ตอนที่ 560
วิธีหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพ
“ได้ยินว่าในครึ่งปีนี้ เจ้าทำเรื่องใหญ่ไปเรื่องหนึ่ง” เหลียนเฉียวพูด
มู่ชิงเกอกลับฟังออกถึงความตื่นเต้นภายใต้นํ้าเสียงที่ราบเรียบนั้น
นางหลุบตาลง ถามเหลียนเฉียวว่า “เจ้าคิดจะถามอะไรหรือ”
เหลียนเฉียวสะอึก เม้มริมฝีปาก เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นไหวระริกอยู่ในแววตา เพียงแต่นางไม่สามารถทำอะไรมู่ชิงเกอได้ นางได้สัมผัสนิสัยของมู่ชิงเก อมาหลายครั้ง ย่อมรู้ดีว่ามู่ชิงเกอเป็นคนชอบไม้อ่อน ไม่ชอบไม้แข็ง
อีกครู่หนึ่ง เหลียนเฉียวจึงพูดว่า “เจ้าอยู่ในสุสานเทพ ได้อะไรมาบ้าง”
มู่ชิงเกอนึกขึ้นได้ว่าสามสิทธิ์แห่งเทพที่อยู่ในมือ ต่างยังบ่มเพาะอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ดังนั้นนางจึงยังไม่ได้สนใจ
‘หลังกลับถึงลั่วซิงเฉิง ข้าจะต้องลองถามราชครูดูว่าสามสิทธิ์แห่งเทพนี้สามารถหลอมรวมได้หรือไม่’ มู่ชิงเกอบอกตัวเองในใจ
“ผลที่ได้ไม่เลวเลย” มู่ชิงเกอผงกศีรษะบอก
ท่าทางนางที่สงบเยือกเย็นทำให้เหลียนเฉียวร้อนรนขึ้นมา จนท้ายที่สุดนางก็อดไม่ได้จึงถามว่า “ภายในสุสานเทพ เจ้าได้เห็นสิทธิ์แห่งเทพเกี่ยวกับอาจารย์ปรุงยาหรือไม่”
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไป
เหลียนเฉียวยังคงพูดต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าหนุ่มเหยากลับมามือเปล่า ส่วนเจ้าล่ะ ได้พบเจออะไรหรือไม่…”
แววตากับนํ้าเสียงนางแฝงไปด้วยการเฝ้ารออยู่บางส่วน ทั้งยังมีความตื่นเต้น กระทั้งความหวาดกลัว
นางอยากได้คำตอบ แต่ก็เกรงกลัวคำตอบ
มู่ชิงเกอจับจ้องนาง สุดท้ายก็ค่อยๆ สั่นศีรษะ
คำตอบของนางทำให้สายตาเหลียนเฉียวฉายแววผิดหวัง
มู่ชิงเกอเห็นแววตานางเปลี่ยนเป็นหม่นหมองสิ้นหวังด้วยสายตาตัวเอง ราวกับว่ามันไร้ซึ่งชีวิตชีวา
เหลียนเฉียวค่อยๆ เบนสายตาออกจากตัวมู่ชิงเกอกลับไปอยู่ที่บัวดังเดิม ผ่านไปสักครู่ นางจึงพูดว่า “เจ้าไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
เจตนาต้องการไล่แขกเห็นได้ชัดเจน มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะอยู่ต่อจึงลุกขึ้นมา มองเงาหลังที่เรียวผอมของนาง พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าดูแลตัวเองดีๆ เถอะ ไม่ มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุด”
พูดจบแล้ว นางก็หันกายเดินจากไป
“ไม่มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุด” เหลียนเฉียวพึมพำ คำพูดที่มู่ชิงเกอทิ้งไว้นัยน์ตาราวกับกลับคืนความสดใสบ้างเล็กน้อย
มู่ชิงเกอเดินออกจากบริเวณเรือนของเหลียนเฉียวก็มองเห็นเจ้าสำนักวิถีโอสถ
แววตานางเปล่งประกายแวบหนึ่ง ร้องออกมาว่า “ศิษย์พี่”
เจ้าสำนักพยักหน้ารับคำ หันกายจากไปพร้อมกับนาง
“ในที่สุดศิษย์น้องก็ยังพูดไม่ออกเช่นเดียวกับข้า ตั้งแต่รู้เรื่องท่านอาจารย์ข้าก็จะต้องมายืนอยู่ที่นี่ทุกวัน สักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถก้าวเท้าเข้าไปข้างในเพื่อเล่าเรื่องให้ผู้อาวุโสรับรู้ได้” เจ้าสำนักพูดทอดถอนใจ
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
หากเป็นตามนิสัยนางย่อมไม่ปิดบังเหลียนเฉียว แต่ว่าเรื่องที่เหลียนเฉียวเคยบอกนาง ทั้งยังคำสั่งเสียสุดท้ายจากเทพโอสถทำให้นางไม่สามารถอธิบายเรื่องราว ทั้งหมดให้เหลียนเฉียวฟังในเวลานี้ได้
