ตอนที่ 123 เกริกไกรประดุจคีตกวี
ใต้เท้าเอี้ยนลูบเคราของตนแล้วแย้มยิ้ม “หากว่าที่มาของคนผู้นั้นไม่สําคัญ ข้าคงไม่มาเชื้อเชิญเจ้าด้วยตนเอง ท่านหมอเทวดา บัณฑิตฉิน องค์จักรพรรดิไม่ถือสาหาความกับสถานะการเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งของท่าน รู้หรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง”
ฉินมู่สะดุ้งขึ้นมา เมื่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวสุนทรพจน์อันเร่าร้อนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาคิดว่าจักรพรรดิตั้งใจจะใช้สถานะของฉินมู่ที่เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ เพื่อปลุกสติความคิดแก่ข้าราชบริพาร แต่จากความนัยที่ใต้เท้าเอี้ยนกล่าว ดูท่าว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแรงผลักดันจากทางใต้เท้าเอี้ยน
“ข้าใคร่ล้างหูรับฟังโดยละเอียด”
“ในตอนนั้นข้าบอกจักรพรรดิว่าเจ้าเป็นหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้ ที่สามารถรักษาคนผู้นั้นได้ ดังนั้น จักรพรรดิจึงไม่สืบสาวหาความว่าเหตุใดเจ้าถึงสามารถหลบหลีกกระจกตรวจสอบและลักลอบเข้ามาในสันตินิรันดร์ได้”
ใต้เท้าเอี้ยนยิ้มน้อยๆ “หากว่าข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น ท่านคิดหรือว่าเจ้าจะได้เป็นบัณฑิตจักรวรรดิ? เพราะถึงอย่างไรบัณฑิตจักรวรรดิก็เป็นตําแหน่งขุนนางชั้นแปด จะมอบตําแหน่งนี้ให้ผู้คนที่ถูกละทิ้งที่ลักลอบเข้ามาในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร นี่เป็นอาชญากรรมการลบหลู่เทพเจ้า!”
ฉินมู่สายตาวูบไหว แล้วถอนหายใจ “หากว่าข้าไม่สามารถเยียวยาคนผู้นั้น ศีรษะข้า…”
ใต้เท้าเอี้ยนแย้มยิ้ม “ก็จะหลุดไป”
ฉินมู่สีหน้ามืดคลํ้า
เมื่อเกี้ยวนั้นลงจอดกับพื้น ชายกํายําสองคนก็เปิดม่านประตู
ใต้เท้าเอี้ยนส่งยิ้มให้เป็นสัญญาณ ฉินมู่สูดลมหายใจลึกจากนั้น ก้าวออกมาจากเกี้ยว ใต้เท้าเอี้ยนก็ลงมาเช่นกันและนําทางไป ขณะที่บอกเตือนเขาด้วยเสียงตํ่า “คนผู้นั้นมีอิทธิพลอํานาจสูงยิ่ง ดังนั้นเจ้าต้องไม่ล่วงเกินเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
ฉินมู่รีบติดตามไปแล้วยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าข้าย่อมระมัดระวัง ไม่ล่วงเกิน เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของข้า และรับประกันอนาคตของใต้เท้าเอี้ยน”
ใต้เท้าเอี้ยนเผยรอยยิ้มจากนั้นกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจ้ารู้ เช่นนี้ก็ดี หลานชายของข้าก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และเขาเข้าเรียนสองปีก่อนหน้าเจ้า หากว่าเจ้าสามารถรักษาคนผู้นั้นได้ ข้า สามารถให้หลานชายข้าคอยดูแลเจ้าที่นั่น หลานชายของข้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธเปี่ยมพรสวรรค์ในขั้นห้าธาตุ”
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาด สงสัยเสียจริงว่า หลานชายของเขาอยู่ในบรรดากลุ่มบัณฑิตที่ข้าอัดจนน่วมในวันนี้หรือเปล่านะ
