ตอนที่ 589
ท่านเป็นใครกันแน่
“สามน้อยฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอ…” มู่ชิงเกอถอนสายตาที่มองขึ้นไปกลับมาพลางผ่อนลมหายใจยาว
เวลาที่เข้ามาในแผ่นดินเทพตะวันออกสองปีครึ่ง นางก็สามารถครองฐานะนี้ได้แล้ว
แต่… นี่ยังไม่พอ แววตามู่ชิงเกอกลายเป็นเร่าร้อนและแน่วแน่ขึ้นมา การได้ฐานะหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าแดนเทพเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่แผ่นดินเทพของนาง นี่เป็น
เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
“ลูกพี่ ลูกพี่ ศิษย์พี่จวงซานมาแล้ว”
นอกถํ้ามีเสียงถงเถิงดังเข้ามา
มู่ชิงเกอละสายตาพลางลุกขึ้นปัดชุดบนร่างแล้วเดินออกมานอกถํ้า
พอเดินออกจากถํ้านางก็เห็นจวงซานยืนอยู่กับถงเถิง ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือข้างกายจวงซานยังมีคนคุ้นเคยอีกหนึ่งคน มู่ชิงเกอตาเป็นประกายประสานมือสองข้าง เอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ศิษย์พี่จวงซาน ศิษย์พี่เฟิ่งซิ่ง”
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากนางเข้ามาในดินแดนฮ่วนเยวี่ย แล้วได้พบหน้าเฟิ่งซิ่ง ครั้งนั้นจวงซานบอกนางว่า เฟิ่งซิ่งปิดประตูบำเพ็ญเพื่อทะลวงขอบเขต ดูแล้วคงออกจากการบำเพ็ญแล้ว
เฟิ่งซิ่งเห็นมู่ชิงเกอก็ดีใจอย่างยิ่ง ผงกศีรษะยิ้มให้นางอย่างขี้อาย แววตาบริสุทธิ์เถรตรง
จวงซานมองมู่ชิงเกออย่างสะท้อนใจ “ตอนนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่แล้ว เรียกข้าว่าเจ้าสิบ ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้าสาม”
ถึงแม้เขารับปากมู่ชิงเกอว่าจะช่วยจัดการเรื่องการท้าทายให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเชื่อว่ามู่ชิงเกอจะชนะ
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง สร้างความเข้าใจใหม่ให้คนอีกนับไม่ถ้วน
มู่ชิงเกออมยิ้มสั่นศีรษะ “ในใจข้า ศิษย์พี่จวงซานเป็นศิษย์พี่จวงซานตลอดไป”
นางพูดจากใจจริง จวงซานเองก็ไม่พยายามฝืน ยิ้มน้อยๆ มองดูสองคนแล้วว่า “วันนี้พอดีเฟิ่งซิ่งออกจากการบำเพ็ญข้าเลยพาเขามาร่วมฉลองกับพวกเจ้าด้วย พรุ่งนี้เจ้าก็จะย้ายเข้าวังน้อยแล้ว ถํ้าที่นี่จะว่างลง เฟิ่งซิ่งจะย้ายเข้ามาเพื่อให้สะดวกในการดูแล”
“ขอบคุณที่ศิษย์พี่จวงซานเป็นห่วง ขอบคุณศิษย์พี่เฟิ่งซิ่ง ต่อไปก็ต้องรบกวนศิษย์พี่เฟิ่งซิ่งแล้ว” ถงเถิงรีบพูดอย่างลื่นไหล
การจัดการของจวงซานเช่นนี้ทำไปเพื่อดูแลใคร และเพื่อให้ใครวางใจไม่ว่ามู่ชิงเกอหรือถงเถิงต่างก็เข้าใจดี
ทั้งสองจึงซาบซึ้งใจมาก
“ขอบคุณศิษย์พี่จวงซานและศิษย์พี่เฟิ่งซิ่ง” มู่ชิงเกอเองก็พูดด้วย
ในวังน้อย นอกจากบรรดาสิบน้อยฮ่วนเยวี่ยแล้วลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้ นี่เป็นระเบียบ ดังนั้นถงเถิงไม่สามารถไปพร้อมกับมู่ชิงเกอได้ ในจุดนี้ทั้งคู่ต่างเข้าใจดี
ยังดีที่ถงเถิงก็เป็นคนปล่อยวางได้ไม่ใช่พวกขี้ตื๊อไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
การขอบคุณของทั้งสองคนยิ่งทำให้เฟิ่งซิ่งเขินมากขึ้น สองแก้มเขาแดงเรื่อพลางโบกมือไม่หยุด
จวงซานยิ้มแล้วมองมู่ชิงเกอว่า “ถึงแม้เจ้าชนะในครั้งนี้ แต่อย่าได้ประมาท ในครึ่งปีนี้ จะไม่มีใครทำให้เจ้ายุ่งยากได้ แต่หลังจากครึ่งปีก็ไม่แน่แล้ว!
