Skip to content

Tales of Herding Gods 122

ตอนที่ 122 ไร้เทียมทานในขั้นห้าธาตุ

ในวินาทีที่เขากล่าวเช่นนั้น บัณฑิตทุกคนในลานบ้านก็พลันรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล และในตอนนั้นเอง สายฝนก็โปรยปรายมาจากฟากฟ้า

ที่มากับฝนคือเสียงดนตรีแปลกประหลาด เต้ง เต้ง เต้ง ราวกับว่ามียักษ์อสูรตัวใหญ่มหึมาใช้ฟ้าและดินต่างกู่เจิ้ง และเส้นสายวรุณแทนสายดนตรี ดีดอย่างเร่าร้อนดุเดือด โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงดนตรีประหลาดนี้ก็มีพลังมนตราขรึมขลังอันอาจขโมยวิญญาณผู้คน ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขาได้ยินมัน พวกเขาก็พบว่าปราณชีวิตของตนกระจัดกระจายรวมกันไม่ติด และสํานึกรู้ของเขาก็ทําท่าจะหลุดลอย ทารกวิญญาณของพวกเขากลายเป็นเชื่องช้า ทั้งห้าธาตุของเขาปั่นป่วนสับสน พวกเขาควบคุมตนเองไม่ได้ ได้แต่เต้นรําไปตามเสียงดนตรีนี้

เมื่อเสียงดนตรีสะท้อนก้องและเร่งเร้า ทุกคนในลานบ้านก็ตระหนักทันทีว่า…ซวยแล้ว

และกําลังตระเตรียมทําลายเวทมนตร์ในเสียงมารดังกล่าว แต่ทันใดนั้นฉินมู่ก็ผนึกมุทราด้วยมือเดียวและ ซัดหมัดออกไป

แสงตะวันเผาวิญญาณหยาง!

กําปั้นที่ซัดสร้างเสียงสะท้านโลกาดังมาจากใจกลางลานบ้านขย่มเขย่าจิตและวิญญาณของพวกเขาสะเทือนกลับทิศกลับทาง เมื่อวิญญาณพวกเขาสั่นสะเทือน ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ไม่เสถียร พวกเขาพลันไม่อาจต่อต้านเสียงมาร และเริ่มเต้นรําไปมา พลางหัวร่ออย่างเสียสติในลานบ้านนี้

ทันใดนั้น เสียงดนตรีก็เปลี่ยนท่วงทํานองไปอีกครั้ง และพวกเขาพลันรู้สึกเหมือนกับตกลงไปในสนามสังหารอันเทพและมารขี่ม้าเหล็กถือหอกทองแดงสัประยุทธ์ฟาดฟันกันใส่หน้าพวกเขา โถมทับพวกเขา ภาพที่เห็นนั้นสมจริงเสียจนทําให้พวกเขาต้องรีบจู่โจมกลับไปเพื่อป้องกันตนเอง!

การจู่โจมกลับของบัณฑิตเหล่านั้นรุนแรงไม่เบา และแม้แต่ผู้ที่ยังพอหลงเหลือสํานึกรู้อยู่สัก 10 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องป้องกันการจู่โจมจากบัณฑิตคนอื่นข้างๆ เขา ตราบใดที่คนเหล่านั้นลงมือต่อสู้ป้องกันตัว สํานึกรู้ของเขาก็จะถูกดนตรีประหลาดรุกรานเข้าไปครอบงํา ทําให้พวกเขาสูญเสียการป้องกัน!

ตู้ม!

กระบวนท่าหลากหลายพลันระเบิดปะทุออกมากลางลานบ้าน เวทมนตร์แบบต่างๆ พุ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศในเสี้ยววินาที ทุกผู้คนต่างมีร่างโซมเลือด และหลายต่อหลายคนร้องครางด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นทําให้พวกเขาฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครา แต่ในตอนนั้นฉินมู่ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคล้ายเงาภูตผี

ท่ามกลางพวกเขา และใครก็ตามที่พลันฟื้นสติขึ้นมาก็จะถูกนิ้วของเขาดีด!

นิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้!

