51. ฮูหยินลัทธิ
“ทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่น่ะรึ”
ท่านยายซีเดินโขยกเขยกออกมาจากกระท่อมฟาง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยอารมณ์ “ข้าเลี้ยงเจ้ามาด้วยหยาดเลือดและน้ำตา แต่เจ้ากลับหนีไปกับนังจิ้งจอกโดยไม่บอกกันสักคำ ปล่อยยายทิ้งไว้คนเดียว เจ้ายังกล้าถามอีกหรือว่าทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่ ใช่สิ เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็เลยเลือกนังจิ้งจอกมากกว่ายาย! นังจิ้งจอกตัวจ้อย ข้าให้เจ้าเลือกว่าจะตายอย่างไร”
ฉินมู่รีบยิ้มสู้เสือ “ท่านยาย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าได้พบกับฮู่หลิงเอ๋อโดยบังเอิญ และได้ยินนางพูดถึงวังมังกรแม่น้ำหย่ง ดังนั้นพวกเราจึงไปเที่ยมชมดูสักหน แต่เพราะว่าข้าศึกษามังกรเลือดบริสุทธิ์ในวังมังกร ข้าจึงหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเผลอไผลติดอยู่ที่นั้นอีกสองวันแทน”
“สองวันที่ไหน สี่ตะหาก! เอ๊ะ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเจ้าศึกษามังกรเลือดบริสุทธิ์?” ท่านยายซีถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ “นังจิ้งจอกน้อยนี่ไม่ได้สูบกินพลังปราณชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ฮู่หลิงเอ๋อ ทั้งอายทั้งกลัว นางซ่อนอยู่ข้างหลังฉินมู่หลบจากสายตายายเฒ่าซี
ฉินมู่ปลุกปราณชีวิตในร่างขึ้นและยิ้มมั่นใจ “เช่นนั้นดูให้ดีนะ ท่านยาย!”
เสียงมังกรคำรนทุ้มลึกดังสะท้อนออกมาเมื่อปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พลุ่งพล่าน ก่อรูปเป็นมังกรตัวใหญ่รัดพันรอบๆ กายของเขา กรงเล็บมังกรสองข้างผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแขน และเมื่อฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้าเพื่อปล่อยหมัด เสียงฟ้าคำรามครั่นครื้นก็ระเบิดออกมา
เสียงสายฟ้าฟาด สะท้อนก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อฉินมู่ปล่อยหมัดออกไปต่อเนื่องเป็นชุด
“ปราณชีวิตมังกรเขียว!”
ท่านยายซีอุทานด้วยความตกใจอย่างสุดจิต นางรู้ว่าเฒ่าหม่ามิได้ถ่ายทอดพระสูตรมหายานยูไลให้ฉินมู่ โดยปราศจากวิชาฝึกใจที่เหมาะคล้องกับฟ้าคำรามแปดจู่โจม ฉินมู่ก็ไม่อาจมีความสำเร็จสูงส่งในเพลงหมัดนี้ ไม่ว่าเขาจะมีฐานพลังวัตรที่หนาแน่นเพียงใด
แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ฉินมู่กลับสามารถต่อยออกมาเป็นเสียงฟ้าคำรามได้! ด้วยกำปั้นที่เหมือนกับสายฟ้าฟาด สิ่งที่ขาดไปมีเพียงฟ้าแลบเท่านั้น!
ผู้ฝึกยุทธขั้นทารกวิญญาณที่ไม่มีวิชาฝึกใจอันสอดคล้องเหมาะสม แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความสำเร็จขั้นนี้!
แต่นั่นยังไม่สำคัญที่สุด สำคัญไปกว่านั้น…ปราณชีวิตมังกรเขียว!
มังกรเขียวกระหวัดรัดรอบตัวฉินมู่นั้นเป็นปราณมังกรเขียวไม่ผิด ซึ่งมีอยู่เฉพาะในกายาวิญญาณมังกรเขียว หนึ่งในสี่สุดยอดกายาวิญญาณเท่านั้น!