“ขอบคุณที่ศิษย์พี่คอยเตือน” มู่ชิงเกอผงกศีรษะพูด
จวงซานพยักหน้าเบาๆ ยิ้มพูดว่า “วันนี้เป็นวันดี ข้าจะนำพวกเจ้าไปเมืองล่าง พวกเราสี่คนฉลองให้ชิงเกอหน่อย”
“ดีเลย” มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
“วันนี้ขอถลุงศิษย์พี่สักมื้อ” ถงเถิงเองก็หยอกล้อด้วย
คืนสุดท้ายที่พักในถํ้า มู่ชิงเกอได้พักผ่อนยังคงไปบ้านเล็กบนเขาคนเดียวเช่นเดิม
นางเดินไปตามทางเปลี่ยวเส้นนั้น ขณะที่ผ่านบึงเปลี่ยวนั้นมู่ชิงเกอก็ชะงัก เพราะริมบึงบนหินยักษ์นั้นมีเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนอยู่
รูปร่างผอมเพรียว เอวบางร่างน้อย ลมกลางคืนพัดผ้าแพรนางปลิวพลิ้วขึ้น ราวกับนางฟ้าที่กำลังจะเหินบินขึ้นไปตามสายลม
‘ซวนเฉียง?’ มู่ชิงเกอคิดในใจ
พบซวนเฉียงครั้งที่สองข้างบึงเปลี่ยว ครั้งนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้คิดจะทักทาย แต่การนั้นต้องผ่านข้างบึงเปลี่ยว คิดแล้วมู่ชิงเกอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผ่านไปอย่างสง่าผ่าเผย
จริงดังคาด พอนางเดินไปสายตาของซวนเฉียงก็มองมาที่นาง “เป็นเจ้าเองหรือ”
ครั้งนี้นางราวกับจำมู่ชิงเกอได้
มู่ชิงเกอหยุดเดิน สองมือประสานกัน ยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่”
สีหน้าซวนเฉียงยังคงเย็นชา นัยน์ตาที่สวยหยาดเยิ้มนิ่งเฉย ได้ยินคำมู่ชิงเกอแล้วริมฝีปากแดงก็เปิดออก “เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่ เรียกข้าเจ้าเจ็ดก็พอ”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ผงกศีรษะนิดๆ
“ครั้งที่แล้ว ข้าเคยพบเจ้าที่นี่ใช่ไหม” ทันใดนั้น ซวนเฉียงก็เอ่ยถาม
นํ้าเสียงนางทำให้มู่ชิงเกอมั่นใจในความคิดของตัวเอง ดูแล้วคืนนั้น ซวนเฉียงจำอะไรไม่ได้มาก สาเหตุที่นึกขึ้นได้เวลานี้ก็เพราะให้ความสนใจกับนางมาตลอดทั้งวัน บวกกับเหตุการณ์เดียวกันทำให้ความจำที่เลือนรางนั้นถูกปลุกให้ตื่น
มู่ชิงเกอผงกศีรษะยอมรับ “เคยบังเอิญพบกับเจ้าที่นี่ครั้งหนึ่ง”
“ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นเสี่ยวอิ่งแล้วจึงได้เข้าใจผิดสินะ” ซวนเฉียงบอกข้อวินิจฉัยของตัวเอง
มู่ชิงเกอผงกศีรษะอีก
แววตาที่เย็นชาจดจ้องที่มู่ชิงเกอสุดท้ายแล้วก็พูดเป็นคำเตือนว่า “อยู่ให้ห่างเสี่ยวอิ่งหน่อย”
นํ้าเสียงของนาง ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกอึดอัดนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ ถึงขนาดโมโห นางยิ้มออกมา แววตาขบขัน “เจ้าเจ็ด สบายใจได้ข้าไม่ได้สนใจนาง”
พูดจบ นางก็ยกมือลาแล้วหันตัวจากไป
ซวนเฉียงมองหลังมู่ชิงเกอขมวดคิ้วนิดๆ ผุดแววสงสัยในสายตา “เขาไปทางนั้น…”
เรื่องที่เจอซวนเฉียง หลังจากมู่ชิงเกอออกจากบึงเปลี่ยว แล้วก็ลืมไปจนสิ้น นางเดินไปตามทางบนเขา ค่อยๆ เข้าไปใกล้บ้านเล็กบนเขา
