ตอนที่ 561
เคราะห์อัสนีครั้งที่สาม บ่อบิน
“วันชิวขุยหรือ” มู่ชิงเกอเข้าใจในทันที
วันชิวขุยของหลินชวนก็เป็นเช่นเดียวกับวันไหว้พระจันทร์ของดวงดาวสีฟ้าเมื่อชาติก่อน เป็นวันรวมญาติของครอบครัว การชมจันทร์วันชิวขุยก็เป็นประเพณี ของคนหลินชวนเช่นเดียวกัน
นางมีเรื่องวุ่นวายตลอดเวลา จนลืมวันเทศกาลต่างๆ เหล่านี้ไปหมด ไม่นึกว่าการกลับมาครั้งนี้จะบังเอิญเจอเทศกาลดีเยี่ยมเช่นนี้
ช่างตรงกันกับคำพูดที่ว่า ‘ทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า’
“ฮ่าๆๆ เจ้าอ้วน เจ้าดูนังหนูทำหน้าตาเหรอหลาเช่นนี้ก็น่าจะรู้ว่านางแค่กลับมาโดยบังเอิญ คนมีธุระยุ่งเช่นนี้ไหนเลยจะจำวันชิวขุยของพวกเราชาวหลินชวน ได้” ผู้อาวุโสมู่เปิดปากพูด นํ้าเสียงทั้งเหน็บทั้งเสียดสี แต่ที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้งคือความกังวลและห่วงใย
“ชิงเกอ”
“ชิงเกอ”
“ลูกพี่”
“พี่สาว ไม่สิ ลูกพี่” เจ้าหนูเซวียก็เรียกมู่ชิงเกอเป็นลูกพี่ตามมู่อี้เฉินกับเจ้าอ้วนแซ่เช่าด้วย
การกลับมาอย่างกะทันหันของมู่ชิงเกอทำให้คนในบ้านดีอกดีใจนัก พวกเขาต่างยืนขึ้นมาต้อนรับ ลากนางไปนงอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโส
“ท่านปู่ ข้าก็ไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ” มู่ชิงเกอยิ้มแย้มให้มู่ซง
ผู้อาวุโสยังแกล้งทำปั้นปึ่ง ส่งเสียงฮึ “เจ้ายังจำปู่คนนี้ได้อีกหรือ จากไปหลายปีไม่เห็นแม้แต่เงา เมื่อก่อนนี้ ยังรู้จักส่งข่าวให้ทางบ้านได้รับรู้บ้าง คราวนี้ยังยากที่ จะได้รับจดหมายสักฉบับ”
เห็นผู้อาวุโสทำท่าโกรธขึ้ง มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงขอโทษขอโพย
นางไม่ได้อธิบายอะไร รู้ว่าผู้อาวุโสไม่ต้องการคำอธิบาย คำพูดที่คล้ายต่อว่าต่อขานนี้ ความจริงแล้วเพียงแค่ใส่ใจคิดถึงนางเท่านั้น
“เอาล่ะๆ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปจะต้องแก้ไขแน่” มู่ชิงเกอรับรอง
เป็นผู้ด้อยอาวุโสหากจะมาเถียงกับผู้มากอาวุโส ยังไม่สู้ยอมทำตามใจท่านดีกว่าเพื่อให้ท่านสบายใจ
ปลอบโยนท่านปู่เรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอจึงทักทายผู้อาวุโสอื่นๆ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอา ท่านอาหญิง”
ตามด้วยมองไปทางมู่อี้เฉินกับเซวียชิงเสียงว่า “อี้เฉิน เจ้าหนูน้อยก็โตแล้ว”
สุดท้ายแล้ว นางก็มองไปทางเจ้าอ้วนแซ่เซ่า ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “เจ้าอ้วน วันชิวขุยนี้ เจ้าไม่อยู่บ้านกับพ่อแม่ลูกเมียทำไมวิ่งมาที่บ้านข้าเล่า”
“ฮึ ยังจะมีหน้ามาพูด เจ้าอ้วนมีนํ้าใจมากกว่าเจ้า รู้ว่าวันนี้เป็นวันชิวขุยเลยอุตส่าห์มาเยี่ยมข้า อยู่เป็นเพื่อนคนแก่แทนเจ้าไง” มู่ซงพูดด้วยความไม่สบอารมณ์
