ตอนที่ 588
สามน้อยฮ่วนเยวี่ย!
‘วังราชาเทวะ ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย!’ มู่ชิงเกอยืนอยู่บนเมฆมงคล ไม่ได้รู้สึกว่างเปล่าแต่อย่างใด กลับมั่นคงอย่างยิ่งราวกับเหยียบบนพื้นจริง
นางมองไปที่ยอดเขาสูงสุดในดินแดนฮ่วนเยวี่ย สถานที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด
ที่นั่นจะมีคนเช่นไรอาศัยอยู่นะ
เมื่อพบเขาแล้วจะเกิดเรื่องอะไรหรือไม่
ตนจะได้เป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าหรือไม่
เมฆมงคลนั้นลอยไวมาก เพียงพริบตาเดียว นางก็มองไม่เห็นเวทีประลองเบื้องหลังและเหล่าลูกศิษย์ที่มาชมการประลองเหล่านั้นแล้ว
เพียงพริบตาก็เข้าใกล้วังราชาเทวะทำให้นางสามารถเห็นพระราชวังที่ใหญ่โตโอฬาร สวย
งามอลังการยิ่งใหญ่ พระราชวังที่ขาวบริสุทธิ์ดังหิมะนี้ตั้งเด่นอยู่ในช่องเขาที่สลับซับซ้อนรวมกับยอดเขาโดยรอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ โอบอุ้มดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้ทั้งหมด เห็นความงามทั่วดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้หมดสิ้น
แน่นอน ที่นี่เป็นสถานที่ใจกลางพลังเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนฮ่วนเยวี่ย
เมฆมงคลนำมู่ชิงเกอมาถึงนอกตำหนักใหญ่ จนเมื่อสองเท้าของนางอยู่บนขั้นบันไดตำหนักหน้าแล้วจึงกระจายหายไป
มู่ชิงเกอค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ นางมองออกไปก็สามารถเห็นวังน้อยบนยอดเขาต่างๆ ที่คุ้มครองรอบๆ วังราชาเทวะได้วังน้อยสิบแห่งราวกับกลุ่มดาวล้อมเดือน ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขา ทะเลเมฆกระเพื่อมไหว อยู่เหนือฝุ่นผงธุลีดินทั้งปวง
พอละสายตาแล้ว มู่ชิงเกอก็สูดลมหายใจ ลึกๆ
‘ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยผู้นี้จะมองทะลุการปลอม แปลงของนางได้ในทันทีหรือไม่ แล้วจะเป็นหนึ่งในคู่แค้นตระกูลมู่หรือไม่’ มู่ชิงเกอถามตัวเองในใจ
เมื่อก่อนนี้ นางจมดิ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพื่อที่จะกลายเป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าให้ได้ แต่กลับลืมไปว่าการเป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากราชาเทวะก่อน
‘หากรู้แต่แรก ควรสอบถามจากราชครูก่อนจะได้เตรียมใจ’ มู่ชิงเกอไม่พอใจในความสะเพร่าของตัวเองอย่างยิ่ง
“ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้ามา”
ขณะที่นางกำลังลังเล ก็มีเสียงที่ไม่อาจต้านทานได้ดังออกมาจากในตำหนักทำลายความคิดคำนึงของนางลง
นางเพ่งสองตามองเข้าไปในตำหนัก แต่เมื่อยืนอยู่ที่นี่นางก็ไม่สามารถมองเห็นถึงสิ่งของภายในตำหนักได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน
‘ตบะบำเพ็ญของซือมั่วสูงมาก แม้กระทั่งในเผ่าเทพเองยังมีคู่ต่อกรเพียงไม่กี่คน ถึงแม้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจะเก่งกาจมากนัก ก็น่าจะดูไม่ออก’ มู่ชิงเกอ ปลอบใจตัวเองแล้วก้าวเท้าออกไป มุ่งไปยังตำหนักหน้า
ส่วนเรื่องตระกูลมู่ นางก็เพียงปากแข็งยืนยันว่าไม่รู้เรื่องตระกูลมู่ ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจะทำอะไรนางได้ อย่างมากก็ได้เพียงจับตามองด้วยความสงสัย ส่วนนางเองก็มีปัญญาหาวิธีกลบเกลื่อนกันไป
เข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว มู่ชิงเกอจึงได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของวังราชาเทวะ
ยังดีที่นางเคยไปวังไท่ฮวงของซือมั่ว เคยไปตำหนักจื่อเฉิน ตำหนักรกร้าง ทั้งยังวังซานไห่ของเขา นับว่าเป็นคนเคยเห็นโลกมาพอสมควรจึงไม่ได้แสดงท่าทีน่าขายหน้ามากเกินไปนัก
หลังจากมู่ชิงเกอเข้าไปแล้วเพียงใช้หางตากวาดมองการตกแต่งบริเวณรอบๆ แล้วก็มองไปยังชายสวมชุดม่วงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทวะ
เขาสูงใหญ่มากจริงๆ ถึงแม้จะนั่งอยู่ก็ยังทำให้คนรู้สึกถึงความสูงใหญ่ของเขา
อีกทั้ง ผมของเขายาวมาก ลื่นไหลสยายพาดอยู่บนบ่าลงมาตามแนวกระดูกสันหลังลงไปในช่องว่างระหว่างร่างกายกับพนักบัลลังก์
มู่ชิงเกอหยุดลง แต่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกลับเปิดปากอีกครั้งว่า “เดินเข้ามาใกล้อีก”
นัยน์ตามู่ชิงเกอเกิดประกาย เดินเข้าไปใกล้อีกอย่างเงียบเชียบ พอเดินเข้าไปใกล้แล้ว ใบหน้าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่ถูกซ่อนอยู่ในเงามืดได้ปรากฎออกมาอย่างชัดเจน
ครั้งแรกที่เห็น แววตาของมู่ชิงเกอก็ปรากฎความตกตะลึงกับความงามที่ได้เห็น
ผู้ชายตรงหน้านี้เป็นผู้ชายที่งามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นนอกจากซือมั่ว
ตาหงส์แคบยาวทั้งสองข้างมีแววเกียจคร้าน จากการมองโลกอันแสนน่าเบื่อริมฝีปากแดงสดราวกับเลือดยกขึ้นเล็กน้อย ชวนให้คนรู้สึกถึงรอยยิ้มที่แสนลึกลับ
เครื่องหน้าคมลึกดูโดดเด่นมาก โดยเฉพาะเวลานี้มีเงามืดตกลงบนองค์ประกอบพวกนั้นจึงยิ่งทำให้ดูมีแสงเงาชัดเจนราวกับรูปแกะสลัก
ชุดสีม่วงที่สวมเหมาะกับความลึกลับของเขามาก ให้ความรู้สึกที่เวิ้งว้าง เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ล่องลอยคล้ายไม่มีอยู่จริง
“พบข้าราชาเทวะแล้ว ทำไมจึงไม่ทำความเคารพ”
คำว่า ‘ข้าราชาเทวะ’ นี้ทำให้มู่ชิงเกอได้สติในทันที อาการตกตะลึงในความงามในดวงตาหายไปจนหมดสิ้น สองตากลับคืนสู่ความแจ่มใสและสงบนิ่งเช่นเดิม
นางหลุบตาลง ค่อยๆ ถอนเท้ากลับข้างหนึ่ง แล้วงอเข่าลง
นางทำความเคารพ แต่ไม่ได้คุกเข่าเต็มที่ เข่าที่งอนั้นไม่ได้แตะลงบนพื้น “มูชิงเกอคารวะราชา เทวะฮ่วนเยวี่ย”
มุมปากราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจน แววตาเกียจคร้านมองขาที่ไม่ได้คุกเข่าลงจริงๆ ของมู่ชิงเกอ “เจ้าหลอกลวงข้า”
“มิกล้า” มู่ชิงเกอตอบอย่างสบายๆ
“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่คุกเข่า” น้ำเสียงของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเต็มไปด้วยการครุ่นคิด ยากจะแยกออกว่า ขณะนี้เขากำลังเคืองโกรธหรือกระทั่งกำลังโมโหโกรธาอยู่
มู่ชิงเกอหลุบตาตอบ “ข้าเคยสาบาน สองขาข้านี้เพียงคุกเข่าให้บิดามารดา ปู่ อาจารย์และคนที่ ข้าเคารพเท่านั้น”
“อ้อ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น ถามว่า “ดังนั้น ข้าไม่จัดอยู่ในกลุ่มนั้นสินะ”
มู่ชิงเกอตอบว่า “ราชาเทวะเป็นมหาเทพ อยู่นอกภพภูมิ สามารถกำกฎบัญญัติฟ้าดินไว้ในอุ้งมือ ไยจะต้องยึดติดอยู่ในรูปแบบพิธีการของชาวโลกด้วยเล่า”
“หากข้ายืนยันจะให้เจ้าคุกเข่าเล่า” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพูด
มู่ชิงเกอใช้สายตาที่แจ่มใสไม่ได้กลัวเกรง แม้แต่น้อยมองตรงไปยังราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย นางสั่นศีรษะช้าๆ แสดงถึงการเลือกของตัวเองออกมา
นางไม่ได้แกล้งทำให้ตัวเองดูลึกลับ ทั้งไม่ใช่กลอุบายของนางด้วย แต่ขาทั้งคู่ของนางก็คือกระดูกสันหลังนาง ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้กระดูกสันหลังของนางไม่เคยงอมาก่อน
