ตอนที่ 116 จิตทารกแรกกําเนิด
ฉินมู่ตั้งใจจดจําอย่างขะมักเขม้นและฝังแผนภาพโคจรปราณขั้นหกทิศของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะบนเสานี้ไว้ในสมองอย่างแนบแน่น เขาได้แผนภาพโคจรปราณอันขาดแหว่งของขั้นห้าธาตุจากวังสะกดเภทภัยแล้ว และเมื่อรวมกับแผนภาพโคจรปราณขั้นหกทิศที่อยู่ตรงหน้า ส่วนที่เขาไม่เข้าใจดีนักในแผนภาพอันไม่สมบูรณ์ของขั้นห้าธาตุก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาอีกขั้นแต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปะติดปะต่อแผนภาพอันไม่สมบูรณ์นั้นให้ครบถ้วนสิ้นเชิง
ในเมื่อปรมาจารย์เยาว์เคยเห็นแผนภาพโคจรปราณของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เขาอาจจะมีแผนภาพโคจรปราณขั้นห้าธาตุอยู่ในครอบครอง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่สมบูรณ์เช่นกันแต่ก็เป็นไปได้ที่จะช่วยเสริมปะแผนภาพไม่สมบูรณ์ของฉินมู่ได้
นี่เกี่ยวพันกับหนทางฝึกวรยุทธ์ของเขา เขาจึงต้องตั้งใจเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นก็มีหลวงจีนออกมาจากทางด้านหลังห้องโถงแล้วเอ่ย ถามอย่างเคร่งขรึม “นักเรียนจากสุสานแม่นํ้าอยู่ที่ใด นักเรียนจากสุสานแม่นํ้า ก้าวออกมาข้างหน้า ไม่มีความจําเป็นที่พวกเจ้าจะต้องทําการทดสอบนี้ ให้ไปรอด่านต่อไปได้เลย”
เว่ยหยงมองด้วยความตะลึง จากนั้นเดินออกไปพร้อมกับ นักเรียนคนอื่นอีกสองคน เมื่อพวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังโถงชั้นใน เขาก็หันศีรษะกลับมา “พี่ฉิน..”
“อย่าส่งเสียงอึกทึก!”
หลวงจีนผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าขรึม “นักเรียนจากสุสานแม่นํ้า ประสบเคราะห์กรรมร้ายกาจและสูญเสียชีวิตไปเป็นจํานวนมาก จึงมิต้องทําการทดสอบอีกต่อไป ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่นี่ รอการทดสอบของพวกเจ้า”
ฉินมู่อึ้งจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีหลวงจีนด้วย!
หลังจากเมื่อครู่นี้ที่เขาเห็นนักพรตเต๋ามากมาย เขาก็คิดว่าแม้ที่นี่จะมีนามว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ก็ยังเป็นสํานักของลัทธิเต๋า ไม่นึกฝันเลยว่าจะมีหลวงจีนอยู่ที่นี่ด้วย
ลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าอยู่ร่วมกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ! ข้าสงสัยจริงๆ ว่า วัดใหญ่ฟ้าคํารามจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ หลวงจีนจีวรเหลืองอีกคนก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของโถง เขามีคิ้วชูชันและยาวเหยียด และมีระเบียนรายชื่ออยู่ในมือ เขามองไปรอบๆ และสยบนักเรียนทุกคนในโถง
