ตอนที่ 586
ต่อสู้ สิบลูกศิษย์ใหญ่!
‘เจ้าอยากชนะ ก็ไม่ใช่จะไม่ได้’ ขณะที่มู่ชิงเกอยืนอยู่บนเวทีประลอง ท้าทายสิบลูกศิษย์ใหญ่ เสียงที่ก้องอยู่ในหูก็คือคำพูดนี้ของผู้เฒ่าลึกลับ
เวลาสิบวันจวงซานก็ช่วยนางจัดการเรียบร้อยทุกสิ่ง ให้นางยืนท้าทายอยู่ที่นี่ ในสิบวันนี้ นางอยู่ข้างกายผู้เฒ่าลึกลับ เรียนรู้ได้เพียงคาถาอาคมเดียว
เนื่องจากผู้เฒ่าลึกลับบอกนางว่า ‘คาถาอาคมอยู่ที่อานุภาพไม่ใช่อยู่ที่มาก ในเมื่อมีเป้าประสงค์ มีสิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ ก็ต้องเลือกคู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชนะได้ง่ายที่สุดแล้วเรียนรู้คาถาอาคมเฉพาะที่สามารถเอาชนะเขาได้ก็พอแล้ว’
นางยอมรับว่าคำพูดของผู้เฒ่ามีเหตุผลมาก
เวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน จะให้นางมีคาถาอาคมไปถึงมาตรฐานเดียวกับสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนัก หน้านั้นย่อมเป็นไปไม่ได้หากจะฝึกอย่างมืดบอด ไม่สู้ฝึกเฉพาะที่จะต้องใช้เท่านั้น
ในสิบคนนั้น นอกจากจวงซาน ผู้เฒ่าเลือกมาสองคนให้นางเลือก
คนเดียวนั้นคือหญิงคนเดียวของทั้งสิบคน เวลานั้นมู่ชิงเกอจึงรู้ว่าคืนแรกที่ขึ้นเขา หญิงที่พบข้างบึงเปลี่ยวก็คือหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า อยู่ในลำดับเจ็ด ถูกเรียกว่าเจ็ดน้อย เช่นเดียวกับอีกเก้าคน นางพักอาศัยอยู่ในวังน้อยที่คุ้มครองวังราชาเทวะ
‘ที่ซวนเฉียงบำเพ็ญนั้นก็คือวิถีลืมรัก เพียงทำลายวิถีของนาง เจ้าก็สามารถเอาชนะได้โดยง่าย ดาย’ ผู้เฒ่าลึกลับบอกนางเช่นนี้
‘ทำลายวิถีของนางอย่างไร ทำลายวิถีนางแล้ว นางจะเป็นอย่างไร’ มู่ชิงเกอถาม
ผู้เฒ่าว่า ‘ในเมื่อเป็นวิถีลืมรัก การทำลายย่อมต้องทำให้นางมีรัก วิถีลืมรักนี้รุนแรงยิ่งนัก หากถูกทำลายจะถูกแรงสะท้อนกลับ อย่างเบาจะสูญสิ้นตบะบำเพ็ญ อย่างหนักจะถึงแก่ชีวิต’
คำตอบของมู่ชิงเกอคือ ‘ข้ากับนางไม่มีความแค้นต่อกัน เพียงแค่แย่งชิงตำแหน่ง ไม่มีความจำ เป็นต้องทำเช่นนี้อีกทั้งวิธีการทำลายวิถีนี้ตํ่าช้าเกินไป ข้าไม่ทำ’
ผู้เฒ่านิ่งเงียบแล้วเสนอให้เขาอีกคน ‘ในเมื่อเจ้าไม่อยากลงมือกับเจ้าเจ็ด เช่นนั้นก็เลือกเจ้าสาม นอกจากสองคนนี้ เจ้าสิบเจ้าก็ทิ้งไป คนที่เหลือนั้นยากที่เจ้าจะหาจุดอ่อนได้ง่ายในช่วงสั้นๆ นี้’
‘ดี’มู่ชิงเกอผงกศีรษะอย่างไม่ลังเ]ใจแม้แต่นิด
ดังนั้น สิบลูกศิษย์ใหญ่ที่นางท้าทายในวันนี้ ก็คือลำดับที่สาม คนเรียกว่าสามน้อย ชื่อว่าเซียนสุ่ย
สิบวันนี้ภายใต้การชี้แนะของผู้เฒ่า คาถาอาคมเดียวที่นางมีจะเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้
เวลานี้นางก็ได้รู้ด้วยว่าผู้เฒ่าลึกลับรู้รายละเอียดถึงจุดอ่อนจุดแข็งของสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนัก หน้าชัดเจน
เขาเป็นใครกันแน่
