Skip to content

พลิกปฐพี 563

ตอนที่ 563

ยินดีต้อนรับเข้าร่วมแผ่นดินเทพตะวันออก

“อะไรคือดูว่าคนใหม่จะเลือกอย่างไร พวกเขาเพิ่งขึ้นมาจะไปรู้อะไร เป็นเพราะพวกเจ้าใช้คำพูดหว่านล้อมให้เคลิบเคลิ้มต่างหาก”

“ใช้คำพูดหว่านล้อมให้เคลิบเคลิ้มตรงไหน ต้องเรียกว่าอาศัยจุดแข็งของเราต่างหาก”

“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราสามฝ่ายต้องมาแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกในเวลานี้ทุกที จำเป็นด้วยหรือ เฮ้อ…แผ่นดินเทพฝั่งใต้ดีกว่าเพื่อน บ่อบินอยู่กับพวกเขา คนที่ขึ้นมาใครก็แย่งไปไม่ได้”

ขณะที่กำลังวังชามู่ชิงเกอค่อยๆ กลับคืนมา คำพูดที่ผ่านเข้ามาในหูก็ทำให้นางสรุปได้อย่างรวดเร็ว ว่านางมาถึงแผ่นดินเทพมารแล้ว ทั้งเข้าทางปากบ่อ ตามที่ราชครูเคยบอกไว้ก็คือบ่อบินที่ใช้ร่วมกันของแผ่นดินเทพตะวันออก เหนือกับตะวันตก

สามฝ่ายที่ถกเถียงกัน เป็นตัวแทนอิทธิพลที่ต่างกันของแผ่นดินเทพทั้งสามพื้นที่ พวกเขาต่างรอคอยอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ เพื่อแย่งชิงคนที่ขึ้นมาจากข้างล่าง

“เอ๊ะ คราวนี้มีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้มาด้วย”

“ดูแล้วเขาอายุยังไม่มาก หรือเป็นพวกมีพรสวรรค์เก่งกาจฉกาจฉกรรจ์”

“ฮึ ต่อให้มีพรสวรรค์เก่งกาจแค่ไหน เวลานี้ก็เป็นแค่เจ้าหนูที่ไม่มีแม้แต่ขั้นจิตวิญญาณนั่นแหละ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแว่วมาเข้าหูอีก คราวนี้หัวข้อวิจารณ์ของพวกเขา ได้เปลี่ยนจากฝ่ายที่มู่ชิงเกอจะเลือกอยู่มาเป็นเรื่องหน้าตาและพรสวรรค์แทน

เวลานี้ แสงสว่างจ้าที่รบกวนสายตามู่ชิงเกอได้หายไปแล้ว

นางจึงมองเห็นได้ชัดเจนถึงกลุ่มคนรอบตัวที่วิจารณ์นางไม่หยุดหย่อน

เบื้องหน้านางมีคนอยู่หกคน แต่งตัวต่างกันไป แต่ดูจากตำแหน่งการยืน คงเป็นสามฝ่าย

“เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไร” คนหนึ่งถามมู่ชิงเกอ อย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิด

เพิ่งจะเข้ามายังแผ่นดินเทพมาร มู่ชิงเกอแม้แต่สภาพการณ์รอบๆ ยังไม่ทันได้เห็นชัดเจน การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายก็ยังไม่ทันได้รับรู้ก็ถูกคนสอบถามเช่นนี้แล้ว

มู่ชิงเกอยิ้มในใจ มองไปทางเขาแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “มู่ชิงเกอ”

“มู่ชิงเกอ แซ่มู่หรือ” พอได้ยินคำตอบนางแล้ว คนทั้งหกต่างขมวดคิ้วมองหน้ากัน มีแววครุ่นคิดอยู่ในแววตา

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วนิดๆ ถามว่า “ทำไมหรือ ชื่อข้ามีปัญหาอะไร”

เวลานี้เอง นางจึงใช้หางตาชำเลืองสถานที่ที่ตัวเองอยู่

ที่นี่ ราวกับอยู่ท่ามกลางดวงดาว ภายใต้ความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด แสงดาวเหล่านั้นราวกับอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม คำพูดที่ว่าเด็ดดวงดาวได้หากเป็นที่นี่แล้ว ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ใต้เท้านางเป็นแท่นหยกขาวที่ลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ราวกับวงคลื่นที่เกิดจากหินตกกระทบผิวนํ้า พวกเขากำลังยืนอยู่บนชั้นบันไดนี้ ส่วนที่ข้างเท้านางมีบ่ออยู่หนึ่งบ่อ ไม่มีนํ้าในบ่อนั้น มีเพียงแสงดาวระยิบระยับหลากสีมองไม่เห็นก้นบ่อ