ใหญ่ด้วยสายตาเป็นประกายเจิดจ้าประดุจหิมะ จากนั้นจึงเอ่ยเอื้อน “การทดสอบนี้เกี่ยวกับสันดานของพวกเจ้า”
เสียงของเขาดั่งกัมปนาทราวกับระฆังใหญ่เหง่งหง่าง สะเทือนแก้วหูของทุกคนที่อยู่ในโถง ทําให้พวกเขาหน้ามืดไปครู่หนึ่ง
เขานั่งลงขัดสมาธิในท่าดอกบัว คิ้วของเขาหรุบลงและกล่าวต่อ “ข้าจะสวดภาวนาคาถาในพระสูตรนี้ หากเจ้าไม่อาจทนฟังได้ เจ้าสามารถออกไปจากโถงใหญ่นี้ได้ทุกเมื่อ ส่วนผู้ที่สามารถทนทานฟังเสียงสวดคาถาของข้า สามารถผ่านไปยังด่านทดสอบต่อไป”
เขาประนมมือเข้าหากันพยายามหมุนนับลูกประคําในมือ แล้วสวดภาวนาด้วยท่วงทํานองที่ไม่ช้าไม่เร็ว “พุทธองค์ตรัสว่า สุพติโพธิสัตว์และมหาสัตว์ทั้งหลายควรขัดเกลาจิตใจดังนี้ ทุกชีวิตที่เกิดจากไข่ เกิดจากครรภ์ เกิดจากความชื้น หรือเกิดจากการเปลี่ยนร่าง ทั้งมีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี ทั้งมีสํานึกคิดและไม่มีสํานึกคิด และทั้งที่ไม่ใช่มีสํานึกคิดและก็ไม่ใช่ไร้สํานึกคิด ทั้งหมดล้วนแต่ถูกตถาคตนําไปยังนิพพานสุดท้ายที่จะหยุดยั้งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง แม้ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะมีจํานวนอันมิอาจนับได้ จํานวนอันไร้ประมาณ ซึ่งจะต้องนําพาไปสู่จุดสิ้นสุดของวัฏสงสาร จริงอยู่ว่ามิใช่สิ่งมีชีวิตที่สามารถไปถึงได้ ดังนั้น…”
เสียงพุทธดังก้องกังวานและทุกๆ คาถานั้นราวกับการมาโปรดของพระยูไล โจมตีจิตใจของนักเรียนทุกคนที่อยู่ในห้องโถง จู่โจมเข้าไปในร่างกายของเขา เข้าไปในปราณชีวิต เข้าไปในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ และเข้าไปในสมบัติเทวะห้าธาตุ!
พุทธองค์มหายูไลถึงกับปรากฏในห้วงคิดของพวกเขาและเปล่งแสงฉัพพรรณรังสีเจิดจรัส
แรงสั่นสะเทือนทวีขึ้นทุกทีทุกที กลายเป็นทรงพลังแข็งแกร่ง จนยากที่ผู้คนจะทนไหว เสียงของการสั่นสะเทือนนั้นทําให้เลือดลมของพวกเขาสั่นไหวไม่เสถียรและเป่าปราณชีวิตกระเจิดกระเจิง ทําให้พวกเขายากที่จะป้องกันสมบัติเทวะของตน!
มันยากเสียยิ่งกว่ายากที่จะป้องกันจากเสียงสวดภาวนาพระสูตร จิตใจพวกเขามิอาจป้องกันได้โดยสิ้นเชิง ราวกับว่าทุกห้วงความคิดของพวกเขาถูกเปิดเปลือยออกมาโดยไร้ความลับซุกงํา
ในที่สุด นักเรียนคนหนึ่งที่ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป ก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกจากห้องโถง!
หากว่าเขายังคงนั่งฟังเสียงสวดภาวนาของหลวงจีนจีวรเหลืองอีกต่อไป เกรงว่าปราณชีวิตของเขาคงพังทลายและสมบัติเทวะก็จะถูกเสียงพุทธเข้าครอบงํา กล้ามเนื้อของเขา เส้นผม ผิวหนัง กระดูกเส้นชีพจร ก็คงจะแหลกสลายไปจากแรงสั่นสะเทือนนี้!