เวทีประลองกว้างใหญ่มาก นางยืนอยู่ข้างบนคนเดียว เล็กจนคล้ายใบไม้ในทะเล เวทีประลองนี้ ตั้งอยู่บนเขายอดหนึ่ง เขาทั้งยอดนั้นล้วนเป็นสนามต่อสู้ของพวกเขา
ข้างยอดเขานี้ มีเขาเล็กลอยอยู่หลายเขา บนนั้นมีราวหยกกั้นไว้ในนั้นมีที่ให้คนยืนได้
เวลานี้ มู่ชิงเกอยืนอยู่คนเดียวบนเวทีประลอง เขาเล็กที่ลอยอยู่มีคนยืนอยู่เต็ม ล้วนเป็นลูก ศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย มีทั้งลูกศิษย์เสื้อเขียว มีทั้งลูกศิษย์เสื้อขาว ทั้งยังมีลูกศิษย์ที่ใส่เสื้อผ้าของตัวเอง มีเพียงเขาเล็กลอยว่างอยู่แห่งหนึ่งที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยืน ที่ตรงนั้นเก็บไว้ให้ใครนั้นทุกคนต่างรู้ดี
บนยอดเขาราวกับถูกดาบฟันให้เรียบจนกลายเป็นเวทียักษ์บนนั้นมีคนใส่เสื้อแดงยืนอยู่ รูปร่างสง่างาม ตัวสูงโปร่ง
เขายืนอยู่ที่นั้น รอคอยอย่างเงียบเชียบ ผมเผ้าและเสื้อผ้าถูกลมพัดปลิวสะบัดก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่นิด
กลุ่มลูกศิษย์บนเขาเล็กจดจ้องดูมู่ชิงเกอและเริ่มซุบซิบพูดคุยกัน
“เขาก็คือคนที่เพิ่งเข้ามาดินแดนฮ่วนเยวี่ยเมื่อครึ่งปีที่แล้วหรือ”
“ใช่แล้ว คราวที่เข้ามาก็เกิดอึกทึกครึกโครมใหญ่โต ข้าได้ยินว่า แม้แต่ราชาเทวะยังตกตะลึงเชียวนา”
“ก็ไม่ใช่หรือ ครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์สะเทือนฟ้า ดอกบัวสีทองเบ่งบานพร้อมกันหมื่นธรรมรวมเป็นหนึ่ง ข้ายังจำได้แม่นยำ”
“ทำไมเพียงครึ่งปี เขาก็สามารถใส่เสื้อผ้าตัวเองได้แล้ว หรือว่าเขาสามารถเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณได้ในเวลาเพียงครึ่งปี”
“เฮือก…ราวกับจะเป็นเช่นนั้น”
“มิน่าเขาถึงกล้าท้าทายสามน้อย มีพรสวรรค์น่ากลัวจริงๆ”
“อะไรพรสวรรค์น่ากลัว ข้าว่า ยโสโอหัง อวดตัวจนคลั่งมากกว่า”
“ว่าอะไรนะ”
“ฮึ ต่อให้แน่แค่ไหน เพิ่งเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณ เข้าขั้นถํ้าวิญญาณแล้วจึงสามารถเรียนรู้คาถาอาคม ใช้คาถาอาคมได้ เจ้าคิดว่าเขาจะเรียนรู้คาถาอาคมได้เท่าไรกัน กล้าไปท้าทายสามน้อย สามน้อยเข้าขั้นถํ้าวิญญาณมาหลายร้อยปีแล้ว คาถาอาคมที่เรียนรู้วิถีที่ลึกซึ้งจะไม่แข็งแกร่งกว่าเขาหรือ”
อืม พูดได้มีเหตุผล”
“ดูแล้ว การท้าทายครั้งนี้ คงเป็นการทารุณกรรมฝ่ายเดียวแน่นอนสินะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้านึกว่าสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าได้มาง่ายๆ หรือ”
”ก็ดีแล้ว คนหนุ่มเช่นนี้ ต้องมีใครมาช่วยดับไฟยโสให้บ้าง จะได้ไม่เหิมเกริมจนลืมชื่อลืมแซ่ ต้องรบกวนสามน้อย ลำบากสามน้อยแล้ว”