เจ้าอ้วนแซ่เซ่ายิ้มพูดว่า “แฮ่ๆ ข้าเดาว่าลูกพี่จะกลับมาวันนี้ ก็เลยตั้งใจมารอ”
มู่ชิงเกอยิ้มพูดว่า “เจ้าอ้วน ขอบใจมาก”
การที่นางสามารถเดินไปตามเส้นทางของตัวเองได้เช่นนี้ มุ่งหน้าต่อไปได้อย่างวางใจ ก็เนื่องจากเบื้องหลังนางมีคนมากมายที่คอยรับภาระสิ่งที่ควรเป็นภาระของนาง ดูแลคนที่นางเป็นห่วงเป็นใยแทนนาง
คำขอบใจของมู่ชิงเกอทำให้เจ้าอ้วนเขินอายขึ้นมา เขาถูมือทั้งสองข้างยิ้มพูดว่า “ลูกพี่ ท่านขอบใจข้า ไม่ใช่ดูห่างเหินไปหรือ”
ท่าทางบิดไปมาของร่างที่เต็มไปด้วยไขมันทำให้ มู่อี้เฉินกับเซวียชิงเสียงหัวเราะงอหาย
เสียงหัวเราะพลิ้วไปไกลจากลานบ้าน พัดพาความกลัดกลุ้มหายไปทั้งหมด
มู่ชิงเกอก็ปลดเปลื้องทุกอย่างลงชั่วคราว ปล่อยตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของครอบครัว เนื่องจากนางรู้ว่าความรักความอบอุ่นเช่นนี้ นางไม่สามารถมีอยู่ได้นานนัก นางจะต้องเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ เปิดหน้าบันทึกใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
ภายใต้แสงจันทร์เรืองรอง ดวงจันทร์ลอยสูง ส่องสว่างแจ่มชัด กลมโตเป็นพิเศษ มู่ชิงเกอลิ้มรสสุรากุ้ยฮวาที่หอมหวน มองดูแสงจันทร์เริ่มมีอาการมึนเมาเล็ก น้อย
คืนนั้น นางจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับมายังสวนสระเมฆาได้อย่างไร
จำได้เพียงแค่ ตอนลืมตาวันรุ่งขึ้นมารดานั่งดูแลอยู่ข้างเตียง
“ตื่นแล้วหรือ” เห็นมู่ชิงเกอลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ซางหลันรั่วก็วางผ้าขนหนูร้อนในมือ
“ทีหลังอย่าดื่มสุรามากขนาดนั้น” นางพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อคืนนี้นางเห็นบุตรสาวแข่งดื่มสุรากับเจ้าอ้วนแซ่เซ่า ยกไหสุราขึ้นดื่มเช่นเดียวกับบรรดาชายชาตรี ทำให้นางยิ่งรู้สึกห่วงใยมากเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร” มู่ชิงเกอยันขอบเตียง ลุกขึ้นมานั่ง นางมองไปทางซางหลันรั่ว พบว่าเสื้อผ้านางยังเป็นชุดเดิมกับเมื่อคืนนี้ก็กะพริบตาถามว่า “ท่าน แม่ดูแลข้าทั้งคืนไม่ได้นอนเลยหรือ”
ซางหลันรั่วสั่นศีรษะพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าน่ะสิ…”
นางมองมู่ชิงเกอด้วยความเป็นห่วง คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงรวบรวมความกล้าถามว่า “เจ้าประสบกับอะไรมาบ้าง แม้แต่เครื่องมืออำพรางก็ยังแตกไป”
คำถามนี้ นางอยากถามมานานแล้ว แต่พยายามเก็บไว้ในใจ ครั้งนี้ได้พบมู่ชิงเกอจึงได้ถามในที่สุด
“ท่านแม่ มันผ่านไปแล้ว” มู่ชิงเกอพูด
รู้ว่านางไม่อยากบอกอะไร ซางหลันรั่วเองก็ไม่ติดใจเพียงแค่ถอนใจ หยิบของสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อ แล้วคลี่ออกเบื้องหน้านาง