ปลายนิ้วอันผสานผนวกเสียงดนตรีเข้าไป เพื่อพลิก ดึง โค้ง จิ้ม และฟาด อย่างถึงที่สุด วิชาดนตรีที่ทําให้พวกเขาตั้งตัวไม่ติดนั้นตามมาด้วยเสียงสายฟ้าฟาด และคลื่นอากาศกระแทกกระทั้น เสียงของวัตถุหนักฟาดใส่กําแพงก็ดังออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

แผล็บเดียว ก็เหลือแต่เว่ยหยงที่ยังคงร้องเล่นเต้นรําอยู่กลางลานบ้าน

ฉินมู่หยุดยั้งวิชา ให้ฝนบนท้องฟ้าหยุดโปรยปรายหายไปพร้อมกับเสียงดนตรี ในตอนนั้นเองเว่ยหยงถึงฟื้นสติขึ้นมาและมองไปรอบๆ เมื่อเขาเห็นว่าลานบ้านนี้เต็มไปด้วยรอยเท้าสะเปะสะปะ ดอกไม้ใบหญ้าประดับลานหน้าเรือนพังพินาศ สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และร้องออกมา “พี่ฉิน เกิดอะไรขึ้นนี่”

“ข้ายืมสวนสวยๆ ของเจ้ามาใช้สั่งสอนพวกศิษย์พี่ที่มีตาแต่ไม่มีแวว”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “เรือนของเจ้านั้นเงียบสงัดห่างไกลผู้คน จึงไม่มีใครหยุดข้าตอนที่ข้าต่อยตีพวกเขา”

ฉินหยงอึ้งกิมกี่ จากนั้นรีบมองไปที่ผนังของลานหน้าบ้านของเขา เพื่อที่จะเห็นร่างของเหล่าบัณฑิตห้อยอยู่กับกําแพง หัวของพวกเขาทะลวงเข้าไปในกําแพง และปราศจากเรี่ยวแรงที่จะยันตัวเองออกมาจากรูนั้น

เว่ยหยงสีหน้าซีดเผือด “พี่ฉิน พี่ซวยแล้ว! บัณฑิตพวกนี้เข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิก่อนพวกเรา และล้วนมาจากตระกูลมากอิทธิพลทั้งนั้น แต่ว่าตอนนี้พวกเขาถูกพี่อัดจนน่วม นี่จะทําอย่างไรดี”

ฉินมู่ฉงนใจ “หากว่าข้าไม่อัดพวกเขา จะรอให้พวกเขามารุมอัดข้าหรืออย่างไร ข้าซัดพวกเขาจนหมอบไปเรียบร้อยแล้ว แล้วข้าต้องทําอย่างไรล่ะ”

เว่ยหยงขยี้เท้าไปมา ก่อนจะกล่าว “พี่ยืมลานบ้านข้าเพื่อใช้ต่อยตีพวกเขา แต่พวกเขาทําอะไรข้าไม่ได้หรอกเพราะข้ามาจากตระกูลเว่ย แต่ว่าเคราะห์กรรมจะตกกับพี่ฉินแย่จริง แย่จริง พวกเราจะทําอย่างไรกันดี…”

ฉินมู่เดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม “พวกเขาหมายจะสั่งสอนข้า ก็ควรจะเตรียมตัวโดนสั่งสอนกลับสิ”

เมื่อเดินออกจากลานบ้าน เขาเห็นหัวหลายหัวบนอีกฝากของกําแพง ฉินมู่มองพวกเขาจนถ้วนทั่ว จากนั้นเดินผ่านไป

“ผู้คนที่ถูกละทิ้ง…” บัณฑิตผู้หนึ่งฟื้นสติมาและกล่าวอย่างระโหยโรยแรง “เจ้ากล้าวางแผนทําร้ายพวกข้า หากพวกข้าฟื้นฟูกลับมาเมื่อไหร่ เจ้าตายแน่…”

สีหน้าของฉินมู่มืดทะมึนขึ้นทันที “หากเจ้ายังกล้าพูดคําว่า ผู้คนที่ถูกละทิ้งอีกคําเดียว ข้าจะต่อยเจ้าให้หมอบทุกครั้งที่เห็นหน้า!”