“ฮ่าๆๆ…อีกสักครู่ พวกเราก็รอดูสามน้อยว่า ะจัดการเขาอย่างไร นานๆ จะได้เห็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าลงมือ เที่ยวนี้ไม่ได้มาเสียเปล่า”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยตามลมมาเข้าหูถงเถิง เขาไม่พอใจมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เนื่องจากเขาเองก็รู้ว่าการถกเถียงในเวลานี้ ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องรอความจริงมาพิสูจน์ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเขาเองก็เป็นห่วงลูกพี่ตัวเอง แต่ก็เชื่อมั่นลูกพี่ตัวเองอย่างสุดแสน นี่คือความเชื่อของเขา ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
ถงเถิงแอบกัดฟัน สายตาเบนไปอยู่ที่มู่ชิงเกอ พูดในใจตลอดเวลาว่า ‘ลูกพี่ จะต้องชนะ ต้องตบ
หน้าพวกนั้นแรงๆ ไปเลยนะ ให้พวกเขาเห็นว่าท่านไม่ได้แพ้สิบลูกศิษย์ใหญ่เลย’
แต๊ง
เสียงระฆังดังขึ้นมา
เวลานี้เอง ลำแสงเก้าสายก็วาบมาจากที่ห่างไกลตกลงยังเขาเล็กว่างเปล่าที่ลอยตัวอยู่
พอรัศมีเจิดจ้ากระจายไปก็เห็นคนเก้าคน พวกเขาต่างมีสง่าราศีดี เฉิดฉายเหนือมวลมนุษย์ทั่วไป เมื่อพวกเขาทั้งเก้าปรากฎตัว เหล่าลูกศิษย์บนเขาเล็กที่ลอยอยู่ต่างโค้งตัวทำความเคารพแล้วพูดพร้อมกันว่า
“คารวะใหญ่น้อย รองน้อย สี่น้อย ห้าน้อย หกน้อย เจ็ดน้อย แปดน้อย เก้าน้อย สิบน้อย”
ทั้งเก้าคนก็คือสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า นอกจากสามน้อย จวงซานที่มู่ชิงเกอคุ้นเคยที่สุดย่อมรวมอยู่ด้วย เขามองไปทางมู่ชิงเกอแล้วผงกศีรษะนิดๆ ยิ้มเล็กน้อยเป็นการให้กำลังใจ
มู่ชิงเกอก็ผงกศีรษะตอบแทนอย่างเงียบๆ สายตานางกวาดผ่านคนที่เหลือ ซวนเฉียงนั้นนางเห็นแล้ว หญิงคนนั้นยังคงมีลักษณะเย็นชาดังน้ำแข็ง ทำให้คนใกล้ชิดได้ยาก แม้นางจะยืนท่ามกลางผู้ร่วมสำนักก็ ยังให้ความรู้สึกว่าในรัศมีหนึ่งฉื่อของนางนั้นใครก็เข้าใกล้ไม่ได้
ที่เหลือเจ็ดคน มู่ชิงเกอเพิ่งเห็นครั้งแรก ทั้งหน้าตาและท่าทางของพวกเขาต่างหาข้อบกพร่องอะไรไม่ได้เลย ที่ทำให้นางรู้สึกใส่ใจก็คือ ขณะที่พวกเขาปรากฎตัวบนร่างกายของคนเหล่านี้ปรากฎพลังแห่งกฎบัญญัติเล็กน้อย สัมผัสถึงปัญญาเทวะของนาง
‘นี่คือพลังของผู้แข็งแกร่งขั้นถํ้าวิญญาณหรือ’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ
ผู้เฒ่าลึกลับบอกนางว่า ‘คาถาอาคมนั้น ก็คือพลังแห่งกฎบัญญัติของหมื่นอาคมจากฟ้าดิน ต้องรู้ก่อนจึงสามารถเข้าใจ เข้าใจแล้วจึงสามารถใช้ได้’
คาถาอาคมไม่ได้ใช้พลังของตัวเอง แต่เป็นพลังที่หยิบยืมมาหลังจากยึดกุมหลักบัญญัติหมื่นอาคมแล้ว
การที่คนอื่นๆ ในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้ามาถึง หมายความว่าการท้าทายกำลังจะเริ่มต้น
หลังจากคารวะแล้ว เหล่าลูกศิษย์บนเขาเล็กลอยอื่นๆ ก็ไม่วิจารณ์กันอย่างสบายอารมณ์เหมือนเก่า แม้แต่อากัปกิริยาก็ยังดูตึงเครียดขึ้นหลายส่วน
ถงเถิงยืนอยู่ท่ามกลางลูกศิษย์เสื้อเขียว แอบมองไปด้านนั้น เห็นเพียงแวบเดียวกระทั่งยังไม่ทันเห็นชัดถึงหน้าตาของทั้งแปดคน ก็ต้องรีบหยุดมอง เกิดอาการผวาในใจ
เขารู้สึกว่า ขณะที่มองไปเมื่อครู่นี้ราวกับถูกกดดันจากพลังถาโถมเข้ามาจนหายใจแทบไม่ออก