มู่ชิงเกอหลุบตามองไป สิ่งที่อยู่ในฝ่ามือซางหลันรั่วนั้นคือตุ้มหูสีม่วงที่ดูละเอียดประณีตกว่าอันก่อนและเป็นที่สังเกตน้อยกว่า สีม่วงที่ลึกลับสวยงาม ทำให้รู้สึก ดื่มดํ่ามึนเมา
“เจ้ามีจดหมายมาให้ข้าหลอมเครื่องมืออำพราง ขึ้นมาใหม่หนึ่งอัน ข้าคิดว่าเจ้าคงชินกับรูปแบบนี้จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำให้ละเอียดประณีตมากขึ้น” ซางหลันรั่วอธิบาย วางเครื่องมืออำพรางใหม่บนมือมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกำมือแน่น ยิ้มให้ซางหลันรั่วพูดว่า “ขอบคุณมาก ท่านแม่”
ซางหลันรั่วสั่นศีรษะ “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าน้อยมาก ที่ช่วยเหลือได้ก็น้อยมาก แต่เกอเอ๋อร์แม่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของเจ้าเป็นเรื่องที่ สำคัญมากที่สุด”
“หลันรั่ว เกอเอ๋อร์ตื่นแล้วหรือยัง” นางเพิ่งพูดจบ นอกประตูก็มีเสียงผู้ชายดังเข้ามา
เสียงนี้ ย่อมเป็นมู่เหลียนเฉิง
การปรากฎตัวของเขาทำให้การสนทนาของสองแม่ลูกจบลง ซางหลันรั่วยิ้มแล้วตอบว่า “ตื่นแล้ว”
มู่ชิงเกอจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็เห็นมู่เหลียนเฉิงเดินเข้ามา เขาไม่ได้นั่งที่ขอบเตียง แต่นั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้เตียงมากที่สุด พิจารณามู่ชิงเกออย่างละเอียด
ซางหลันรั่วเม้มปากยิ้ม ยกอ่างนํ้าออกไปก่อน
“เกอเอ๋อร์เจ้ากลับมาครั้งนี้แล้วก็จะไปแผ่นดินเทพมารแล้วสินะ” พอมู่เหลียนเฉิงเปิดปาก ก็ตรงเข้าประเด็นทันที สายตาเขาเต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัย ทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เวลายี่สิบกว่าปีที่เขาสูญเสียไป ทิ้งหน้าที่ทุกอย่างไว้บนบ่าบุตรสาวคนโตนี้ แม้เวลานี้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
“ท่านปู่ได้บอกท่านพ่อเรื่องตระกูลมู่แล้วหรือ” มู่ชิงเกอพูดขึ้น
มู่เหลียนเฉิงผงกศีรษะ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าคิดเช่นเดียวกับปู่เจ้า ไม่ว่าบ้านตระกูลมู่ของพวกเราจะมีความสัมพันธ์หรือไม่กับตระกูลมู่ แต่ผ่านมาแล้วหมื่นปี พวกเราล้วนไม่ต้องการให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายเพื่อสะสางความแค้นเมื่อหมื่นปีก่อน”
“ท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องที่ข้าเลือกเอง ข้าเป็นนายน้อยตระกูลมู่ นี่ไม่เพียงเพื่อตระกูลมู่เท่านั้น หรือพูดอีกอย่างถึงแม้ข้าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลมู่ ข้าก็ยังต้องไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร”
มู่เหลียนเฉิงมองไปทางมู่ชิงเกอ นางเองก็มองไปยังเขาเช่นเดียวกัน