“ผู้คนที่ถูกละทิ้ง!”

ฉินมู่ดึงบัณฑิตปากกล้าคนนี้ออกจากกําแพง แล้วลากเขาไปที่หน้าเรือนพักเขาขับเคลื่อนปราณชีวิตหิ้วคอของบัณฑิตผู้นี้ขึ้นมา และใช้เลือดที่หัวของหมอนั่นต่างหมึก ร่างกายของมันต่างพู่กัน เขียนข้อความบนกําแพง

ฉินมู่เขียนสองประโยค และวลีอีกชุดไว้ที่คานประตู จากนั้นปักบัณฑิตที่เขาใช้เป็นพู่กันลงในพื้นด้วยกําลังแรง ร่างของหมอนั่นจมลงไปในดินจนโผล่มาแค่หัว บัณฑิตผู้นั้นโกรธหน้าแดงหน้าดํา จนสลบไปอีกรอบ

บัณฑิตคนอื่นๆ ฟื้นสติตามกันมาติดๆ และดึงหัวของพวกเขาออกจากกําแพง พวกเขามีท่าทางทั้งอับอายทั้งหดหู่ เมื่อพวกเขาเผลอตัวถูกฉินมู่โจมตีนั้น ฉินมู่มิได้โจมตีกายเนื้อของพวกเขา แต่โจมตีวิญญาณแทน ทําให้ยากที่จะระวังรับมือ

หากว่าการโจมตีมุ่งเป้าไปที่ร่างกาย นั่นก็จะระวังได้ง่ายกว่า พลังวัตรของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินมู่มากมายนัก แถมยังมีพรรคพวกมากกว่า ต่อให้ฉินมู่ลอบจู่โจม เขาก็คงซัดให้หมอบไปได้แค่คนสองคนแต่ทว่าวิชาที่พุ่งเป้าไปยังจิตและวิญญาณนั้นแตกต่างออกไป

ฉินมู่ใช้นิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้ที่อัพเกรดแล้วในการควบคุมวิญญาณและสํานึกรู้ของพวกเขา และเมื่อพวกเขาพยายามจะสลัดออกจากการควบคุม แสงตะวันเผาวิญญาณหยางก็ทําให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมวิญญาณของตนเอง และตกเป็นเหยื่อของการจู่โจมฉินมู่ และไม่ทันที่พวกเขาจะได้โจมตีตอบโต้ ก็ถูกต่อยตีจน หมดสติเอาหัวกระแทกทะลุกําแพง

เว่ยหยงรีบกล่าวทันใด “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้ามาจากตระกูลเว่ยแห่งจวนท่านดยุค ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นะ!”

บัณฑิตสิบกว่าคนนั้นหันไปมองซึ่งกันและก่อน หนึ่งในนั้น ทอดถอนใจ “พวกเราโดนซัดร่วงไม่เป็นท่า และถูกแผนร้ายของเด็กใหม่จัดการ เสียหน้าจริงๆ พี่จากตระกูลเว่ย โปรดอย่าบอกผู้อื่นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ช่วยรักษาหน้าให้พวกเราด้วย”

เว่ยหยงระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นกล่าว “วางใจได้เลย ข้านี้รูดซิปปาก ไม่มีทางบอกใครแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ศิษย์พี่ทั้งหลาย แล้วพวกท่านมีแผนจะทําอย่างไรต่อไปล่ะ”

“ย่อมต้องไปทวงเกียรติศักดิ์ศรีของพวกเราคืนมา”

บัณฑิตหลายคนไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ และรีบเบียดเสียดกันออกไปจากลานบ้าน “นี่มันน่าอับอายขายหน้าเกินจะทน พวกเราจะรักษาเยียวยาอาการบาดเจ็บ แล้วจะกลับมาทวงศักดิ์ศรีคืนในวันพรุ่งนี้!”

“เขาทําให้พวกเราไม่ทันตั้งตัวได้ในวันนี้ แต่พรุ่งนี้เตรียมตัวโดนดี!”