และนี่เป็นคุณสมบัติธาตุที่สามที่ปรากฏในกายาจ้าวแดนดินของฉินมู่!
ด้วยการเพ่งพิจารณาน้ำและไฟ ปราณชีวิตกายาจ้าวแดนดินก็ครอบครองคุณสมบัติธาตุน้ำและไฟ อันตอบสนองสอดคล้องกับปราณชีวิตเต่าดำและปราณชีวิตหงส์แดง และในตอนนี้เขากลับครอบครองธาตุสายฟ้าของปราณชีวิตมังกรเขียว!
หรือว่ามู่เอ๋อเป็นฝ่ายสูบกินแก่นชีวิตของนังจิ้งจอกน้อยตัวนี้แทน เพื่อสั่งสมเพิ่มพูนพลังวัตร เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เคยสอนวิชามารดูดหยินไปเสริมหยางให้เขา…อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่เขาบอกว่าได้พบเห็นมังกรเลือดบริสุทธิ์ ท่านยายซียิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย
ฉินมู่ชักหมัดกลับ ยืนในท่าเดิม มังกรเขียวอันก่อรูปขึ้นจากปราณชีวิตของเขาก็หายกลับเข้าไปในร่าง จากเศียรมังกรจนถึงหาง มันแจ่มชัดมีชีวิตชีวา ราวกับว่าเป็นมังกรเทพยดาตัวเป็นๆ
ฉินมู่เองก็ทั้งประหลาดใจทั้งยินดี เขาไม่นึกว่าเขาจะสามารถต่อยออกมาเป็นเสียงสายฟ้าฟาดได้!
เมื่อหลวงจีนน้อยหมิงซิ่นร่ายรำฟ้าคำรามแปดจู่โจม และต่อยออกมาเป็นเสียงสายฟ้าฟาด เขาอิจฉาจนน้ำลายไหล ถึงแม้ฉินมู่จะต่อยออกมาเป็นเสียงสายฟ้าฟาดได้ด้วยการใช้มุทรามารมหาอานุภาพ แต่มันจะกินพละกำลังเขาไปมาก
ฟ้าคำรามแปดจู่โจมเผาผลาญปราณชีวิตน้อยกว่าเยอะ ยิ่งเมื่อเขาโคจรกายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพื่อฟื้นฟูปราณในระหว่างต่อสู้ มันก็แทบจะเท่ากับเขาไม่ได้ใช้ปราณให้พร่องไปเลย
สามารถต่อยออกมาเป็นเสียงสายฟ้าฟาดนั้นเท่ากับว่ากำลังฝีมือเขารุดหน้าอย่างแรงอีกครั้ง!
เมื่อเขาบรรยายประสบการณ์ที่พบพานในวังมังกร ท่านยายซีก็รับฟังอย่างมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย เมื่อนางได้ยินว่าฉินมู่พบเห็นโครงกระดูกที่สวมใส่เสื้อผ้าขุนนางกับซากศพแห้งเหี่ยว สายตานางก็วูบไหวแล้วกล่าว “มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ กับศพที่ตายแตกต่างกันสองแบบนี้ เวลาเจ้าเข้าไปข้างในเจ้าต้องระวังให้มากๆ”
เมื่อฉินมู่บอกเล่าถึงมังกรน้อยและกู่ลี่หนวนที่ถูกแช่แข็งในน้ำแข็งลี้ลับด้วยฤทธิ์ลูกแก้วมังกร ยายเฒ่าซีก็ตบเข่าฉาดแล้วฉีกยิ้ม “ไอ้เฒ่ากู่ลี่หนวนนี่มีพิรุธ โครงกระดูกที่สวมชุดขุนนางต้องตกตายในน้ำมือมันและถูกมันสูบกินแน่ๆ! ในแวดวงขุนนางราชสำนัก ทุกผู้คนต่างร้ายกาจและโลภโมโทสัน แล้วเจ้าหลอกตุ๋นมันได้อย่างไรล่ะ”
ฮู่หลิงเอ๋อประทับใจสุดๆ หญิงเฒ่าผู้นี้มิได้เห็นเรื่องราวด้วยตาของตนเองแต่กลับได้ข้อสรุปเดียวกันกับฉินมู่แม้เพียงรับฟังเรื่องเล่า หรือว่านางเองก็เป็นปีศาจจิ้งจอก ที่มีสติปัญญารับรู้ขึ้นมาเช่นกัน
ฉินมู่บรรยายว่าเขาเรียนรู้เคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะได้อย่างไร และชักกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ออกมาแสดง