สองพ่อลูกจ้องหน้ากันอยู่นานพอสมควร มู่เหลียนเฉิงจึงยอมอย่างเสียไม่ได้ “เจ้าเด็กคนนี้หัวดื้อจริงๆ เอาล่ะ เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ เดินทางให้สบายใจ ไม่ต้อง ห่วงทางบ้าน ปู่เจ้ามีข้ากับแม่เจ้าดูแล ทั้งยังมีน้องๆ ของเจ้า ต่างก็ดูแลกันได้”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะเบาๆ บอกมู่เหลียนเฉิงว่า “ท่านพ่อ ประตูมิติที่ส่งคนไปยังโลกแห่งยุคกลางนั้นมั่นคงมาก หากท่านปู่คิดไปเยี่ยมเยียนโลกแห่งยุคกลาง พวกท่านก็พาเขาไปได้ลั่วซิงเฉิงมีที่พัก และสามารถให้ท่านปู่พบกับท่านตาได้ด้วย”
“ดี ข้าจะบอกปู่เจ้าให้รู้เรื่องนี้” มู่เหลียนเฉิงผงกศีรษะเอ่ยตอบ
มู่ชิงเกอไม่ได้อยู่ที่หลินชวนนานนัก อยู่ร่วมกับครอบครัวไม่กี่วันนางก็กลับโลกแห่งยุคกลาง หลังกลับถึงลั่วซิงเฉิงแล้ว นางไม่ได้สนใจความครึกครื้นของลั่วซิ งเฉิง แต่กักตนอยู่ในช่องว่าง สะสมพลังเตรียมรับการมาของเคราะห์อัสนีครั้งที่สาม
วันนี้ หลังจากนางนั่งสมาธิเสร็จแล้ว สายตาของนางก็ตกลงไปที่ปลอกนิ้วหลิงหลงที่นิ้วชี้ขวา
ภายในนั้น วิญญาณของหยวนหยวนยังคงหลับลึกอยู่ ไม่รู้จะตื่นเมื่อไหร่ การใช้พลังจิตหล่อเลี้ยงวิญญาณของหยวนหยวนนั้นนางไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว ไม่กล้าผ่อนคลายแม้เพียงนิดเดียว
เครื่องมืออำพรางใหม่ได้ส่งไปที่ซือมั่วแล้ว ให้เขาเพิ่มความแข็งแกร่งให้มัน เพื่อไม่ให้พวกผู้แข็งแกร่งสามารถมองทะลุตัวตนของนางได้โดยง่ายเมื่อไปถึงแผ่น ดินเทพมาร
การแต่งกายเป็นชาย ย่อมสะดวกกว่ามากในการเดินทาง
ทันใดนั้น นางก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นได้จึงออกจากช่องว่าง ตามราชครูมา
“ทำไมข้าอยู่ในสุสานเทพจึงไม่พบสิทธิ์แห่งเทพของบรรพบุรุษตระกูลมู่เลย” มู่ชิงเกอถามตรงๆ ขณะอยู่ในสุสานเทพนางก็เคยข้องใจอยู่ เพียงแต่ตอนหลังไม่ได้คิดลึกซึ้ง
ราชครูชะงักไป แววตาเผยความโศกเศร้า เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยไม่รู้ว่าสิทธิ์แห่งเทพของตระกูลมู่ ขณะที่ตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูลในตอนแรกนั้น เผ่า เทพจอมปลอมพวกนั้นได้ทำลายสิทธิ์แห่งเทพที่องอาจกล้าหาญของตระกูลมู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลมู่กลับคืนมาได้อีก”
“เป็นเช่นนี้เอง” มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไป
ราชครูถอนหายใจ บอกมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยไม่ต้องคิดมาก นายน้อยมีเคล็ดวิชาเทวะในมือ เพียงแค่หาส่วนล่างให้พบ จะต้องบดขยี้พวกเขาได้แน่นอน”
“ใช่แล้ว เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง เจ้าพอมีเบาะแสหรือไม่” มู่ชิงเกอถามราชครู
ราชครูพยักหน้า คงพอจะเห็นช่องทาง รอให้ไปถึงแผ่นดินเทพมาร ความแม่นยำในการคาดเดาก็คงจะดีขึ้น
