อสู้ด้วยหนึ่งครั้งก็พอแล้ว ว่าไหม?”

หญิงชรายื่นมือมากุมมือคุณหนูของตัวเองแล้วตบเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงแผ่วว่า “จะเป็นอะไรไปเล่า? แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของท่านเขยก็มีแต่แม่นางหนิงของเขาอยู่แล้วนี่นา”

มุมปากหนิงเหยากระดกขึ้น พลันพูดอย่างคนที่เขินอายจนพานเป็นความโกรธ “ป๋ายหมัวมัว นี่เพราะเจ้าหมอนั่นพูดกับท่านไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วใช่ไหม?”

หญิงชรายิ้มพูดเลียนแบบคุณหนูของตนยามที่พูดกับท่านเขย “จะเป็นไปได้อย่างไร”

หนิงเหยาลุกขึ้นยืน ไปปิดด่านต่ออีกครั้ง

การปิดด่านและออกจากด่านของนาง คล้ายจะเป็นไปตามใจตัวเองอย่างมาก

แต่หญิงชรากลับรู้ชัดเจนยิ่งกว่าใครว่า ความจริงก็เป็นเช่นนี้

การปิดด่านของคุณหนูครั้งนี้ แท้จริงแล้วสิ่งที่นางต้องการนั้นยิ่งใหญ่มาก

เพราะนางคือหนิงเหยา หนึ่งเดียวตลอดหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่

วันนี้พวกเฉินซานชิวเองก็ใจตรงกันมาก ต่างก็ไม่ได้เข้าไปที่จวนหนิง

หลังจากประตูใหญ่ปิดลง เฉินผิงอันยื่นมือมาปิดปาก พอแบฝ่ามือออกดูก็ต้องขมวดคิ้ว

ดูท่าการถามหมัดครั้งที่สองบนหัวกำแพงเมือง หากไม่พูดถึงสถานการณ์ที่ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเปิดฉากอย่างสมบูรณ์ ตนคงต้องพยายามปิดฉากลงภายในหนึ่งร้อยหมัดด้วย ไม่อย่างนั้นยิ่งเป็นช่วงหลังๆ โอกาสชนะก็จะยิ่งน้อย

น่าหลันเย่สิงกล่าวว่า “วิชาหมัดของแม่นางน้อยคนนี้บรรลุถึงแก่นแล้ว ไม่อาจดูแคลน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่นางก็ยังต้องแพ้อยู่ดี ต่อให้นางจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ที่เรือนกายปราดเปรียวว่องไวอย่างถึงที่สุด ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าอาจจะไม่ได้ใช้ ยันต์ย่อพื้นที่ก็ตาม”

หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากผ่านการขัดเกลาบนสนามรบหลากหลายรูปแบบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงเฉินผิงอันยังไม่เคยวิ่งตะบึงอย่างเต็มกำลังมาก่อน ดังนั้นแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังอยากรู้ว่า สรุปแล้วตนจะสามารถ ‘เดิน’ ได้เร็วแค่ไหน

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากผ่านวันนี้ไป ต่อให้ข้าเอาชนะได้ในสองครั้งหลัง กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องมีคำกล่าวว่าหมัดเดียว ต่อยให้เฉินผิงอันล้มคว่ำแพร่ไปอยู่ดี”

น่าหลันเย่สิงส่ายหน้า

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ไม่หรือ?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันที่ยืนนิ่งไม่ขยับ เถ้าแก่รองที่ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันตัววิ่งไปทางประตูใหญ่ แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ท่านปู่น่าหลัน หากหนิงเหยาถามถึงก็บอกไปว่าข้าถูกลากไปดื่มเหล้าที่ร้านนะ”

ไม่ได้ เขาต้องรีบไปที่ร้านเหล้าเพื่อสยบกลิ่นอายชั่วร้ายอัปมงคลนี้เสียหน่อย

อวี้เจวี้ยนฟูที่กลับมาถึงบนหัวกำแพงเมืองนั่งลงขัดสมาธิ ขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยถาม “ครั้งที่สองก็ยังต้องแพ้หรือ?”

อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “ขอแค่ถูกเขาใช้ท่าหมัดที่รับมือกับฉีโส่วต่อยมาโดนข้า ก็เท่ากับว่าแบ่งแพ้ชนะแล้ว ข้ากำลังคิดหาวิธีคลี่คลายสถานการณ์ แต่ดูเหมือนว่า จะยากมาก ตอนนี้ทั้งการออกหมัดและเรือนกายของข้าต่างก็ยังเคลื่อนไหวได้ ไม่รวดเร็วมากพอ”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวว่า “คำพูดที่คนผู้นั้นเอ่ย ผู้อาวุโสได้ยินแล้วกระมัง?”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพยักหน้ารับ นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือไปมองสนามรบอยู่ไกลๆ แต่กลับไปเยือนที่นครด้วยตัวเองมารอบหนึ่ง ก็แค่ไม่ได้เปิดเผยตัวก็เท่านั้น