หลังจากนักเรียนคนแรกวิ่งออกไปจากโถงใหญ่ ผู้คนอีกสี่ห้าคนที่ไม่อาจอดทนได้อีกก็วิ่งออกไปเช่นกัน ทว่าไม่ทันที่เขาจะวิ่งพ้นโถงใหญ่ พวกเขาก็โก่งตัวอาเจียน สํารอกทุกสิ่งทุกอย่างในท้องออกมาจนหมดไส้หมดพุง
หลวงจีนจีวรเหลืองไม่ไหวติงและยังคงพรํ่าสวดคาถาของเขา คาถาพุทธก้องคํารณอย่างต่อเนื่อง และศัพท์สําเนียงก็หนักหน่วงขึ้นทุกที นักเรียนที่ทนไม่ไหมมีมากขึ้นมากขึ้น พวกเขาวิ่งหนีออกจากห้องโถง สภาพทรุดโทรมดูไม่ได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่นักเรียนที่ยังนั่งอยู่นั้นเหลือเพียงแค่ยี่สิบกว่าคน ฉินมู่นั่งอยู่กลางโถงอันเสียงพุทธสั่นสะเทือนมากระทบเขา เขย่าร่างเขาไปทั้งตัว ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่มีทีท่ากระสับกระส่าย
และแอบสวดเสียงมารภายใต้ลมหายใจของตน เขาคัดง้างกับเสียงพุทธเมื่อเสียงพุทธโจมตีและเขาก็ป้องกัน ทําให้เขาต่อสู้สัประยุทธ์เสียงด้วยความรื่นรมย์
เสียงพุทธนี้ก่อผลกระทบต่อเขาน้อยมาก และไม่อาจทําให้สํานึกรู้กระเพื่อมไหวเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็เปลี่ยนเป็นภาษาเทพที่เขาเคยเรียนรู้มา และเอาแต่ง่วนอยู่กับการแข่งขันประชันกับเสียงพุทธจากภายนอก
เวลาผ่านไปสักพัก หลวงจีนจีวรเหลือก็ขมวดคิ้วเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาเห็นฉินมู่ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสงบพลางเงยหน้ามอง ภาพสลักต่างๆ บนเสาราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเสียงสวดภาวนาของหลวงจีนเลย และตอนนี้ก็เหลือคนที่ยังทนนั่งอยู่ได้ในโถงเพียงสิบคน
แปลกเสียจริง ผู้คุมสอบก่อนหน้าประเมินเขาด้วยว่ามีสันดานมารอยู่ชัดๆ และย้ำให้อาตมาจับตาดูเขา หากว่าเขามีจิตใจชั่วร้าย นิสัยมารจริงๆ เขาจะทนได้ยาวนานขนาดนี้ภายใต้เสียงพุทธของอาตมาได้อย่างไร
หลวงจีนจีวรเหลือฉงนฉงาย ทําให้เสียงพุทธที่สวดภาวนาของเขาเบาจังหวะช้าลง เขาครุ่นคิดกับตนเอง ตอนนี้เขาไม่มีสันดานมารเลยสักนิด หากว่าอาตมาพยายามบีบบังคับให้เขาถอยออกไปให้ได้ เกรงว่านักเรียนทุกคนในโถงนี้ก็คงถูกบีบให้ออกจากโถงไปเช่นกันและก็จะไม่มีใครผ่านการทดสอบ
เขาหยุดยั้งคาถาแล้วลุกขึ้น “พวกเจ้าทุกคนผ่านการสอบ จงออกจากโถงไปทางด้านหลัง และไปยังด่านทดสอบต่อไป”
ทุกผู้คนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกและยืนขึ้น ทั้งสรรพางค์กายของเขาพวกมีเหงื่อเปียกโชกโดยไม่รู้ตัว มีแต่ฉินมู่ที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่ผุดเหงื่อออกมาเลยสักเม็ด
หลวงจีนจีวรเหลืองมองเขาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นจึงนําระเบียนรายชื่อออกมา หลวงจีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเขียนการประเมินของตนลงไป “จิตทารกแรกกําเนิด ไม่หวั่นไหวต่อโลกภายนอก”
จากนั้นหลวงจีนจึงออกจากโถงไปทางด้านหลังแล้วโยนระเบียนรายชื่อขึ้นไปบนท้องฟ้า นกกระเรียนบินโฉบมาจากกลางอากาศคาบระเบียนรายชื่อไว้ในจะงอยของมัน จากนั้นโบยบินสูงขึ้นไปบนฟ้า หลวงจีนจีวรเหลืองจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในโถง
นกกระเรียนบินไปครึ่งภูเขา จากนั้นร่อนลงจอดตรงหน้าโถงใหญ่อีกโถง นกกระเรียนส่งระเบียนรายชื่อในจะงอยปากให้แก่เด็กชายที่เดินรี่เข้ามา เด็กชายผู้นั้นรีบเดินฉับๆ กลับเข้าไปในโถงใหญ่และส่งระเบียนรายชื่อให้แก่นักพรตเต๋าวัยกลางคนในโถง “อาจารย์หลิงอวิ๋น ระเบียนรายชื่อขอรับ”
นักพรตหลิงอวิ๋นพลิกระเบียนรายชื่อเปิดดูจากนั้นแย้มยิ้ม “ทุกๆ ปี มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะมีโควตาให้สิบตําแหน่ง เพื่อเลือกเฟ้นนักเรียนที่โดดเด่นจากขั้นทารกวิญญาณและขั้นห้าธาตุ ข้าสงสัยเสียจริงว่าหัวกะทิของปีนี้จะเป็นอย่างไร”
เขามองดูแล้วพยักหน้าน้อยๆ “ยังมีคนเหลืออีก 14 คนและทุกคนล้วนแต่มีระดับการประเมินสูง แม้ว่าปีนี้จะมีสถานการณ์วุ่นวาย และผู้เปี่ยมพรสวรรค์ก็มาตรฐานตํ่าลงทุกที แต่ก็ยังมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์รุ่นเยาว์ที่น่าจับตามอง…เอ๋?”
เขาเบิ่งตาจ้องชื่อของฉินมู่ด้วยสีหน้าปั้นยากเขาอ่านคําประเมินซํ้าสองสามทีแล้วงุนงง “คนที่ชื่อฉินมู่นี่มันอะไรกัน ทําไมพวกผู้คุมสอบถึงเขียนว่าเขามีสันดานมารและต้องจับตาเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แล้วทําไมถึงประเมินอีกว่าเขามีจิตทารกแรกกําเนิด ไม่หวั่นไหวต่อโลกภายนอกเจ้าพวกนี้ เขียนประเมินกันประสาอะไรนี่”
เด็กชายกล่าว “อาจารย์ขอรับ นักเรียนจากสุสานแม่นํ้าถูกคัดเลือกให้เข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้วโดยยังไม่ได้ประกาศชื่อ รอบนี้อาจารย์จะต้องคัดคน 7 คนให้สอบตก ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพแผนสวรรค์ก็ได้ กล่าวว่าบุตรสาวของเขาจะเข้าร่วมการสอบแข่งขันครั้งนี้และหวังว่าอาจารย์จะกรุณาช่วยเหลือนาง อนึ่ง มีจดหมายมาจากจวนสํานักงานจักรวรรดิกล่าวว่าหลานชายของเขาหมายจะเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อศึกษารํ่าเรียนและยังมีแม่ทัพใหญ่ม้าขาว และตระกูลฉินแห่งเมืองหลวงด้วย อ๋องเจ๋อหนานก็ส่งจดหมายให้แก่เราว่าคุณชายจากอ๋องเจ๋อหนานอยากที่จะ…”
นักพรตหลิงอวิ๋นรับฟังจนปวดเศียรเวียนเกล้า และคํารามฮึ่มฮั่มในคอ “พวกเขาล้วนแต่อยากเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และล้วนแต่มีอิทธิพลหนุนหลังอันยิ่งใหญ่ ตําแหน่งของพวกเขาก็ล้วนสูงกว่าข้า 3 โควตาถูกแบ่งให้กับนักเรียนจากสุสานแม่นํ้าไปแล้ว เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ท่านราชครู และตอนนี้ 10 โควตาก็เหลือแค่ 7 ข้าจะจัดการลูกท่านหลานเธอมากมายเหล่านี้ให้ลงตัวได้อย่างไร แล้วฉินมู่นี่ล่ะมีที่มาจากไหน หรือว่าเขาก็มาจากตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง”
เด็กชายส่ายหน้า “ตระกูลฉินบอกว่าคุณชายของพวกเขามีนามว่าฉินอวี้ ส่วนฉินมู่นี้น่าจะไม่มีสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับตระกูลฉิน ภูมิลําเนาของเขาระบุเอาไว้ว่ามาจากมณฑลหลี่โจว”