หยุดผ่อนลมหายใจแล้ว ถงเถิงไม่กล้ามองตามใจอีก
เวลานี้เองมีอีกหนึ่งลำแสงมาจากที่ไกลออกไป ครั้งนี้ตกลงบนเวทีประลองบนยอดเขา ยืนอยู่ตรงข้ามมู่ชิงเกอ
พอรัศมีกระจายไปก็ปรากฎร่างคนคนหนึ่ง ต่อหน้ามู่ชิงเกอและคนอื่นๆ
คนผู้นี้ดูเป็นผู้คงแก่เรียน รูปร่างผอมบาง ดูแล้วราวกับบัณฑิตที่อ่อนปวกเปียก โดยเฉพาะเขายังมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์มาก
เขามัดผมยาวไว้ที่กลางศีรษะแล้วเกล้าเป็นมวย ใช้หวีขนนกสับไว้ ดูเรียบร้อยหมดจด สองแก้มนั้นยังมีลักยิ้ม สีหน้านุ่มนวล ไม่มีแววโหดเหี้ยมแม้แต่นิด
มู่ชิงเกอตกตะลึง รู้ลึกผิดคาดนิดๆ
‘เขาก็คือเซียนสุ่ยลำดับที่สามของสิบลูกศิษย์ใหญ่ เป็นคนที่สมชื่อมากจริงๆ ดูคนจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เลยจริงๆ’
ที่บอกว่าคนคนนี้สมดังชื่อก็หมายถึงหน้าตาเหมาะสมกับชื่อมาก งามอย่างนุ่มนิ่ม เป็นชายแท้ๆ แต่งามจนคนอยากคุ้มครองไว้ในอก ที่บอกว่าดูคนจากรูปลักษณ์ไม่ได้ก็หมายถึงคนที่ดูอ่อนปวกเปียก แต่ถึงขนาดเป็นลำดับที่สามของลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าแดนฮ่วนเยวี่ย ก็สามารถจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว
“สามน้อย…”
พอเขาปรากฎตัว เหล่าลูกศิษย์บนเขาเล็กที่ลอยอยู่ต่างก็ทักทาย และเมื่อเขาปรากฎตัวคนเก้าคนที่ยืนอยู่บนเขาเล็กที่ลอยอยู่ต่างหากต่างพากันยิ้มน้อยๆ
“พวกเจ้าว่า เจ้าสามจะจัดการได้ภายในกี่กระบวนท่า” สี่น้อยใช้สายตานึกสนุกกวาดผ่านคนข้างๆ ถามเช่นนี้
“สามกระบวนท่า” ห้าน้อยบอกทันที ไม่มีการลังเลแม้แต่นิด
ใหญ่น้อยยิ้มเหยียดที่มุมปาก พูดเรียบๆ ว่า “กระบวนท่าเดียวคงพอแล้ว”
สี่น้อยยิ้มไม่พูด ย้ายสายตาไปที่จวงซาน ถามว่า “เจ้าสิบ เจ้าคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินตํ่าคนนี้ เป็นคนที่เจ้าดูแล เจ้าคิดว่าเขาทนมือเจ้าสามได้กี่กระบวนท่า”
คำถามของเขาทำให้สายตาทุกคนต่างย้ายมาที่จวงซาน
แววตาจวงซานในส่วนลึกมีแสงวาบขึ้น เม้มปากไม่พูด
เห็นเขาไม่พูด คนอื่นมองเขาสักพักก็ละสายตา ยุติหัวข้อนี้
บนเวที เซียนสุ่ยยืนอยู่ตรงข้ามมู่ชิงเกอมองเขาด้วยความสนใจ สักครู่จึงเอ่ยปากว่า “คนหนุ่ม หล่อเหลา รูปงามชนิดยากที่จะได้พบเห็นจริงๆ”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว
มีคนท้าทายเขา เขากลับแสดงออกถึงอาการสงบสันติเช่นนี้ เพราะเชื่อมั่นตัวเองมากจนเกินไปหรือไม่คิดเลยว่าการท้าทายนี้เป็นเรื่องจริงจัง
“ศิษย์พี่เซียนสุ่ย พวกเราเริ่มเถอะ” มู่ชิงเกอไม่ได้คิดจะทักทายปราศรัยบอกทันที
“เจ้าดูรีบร้อนมาก” เซียนสุ่ยยิ้ม
รอยยิ้มของเขานั้นนิ่มนวลมาก ไม่มีความก้าวร้าวแม้เพียงนิดเดียว ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนปวกเปียก ไม่อยากทำร้าย
แต่ผู้เฒ่าลึกลับเคยบอกว่า เซียนสุ่ยลงมือแสนโหด ไม่เคยปล่อยให้คู่ต่อสู้มีโอกาสได้พักหายใจแม้ สักนิด…