ที่นี่เป็นตําหนักชั้นในของราชวังจักรพรรดิ และมันดูเหมือนเป็นตําหนักที่สนมฮองเฮาพํานักอยู่ เมื่อมองเข้าไปในประตูของลานตําหนักอันลึกกว้าง เขาก็เห็นนางกํานัลวังหลายคนกับผู้ชายหน้าขาวไร้หนวดเคราจํานวนหนึ่ง
นี่คือขันทีที่เขาร่ำลือกันน่ะหรือ ฉินมู่คิดอยู่ในใจ
ใต้เท้าเอี้ยนนําเขาไปยังราชวังใหญ่อันมีลานตําหนักโอ่โถงลึกล้ำ
ในตอนนั้นเอง ก็มีผู้คนยี่สิบสามสิบคนอยู่ในโถงตําหนัก ส่วนใหญ่แล้วเป็นนางกํานัลวังและขันทีราชสํานัก และยังมีหมอหลวงจํานวนหนึ่งที่ยืนเฝ้าข้างแท่นบรรทมหยก และที่แท่นบรรทมหยกก็มีผ้าม่านบางเบากั้นกางอยู่ ผู้คนที่นอนอยู่ภายในนั้นดูจะเป็นอิสตรี
“หมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้มาแล้วหรือ” หมอหลวงคนหนึ่งกวาดตามองฉินมู่แล้วยิ้มหยัน “ใต้เท้าเอี้ยนดูท่าท่านจะเลอะเลือนแล้ว ถึงกับกล้าเชิญคนที่รักษานางโลม โสเภณีมารักษาพระพันปีหลวง ขวัญเจ้ากล้าบังอาจเกินไปแล้ว”
ใต้เท้าเอี้ยนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “หมอหลวงเสี้ยวก็กล่าวเช่นนี้ แล้วเขาก็ตาย จริงสิ น้องชายน้อยฉิน ข้าลืมบอกเจ้าว่าหมอหลวงเสี้ยวและหมอหลวงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาจารย์หมอในโถงบรมเยียวยา พวกเขาจะสอนวิชาแพทย์ให้แก่เจ้าในอนาคต”
ฉินมู่โค้งให้แก่หมอหลวงเหล่านั้นและทุกคนแค่นเสียงไม่ก็ยิ้มหยัน ไพล่มือไว้ข้างหลังเชิดหน้าโดยไม่คารวะกลับหมอหลวงฉูยิ้มเย้ย “ต้มตุ๋นผู้คนไปทั่วตั้งแต่ยังอายุเท่านี้ ทักษะวิชาปรุงยาของเจ้าคงยังครึ่งๆ กลางๆ สินะ?”
ฉินมู่เผยยิ้มสดใสดุจแสงตะวัน “อาจารย์หมอ หมอหลวงเสี้ยว ก็กล่าวเช่นนั้นแล้วเขาก็ตาย”
สีหน้าของหมอหลวงเหล่านั้นมืดคลํ้าทันที ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้ายังแท่นบรรทมหยกเมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้หยกข้างแท่น เขาก็กล่าวทักทาย “พระพันปีหลวง”
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากม่านบางเบานั้น วางอยู่กับขอบแท่นบรรทม ฉินมู่ตรวจชีพจรของนางแล้วหันกลับไป “มีใครที่นี่มีเข็มเงินหรือไม่”
หมอหลวงเฒ่าผู้หนึ่งส่งเข็มเงินให้กับเขา และฉินมู่รับเข็มเงินไปปักลงบนปลายนิ้วของพระพันปีหลวง ใต้เท้าเอี้ยนกระแอมไอ แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “โทษประหาร…”
“ใต้เท้าเอี้ยน พวกเราจะแบกรับไปด้วยกัน” ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่ง อุ้มหยดเลือดนั้นไว้กลางอากาศ
และเพ่งสายตาจับจ้องมัน “ปลุกพลัง!”
เขากู่ร้องเสียงตํ่าเมื่อเนตรสวรรค์ของเขาถูกปลุกขึ้นและมองตรงไปยังโลหิต ในเวลาเดียวกันนิ้วทั้ง 5 ของเขาที่กําเอาไว้ก็คลี่ขยาย ทําให้เลือดหยดนั้นขยายตัวเป็นทรงกลมแดงฉานลูกใหญ่
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกู่ร้องด้วยเสียงตํ่าอีกครั้ง “ปลุกพลัง!”
ริ้วรอยพยุหะจํานวนเหลือคณาหมุนวนโคจรไปรอบๆ แก้วตาของเขาและสร้างรอยสวรรค์ชั้นที่สอง เนตรสวรรค์เขียว!