นักพรตหลิงอวิ๋นถึงค่อยระบายลมหายใจโล่งอกแล้วกล่าว “ข้าคงได้แต่อยุติธรรมกับเขา ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาผ่านการทดสอบข้าล่ะกันแล้วใครอีกที่ที่มาไม่มีอิทธิพล”
“ยังมี 2 พี่น้องติ่งซานและติ่งเหอ เช่นเดียวกับเด็กสาวชื่อว่าซีอวิ๋นเซี่ยง ส่วนคนอื่นๆ ครอบครัวมีอํานาจอิทธิพลอยู่บ้างแต่ ไม่ได้สลักสําคัญอะไร ชื่อนี้เป็นญาติของผู้ว่าการมณฑลนกกระจอกภูเขา และยังมีแม่นางคนนี้ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้ตรวจการเมืองอวี๋…”
นักพรตหลิงอวิ๋นระบายลมหายใจอีกรอบแล้วกล่าว “ขุนนางขั้น 2 และขั้น 3 ไม่อาจล่วงเกินได้เช่นกันแต่ในสถานการณ์นี้ข้าคงได้แต่ต้องล่วงเกินพวกเขา”
หลังจากฉินมู่เดินออกมาจากหลังห้องโถง เขาก็เงยศีรษะขึ้นดูทางภูเขา นักเรียนสิบกว่าคนไต่ภูเขาไปตามเส้นทางนั้นด้วยกันและไม่นานนักเส้นทางข้างหน้าก็ขยายกว้างขึ้น เห็นนํ้าตกไหล ฉาดฉานลงจากหน้าผาหยก พวกมันดูคล้ายกับหยกเหลวยามที่แสงอาทิตย์ทาบทาบนมวลนํ้า ส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้าสดใส ภาพอันละลานตานั้นทําให้ฉินมู่และเพื่อนนักเรียนอุทานด้วยความชื่นชมว่านี่ช่างสมกับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะ
“พี่สาว เจ้าก็มีแซ่ซีอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่มองไปที่เด็กสาวข้างๆ เขาซึ่งมีชื่อว่าซีอวิ๋นเซี่ยง นางเป็นเด็กสาวดวงตากลมโตที่ดูอ่อนโยนและเงียบหงิม เขาแทบไม่พบใครที่แซ่ซีนอกจากท่านยายซี เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับผู้แซ่ซีคนอื่นๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองนางอีกหลายหนและก้าวเข้าไปสนทนากับนาง
เด็กสาวแซ่ซีนั้นราวกับว่าจะรับรู้ถึงสายตาที่เขาจ้องมองมา และแสดงท่าทีเขินอาย นางก้มศีรษะลงแล้วเดินต่อไปข้างหน้าไม่ สนใจเขา
นางรู้จักเขินอายเป็นด้วย ต้องไม่ใช่ท่านยายซีปลอมตัวมาแน่ๆ
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขาครุ่นคิดในใจ ท่านยาย ไม่มีทางเขินอายเป็นกับเขาหรอก ตอนนี้ท่านยายอยู่ที่หมู่บ้านพิการชรา และไม่อาจออกมาจากแดนโบราณวินาศได้ อย่าว่าแต่จะวิ่งแล่นมาที่นี่ หากว่านางเป็นท่านยายปลอมตัวมา นางย่อมไม่ใช่แซ่ซีที่จะทำให้ข้าสงสัยนาง ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไป มั้ง?
ตอนนี้เขายังสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินว่าเด็กสาวผู้นี้เรียกว่าซีอวิ๋นเซี่ยง เขาก็คันใจยิบๆเลยเดินเข้าไปคุยทดสอบนางดู
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงหน้าโถงใหญ่ เห็นก็แต่เด็กชายคนหนึ่งถือระเบียนรายชื่ออยู่ในมือ เด็กผู้นั้นมองมาที่พวกเขาจากนั้นกล่าวด้วยเสียงใสกังวาน “นักเรียนทั้งหลาย การทดสอบในด่านนี้นั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้าอาจจะบาดเจ็บ และอาจจะถึงแก่ชีวิตด้วยซํ้า มีใครจะถอนตัวก่อนไหม”