Skip to content

พลิกปฐพี 490

ตอนที่ 490

ไปอาณาจักรเซิ่งหยวนสักรอบ

แม้จะมองเห็นด้วยตาตนเอง มู่ซงก็ยังไม่กล้าเชื่อสายตา

เขามองผู้ชายสวมชุดขาวที่คุกเข่าอยู่นอกประตูโค้ง ใบหน้านั้นเหมือนกับในความทรงจำของเขาไม่มีผิด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่เป็นความจริงหรือว่าภาพลวงตากันแน่?

“อี้เฉิน” มู่ซงเอ่ยปาก ที่เขาร้องเรียกไม่ใช่คนที่คุกเข่าอยู่นอกประตู แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา มู่อี้เฉินที่กำลังตะลึงตัวแข็งค้าง

อี้เฉินหรือ ?

บุตรอีกคนของเขา!

ดวงตาของมู่เหลียนเฉิงฉายแววตื่นเต้น สายตาผละออกจากมู่ซงไปที่ชายหนุ่มที่ดูคล้ายตนเองประมาณเจ็ดส่วน

มู่อี้เฉินก้าวเข้ามาอย่างมึนงง เดินไปข้างกายของมู่ซง จ้องไปที่มู่ซงแล้วพึมพำว่า “ท่านปู่”

“นอก…นอกประตูมีคนไหม?” มู่ซงเอ่ยถามด้วยใจสั่นสะท้าน

“มี!” มู่อี้เฉินตอบอย่างแน่ใจ “เป็นท่านพ่อ ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”

บิดาของเขาขึ้นคืนชีพกลับมาแล้วจริงๆ!

นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นความจริง!

คำพูดของเขาทำให้มู่ซงแน่ใจ

เขาเบิกตากว้าง ก้าวยาวๆ ไปที่ประตูโค้ง เข้าไปใกล้เงาร่างนั้นมากยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็อดร้องออกไปไม่ได้ว่า “เหลียนเฉิง ลูกชายข้า!”

“ท่านพ่อ!” เมื่อได้ยินชื่อของตนเองดังออกมาจากปากบิดาตนเองอีกครั้ง มู่เหลียนเฉิงก็ร้องออกไป

เขาผิดต่อบิดามารดา ผิดต่อกองทัพตระกูลมู่ ผิดต่อภรรยาของตนเอง ผิดต่อบุตรของตนเอง!

“เหลียนเฉิง!” มู่ซงพุ่งไปถึงตรงหน้าของเหลียนเฉิง แม่ทัพเฒ่าโผลงไปบนพื้น ใช้สองแขนโอบบุตรชายเข้ามาในอ้อมอก ร้องไห้เหมือนเด็กน้อย

ความเจ็บปวดที่สูญเสียบุตรมายี่สิบกว่าปี ในที่สุดก็คลายลงเสียที

“ท่านพ่อ เป็นลูกไม่ดีทำให้ท่านต้องเหนื่อยยาก” มู่เหลียนเฉิงกอดบิดาแน่น

บิดาในความทรงจำที่มักจะเข้มงวดในการสั่งสอนตนเองเพื่อเป็นแม่ทัพคนนั้นกับบิดาที่ กำลังร้องไห้เหมือนเด็กน้อยอยู่ต่อหน้าตนในตอนนี้ทำให้มู่เหลียนเฉิงรู้สึกปวดใจ

เขาไม่กล้าคิดเลยว่าคนในครอบครัวของเขาอยู่กันมาอย่างไรในช่วงยี่สิบกว่าปีมานี้!

บิดาและบุตรสองคนกอดกันร้องไห้อย่างเนิ่นนานถึงค่อยสงบลง

มู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่เดินเข้ามา พยุงพวกเขาให้ลุกขึ้น

“เกอเอ๋อร์…” มู่ซงมองไปยังหลานสาวที่พยุงตนเอง ดวงตาผู้เฒ่าเต็มไปด้วยอารมณ์วุ่นวายซับซ้อน หลานสาวของเขาคนนี้ลำบากเกินไปแล้ว เรื่องอะไรก็แบกรับด้วยตนเอง ทั้งยังคิดแทนพวกเขาอีก “บอกปู่มาว่าการฟื้นคืนชีพให้พ่อเจ้านั้นทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

เมื่อมองเห็นบุตรชายฟื้นคืนมา ในใจของเขายินดีก็จริง แต่ก็ไม่ลืมหลานสาว

ความกังวลในแววตาของเขาทำให้มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้ม “ไม่มี วางใจเถอะ”

มีคำรับรองของนางแล้ว มู่ซงถึงได้โล่งอก

เวลานี้เอง มู่อี้เฉินก็ค่อยๆ เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของมู่เหลียนเฉิงแล้วคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมร้องเรียกขึ้นว่า “ท่านพ่อ!”