ฉินมู่พบว่าปราณชีวิตของเขาขาดพร่องและไม่อาจดํารงการปลุกเนตรนี้ได้นาน เขาจึงเหลียวหลังไปร้องขอ “ใต้เท้าเอี้ยน ท่านให้ข้ายืมพลังปราณหน่อยได้ไหม”
ใต้เท้าเอี้ยนก้าวไปข้างหน้า จากนั้นส่งพลังปราณชีวิตของตนเข้าไปในร่างฉินมู่ พลางถามด้วยเสียงเบา “หมอเทวดาน้อย เจ้ามั่นใจหรือเปล่า…”
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้ม เมื่อปราณชีวิตของใต้เท้าเอี้ยนไหลเวียนไปในดวงตาของเขา ชั้นสวรรค์ของวิชาเนตรหลายชั้นก็ถูกปลุกขึ้นมา และทําให้เขามองเห็นเลือดหยดนี้อย่างแจ่มชัด และทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่อนเร้นภายในมิอาจหลุดรอดจากสายตาของเขาได้ เฒ่าบอดได้ถ่ายทอดวิชาเนตรสวรรค์เก้าทั้งเก้าสวรรค์ให้ฉินมู่อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ด้วยพลังวัตรปัจจุบันของฉินมู่ เขาจึงไม่สามารถปลุกเนตรทั้งเก้าสวรรค์ได้ด้วยตนเองและต้องยืมกําลังภายในของใต้เท้าเอี้ยน
แสงเทวะสองเส้นยาวประมาณหนึ่งคืบก็สาดส่องจากดวงตาของฉินมู่ ทันใดนั้นฉินมู่ก็เลิกม่านขึ้นแสงเทวะในดวงตาเขาเพิ่มพูนรุนแรงและฉายส่องลงบนพระพันปีหลวงที่นอนอยู่บนเตียง
พระพันปีหลวงนั้นไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะกล้าดีขนาดที่เลิกม่านของนาง นางมองสวนกลับไปทันที และสายตาของนางนั้นประดุจฟ้าผ่ากลางแดดเปรี้ยง สําแดงอํานาจโดยปราศจากโทสะ
ฉินมู่ประสานสายตากับนาง และแสงเทวะในดวงตาเขาก็โรยราลง “ข้าพบสาเหตุอาการป่วยของพระพันปีหลวงแล้ว พระพันปีหลวงต้องพิษ”
แม้ว่าพระพันปีหลวงจะนอนแซ่วอยู่บนเตียงและความงามของนางลดทอนไปตามอายุ แต่ก็ยังเห็นได้จากท่วงท่ากิริยาว่านางนั้น คือรูปลักษณ์ของมารดาในดวงใจพสกนิกรของจักรวรรดิ โฉมสะคราญอันหาได้ยาก
นางหลับตาลงแล้วถาม “ร่างกายของข้าอ่อนแอลงทุกวี่วัน หมอหลวงในกระทรวงหมอหลวงจักรวรรดิบางคนก็บอกว่าเป็นเพราะโรคภัย และบางคนก็บอกว่าเป็นยาพิษ ไม่มีความเห็นเป็นสิ้นสุดสักที เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าถูกพิษ”
“พิษที่พระพันปีหลวงประสบอยู่เรียกว่าพิษพันโอกาส” ฉินมู่กล่าวต่อ “มันคือยาพิษกลั่นปรุงพิสดารที่มีสารพิษเป็นพันเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เมื่อพิษพันโอกาสถูกกลั่นปรุงออกมา ความเป็นพิษในตัวมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกจังหวะ และไม่มียาถอนพิษชนิดไหนที่แก้พิษมันได้ ยาถอนพิษตัวใดที่รับเข้า ไปก็จะเพิ่มการเปลี่ยนแปลงในความเป็นพิษของมันและทําให้ยาถอนพิษนั้นไร้ผล ยิ่งท่านพยายามแก้พิษมากเท่าไร ความเป็นพิษก็จะยิ่งสั่งเพิ่มพูนและความเจ็บทรมานจากพิษร้ายก็จะรุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว พระพันปีหลวงต้องพิษนี้มาตั้งนานแต่โชคยังดีที่วรยุทธ์ของท่านสูงส่ง ทั้งหมอหลวงก็ไม่ได้ป้อนยาแก้พิษแก่ท่าน เพียงแค่จัดยาบํารุงยาวิเศษเพื่อยืดชีวิตพระพันปีหลวงเท่านั้น มิเช่นนั้นเรื่องคงยากจะคิดฝัน”
หมอหลวงไม่กี่คนนั้นจิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง และพวกเขาเหลียวไปมองกันและกันอย่างเงียบงัน
พระพันปี หลวงหอบหายใจแล้วถาม “หมอหลวง มีพิษเช่นนั้นอยู่จริงรึ”
หมอหลวงอวี้โค้งแล้วกล่าว “กราบทูลพระพันปีหลวง มีพิษเช่นนั้นอยู่จริง ข้าได้ยินว่าพิษชนิดนี้ถูกกลั่นปรุงโดยราชาพิษหน้าหยก แต่ทว่าไม่เคยมีใครได้เห็นมันมาก่อน ดังนั้น…”
พระพันปี หลวงถอนหายใจ “เจ้าจึงไม่สามารถถอนพิษนี้ได้ใช่ไหม”
หมอหลวงสามสี่คนนั้นมีสีหน้าละอาย พวกเขาก้มศีรษะลงไม่ปริปาก
พระพันปีหลวงพยายามหายใจอีกสามสี่ที จากนั้นสายตาของนางตกมายังฉินมู่ “แล้วเจ้าล่ะ หมอเทวดาน้อย?”