‘ข้าออกมาจากในนี้หรือ’ มู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

เวลานี้เอง นางยังสังเกตเห็นว่า เบื้องหลังคนหกคนนี้ ต่างมีเรือผูกอยู่ลำหนึ่ง เรือไม่ใหญ่นัก รูปร่างภายนอกราวกับเม็ดพุทราที่ถูกกะเทาะออก หัวท้ายเรียวยาวยกสูง ท้องเรืออ้วนกลม ใบเรือสีขาวกางที่เสากระโดงเรือ

‘หรือว่า นี่คือเรืออากาศที่ราชครูพูดถึง’ มู่ชิงเกอแอบคิดในใจ

เวลานี้เองก็มีคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่คนที่เขาพูดด้วยไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เป็นคนที่ถามชื่อมู่ชิงเกอ “ต่อให้แซ่มู่ ก็ไม่ใช่ว่าจะวิเศษวิโสอะไรกระมัง อีกทั้งไม่ใช่คนในแผ่นดินนี้ บินขึ้นมาจากข้างล่าง ไม่ควรมีอะไรเกี่ยวข้องกับแซ่มู่นั้น”

“แต่ ถึงอย่างไรก็แซ่เดียวกัน พวกเราควรจะต้องสอบถามอย่างละเอียดหน่อย” คนที่ถามชื่อมู่ชิงเกอพูดอย่างลังเล

พวกเขาราวกับปรึกษากันแล้ว จึงเบนสายตามาที่มู่ชิงเกอ พิจารณามู่ชิงเกออย่างถี่ถ้วน

เครื่องมืออำพรางมีการเสริมพลังจากซือมั่ว นางไม่ได้กังวลแม้แต่นิดว่าทั้งหกคนจะดูออกว่านางเป็นหญิง ซือมั่วบอกว่า นอกจากจะเพิ่มอานุภาพของเครื่องมืออำพรางแล้ว ยังเพิ่มแนวป้องกันไว้ข้างในอีกสามชั้น สามารถช่วยมู่ชิงเกอต้านทานการโจมตีของระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ได้สามครั้ง หากพลังป้องกันพังทลายลงทั้งสามชั้น เขาจะสามารถรับรู้ได้ในทันทีและจะรีบมาช่วยเหลือ

เห็นได้ว่า มู่ชิงเกอเคยประสบอันตรายหลายครั้งแล้วทำให้เขาไม่กล้าประมาทอีก ไม่กล้าอาศัยโชคอีก จะต้องเตรียมการให้รอบคอบที่สุด

ภายใต้สายตาที่ตรวจสอบอย่างแข็งขัน มู่ชิงเกออมยิ้มตลอดเวลา

ท่าทีนิ่งสงบของนาง ดูไม่ออกถึงอาการร้อนตัวว่าจะถูกจับได้แม้แต่นิด

คนที่ถามนางเปิดปากอีกครั้ง “เจ้าแซ่มู่ มาจากโลกไหน ในบ้านมีใครอยู่อีก สิทธิ์แห่งเทพของเจ้ามาจากไหน ห้ามโกหก คำพูดของเจ้า พวกเราจะตรวจสอบทั้งหมด”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะพูดว่า “ข้ามาจากหลินชวน ที่บ้านมีปู่ พ่อแม่ น้องชาย น้องสาว สิทธิ์แห่งเทพของข้าได้มาจากสุสานเทพ”

คำตอบของนางทำให้ทั้งหกคนสุมหัวพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง

“สิทธิ์แห่งเทพของเขาได้มาจากสุสานเทพ ไม่น่าจะเป็นเชื้อสายของตระกูลมู่นั้น อีกทั้งยังมีปู่พ่อแม่ น้องชายน้องสาว ดูอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา”

“มันก็ไม่แน่หรอก เรื่องนั้นผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ยังคงมีร่องรอยเชื้อสายเหล่านั้น แสดงว่าสายเลือดตระกูลมู่ยังไม่ขาดลง”

ทันใดนั้น อีกคนก็ถามว่า “เจ้ารู้จักตระกูลมู่ไหม”

สายตาของเขาแวววาว ราวกับไม่ยอมให้การเปลี่ยนแปลงของมู่ชิงเกอคลาดสายตาเขาไปแม้แต่นิด

“ตระกูลมู่ ตระกูลมู่อะไร” มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ อย่างไม่เข้าใจ แววตาไม่มีอาการแสร้งทำแม้แต่นิด สบตาพวกเขาด้วยความนิ่งสงบ

ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอ ทำให้ทั้งหกคนค่อยๆ วางใจ

พวกเขาเชื่อว่ามู่ชิงเกอพูดความจริง เขาไม่รู้จักตระกูลมู่จริงๆ ถึงแม้เขาแซ่มู่ แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลมู่