ท่านยายซีรับกระบี่นั้นมาเพ่งพิศ แล้วอุทานด้วยความทึ่งชื่นชม “กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าระดับโลก จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างกระบี่ชั้นหนึ่งสิบหกเล่ม อันได้แก่ กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ กระบี่บรมผู้พิทักษ์ กระบี่บรมครู กระบี่ครูเยาว์ กระบี่บรมราชครู กระบี่ราชครูเยาว์ กระบี่สามเสนาบดี กระบี่ม้าขาว กระบี่รัชทายาท กระบี่องค์ชายปกครอง กระบี่ดยุค กระบี่จอมพล กระบี่คุมฟ้า และกระบี่แผนสวรรค์”
“ซึ่งกระบี่เหล่านี้ได้ถูกมอบให้แก่ ผู้พิทักษ์เยาว์ บรมผู้พิทักษ์ ครูเยาว์ บรมครู บรมราชครู ราชครูเยาว์ และให้กับองค์ชายรัชทายาท เสนาบดีทั้งสาม องค์ชายปกครองเมือง ดยุค จอมพล แม่ทัพคุมฟ้า และแม่ทัพแผนสวรรค์ตามลำดับ และถึงแม้ว่ากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์จะไม่ดีเด่นเท่ากับกระบี่ชั้นหนึ่งระดับสูง แต่มันก็เหลือเฟือที่จะเป็นสมบัติสืบทอดของสำนัก ถ้าไปตกในสำนักอื่นๆ”
“มันมีค่าขนาดนั้นเลยหรือ”
ฉินมู่แตกตื่นและถามต่อ “กระบี่นี้มีค่าเท่าไรถ้าเทียบกับไม้เท้าขักขระ”
ท่านยายซีตอบ “มูลค่าพอๆ กัน ไม้เท้าขักขระได้รับการปลุกเสกอำนวยพรโดยยูไลเฒ่า ส่วนกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์นั้นเป็นกระบี่ขุนนางชั้นหนึ่งที่รองรับโชควาสนาของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ จึงมีฤทธานุภาพมหาศาล”
ฉินมู่ถามอีก “แล้วเขาบอกว่าเพลงดาบของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นเพลงดาบอันดับหนึ่งในแดนดิน แต่ข้าไม่เรียนมัน ข้าเรียนเพลงแต่วิชาคุมกระบี่เคล็ดลับหัวใจหนึ่งยาอมตะเท่านั้น ข้าทำถูกไหมท่านยาย”
“ถูกแล้วที่เจ้าไม่เรียน ราชครูจักรวรรดิสันตินิรันดร์อาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดยุทธ แต่กู่ลี่หนวนนับเป็นตัวอะไร แต่ก่อนเขาก็เป็นผู้ฝึกวิชามารเหมือนกับข้านั่นแหละ เพลงกระบี่เขาคงฝึกได้ไม่เท่าขี้เล็บของราชครู เจ้าต้องเลือกดูว่าจะเรียนเพลงกระบี่จากใคร เพราะไม่ว่าเพลงกระบี่จะวิเศษวิโสแค่ไหน แต่ถ้าคนสอนก็งั้นๆ สิ่งที่เขาถ่ายทอดก็จะเต็มไปด้วยความผิดพลาด ลองดูอย่างหลวงจีนน้อยหมิงซิ่น เขาก็ฝึกสุดยอดวิชาฟ้าคำรามแปดจู่โจมเหมือนกัน แต่เพราะอาจารย์เขาไม่ได้ดีเด่อะไร เขาเลยมีจุดอ่อนที่คอหอย”
ด้วยคำพูดที่ทั้งเปี่ยมความนัยและความในใจ นางก็บอกกับฉินมู่ “ดังนั้นเจ้าต้องเลือกครูที่ดีที่สุดเมื่อเจ้าจะเรียนเพลงดาบ พวกครูสุกๆ ดิบๆ นี่อย่าไปเรียนกับมัน”
ฉินมู่งงงวย เพราะถึงที่สุดแล้วกู่ลี่หนวนก็ยังเป็นขุนนางชั้นหนึ่งระดับล่าง เป็นถึงผู้พิทักษ์เยาว์ขององค์รัชทายาท ขนาดนี้ก็เรียกสุกๆ ดิบๆ หรือ?