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ แววตามั่นคง
เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง ตระกูลมู่ ศัตรูของตระกูลมู่ มู่เทียนอิน
แววตามู่ชิงเกอเกิดประกายพิฆาตรุนแรง
สามเดือนต่อมา บนท้องฟ้าลั่วซิงเฉิง เกิดเมฆดำปกคลุมอีกครั้ง เมฆดำซ้อนทับหนาแน่น กดทับท้องฟ้าลั่วซิงเฉิง ชวนอึดอัดจนคนหายใจไม่ออก
ในลั่วซิงเฉิงนั้นเงียบสงบมาก ถนนตรอกซอกซอยไม่มีคนแม้แต่คนเดียว ทุกคนถูกสั่งให้หลบอยู่ในบ้าน ห้ามออกมาข้างนอก
ลานกว้างที่ใหญ่สุดในลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นสูง นางได้กลับมาแต่งชุดผู้ชาย ตุ้มหูสีม่วงติดอยู่ที่หูซ้าย ดูแวววับจับตา
พลังดุดันบนกายนางยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้นและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสุขุม ความบ้าระห่ำ หยิ่งยโสต่อฟ้าดิน ได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขุมรอบคอบ
รอบๆ ลานกว้างนั่นมีคนตั้งแถวยืนเรียงกันเป็นชั้นๆ
มีองครักษ์เขียวมังกรของนาง มีองครักษ์ปีกมังกร มีกองทหารเผ่าอี๋นับหมื่น ยังมีโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย ไป๋สี่ หยินเฉิน โห่ว เซวี่ยนหย่า เซวี่ยนขุย เสวี่ยหยา มู่เฉิน มู่เผิง มู่เฟิง กับราชครู
พวกเขาต่างต้องเข้าไปในช่องว่างของมู่ชิงเกอเพื่อตามนางเข้าไปในแผ่นดินเทพมาร
นอกจากราชครูแล้ว พวกเขาต่างก็ไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ ทำได้เพียงอาศัยมู่ชิงเกอ พักอยู่ในช่องว่างของนางชั่วคราว รอจนกระทั่งมู่ชิงเกอสามารถทะลวงขั้นถํ้า วิญญาณได้ ประทับตราทาสลงบนตัวพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงจะสามารถฝึกฝนและเคลื่อนไหวในแผ่นดินเทพมารได้อย่างอิสระ
คนที่เหลือ…องครักษ์มังกรซ่อน คนหลายพันที่เหลือของเผ่าอี๋จะยังคงอยู่ในลั่วซิงเฉิงโดยให้จิงไห่เป็นผู้ดูแล
รอบๆ ลานกว้าง องครักษ์มังกรซ่อนยืนอยู่เต็มไปหมด จิงไห่เองก็รวมอยู่ด้วย เขาเองก็คิดอยากตามมู่ชิงเกอจากไปด้วยเช่นกัน แต่เขาก็เข้าใจถึงภาระหน้าที่ที่จะ ต้องรักษาลั่วซิงเฉิงไว้
ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่ยืนอยู่ที่นี่ ส่งครูฝึกตัวเองจากไป
จุดที่ไกลออกไปเป็นเพื่อนรักของมู่ชิงเกอ มีทั้งเหมยจื่อจ้งสี่คนที่ติดตามมาตั้งแต่หลินชวน มีฉินอี้เหยา หานฉายไฉ่ ทั้งยังมีจีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่ ซีเซีย นเสวี่ยกับเว่ยมั่วลี่ที่รู้จักกันเพราะตีกันก่อนที่โลกแห่งยุคกลาง
พวกเขาต่างมาส่งมู่ชิงเกอ แต่ว่าพวกเขาจะจากกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น รอให้พวกเขาผ่านเคราะห์อัสนีสามครั้งแล้ว พวกเขาก็สามารถเข้าไปหามู่ชิงเกอที่แผ่นดินเทพมารได้
เปรี้ยง!