ไม่เพียงเพราะคำตอบของมู่ชิงเกอในตอนแรก แต่เป็นเพราะตั้งแต่แรกเริ่ม การแสดงออกของเขาที่มีต่อการปรึกษาพูดคุยของพวกเขาทั้งหกคนมีแต่ความสงบนิ่ง ทั้งยังมีอาการอยากรู้อยากเห็นนิดๆ ท่าทางที่ใสซื่อนั้นไม่เหมือนแสร้งทำ

หากเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ หรือมีจุดประสงค์อื่นในใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอาการนิ่งเฉย เยือกเย็นเช่นนี้

คนทั้งหกสบตากันแล้วมองไปที่มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกะพริบตายิ้มออกมา

“ดูเจ้าออกจะซื่อๆ ข้าขอเตือนเจ้านะ แซ่เจ้าไม่ดี ทำให้เกิดความยุ่งยากได้ง่าย ไม่สู้เปลี่ยนแซ่ใหม่ หรือไม่ใช้แซ่เลยจะดีกว่า”

ไม่ใช้แซ่มู่?

หากให้ท่านปู่รู้เข้า นางคงต้องโดนฟาดขาหักแน่

ภายในใจมู่ชิงเกอนั้นไม่ยอมรับ แต่ภายนอกนั้นยังคงรักษารอยยิ้มพูดกับคนที่ ‘ใจดี’ เอ่ยเตือนนางว่า “ขอบคุณมาก”

ส่วนจะแก้หรือไม่แก้นั้น นางไม่ได้กล่าวอะไร

คนที่เตือนนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ดีแล้ว ให้พวกเราดูรากวิญญาณเจ้าหน่อย” คนแรกที่พูดกับมู่ชิงเกอออกอาการรำคาญนิดๆ

มู่ชิงเกอมองดูเขาแล้วถือโอกาสมองเรืออากาศด้านหลังเขากับเพื่อนคนอื่น บนนั้นดูเหมือนว่างเปล่า แต่เรืออากาศอีกสองลำต่างมีคนอยู่แล้วหนึ่งคน

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับมา แสดงรากวิญญาณตามคำที่บอก

ราชครูบอกว่าหลังจากสิทธิ์แห่งเทพหลอมรวมกันในรากวิญญาณแล้ว จะไม่มีใครสามารถเห็นถึงที่มาของสิทธิ์แห่งเทพได้

รัศมีหลากสีสันสาดประกาย ตราดอกบัว ปรากฎขึ้นที่หว่างคิ้วของนาง

คนทั้งหกที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางต่างเบิกตาโพลงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

คนที่ใจดีเตือนนาง พูดอย่างตกใจว่า “ถึงขนาดมีรากวิญญาณถึงห้าชนิดเชียว”

บนแท่นบ่อบิน ราวกับเงียบสงบลงครู่หนึ่ง

มู่ชิงเกอเห็นพวกเขาตะลึงงัน ก็อดไม่ได้ที่จะกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลานั้นนางราวกับเห็นคนบนเรืออากาศสองลำมองมาที่นางด้วย

เพียงแต่ สายตานั้นหายไปในชั่วพริบตาทำให้นางไม่แน่ใจนัก

“เอาล่ะ พอแล้ว”

คนทงหกถูกเสียงกระแอมไอของมู่ชิงเกอทำให้ตื่นจากภวังค์แล้วพูดขึ้น

มู่ชิงเกอเก็บรากวิญญาณกลับคืน หว่างคิ้วนางกลับคืนสภาพเรียบลื่นเหมือนเดิม

คนทั้งหกกลับมาถกเถียงกันอีกครั้งหนึ่ง

พวกเขาไม่ได้สนใจมู่ชิงเกอ แต่จับกลุ่มถกเถียงกันเอง

”ถึงขนาดมีรากวิญญาณห้าชนิด คนเช่นนี้ช่างทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ”

“รากวิญญาณห้าชนิด ไม่รู้ว่าสิทธิ์แห่งเทพเป็นเช่นไร หากสิทธิ์แห่งเทพอยู่ระดับธรรมดา รากวิญญาณห้าชนิดนี้จะกลายเป็นภาระหนักของเขา นอกจากจะละทิ้งสี่ชนิดไปเองแล้วฝึกฝนเพียงชนิดเดียว แต่พรสวรรค์จะไม่เท่าคนที่มีรากวิญญาณเดี่ยว’’

“ถ้าสิทธิ์แห่งเทพเขาดีมากเล่า”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ตั้งแต่โบราณมา สิทธิ์แห่งเทพที่ทำให้สามารถฝึกฝนรากวิญญาณหลายชนิดได้พร้อมกันมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เจ้าหนูนี่จะโชคดีฝืนชะตาฟ้าได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ก็นั้นสิ…”

“อย่างนั้นจะทำอย่างไร”