เวลานี้นางต้องพึ่งพิงดินแดนฮ่วนเยวี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้นางต้องคุกเข่าดังทาสได้
“ดื้อรั้นมาก” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพูดขึ้นมา
ทันใดนั้น เขายื่นมือคว้าออกไป กระดิ่งที่ผูกอยู่ที่เอวมู่ชิงเกอไว้หลุดจากตัวนางทันที มันบินไปทางราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
มู่ชิงเกอตกใจยื่นมือจะคว้าคืน แต่ก็ถูกสกัดโดยพลังสายหนึ่ง ทำให้กระเด็นกลับมา
“ของเล่นแบบนี้ก็ยังต้องพกไว้ติดตัวหรือ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
มู่ชิงเกอเคร่งเครียดขึ้นทันใด นางไม่แน่ใจถึงการกระทำของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยว่าจะมองทะลุถึงอะไรบ้างหรือไม่ “เพื่อนรักให้มา ไม่กล้าสูญหาย ยิ่งไม่กล้าทิ้งโดยไม่ใส่ใจ”
แสงสีทองวาดผ่านมา มู่ชิงเกอคว้าไว้กำกระดิ่งที่ถูกราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยขว้างกลับมาไว้ในมือ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยใช้มือยันศีรษะมองมู่ชิงเกออย่างเกียจคร้าน บอกเขาว่า “เจ้าหนู เจ้าฟังไว้ นะข้าไม่สนใจว่ามู่เจ้ากับมู่นั้นเกี่ยวอะไรกันหรือไม่ และไม่สนใจเป้าประสงค์ของเจ้า เพียงแค่เจ้าไม่ทรยศข้า ไม่ทรยศดินแดนฮ่วนเยวี่ยก็คือลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย จากนี้ไปเจ้าก็คือฮ่วนเยวี่ยสามน้อย หนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าของข้า”
มู่ชิงเกอเบิกตาโต ไม่อยากจะเชื่อว่าจะสามารถผ่านด่านได้ง่ายดายเช่นนี้
นางมองราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยแล้วแอบขมวดคิ้ว คนคนนี้เป็นคนที่สองที่นางเดาใจไม่ออก คนแรกคือซือมั่วซึ่งเวลานี้ไม่ทำให้นางต้องคิดมากอีกแล้ว แต่คนเบื้องหน้านี้…
“ไปเถอะ รอเซียนสุ่ยย้ายออกจากวังน้อยแล้ว เจ้าก็ค่อยเข้าไปอยู่ ในการบำเพ็ญหากพบสิ่งที่ไม่เข้าใจ และในดินแดนไม่มีใครช่วยไขข้อข้องใจให้ได้ทั้งยังเป็นเวลาที่อารมณ์ข้ายังดีอยู่ เจ้าก็สามารถมาหาข้าได้” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพูดเสร็จ เขายกมือโบกทีเดียวร่างของมู่ชิงเกอก็ถูกพัดออกจากวังราชาเทวะ
เมื่อนางยืนได้มั่นคงอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่หน้าถํ้าเดิมของตัวเอง
พอนางออกจากวังราชาเทวะแล้ว ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็เอ่ยปากพูดว่า ”ทีนี้ เจ้าพอใจแล้วหรือยัง”
ตำหนักใหญ่ว่างเปล่า เขากำลังคุยกับใครกัน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงในบ้านเล็กบนเขาที่คอยชี้แนะให้มู่ชิงเกอบำเพ็ญนั้นเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้ามาโดยไม่ได้กริ่งเกรงอะไรแม้แต่นิด
“พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความวุ่นวายในครั้งนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ผูกมิตรเอาไว้หน่อยก็น่าจะดีกว่า” ผู้เฒ่ามองราชาเทวะยิ้มๆ
“งั้นหรือ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรี่ตาพลางพึมพำ
ผู้เฒ่าเผ้าตะเกียงถอนหายใจ “ผ่านมากี่ปีแล้ว พวกเราต่างค้นหาก้าวสุดท้ายนั้น แต่ก็ไม่มีใครไปถึงได้ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะเป็นความหวังก็ได้”
“ความหวังหรือ จะสามารถเห็นได้ถึงความลี้ลับของก้าวนั้นจากตัวเขาได้จริงหรือ” สองตาของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยหรี่เล็กมากขึ้นอีก