“ข้ามีวิธีแก้”
ฉินมู่ยิ้มเล็กน้อย “แต่ว่าข้าจะต้องทราบว่าพระพันปีหลวงรับยาตัวไหนไปบ้างตั้งแต่ที่ถูกพิษเป็นต้นมา รวมทั้งต้องการทราบตํารับของมัน อีกอย่างข้าต้องการนางกํานัล 1,023 คน รวมทั้งพู่กัน หมึก และแผ่นป้าย 1,023 แผ่น”
พระพันปีหลวงโบกมืออย่างอ่อนแรง “พวกเจ้าไปจัดการ”
ไม่นานนัก พู่กัน หมึก และกระดาษก็ถูกตระเตรียมมา ทุกตําหนักของสนมจักรพรรดิต่างวุ่นวายกับการเรียกตัวนางกํานัล
จากทุกซอกทุกมุมตําหนักมาที่นี่ กระทรวงหมอหลวงเองก็ไปจัดเตรียมข้อมูลตํารับยาที่พระพันปีหลวงเสวยตั้งแต่ทรงประชวรเป็นต้นมา
ฉินมู่ยกพู่กันและขีดเขียนรายชื่อสารพิษทุกชนิด และตัวเลขกํากับบนแผ่นป้าย เขาง่วนอยู่กับเรื่องนี้จนเที่ยงคืนจึงเขียนเสร็จ ระหว่างนั้นที่ลานหน้าตําหนักพระพันปี ก็มีโคมไฟจุดสว่างจ้าราวกลางวันและมีนางกํานัลกว่าพันคนยืนรออยู่อย่างสงบเสงี่ยม
ฉินมู่เรียกคนมารับแผ่นป้ายไปแจกจ่าย และนางกํานัลแต่ละคนก็ถือแผ่นป้ายหนึ่งแผ่นที่เขียนชื่อสารพิษเอาไว้ นางกํานัลยืนตามตําแหน่งพยุหะค่ายกลตามที่ฉินมู่กํากับ พยุหะค่ายกลนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีวิธีการยืนหลายแบบที่แตกต่างกัน รูปแบบแรกนั้นจะมีนางกํานัลเพียงคนเดียวชูแผ่นป้ายขึ้นขณะที่ยืนนิ่ง
รูปแบบที่ 2 มีนางกํานัล 2 คนยืนอยู่ด้วยกัน รูปแบบที่ 3 มีนางกํานัล 4 คน ตามด้วยรูปแบบที่มีนางกํานัล 8 คน ตามด้วย 16…32…64…128…256 และ512 คน
เมื่อนางกํานัลถูกจัดกลุ่มอย่างเรียบร้อย ฉินมู่ก็เริ่มเปิดดูตํารับยาที่พระพันปีหลวงบริโภคตลอดหลายปีมานี้ เขาเริ่มดูจากยาชนิดแรก และเมื่อเขาพิจารณาเสร็จ เขาก็เรียกชื่อตัวเลขออกมาสองสามตัวเลข และให้นางกําลังเหล่านั้นสลับตําแหน่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อเรียกตัวเลขที่เขียนอยู่บนป้ายของตน
พยุหะอันก่อจากผู้คนพันเศษพลันแปรเปลี่ยน หลังจากนั้น ฉินมู่ก็ดูตํารับยาขนานที่ 2 และร้องเรียกตัวเลขจํานวนหนึ่งอีกครั้ง ให้นางกํานัลที่ถูกเรียกสลับตําแหน่งเปลี่ยนแปลงพยุหะอีกครา
ฉินมู่พิจารณาตํารับยาไปทีละขนานและพยุหะก็เปลี่ยนแปลงซํ้าแล้วซํ้าอีกตามการสับตําแหน่งของเหล่านางกํานัล
หมอหลวงไม่กี่คนนั้นเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด หมอหลวงเฒ่าผมหงอกขาวทั้งหัวพลันกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงสั่น “ข้าไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้เห็นวิธีการแบบนี้ในชั่วชีวิตข้า ถึงข้าตายลงไปเดี๋ยวนี้ก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว!”