อวี้เจวี้ยนฟูกล่าว “อันที่จริงการประลองครั้งที่สองข้าก็แพ้แล้ว”

ขู่เซี่ยกล่าวอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

อวี้เจวี้ยนฟูทอดสายตามองไกลไปยังนคร “ต่อให้เขาเฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีศิษย์พี่จั่วโย่วที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เขาก็ยังรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องถามจั่วโย่วว่าจะตกลงหรือไม่ ข้ากล้าแน่ใจเลยว่าจั่วโย่วไม่ได้ดูศึกด้วยซ้ำ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเป็นห่วงข้าจึงแอบออกจากหัวกำแพง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับข้า หากเกิดเรื่องกับข้าจริงๆ บรรพบุรุษตระกูลข้าและยังมีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวคงไม่สนใจคำสัญญาของข้า อวี้เจวี้ยนฟู ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องมีความเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อแก้แค้นอีกฝ่าย อย่างน้อยที่สุดในใจก็จะต้องรู้สึกยอกแสลง

ต่อให้จะยังไม่ลงมือตอนนี้ แต่มหามรรคายาวไกล เส้นทางชีวิตคนยืนยาว ในอนาคตหากมีโอกาสก็จะยังคอยซ้ำเติม หรือไม่ก็ลงมือโดยตรง เพราะในสายตา ของพวกเขา ข้าในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กรุ่นหลัง แต่เฉินผิงอันผู้นั้น ต่อให้จะเป็นในใจของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว รวมไปถึงคนอื่นๆ ทุกคนที่อยู่ข้างกายเขา กลับมีน้ำหนักมากพอที่จะ ‘พูดแรง’ ได้แล้ว”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “แม้ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นนี้จริง แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ไม่ควรใช้แค่วิชาหมัดมาแบ่งสูงต่ำหรอกหรือ?”

อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่นั้น เฉาสือเคยบอกว่า ขอแค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบได้ ถ้าอย่างนั้นรากฐานของปราณโชติช่วงซึ่งเป็นขั้นแรกก็มักจะสามารถตัดสินได้ว่า ชีวิตนี้ของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดในตำนาน ได้หรือไม่ หากเหยียบเข้าสู่ขอบเขตของคืนความจริงแต่เนิ่นๆ กลับไม่ใช่เรื่องดี เสมอไป ตลอดหลายปีมานี้เฉาสือจึงใคร่ครวญมาตลอดว่าควรจะสร้างรากฐานให้กับขอบเขตปราณโชติช่วงนี้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุด”

ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ค่อยสนใจการแก่งแย่งชิงดีของวิถีทางโลกอย่าง เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังอดใคร่รู้ไม่ได้ “การเลือกของเฉาสือผู้นั้นน่าสนใจอย่างไร?”

อวี้เจวี้ยนฟูวางสองหมัดไว้บนหัวเข่า “สามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก ทุกวันนี้ เฉาสือล้วนศึกษาทั้งหมด ดังนั้นตอนนั้นเขาถึงได้ไปที่ซากปรักสนามรบโบราณแห่งนั้น เพื่อศึกษาปณิธานแท้จริงของเทวรูปแต่ละองค์ จากนั้นก็นำมาหลอมรวมเข้ากับ วิชาหมัดของตัวเอง”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยส่ายหน้า “คนบ้า”

อวี้เจวี้ยนฟูยกมือขึ้นชี้ไปยังนครแห่งนั้น “เฉินผิงอันผู้นั้นก็ประหลาดมากเหมือนกัน อาจเป็นข้าที่รู้สึกไปเอง แม้ว่าวันนี้เขาที่อยู่บนถนนใหญ่จะไม่ได้ออกหมัดเลยสักครั้ง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า เขากับเฉาสือ มองดูเหมือนอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วทิศทางของทั้งสองกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ต่างคน ต่างเดินไปยังจุดห่างไกลที่อยู่ปลายสุด”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ้มกล่าว “จะเป็นเจ้าที่คิดมากไปเองหรือเปล่า?”

อวี้เจวี้ยนฟูมีสีหน้าซับซ้อน “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น! แต่ก็ไม่หวังว่า จะเป็นเช่นนั้นอีกเหมือนกัน!”

ทางฝั่งของนคร

เฉินผิงอันเดินมาถึงร้านเหล้า ผลกลับพบว่าฉีจิ่งหลงกับป๋ายโส่วกำลังนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับสตรีสองคน มีเพียงฉีจิ่งหลงที่กำลังกินบะหมี่หยางชุน ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย

ฉีจิ่งหลงเงยหน้าขึ้น “อุตส่าห์ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ข้า ลำบากเถ้าแก่รองแล้ว”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า หันหน้ามองไปยังเทพธิดาหลูแห่งภูเขาสุ่ยจิงผู้นั้น

ฉีจิ่งหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ล้วนเป็นเรื่องเล็ก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version