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า จิ้งจอกตัวกระจ้อย”
ท่านยายซีแย้มยิ้ม “กลับบ้านกันเถอะมู่เอ๋อ คนในหมู่บ้านคนอื่นๆ คงกังวลแทบแย่แล้ว และคงคิดว่าเจ้าถูกสัตว์พิสดารจับกินไป ใครจะฉลาดแบบยายที่รู้ว่าเจ้าถูกจิ้งจอกน้อยขโมยตัวไป ดังนั้นข้าถึงมารอเจ้าที่นี่ จริงสิ เจ้าจิ้งจอกกระจ้อย ยายเฒ่าผู้นี้พลิกดูหนังสือโบราณของเจ้า และเขียนโน้ตอธิบายไว้ให้บ้างสองสามแห่ง เจ้าลองพลิกอ่านดูนะ จะได้ช่วยหลีกเลี่ยงการฝึกปรือผิดพลาด”
ฮู่หลิงเอ่อดูอับอาย นางคอตก “ข้าอ่านหนังสือไม่ออก…”
ท่านยายซีประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะ “เป็นปีศาจจิ้งจอกที่ซื่อเซ่ออะไรอย่างงี้ นี่เพราะเจ้าไม่ได้แตะต้องมู่เอ่อ และช่วยให้เขาพบพานโชควาสนาหรอกนะ…ก็ได้ ยายเฒ่าผู้นี้ไม่หลอกเจ้าก็ได้ หากว่าเจ้าฝึกตามโน้ตที่ข้าเขียนไว้ให้ รับรองว่าธาตุไฟแตกตายแน่นอน นั่นคือผลลัพธ์ของคนที่กล้ายุ่มย่ามกะเด็กน้อยของข้า!”
ฮู่หลิงเอ๋อตัวสั่นด้วยความหวาดผวา และคิดในใจ “คุณชายมู่พูดถูกจริงๆ ด้วย ผู้เฒ่าในหมู่บ้านของเขามีแต่นักต้มตุ๋นมืออาชีพ พวกเขาต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่ฝึกจนเป็นเซียนปีศาจ!”
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านพิการชรา ฉินมู่ยืนตะลึงเมื่อพบว่ามีหมู่บ้านใหม่ผุดโผล่มาข้างๆ หมู่บ้านพิการชราอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้!