จากนั้นเขาก็โขกหัวคำนับมู่เหลียนเฉิงสามครั้งจนหน้าผากแดงไปหมด

“เด็ก…เด็กดี! รีบลุกขึ้นมา!” มู่เหลียนเฉิงตื่นเต้นมาก รีบดึงให้มู่อี้เฉินลุกขึ้นมา

การเกิดการตายดุจดั่งฝัน เขาตายไปยี่สิบกว่าปี พลาดเรื่องราวไปมากมาย แต่ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้นกลับยังได้พบกับบิดา ภรรยาและลูกๆ ของตนเอง ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก?

สายตาของมู่เหลียนเฉิงกวาดมองไปยังลูกๆ ทั้งสามและเอ่ยขึ้นอย่างยินดีว่า “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นเด็กดีของพ่อ เชื่อฟังมาก”

“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับผมของท่าน!” ทันใดนั้น มู่อี้เฉินก็มองเห็นซางหลันรั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ผมขาวโพลนทั้งหัวของนางทำให้เขาตกใจจนร้องเสียงดังออกมา

เมื่อเขาร้องขึ้น มู่ซงถึงได้สังเกตเห็นลูกสะใภ้ของตนเอง

ซางหลันรั่วเช็ดนํ้าตาของตนเองในขณะที่มู่อี้เฉินเดินเข้ามา แล้วเอ่ยกับเขาว่า “แม่ไม่เป็นไร แค่ผมกลายเป็นสีขาวก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก พ่อของเจ้าไม่รังเกียจก็พอแล้ว”

หลังจากพูดปลอบใจมู่อี้เฉินแล้ว นางก็รีบไปคุกเข่าลงตรงหน้าของมู่ซง โขกหัวให้เขาแล้วเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ท่านพ่อ สะใภ้มารับโทษจากท่านแล้ว!”

มู่ซงถอนหายใจ พยุงนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “หลันรั่ว หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ตอนนี้พวกเราทุกคนต่างก็อยู่พร้อมหน้าซึ่งสำคัญกว่าทุกสิ่ง”

มู่ซงนั้นเปิดใจอย่างใจกว้าง นับตั้งแต่ต้นเขาก็ไม่เคยโทษซางหลันรั่วเลยแม้แต่คำเดียว

ในที่สุดทุกคนก็ได้พบหน้ากัน มีคำพูดมากมายให้พูดคุยกับไม่จบ มีความคิดถึงมากเกินที่จะพูดได้หมด

วันนี้ตระกูลมู่จัดโคมไฟฉลองกันทั้งตระกูล!

เพราะว่าแม่ทัพน้อยของพวกเขาไม่ตายและกลับมาแล้ว! ยังมีฮูหยินน้อยของพวกเขาก็กลับมาแล้ว!

บางทีนี่อาจจะเป็นวันที่คึกคักที่สุดของตระกูลมู่ในรอบยี่สิบปีกว่าที่ผ่านมา ฉินจิ่นเฉินที่ได้ยินข่าวก็ส่งคนมาร่วมแสดงความยินดี ทั้งยังส่งราชโองการมาให้มู่หลียนเฉิงอีกด้วย

เขายังเป็นแม่ทัพน้อยแห่งกองทัพตระกูลมู่และยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลมู่ และเขายังได้รับตำแหน่งจงหย่งโหวมาเพิ่มอีกตำแหน่งด้วย

ขุนนางน้อยใหญ่มาร่วมกันแสดงความยินดี ร่วมเฉลิมฉลองทั้งเมือง

ตระกูลมู่ในเมืองลั่วตู แคว้นฉินในหลินชวนดูคึกคักมากขึ้นไม่น้อย

ในวันที่สามที่มู่เหลียนเฉิงกลับมาถึง มู่เหลียนหรงที่ได้รับข่าวก็พาเซวียเฉียวและลูกมาถึง

สองพี่น้องพบหน้าก็พากันร้องไห้ไปยกหนึ่ง

หลายวันมานี้ผ่านความยินดีและโศกเศร้าอย่างหนักมาโดยตลอด มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงแต่ปรุงยาฟื้นฟูไปให้ซางหลันรั่ว เพื่อให้นางคอยดูแลให้เขากินยาตรงตามเวลาทุกวัน