ในเมื่อโอกาสและเวลายังไม่เหมาะสม ก็คงต้องรอไปก่อน
มู่ชิงเกอไม่ได้อยู่ที่สำนักวิถีโอสถนานนัก หลังจากบอกลาหัวหน้าสำนักวิถีโอสถแล้ว นางก็ได้ไปพบพวกเหมยจื่อจ้ง หลังสงครามยุติลง พวกเขาสี่คนย่อม กลับมาศึกษาต่อที่สำนักวิถีโอสถ ส่วนสิทธิ์แห่งเทพที่มู่ชิงเกอคัดเลือกให้พวกเขาสี่คนจากสุสานเทพนั้น เวลานี้ต่างบ่มเพาะอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขา
บ่มเพาะยิ่งนานต่อไปเมื่อหลอมรวมกันก็จะยิ่งง่าย
กลับถึงลั่วซิงเฉิง แวบแรกที่เห็น มู่ชิงเกอก็เลิกคิ้วขึ้น หลังจากแผ่นดินทั้งห้าภาคกลับคืนสู่ความสงบ ลั่วซิงเฉิงก็ดูเหมือนจะครึกครื้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก
แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตรงไปหาราชครูเลย
“นายน้อย” ราชครูยิ้มให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเดินไปนั่งลงข้างๆ ถามว่า “ทหารของเผ่าอี๋เคยชินกับการใช้ชีวิตในลั่วซิงเฉิงหรือไม่”
คนของเผ่าอี๋ เข้าสู่ลั่วซิงเฉิงเมื่อสี่เดือนที่แล้วและได้เข้าร่วมสงครามทันที เวลานี้สงครามสงบ พวกเขาจึงได้อยู่อาศัยต่อในลั่วซิงเฉิง รอคอยวันที่มู่ชิงเกอจะเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร
“นายน้อยโปรดวางใจ ทุกคนต่างเคยชินดีมาก” ราชครูตอบ
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
เวลานี้เองราชครูก็เอ่ยหยอกเย้ามู่ชิงเกอว่า “นายน้อยกลับมาครั้งนี้รู้สึกแตกต่างอะไรหรือไม่”
แตกต่างหรือ
มู่ชิงเกอนึกดูแล้วก็ผงกศีรษะเอ่ยว่า “ใช่ คนเยอะทีเดียว”
ราชครูยิ้มพูดว่า “คนมากขึ้นจริง นายน้อยรู้ไหมว่าเพราะอะไร”
“เพราะอะไรหรือ” มู่ชิงเกอถามด้วยความงุนงง
ราชครูยิ้มอย่างลึกลับ “เพราะว่าลั่วซิงเฉิง กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของห้าภาค คนเหล่านี้มาเพื่อคารวะผู้ศักดิ์สิทธิ์”
“คารวะผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือ” มู่ชิงเกอปากกระตุก รู้สึกจนใจ
นางไม่ใช่ผู้ศักดิ์สิทธิ์อะไร ไม่ต้องการให้ใครมาคารวะ ยิ่งไม่สามารถทำให้พวกเขาสมหวังสมปรารถนาได้
“ตั้งแต่นายน้อยทำลายตำหนักเทพ นายน้อยก็กลายเป็นศรัทธาใหม่ของพวกเขาแล้ว” ราชครูอธิบาย ยิ้มๆ
มู่ชิงเกอโบกมือ “ข้ามาหาเจ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เพราะข้าอยากรู้ว่า เจ้าพอจะรู้วิธีหลอมสิทธิ์แห่งเทพที่แตกต่างกันให้รวมกันได้หรือไม่”
“หลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพหรือ” สีหน้าราชครูเครียดขึ้นมาทันที
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะให้มู่ชิงเกอว่า “โดยปกติแล้ว คนหนึ่งคนสามารถหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ในฐานะผู้เฝ้ามองย่อมรู้วิธี ลับที่สามารถหลอมรวมสองสิทธิ์แห่งเทพเป็นหนึ่งเพื่อเพิ่มศักยภาพของสิทธิ์แห่งเทพได้”
“ที่ข้าต้องการหลอมรวมมีสามสิทธิ์แห่งเทพ” มู่ชิงเกอแก้ไขสิ่งที่เขาพูด
“สามเลยหรือ” ราชครูสะดุ้งตกใจ
การไปสุสานเทพของมู่ชิงเกอได้รับผลอะไรมาบ้าง ไม่เคยมีใครล่วงรู้จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งรู้ว่ามู่ชิงเกอถึงขนาดสามารถนำสามสิทธิ์แห่งเทพกลับมาได้
ราชครูสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “หลังนายน้อยกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้มีท่าทีเสียดายแม้แต่นิด คิดว่าคงได้สิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นกลับมา ส่วนอีกสองสิทธิ์แห่งเทพ…”
“หนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพของบรรพบุรุษตระกูลซาง อีกหนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถที่สืบทอดวิธีปรุงโอสถ” มู่ชิงเกออธิบาย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ราชครูเข้าใจในทันที
มู่ชิงเกอถามว่า “เจ้าว่ามีวิธีลับสามารถหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพเพิ่มศักยภาพสิทธิ์แห่งเทพได้ หากหลอมรวมถึงสามจะได้หรือไม่”
“โดยหลักการแล้วสามารถทำได้ แต่ไม่เคยมีใครลองมาก่อน” ราชครูตอบ
มู่ชิงเกอใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ บอกเขาว่า “เล่ารายละเอียดมา”
ราชครูผงกศีรษะเรียบเรียงถ้อยคำ แล้วจึงค่อยๆ กล่าวว่า “วิธีหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพนี้ เริ่มต้นคิดค้นโดย ข้าและศิษย์พี่ จุดประสงค์แต่แรกนั้น เพื่อช่วยเหลือลูก หลานตระกูลมู่ที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ หรือสิทธิ์แห่งเทพบกพร่อง ช่วยซ่อมแซมสิทธิ์แห่งเทพ ปรับเปลี่ยนพรสวรรค์”
“สิทธิ์แห่งเทพบกพร่องหรือ” มู่ชิงเกอมองเขาด้วยความข้องใจ
ราชครูอธิบาย “ใช่แล้ว คนเราเกิดมา มีบางคนบกพร่อง สิทธิ์แห่งเทพเองก็เช่นเดียวกัน ในแผ่นดินเทพ ที่เกิดมามีสิทธิ์แห่งเทพจะบ่งชี้ว่ามีความสามารถเหนือกว่าธรรมดา ที่ไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ จะเป็นได้เพียงชาวบ้าน หรือทาส ยังมีอีกชนิดหนึ่ง คือมีสิทธิ์แห่งเทพ แต่เป็นชนิดร้าย ดังนั้น ข้ากับศิษย์พี่จึงคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ จะใช้สิทธิ์แห่งเทพที่สมบูรณ์แบบไปซ่อมแซมสิทธิ์แห่งเทพที่ถือกำเนิดมา”
มู่ชิงเกอเม้มปากขมวดคิ้ว ตั้งอกตั้งใจฟังการบรรยายของราชครู
ราชครูพูดต่อว่า “แน่นอนวิธีการเช่นนี้ไม่ใช่สามารถใช้ได้พรํ่าเพรื่อ การเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แห่งเทพ เท่ากับเป็นการเปลี่ยนชะตาชีวิต ดังนั้น นอกจากไม่มี ทางเลือก ข้ากับศิษย์พี่จะไม่ใช่วิธีต้องห้ามนี้ในแผ่นดินเทพ บางครั้งมีการซื้อขายสิทธิ์แห่งเทพ พวกเราเคยซื้อสิทธิ์แห่งเทพมาใช้หลอมรวมกับคนตระกูลมู่ แม้ อันตราย แต่สุดท้ายก็สำเร็จ เพียงแต่ที่พวกเราหลอมรวม มีเพียงสองสิทธิ์แห่งเทพ ที่นายน้อยเอ่ยถึงสามนั้น ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้”
“ไม่มีความมั่นใจ ก็ทดลองทำดู” มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา บอกราชครูว่า “การหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพ จะต้องให้ข้าทำอะไรบ้าง”
ราชครูเห็นนางตัดสินใจแน่วแน่ จึงกัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอเพียงบ่มเพาะจิตวิญญาณ เพื่อให้สิทธิ์แห่งเทพทั้งสามมีกลิ่นอายเดียวกัน เมื่อเคราะห์ อัสนีครั้งที่สามมาถึง หลังจากประตูสวรรค์ปรากฎให้เห็นแล้ว นายน้อยก็โจมตีให้สิทธิ์แห่งเทพเข้าไปในประตูสวรรค์การหลอมรวมจะเกิดขึ้นในเวลานี้ ถึงเวลานั้นแล้ว นายน้อยเพียงแค่ตั้งอกตั้งใจรอรับเคราะห์อัสนี ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะจัดการให้เอง”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าเตรียมทุกสิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการอะไรขอให้สั่งลงไป ข้าจะกลับหลินชวนสักเที่ยว คาดว่าหลังจากกลับมาไม่นาน ก็จะชักนำเคราะห์อัสนีครั้งที่สามมาได้” มู่ชิงเกอบอกเขาดังนี้
“รวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ” ราชครูสงสัย
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ พูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า “นี่ก็ไม่เร็วแล้ว”
พูดจบ นางก็ออกจากห้องของราชครูไป
ราชครูยังคงงุนงงอยู่ ณ ที่นั้น แววตามีแต่ความตกตะลึง ควรรู้ว่า ปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านเหล่านี้ ต่างต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงร้อยปีจึงจะประสบเคราะห์อัสนีสามครั้ง บางคนถึงขนาดต้องรอหลายร้อยปี แต่นายน้อยพวกเขาหรือ ไม่ทันครึ่งปี ก็ประสบเคราะห์อัสนีไปแล้วสองครั้ง เดิมนึกว่าจะได้มีเวลาพักหายใจ รออีก สองสามปีจึงจะประสบครั้งที่สาม ไม่นึกว่า…
ราชครูสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “นายน้อยไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”
หลินชวน แคว้นฉิน จวนตระกูลมู่
ขณะที่ปรากฎตัวอีกครั้งที่บ้าน จวนตระกูลมู่ก็ไม่มีองครักษ์เขี้ยวมังกรคอยแอบเฝ้าอยู่อีกแล้ว กู่หยากับกู่เย่ก็ถูกมู่ชิงเกอไล่กลับไปยังแดนมารแล้ว
ตำหนักเทพดับสูญแล้ว นางไม่ต้องการให้พวกเขาเฝ้าคุ้มครองทุกฝีก้าว เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็กลับลั่วซิงเฉิงกันหมดแล้ว
การเฝ้าคุ้มครองเกือบปี พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของมู่ชิงเกออย่างเคร่งครัด ไม่ได้ทำให้คนของจวนตระกูลมู่ตกอกตกใจ ให้พวกเขาอยู่อาศัยในจวนตระกูลมู่อย่างสุขสบาย
ครั้งนี้ นางกลับมาก็เพื่อบอกลา ไม่คิดจะรบกวนบุคคลอื่นใด แคว้นใดหรือขุมกำลังใด
ร่วมสังสรรค์กับครอบครัวสักครั้งหนึ่ง แล้วนางก็ต้องไปตามทางของนาง การกลับมาอีกครั้งนั้นยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันเดือนปีใด
มู่ชิงเกอปรากฎกายขึ้นในจวนโดยไม่ได้รบกวนใคร จิตวิญญาณของนางครอบคลุมทั้งจวนตระกูลมู่ สามารถได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากที่แห่งหนึ่ง
เสียงพูดคุยอย่างมีความสุข ทำให้หว่างคิ้วของนางอาบไปด้วยความอบอุ่น มุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางปัดเสื้อผ้าแล้วเดินไปตามทางที่แว่วเสียงหัวเราะมา
‘หากท่านปู่ ท่านอาทั้งหลายอยากไปชมโลกแห่งยุคกลาง เวลานี้ถือเป็นโอกาสที่ดี’ อย่างน้อยนางในเวลานี้ก็สามารถรับประกันความปลอดภัยให้ครอบครัว ในโลกแห่งยุคกลางได้
“ชิงเกอ” การปรากฎกายอย่างกะทันหันของมู่ชิงเกอทำให้ซางหลันรั่วที่หันมาร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ
มู่ชิงเกอเพ่งมองดูจึงสังเกตเห็นว่า ในลานเรือนของท่านปู่มีคนนั่งกันอยู่เต็ม นอกจากบิดามารดาท่านปู่และน้องชายของนางแล้ว ยังมีครอบครัวอาหญิงสามคน กระทั่งเจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็รวมอยู่ด้วย
มู่ชิงเกอกะพริบตาเอ่ยถามว่า “วันนี้เป็นวันอะไรหรือ”
ทำไมอยู่กันครบเช่นนี้
“ลูกพี่ ท่านกลับมาด้วย หรือจำได้ว่าวันนี้เป็นวันชิวขุย” เจ้าอ้วนแซ่เช่าแย่งพูดขึ้นก่อนมู่อี้เฉิน