หมอหลวง 3 คนที่เหลือผงกหัวแล้วทอดถอนใจ “ตอนแรก พวกเราดูแคลนเขา ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะวินิจฉัยพิษพันโอกาสออกมาได้ และสามารถใช้วิธีการพิสดารมหัศจรรย์ในการประมวลผลคํานวณว่าพิษพันโอกาสเปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นไหนแล้ว!”
หมอหลวงทั้งหลายประทับใจอย่างสุดซึ้ง ฉินมู่ให้นางกํานัลนับพันยืนตามตําแหน่งต่างๆ พลางถือแผ่นป้าย เพื่อสร้างโครงสร้างของยาพิษซึ่งก่อตัวขึ้นมานับจากรับพิษเข้าไปครั้งแรก จากนั้นให้นางกําลังสลับตําแหน่งไปมาตามฤทธิ์ยาที่พระพันปีหลวงเสวยอันมีผลต่อโครงสร้างพิษเดิม
นางกํานัลพันกว่าคนนี้ได้ก่อรูปเป็นลูกคิดมหึมาและซับซ้อนและนางกํานัลแต่ละคนประดุจลูกคิดหนึ่งเม็ดซึ่งช่วยเขาประมวลผลคํานวณขั้นของยาพิษพันโอกาสซึ่งได้แปรเปลี่ยนไปในร่างกายของพระพันปีหลวง
วิธีการเช่นนี้เฉียบแหลมอัจฉริยะ ทําให้หมอหลวงเหล่านี้ทึ่งชื่นชมไม่รู้จบ
ฉินมู่คํานวณอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งรุ่งเช้า และสิ้นสุดการคํานวณทุกตํารับยาในที่สุด นางกํานัลที่ยืนถือแผ่นป้ายมาตลอดคืนก็หมดเรี่ยวแรงเช่นกัน ฉินมู่มองดูตําแหน่งสุดท้ายของนางกํานัลเหล่านั้นและแผ่นป้ายในมือพวกนาง เช่นเดียวกับพยุหะสุดท้ายที่ก่อรูปออกมาจากพันพิษ เขาคิดคํานวณอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หลับตาลง
ผ่านไปอีกสักพัก ฉินมู่จึงลืมตาขึ้นและยกพู่กันเขาขึ้นเขียนตํารับยาของเขา
หมอหลวงสามสี่คนก้าวมาข้างหน้าและก้มลงดูตํารับยาที่ฉินมู่เขียน พวกเขาผงกหัวขึ้น ๆ ลงๆ แขนขาก็โงนเงนไปมาด้วยความตื่นเต้น
ใต้เท้าเอี้ยนเข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกันแต่เขาไม่เข้าใจอะไรเลย จึงถามด้วยเสียงเบา “หมอหลวงทั้งหลาย ตํารับยานี้เป็นอย่างไร”
หมอหลวงฉูมองไปยังฉินมู่ด้วยสายตารักใคร่ในความสามารถ และอุทานด้วยความทึ่งใจ “ตํารับยานี้งดงามเลิศลํ้าและเกริกไกร ประดุจคีตกวี! หมอเทวดาน้อยใช้เทคนิคการแทนที่โดยใช้พิษชนิดหนึ่งมาแทนที่พิษหลักในใจกลางโครงสร้างพิษพันโอกาส เจ้าเห็นนั่นไหม นั่นแหละ อันนั้นแหละ! เมื่อพิษตัวนี้ถูกแทนที่ ความเป็นพิษอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด 1,022 พิษก็จะข่มซึ่งกันและกันและความเป็นพิษของพวกมันก็จะสูญสลายไปเอง! ตระการตา นี่มันตระการตาเหลือเกิน!”
หมอหลวงอีกคนนามว่าหยูก็อุทานเช่นกัน “หมอหลวงเสี้ยว ไม่ได้ตายเปล่า เขาได้ตายลงตรงหน้าหมอเทวดาน้อย นับว่าตายในสมรภูมิสมเกียรติหมอ!”
ใต้เท้าเอี้ยนส่ายหน้าพลางคิดในใจ “พวกที่เรียนวิชาแพทย์มีแต่บ้าบอ มีอะไรตระการตาเกริกไกรกันล่ะ ประเด็นสําคัญก็มีแค่ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่าเท่านั้น หากว่ามันไม่ได้ผล ตําแหน่งขุนนางของข้าและศีรษะของหมอเทวดาคงจะหายวับ!”