“จะทำอย่างไรหรือ รากวิญญาณห้าชนิดฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับรากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้ คนเช่นนี้พวกเราแผ่นดินเทพตะวันตกไม่ ต้องการ”

“ใช่ เอาไปแล้วก็เป็นการเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ”

“เอ๊ะ เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้นี่ พวกเจ้าบอกว่าสมควรเป็นตาของพวกเจ้าบ้างนี่”

“นี่ พวกเจ้าฝ่ายเหนือพูดเช่นนี้ได้อย่างไร พอมีประโยชน์พวกเจ้าก็จะเอาไป พวกเราแผ่นดินเทพตะวันตกต้องรับแต่ของพิกลพิการเช่นนี้หรือ”

“ฮึ พวกเจ้าพูดเองตั้งแต่แรก ไม่ใช่ข้าพูดนี่ ตอนนี้ก็จะมาติโน่นตินี่อีก”

“ในเมื่อเจ้าอยากออกหน้าทวงความเป็นธรรมนัก เช่นนั้นพวกเจ้าแผ่นดินเทพฝั่งเหนือก็รับไปสิ”

“ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเราแผ่นดินเทพฝั่งเหนือรับไปแล้วหนึ่งคน อีกทั้งข้าตรวจสอบเจ้าหนูนี่อย่างละเอียดแล้วไม่ได้มีวาสนากับพวกเราแผ่นดินเทพฝั่งเหนือเลย การแก่งแย่งครั้งนี้ พวกเราขอถอนตัว”

“พวกเจ้าไม่เอาแล้ว พวกเราแผ่นดินเทพตะวันตกต้องเอาหรือ”

ทั้งสองฝ่ายถกเถียงกันเสร็จก็พร้อมใจกันมองไปทางฝ่ายแผ่นดินเทพตะวันออกที่ไม่พูดสักคำ

ตลอดเวลา มู่ชิงเกอฟังการถกเถียงของพวกเขาด้วยความนิ่งสงบ ไม่มีอาการกระวนกระวายหรือไม่เป็นสุข ราวกับว่าบุคคลที่พวกเขาถกเถียงกันอยู่ไม่ใช่ นาง

นางสังเกตเห็นว่าสองตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกที่ไม่ปริปากพูดอะไรเลยนั้น หนึ่งในนั้นคือคนที่ใจดีแนะนำให้นางเปลี่ยนแซ่คนนั้น

ตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกมองมาที่ตัวเอง ยิ้มน้อยๆ “พวกเจ้าแน่ใจนะว่าไม่ต้องการ”

ตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันตกรีบแสดงท่าทีทันที “ไม่เอาไม่เอา รากวิญญาณที่ใช้การไม่ได้ ใครอยากได้ก็เอาไปเลย”

พร้อมแสดงกิริยาอาการรังเกียจอย่างถึงที่สุด

ตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกมองไปทางฝ่ายแผ่นดินเทพเหนือ

ตัวแทนแผ่นดินเทพเหนือยิ้มแห้งๆ บอกตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกว่า “ก่อนข้าออกมา ราชาเทวะของข้ากำชับเป็นพิเศษว่าคนนั้นสำคัญที่เก่ง ไม่ได้สำคัญที่จำนวนมาก”

ตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกยิ้มอย่างสำรวม ผงกศีรษะว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายต่างตัดสินใจแล้ว ข้าก็คงไม่เสแสร้ง เมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการ ข้าแผ่นดินเทพตะวันออกขอรับไว้เองก็แล้วกัน”

“ฮ่าๆๆ ยินดีด้วย ยินดีด้วย ยินดีที่แผ่นดินเทพตะวันออกได้ขุนพลฝีมือฉกาจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน” ตัวแทนแผ่นดินเทพเหนือพูดอย่างยกย่อง เพียงแต่ความ หมายที่เสียดสีในคำพูดนั้นออกจะชัดเจนนัก

ตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันตกก็พูดทันทีว่า “ถูกต้องแล้ว ขอแสดงความยินดีแผ่นดินเทพตะวันออก ในเมื่อวันนี้แผ่นดินเทพตะวันออกได้รับสองคนเต็มอัตรา แล้ว ก็ไม่ต้องชักช้ารีบกลับแผ่นดินเทพตะวันออกเถอะ”

คำพูดเร่งเร้าราวกับเกรงว่าคนของแผ่นดินเทพตะวันออกจะเปลี่ยนใจ

ส่วนบนใบหน้าหมดจดทรงภูมิของตัวแทนแผ่นดินเทพตะวันออกนั้นก็ยังคงรักษารอยยิ้มราบเรียบเช่นเดิม เขามองไปทางมู่ชิงเกอ พูดว่า “ยินดีต้อนรับเข้าร่วมแผ่นดินเทพตะวันออก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version