เว่ยหยงหมดคําพูดและพึมพําเบาๆ “พี่ฉินนี่แข็งแกร่งขึ้นทุกวันๆ ไม่นับที่เขาอัดนักพรตหลิงอวิ๋นจนน่วม เขายังสามารถสร้างกระบวนท่าที่ทําให้แม้แต่ข้าซึ่งไม่ทันระวังป้องกันก็ยังถูกควบคุมด้วยเสียงมาร แต่ทว่าผู้คนพวกนั้นต้องเตรียมระวังป้องกันและพี่ฉินคงจะพลาดท่าในวันพรุ่งนี้ เพราะถึงอย่างไรบัณฑิตพวกนี้ก็เข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาสามสี่ปีก่อนพวกเรา และคงได้รํ่าเรียนทําความเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากกว่าพวกเรา เรือนบันทึกสวรรค์ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเก็บรักษาสุดยอดวิชาจากทุกลัทธิและทุกสํานักเอาไว้…”

เมื่อบัณฑิตสิบกว่าคนเดินผ่านเรือนพักของฉินมู่ พวกเขาก็เงยหน้าโดยบังเอิญและเห็นอักษรวาดด้วยเลือดสองแถวขีดเขียนไว้ ที่กําแพง

“ผู้ไร้เทียมทานกวาดล้างทั้งเมืองหลวง เตะกระเด็นแปดร้อยบัณฑิตจักรวรรดิ!”

และมีสี่อักษรเขียนบนคานประตู “ไร้เทียมทานในขั้นห้าธาตุ!”

และที่หน้าประตูก็มีคนที่ถูกปักฝังไว้ในดิน

สีหน้าของทุกคนดําคลํ้าขึ้นมาทันที พวกเขารีบไปฉุดบัณฑิตจมดินออกมาแล้วกล่าว “พวกเราจะปล่อยข้อความนี้ไว้ และมาสยบความโอหังของเขาวันพรุ่งนี้!”

ฉินมู่ซื้อหาอาหารจํานวนหนึ่งมาเติมท้อง และออกตรวจคนไข้ในหอฟังเสียงฝนต่อ ชื่อเสียงของเขาเริ่มแพร่กระจายไปในเมืองหลวง แม้แต่ชนชั้นสูงก็ได้ยินกิตติศัพท์หมอหนุ่มเทวดามือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนรีเวชในโรคอันยากวินิจฉัยและรักษาได้ลําบากทั้งหลาย

มีแม้แต่บุรุษที่มารับการวินิจฉัยโรคเพราะชื่อเสียงของเขา ฉินมู่ไม่ปฏิเสธผู้คนใดๆ และรักษาทุกคนที่เข้ามาหา แต่ทว่าก็มีบางการเจ็บป่วยที่เขามิอาจเยียวยา อาการเจ็บป่วยนี้แปลกประหลาดนัก ผู้ป่วยจะซูบผอมลงทุกวี่วันโดยหาสาเหตุไม่ได้ ผู้ป่วยที่ถูกหามมาบนแคร่นั้นผอมจัดจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

ผู้ป่วยที่ถูกพามามีทั้งหมด 5 คนและถูกหามมาโดยทหารจํานวนหนึ่ง

ฉินมู่ตรวจอาการอยู่สักพักแล้วกล่าว “นี่เป็นพิษหมอผี หากว่าเจ้าพาพวกเขามาเร็วกว่านี้ ข้าพอจะรักษาเขาได้ แต่ในตอนนี้พวกเขาเสียชีวิตแล้วและข้าไม่อาจช่วยชีวิตได้อีกต่อไป”

ทหารผู้นํากลุ่มระเบิดโทสะขึ้นมาทันทีและตะโกนตวาด “เจ้านักต้มตุ๋น พวกเขายังหายใจอยู่ชัดๆ และยังมีสัญญาณชีพ กล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าพวกเขาตายแล้ว งี่เง่าอะไรแบบนี้!”