ไม่พบเจอกันหลายปี ลูกของท่านอาอายุได้ห้าหกขวบแล้ว กำลังอยู่ในวัยซุกซน

เมื่อมองเห็นพี่สาวในตำนานอย่างมู่ชิงเกออีกครั้ง เขาก็ไม่ได้สงสัยเช่นครั้งแรกอีก เพียงแต่เปลี่ยนเป็นภูมิใจ เพราะหลายปีมานี้นอกจากมู่เหลียนหรงและเซวียเฉียวจะพาเขามาเมืองลั่วตูเพื่อเยี่ยมมู่ซงแล้วก็พาเขาท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก

ในหลินชวนมีแคว้นไหนที่ไม่มีตำนานเกี่ยวกับมู่ชิงเกอบ้าง?

ทุกคนกำลังครื้นเครง ส่วนมู่ชิงเกอกลับฉวยโอกาสออกมาข้างนอกเพื่อไปพบกับเจ้าอ้วนเช่า เขาเองก็จะเป็นพ่อคนแล้ว ในตอนที่นางพบภรรยาของเขานั้น ท้องนางก็ใหญ่มากแล้ว

มู่ชิงเกอชะงักไปเนิ่นนานจึงเบิกตากว้างอ้าปากค้างชูนิ้วโป้งให้เจ้าอ้วนเช่า ซึ่งทำให้เขาได้ใจมาก

หลังจากพบกับเจ้าอ้วนเช่าแล้ว มู่ชิงเกอก็ไปพบฉินจิ่นเฉิน

ฮ่องเต้แคว้นฉินผู้นี้ดูนิ่งขรึมและดูทรงอำนาจเหมือนฮ่องเต้มากขึ้น พูดกันว่าเขากับสาวงามในวังหลังคนนั้น มีความสัมพันธ์กันไม่เลว ไม่ได้ดูเย็นชาเช่นปฏิบัติต่อคนอื่นๆ

ถึงแม้ว่าจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือจะบอกว่าฮ่องเต้ยังไม่เคยมีสัมพันธ์กับสาวงามคนนั้น แต่เมื่อสามารถพูดคุยกับนางได้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

มู่ชิงเกออยู่ในเมืองลั่วตูสองสามวัน จากนั้นก็ขี่เสี่ยวไฉ่ไปอาณาจักรเซิ่งหยวน

ครั้งนี้นางจะไปพบตาเฒ่าไป๋หลี่ที่โรงโอสถ

ถึงแม้นางจะรู้เรื่องของหม้อผลาญสวรรค์มาจากเจ้าสำนักวิถีโอสถและเหลียนเฉียวชัดเจนแล้ว แต่ตอนแรก ตาเฒ่าผู้นี้ก็ขุดหลุมพรางให้นางตกลงไป ครั้งนี้นางได้ชัยชนะจากงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถกลับมาแล้วจะไม่ไปพบเขาสักครั้งได้อย่างไร?

ด้วยความเร็วของเสี่ยวไฉ่ ผ่านไปไม่กี่วันมู่ชิงเกอก็เข้าไปในอาณาจักรเซิ่งหยวนแล้ว

นางไปยังโรงโอสถกลางเลย แต่ไม่เจอตาเฒ่าไป๋หลี่ มองเห็นเพียงเซี่ยเทียนอู๋ สุดท้ายก็รู้จากปากของเซี่ยเทียนอู๋ว่าไปหลี่เถิงไปเมืองหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวน

ดังนั้นนางจึงไปยังเมืองหลวงเพื่อตามหาเขา

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าในตอนที่นางพบกับไป๋หลี่เถิงนั้นเอง เขากลับอยู่กับหวงฝู่ฮ่วน

“คุณชายมู่!

“เอ? เจ้ากลับมาแล้วหรือ!”

เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอแล้ว หวงฝู่ฮ่วนและไป๋หลี่เถิงก็ล้วนแต่แปลกใจ

มู่ชิงเกอมองไปทางหวงฝู่ฮ่วนและก็ตกใจเช่นเดียวกัน นางคิดว่าเขาไม่ได้อยู่ในหลินชวนนานแล้วเสียอีก

ดูเหมือนเขาจะอ่านความสงสัยในนัยน์ตาของนางออก หวงฝู่ฮ่วนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้ากลับมาเพื่อเยี่ยมครอบครัว เฉินปี้เฉิงก็กลับมาแล้ว หากว่าเจ้ามีเวลาพวกเราก็มารวมตัวกันหน่อย”

“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้ารับปาก

หวงฝู่ฮ่วนนั้นตาดีมาก รู้ว่ามู่ชิงเกอมีเรื่องกับไป๋หลี่เถิง จึงจากไปหลังจากเอ่ยตามธรรมเนียมเสร็จ