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงสะบัดแขนเสื้อ “ก็ลองดู ไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่นา”
“ตระกูลมู่ครั้งนั้นถูกยกย่องว่ามีโอกาสมากที่สุดที่จะไปถึงก้าวนั้นได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังถูกกวาดล้างจนล่มสลาย เจ้ายังว่าเขาเป็นความหวังหรือ” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสั่นศีรษะช้าๆ
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับพูดว่า “ก็เพราะตระกูลมู่แต่ก่อนไม่มีอีกแล้ว เวลานี้จึงเหลือความหวังนี้ ให้เราเพียงแค่พิสูจน์ได้ว่าก้าวนั้นมีอยู่จริง พวกเราก็มีความหวัง มิฉะนั้นแล้ว พอถึงกำหนด พวกเราจะไม่มีใครหนีรอ ดไปได้”
“ลูกพี่” ถงเถิงเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่นอกถํ้าก็สะดุ้งเฮือก รีบเข้าไปถามว่า “ลูกพี่ ท่านไม่ใช่ไปพบ ราชาเทวะหรือ ทำไมอยู่ที่นี่เล่า”
“กลับมาแล้ว” มู่ชิงเกอตอบเรียบๆ
“กลับมาแล้ว ทำไมไวจัง” ถงเถิงเกาศีรษะ ถามอย่างตื่นเต้นว่า “ลูกพี่ ท่านบอกข้ามาเร็วว่าราชาเทวะเป็นอย่างไร สูงใหญ่สง่างามราวกับเทพไหม”
มู่ชิงเกอเหลือบมองเขา “มีสองตาหนึ่งปากเหมือนเจ้ากับข้า”
พูดจบ นางก็หันกายไปถํ้าของตัวเอง
ถงเถิงรู้ว่าหลังการต่อสู้ครั้งใหญ่ มู่ชิงเกอต้องการพักผ่อนจึงไม่ได้กวนเขาต่อ
กลับถึงถํ้า มู่ชิงเกอก็หลับตาลงใช้จิตเชื่อมต่อกับราชครู อยู่ที่นี่นางไม่กล้าเข้าไปในช่องว่างง่ายๆ เกรงว่าคนอื่นจะพบเห็นเข้า
‘ราชครู เวลานี้ข้าอยู่ขั้นถํ้าวิญญาณ เมื่อไรจึงจะมีตราทาส อีกทั้งคู่แค้นของตระกูลมู่มีใครบ้าง’ มู่ชิงเกอเรียกหา
สักพักเสียงของราชครูก็ปรากฎขึ้นในสมองของนาง ‘ยินดีกับนายน้อย เวลาสั้นๆ เพียงสองปีครึ่งก็สามารถเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณได้แล้ว มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์จริงๆ ตราทาสยังไม่ต้องรีบ รอให้นายน้อยทะลวงขอบเขตอีกหลายขั้น ตราทาสที่ปลูกในเวลานั้นจะมั่นคงยิ่งขึ้น ส่วนคู่แค้นของตระกูลมู่…นายน้อย ท่านยังต้องปกปิดฐานะตัวเองก่อนแล้วหาทางสืบหามู่เทียนอินจะต้องให้นายน้อยกับเขาชนะจนเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อท่านเป็นนายน้อยแท้จริงของตระกูลมู่แล้วข้าจึงจะเล่าเรื่องราวครั้งนั้นทั้งหมดให้ฟังได้ขอนายน้อยโปรด อภัยด้วย’
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ฝืนใจเขา นางจึงกล่าวว่า ‘ได้ ข้าไม่ฝืนใจเจ้า ขอถามเจ้า
เพียงคำถามเดียว ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยแห่งแผ่นดินเทพตะวันออก ครั้งนั้นได้เกี่ยวข้องกับเรื่องตระกูลมู่หรือไม่’
‘เปล่าขอรับ ครั้งนั้นสี่แดนเทพของแผ่นดินเทพตะวันออกมีเพียงราชาเทวะของแดนจั๋วอวี่เท่านั้นที่ร่วมด้วย แต่ราชาเทวะแดนจั๋วอวี่ครั้งนั้นได้ถูกบรรพบุรุษตระกูลมู่สังหารไปแล้ว นับว่าได้ล้างแค้นแล้ว’ ราชครูกล่าว
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า ‘ดี ข้ารู้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็บำเพ็ญอย่างสบายใจในช่องว่างเถอะ หากมีเรื่องราวอะไรจะติดต่อพวกเจ้าอีก’
‘นายน้อย ท่านอยู่ข้างนอกคนเดียวต้องระมัดระวังด้วย’ ราชครูกำชับแล้วจึงได้ถอยไป
มู่ชิงเกอจบการติดต่อกับราชครู ในเวลานั้นทั่วท้องฟ้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยก็มีเสียงประกาศ ‘สามน้อยฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอ พรุ่งนี้ย้ายเข้าวังน้อย…’
‘สามน้อยฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอ พรุ่งนี้ย้ายเข้าวังน้อย…’