ฉินมู่ส่ายหน้า “พวกเขาตายไปแล้ว เหลือแต่ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต้องพิษหมอผีจากจักรวรรดิคนเถื่อนตี่ พิษหมอผีนี้แตกต่างจากพิษธรรมดา พิษธรรมดานั้นส่งผลต่อร่างกายและระบบประสาท ขณะที่พิษหมอผีส่งผลต่อจิตและวิญญาณ วิญญาณของพวกเขาติดพิษและตายไปได้ห้าถึงหกวันแล้ว ส่วน

คนไข้ผู้นี้ตายไปได้ 10 วันแล้ว”

ทหารคนนั้นฟังแล้วก็ตาแดงกํ่าเมื่อเขากล่าว “พวกเรามาจากชายแดนและกําลังทําศึกสงครามที่ชายแดนนั้น พวกเขาถูกคนเถื่อนเขาโง้งใช้กระจกส่องระหว่างที่อยู่ในสนามรบ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มผอมซูบลง ไม่ว่าพวกเขาจะกินอะไรเท่าไรก็ไม่อาจเพิ่ม นํ้าหนักได้ แม้แต่ยาเซียนยาวิเศษก็ช่วยไม่ได้ แพทย์สนามกล่าวว่าเขาไม่อาจช่วยพี่น้องของพวกเราเหล่านี้ได้ และหากว่ายังคงอยู่ที่ชายแดนต่อไปก็ทําได้แต่รอความตาย ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงอนุญาตให้เราพาพี่น้องของพวกเรากลับมา หมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ ท่าน

ต้องช่วยชีวิตพี่น้องของข้านะ…”

ฉินมู่ส่ายหน้า “วิญญาณของพวกเขาตายไปแล้ว ข้าไม่สามารถช่วยเขาได้ กลับไปเถอะ”

ทหารผู้นั้นปาดนํ้าตาป้อยๆ จากนั้นพาทหารคนอื่นๆ แบก 5 คนนั้นออกไป

ฉินมู่กล่าวขึ้นมาทันใด “แม่ทัพท่านนี้ ให้ข้าเขียนตํารับยาให้เจ้าล่ะกัน หากว่าใครประสบพิษเช่นนี้อีกเจ้าจะได้ใช้ตํารับยานี้ช่วยชีวิตเขา”

ทหารผู้นั้นยั้งฝีเท้าทันที ฉินมู่ยกพู่กันขึ้นตวัดเขียนตํารับยาให้แก่เขา “ตํารับยานี้เรียกว่ายาเซียนหยางพิสุทธิ์เผาแมลงร้าย มันสามารถระงับการโจมตีของแมลงวิญญาณในพิษหมอผี”

ทหารผู้นั้นทั้งดีใจและแปลกใจ เขาพลักคุกเข่าลงบนพื้นแล้ว โขกศีรษะคารวะอย่างหนักหน่วง

ฉินมู่รีบประคองแขนเขาขึ้นมา “ไม่จําเป็นต้องทําเช่นนี้หรอก”

ทหารผู้นั้นปาดนํ้าตา แล้วหันกายเดินออกไป

ฉินมู่ละสายตาจากแผ่นหลังของเหล่าทหาร จากนั้นนั่งลงตรวจคนไข้คนอื่นๆ ต่อ

พิษหมอผีนั้นเป็นยาพิษที่เขาเคยได้ยินจากนักปรุงยาจริงๆ แล้วมันคือเวทมนตร์ของหมอผี หมอผีใหญ่จะใช้แมลงพิษในการปรุงกลั่นพิษออกมา แล้วดูดซับวิญญาณของแมลงพิษและพิษของมันเข้าไปในวิญญาณของตนเอง เมื่อพวกเขาสังหารศัตรู ไม่จําเป็นต้องโปรยพิษให้ไปแตะต้องโดยตรง ต้องการเพียงใช้วิธีโดยอ้อมในการวางยาพิษศัตรู อันเป็นวิธีพิลึกกึกกือ

พิษหมอผี และเวทมนตร์หมอผีล้วนแต่เป็นวิชาทักษะที่มุ่งเป้าไปยังวิญญาณ เพื่อวางพิษมัน ทักษะเหล่านั้นแตกต่างจากพิษธรรมดาโดยสิ้นเชิงและไม่อาจแก้พิษได้ด้วยยาถอนพิษธรรมดาสามัญ