เมื่อเหลือเพียงสองคนแล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้มอย่างขี้เล่นแล้ว เอ่ยว่า “ท่านมาสนิทกับราชวงศ์อาณาจักรเซิ่งหยวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ไป๋หลี่เถิงยิ้มเอ่ยว่า “หวงฝู่เฮ่าเทียนไม่สบาย พวกเขาจึงเชิญข้ามาดูอาการ ตอนนี้รักษาเสร็จแล้ว หวงฝู่ฮ่วนที่เป็นรัชทายาทคนก่อนก็ต้องมาขอบคุณข้าเป็นธรรมดา”

“รัชทายาทคนก่อน?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น

ไป๋หลี่เถิงเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้ก็ถูกต้องแล้ว ตอนที่เจ้าจากไปนั้นเขายังเป็นรัชทายาท แต่ตอนหลังเขาต้องการติดตามมหาปราชญ์ ดังนั้นจึงถอนตัวออกจากตำแหน่งรัชทายาท”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!

มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

นางไม่สนใจว่าใครจะเป็นใหญ่ในอาณาจักรเซิ่งหยวน ดังนั้นหลังจากที่ไป๋หลี่เถิงอธิบายแล้ว นางก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่พูดขึ้นว่า “ท่านยังจำคนที่ชื่อว่าชื่อหยวนเฮ่าได้ไหม?”

เมื่อนางพูดออกไป หนังตาของไป๋หลี่เถิงก็กระตุกเล็กน้อย เขามองไปยังมู่ชิงเกอ ยิ้มขึ้นมา “เด็กน้อย ดูท่าแล้ว เจ้าคงได้ไปสำนักวิถีโอสถและพบเจ้าสำนักวิถีโอสถแล้ว”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ค่อยๆ พยักหน้า “ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถอีกด้วย”

“โอ้? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?” ไป๋หลี่เถิงเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ท่านคิดว่าเป็นอย่างไรเล่า?”

“ชนะสินะ!” ไป๋หลี่เถิงยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย

มู่ชิงเกอเคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะสองสามครั้ง แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ข้าไม่รู้ว่าสำนักวิถีโอสถกับท่านมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน แต่ตอนนี้ท่านก็ควรบอกข้าถึงเรื่องบางเรื่องแล้ว อย่างเช่น…เหตุใดท่านถึงต้องนำหม้อผลาญสวรรค์มาที่นี่? เจ้าสำนักวิถีโอสถบอกว่าเป็นเพราะเขา ไหว้วานท่าน แต่เหตุผลเล่า?”

ไป๋หลี่เถิงยิ้มตาหยีนั่งลง มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ได้ก็แสดงว่าเจ้าไปได้ดีในโลกแห่งยุคกลาง บอกเจ้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย ที่จริงแล้วก็ง่ายดายมาก ตอนแรกข้าเป็นอาจารย์ปรุงยาในโลกแห่งยุคกลาง และก็เป็นศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นในสำนักวิถีโอสถส่วนในอีกด้วย ความใฝ่ฝันในชีวิตของข้าก็คือได้ชัยชนะในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ แต่ข้ายังเดินไปไม่ถึงขั้นนั้นก็ถูกเจ้าสำนักมอบภารกิจให้นำหม้อผลาญสวรรค์ออกจากโลกแห่งยุคกลางมายังหลินชวนเสียก่อน”

“เพราะอะไร?” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง

ไป๋หลี่เถิงพูดว่า “เพราะหากหม้อผลาญสวรรค์อยู่ในสำนักวิถีโอสถแล้วจะอันตรายมาก”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

เมื่อนำคำพูดของคนทั้งสามมาปะติดปะต่อกันเรื่องราว ทั้งหมดก็ชัดเจนแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก ครู่หนึ่งนางก็พูดกับไป๋หลี่เถิงว่า “ในเมื่อข้าได้ทำภารกิจที่ท่านมอบให้สำเร็จแล้ว ท่านก็ควรจะตอบแทนอะไรหน่อยหรือไม่?”

ไป๋หลี่เถิงชะงัก เอ่ยถามว่า “เจ้าต้องการอะไร?” มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา ดวงตาโค้งเป็นวงพระจันทร์ “คำขอของข้านั้นง่ายดายมาก ก็คืออนุญาตให้ข้าไปในคลังของโรงโอสถกลางเพื่อหาวัตถุดิบยาสองสามชนิดที่ข้าต้องการ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version