หมู่บ้านนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างมาใหม่ๆ และใหญ่โตกว่าหมู่บ้านพิการชรามาก มันยังมีบรรยากาศของความโอ่อ่าไม่ธรรมดา ให้ความรู้สึกหรูหรา
บ้านในหมู่บ้านพิการชราทุกหลังก่อผนังสร้างจากโคลน และมีหลังคาซอมซ่ออันรั่วทุกครั้งที่ฝนตก ฉินมู่จะต้องคอยเอากะละมังถังน้ำมารองน้ำฝนในบ้าน เมื่อเทียบกับหมู่บ้านใหม่ที่ผุดมาข้างกันแล้ว หมู่บ้านพิการชราก็ยิ่งดูยากจนกระเซอะกระเซิง
ท่านยายซีสีหน้ามืดครึ้มทันที นางพาฉินมู่กลับเข้าไปในหมู่บ้านพิการชราโดยไม่ปริปากสักคำ
หมู่บ้านใหม่นี้สร้างอยู่ติดๆ กับทางเข้าหมู่บ้านพิการชรา และในตอนนั้นเอง ผู้คนแปลกประหลาดจำนวนมากก็เดินออกมาและยืนสำรวมเรียงรายอยู่ข้างทาง มีทั้งแก่ทั้งหนุ่ม มีทั้งหญิงทั้งชาย
เมื่อใดที่ท่านยายซีเดินผ่านคนเหล่านั้นก็โค้งคารวะและกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “ฮูหยิน”
แม้แต่ผู้เฒ่าที่ผมหงอกเทาทั้งศีรษะก็ยังต้องโค้งคารวะและกล่าวทักทายฮูหยินของเขาด้วยท่าทีอันถ่อมตนเจียมตัว
สีหน้าท่านยายซียิ่งมืดคล้ำเข้าไปใหญ่ และมุ่งหน้าเดินไปโดยไม่กล่าววาจา มือก็คว้าดึงฉินมู่เข้าหมู่บ้านพิการชราไปด้วย ตลอดเส้นทางนั้นฉินมู่ได้แต่ตะลึงงัน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเสียงทักทาย‘ฮูหยิน’ สามสี่ร้อยครั้ง
เมื่อไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยากำลังดื่มชาอยู่ เบื้องหน้าพวกเขามีผู้เยาว์กำลังจิบชาอย่างไม่เร่งร้อน และมีผู้เฒ่ายืนสำรวมข้างๆ เขา
“ฮูหยิน” ผู้เฒ่านั้นโค้งคำนับ
ผู้เยาว์ได้ยินก็เงยหน้ามอง และใช้เสียงอันดูแก่โบราณของเขากล่าวอย่างราบเรียบ “หยูหยู เจ้าจะไม่ทักทายปรมาจารย์หน่อยหรือเมื่อได้พบกับข้า”
ท่านยายซียืนตัวทื่อ นางหยุดยั้งเท้า แล้วโค้งคารวะ “น้อมพบ ปรมาจารย์”
ผู้อาวุโสคุมกฎมองไปที่ฉินมู่ และเผยรอยยิ้มกว้าง กว้างเสียจนตาเขาหยีเหลือขีดเดียว “ฮูหยิน นี่คือบุตรของท่านหรือ”
ท่านยายซีถลึงตาจ้องเขา แล้วตอกกลับไป “หยุดพูดจาเหลวไหล ไม่งั้นข้าจะฉีกปากเจ้าซะ มู่เอ๋อเป็นเด็กที่ข้าเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่บุตรของข้า!”
ผู้อาวุโสคุมกฎทำสีหน้าเข้าใจความนัย และร้องอ้อๆ ส่งๆ ในคอ ทำเอาท่านยายซีอยากตะบันหน้าเขาสักที
นักปรุงยาแย้มยิ้ม “ยายเฒ่า สหายแสนดีของพวกเราเหล่านี้จากลัทธิมารฟ้า ตั้งหลักปักฐานที่นี่ได้สี่ซ้าห้าวันแล้ว และจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้เจอหน้าเจ้า”
ท่านยายซีสีหน้ามืดคล้ำไปอีก “มู่เอ๋อ เจ้ากลับเข้าหมู่บ้านไปก่อน”
“เจ้าก็กลับเข้าไปด้วย ยายเฒ่า” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
ท่านยายซีขมวดคิ้ว ผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวต่อ “ตั้งแต่เมื่อเจ้าได้เข้าร่วมหมู่บ้านพิการชรา เจ้าก็เป็นหนึ่งในพวกเรา ปัญหาของเจ้า พวกเราผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราจะแบกรับร่วมกัน”
ผู้เยาว์ที่จิบชาตรงหน้าเขาวางถ้วยชาแล้วยิ้มเล็กๆ “สหาย เจ้ายังคงก้าวร้าวดุเดือดเหมือนที่เคย แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับจ้าวลัทธิ ฮูหยินลัทธิ และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเรา ต่อให้หมู่บ้านพิการชราอยากจะแบกรับเรื่องราวนี้ แต่ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงรับไม่ไหว”