พิษหมอผีนั้นมุ่งโจมตีวิญญาณ ดังนั้นวิธีในการแพร่พิษจึงไม่อาจเข้าใจได้โดยสามัญสํานึก ยกตัวอย่างเช่นการวาดภาพ สาปแช่ง การตัดกระดาษรูปคนเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดบนนั้น จากนั้นใช้เข็มแทงเข้าไปในคนกระดาษ พิษหมอผีในวิญญาณของหมอผีก็จะถูกฝังเข้าไปในวิญญาณของศัตรู หรือมิเช่นนั้นเขาก็สามารถใช้เข็มจิ้มหรือยิงธนูใส่ตุ๊กตาฟาง คร่าวิญญาณได้ใน 7 วัน วิธีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพิษหมอผีและเวทมนตร์หมอผี ประหลาดเหลือล้น

ฉินมู่ตรวจคนไข้ไปได้อีกสามสี่คน ก็มีเกี้ยวหามถูกแบกเข้ามาในหอฟังเสียงฝน จากนั้นผู้เฒ่าในชุดแพรก็ลงมาจากเกี้ยว เขาเดินตรงไปยังฉินมู่ด้วยตนเองจากนั้นประสานมือคารวะทักทาย “หมอเทวดาน้อย ช่วยด้วย!”

ฉินมู่งงงวย เมื่อเห็นชุดแพรของขุนนางชั้นสองที่ผู้เฒ่าผู้นั้นสวมใส่อยู่ คนผู้นี้น่าจะเป็นเสนาบดีในสภาราชสํานัก “สุภาพบุรุษ ชราท่านนี้สีหน้าแจ่มใสไร้โรคภัย เหตุใดจึงต้องการความช่วยเหลือจากข้า”

ผู้เฒ่ากล่าว “ที่ครอบครัวของข้ามีผู้ป่วยหนักเจียนตาย ทั้งหมอทั่วไปและหมอหลวงนับไม่ถ้วนต่างก็เข้ามาวินิจฉัยแต่ไร้ผล ข้าได้ยินว่ามีหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในเมืองนี้ ดังนั้นข้าจึงมาเชื้อเชิญหมอเทวดาให้ช่วยเหลือ!”

ข้างๆ เขา ฝูชิงอวิ๋นหัวเราะคิกคัก “ใต้เท้าเอี้ยนไม่ได้มาเยือนตรอกดอกไม้นานแล้วนะ!”

เฒ่าผู้นั้นหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย และกระแอมไอ “ข้าเคยมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ น้องสาวฝู ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซํ้า อย่าล้อข้าเล่นสิ หมอเทวดา ข้าจะเชิญท่านขึ้นเกี้ยวไปช่วยชีวิตคนได้หรือไม่ ไปช่วยชีวิตจริงๆ!”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนขึ้นไปบนเกี้ยว ผู้เฒ่านั้นก็ตามขึ้นมาเช่นกันและมีชายกํายําสองคนแบกเกี้ยวขึ้น พวกเขากระโจนขึ้นไปบนอากาศและเหาะเหินบนก้อนเมฆ

ฉินมู่เลิกม่านดูทิวทัศน์ภายนอก และเห็นเกี้ยวลอยมุ่งไปยังใจกลางเมืองหลวง กลางอากาศนั้นมีดอกบัวทองคําอันก่อขึ้นมาจากริ้วแสงปรากฏอยู่ และบนดอกบัวนั้นมีเหล่าแม่ทัพในชุดเกราะ

ทองคําเฝ้าประจําการป้องกันภัยอยู่บนท้องฟ้าของเมืองหลวง กําลังฝีมือของพวกเขานั้นสูงลํ้าน่าตระหนก

แม่ทัพเกราะทองเหล่านั้นไม่ขัดขวางเกี้ยว และปล่อยให้มันเหาะเหินเข้าไปในหมู่ราชวัง

ฉินมู่ปล่อยม่านที่เลิกขึ้นลง จากนั้นหันไปมองผู้เฒ่า “ใต้เท้าเอี้ยน ดูท่าความเป็นมาของผู้ป่วยในครอบครัวท่านคงยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่น”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version