เคราะห์อัสนีสายหนึ่งฟาดลงมาจากฟากฟ้าตรงไปที่หน้าผากของมู่ชิงเกอ
ตราดอกบัวที่หว่างคิ้วนางกลายเป็นประตูสวรรค์หลากสีสัน ลอยขึ้นจากหว่างคิ้วนาง ขึ้นไปรับเคราะห์อัสนี
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เคราะห์อัสนีฟาดลงไปที่ประตูสวรรค์ทำให้มันปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตา แววตาเย็นวาบ นางมองไปที่ประตูสวรรค์ที่นั่น จะเป็นเส้นทางที่นางจะทะลวงไปสู่ฟากฟ้า เคราะห์อัสนีครั้งที่สาม ประตูสวรรค์กับสิทธิ์แห่งเทพจะหลอมรวมกัน เปิดเส้นทางไปสู่แผ่นดินแห่งเทพมาร
ช่วงเวลาหลังจากที่สุสานเทพปิดลงแล้ว ไม่รู้ว่ามีปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านกี่มากน้อยที่ได้สิทธิ์แห่งเทพและโบยบินเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้
“นายน้อย! สิทธิ์แห่งเทพ” ขณะที่เคราะห์อัสนีสายที่สองฟาดลงมานั้น ราชครูก็เอ่ยเตือน
แววตามู่ชิงเกอวาบขึ้น แสงทองสามสายยิงออกมาจากหว่างคิ้วพุ่งเข้าไปในประตูสวรรค์เวลานี้เองสายฟ้าก็ฟาดลงที่ประตูสวรรค์ สิทธิ์แห่งเทพทั้งสามแย่งกัน
เป็นใหญ่ ทำให้มู่ชิงเกอถูกแรงสะท้อนกลับจนกระอักโลหิตออกมา
“ชิงเกอ!”
“นายน้อย!”
“คุณชาย!”
“ท่านเจ้าเมือง!”
“ครูฝึก!”
เสียงห่วงกังวลดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ราชครูกลับโยนของสิ่งหนึ่งออกไปอย่างไม่รีบร้อน เดินไปทางประตูสวรรค์ของมู่ชิงเกอ
หลังจากของสิ่งนั้นหลอมเข้าไปแล้ว ทั้งสามสิทธิ์แห่งเทพก็สงบลง
ลมหายใจถี่กระชั้นของมู่ชิงเกอกลับคืนเป็นปกติ สายตามองไปเห็นสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นกลืนสิทธิ์แห่งเทพตระกูลซาง ต่อด้วยสิทธิ์แห่งเทพของเทพโอสถเข้าไป
นางเห็นแล้วก็ตกใจมองไปทางราชครู แต่ไม่ได้ออกเสียงห้ามปรามหรือขัดขวางการกลืนกินเช่นนี้ เพราะนางเชื่อราชครู
หลังจากสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นกลืนกินสองสิทธิ์แห่งเทพที่เหลือแล้วอานุภาพก็เพิ่มสูงขึ้น มันกำลังค่อยๆ หลอมรวมกับประตูสวรรค์ของมู่ชิงเกอ เวลานี้เองเคราะห์อัสนีครั้งที่สามก็ฟาดลงมาอีกครั้ง
ในประตูสวรรค์ เกิดวังวนราวกับบ่อนํ้าขึ้นบ่อหนึ่ง…