เมื่อมาถึงหน้าบ้านเล็ก มู่ชิงเกอก็ชะงักไป ใต้ชายคาบ้าน โต๊ะเล็กยังอยู่ ควันธูปยังลอยล่อง ที่นั่งกลมยังคงอยู่ แต่ผู้เฒ่าลึกลับกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ทุกคืนที่ขึ้นเขา มู่ชิงเกอจะเคยชินกับการที่ผู้เฒ่าคอยนางอยู่ที่นี่ อยู่ดีๆก็ไม่พบจึงรู้สึกไม่เคยชินนัก แต่คืนนี้นางตั้งใจจะมาสอบถามเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นถึงแม้คนไม่อยู่ นางก็จะคอย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินไปที่แท่นใต้ชายคา
นางไม่ได้เข้าไปในบ้าน เนื่องจากปัญญาเทวะบอกนางว่าในบ้านไม่มีคน
บนแท่นนั้น มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิบนที่นั่งกลมแล้วเข้าสู่สมาธิ ครั้งนี้นางเริ่มขับเคลื่อนพลังเทพในร่างกายบำเพ็ญโดยไม่มีผู้เฒ่าอยู่ข้างๆ
ขณะที่ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับมาจึงได้เห็นภาพนี้
การที่มู่ชิงเกอมาหาเขานั้นเป็นเรื่องที่คาดเอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะสามารถรอคอยเขาอย่างนิ่งสงบ คอยไปพลางบำเพ็ญไปพลางเช่นนี้ได้โดยที่จิตใจไม่ได้ถูกความกังวลรบกวนแม้แต่นิด
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเดินไปยังที่ที่เขานั่งอยู่เป็นประจำ เมื่อนั่งลงแล้วก็ไม่ได้รบกวน เพียงแค่รอคอยการบำเพ็ญของเขาด้วยแววตายิ้มแย้ม
อีกหนึ่งชั่วยาม มู่ชิงเกอก็ถอยออกจากการบำเพ็ญ เมื่อลืมตาขึ้นเห็นผู้เฒ่าปรากฎตัว นัยน์ตาที่แจ่มใสของนางก็ยังคงสงบนิ่งแล้วค้อมศีรษะให้เขา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะทำให้ข้าสามารถเอาชนะเซียนสุ่ยได้” มู่ชิงเกอเปิดปากพูด
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงโบกมือ ยิ้มว่า “เจ้าเซียนสุ่ยนิสัยเย่อหยิ่ง มีตบะบำเพ็ญดีมากตลอดมา ไม่เป็นการดีสำหรับเขา ได้รับอุปสรรคบ้างกับจะดีต่อเขา”
มู่ชิงเกอไม่ได้ออกความเห็นกับคำพูดของเขา
หยุดไปพักหนึ่ง นางก็ถามว่า “พรุ่งนี้ข้าจะต้องย้ายเข้าวังน้อย ผู้อาวุโสจะกำชับอะไรหรือไม่”
“เข้าวังน้อยแล้วอยู่ในสายตาราชาเทวะ คิดจะมาที่นี่ทุกคืนคงไม่สะดวกแล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพูดยิ้มๆ
มู่ชิงเกอผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
ถึงแม้ว่าไม่แน่ว่าราชาเทวะจะมีเวลามาสนใจนาง แต่ก็คงมีคนอื่นที่ไม่ชอบใจคอยเฝ้าดูการกระทำของนางอยู่ ผู้เฒ่าที่มีที่มาไม่ชัดเจนผู้นี้หากไม่อยากให้มีปัญหาก็จำเป็นต้องสอบถามบางเรื่องไว้ก่อน
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงช่วยข้า” มู่ชิงเกอถามปัญหาคาใจที่ทำให้นางสงสัยมานาน
“ข้าหรือ ข้าไม่ใช่บอกไปแล้วหรือว่าข้าเป็นเพียงคนว่างงานที่ไม่มีอะไรทำในดินแดนฮ่วนเยวี่ย ทำเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเท่านั้น” ผู้เฒ่ายิ้มออกมา
มู่ชิงเกอกลับยิ้มสั่นศีรษะ “ผู้อาวุโสอย่าได้ล้อเล่นเลย หากในดินแดนฮ่วนเยวี่ยแค่คนทำงานสัพเพเหระทั่วไปก็มีความสามารถระดับผู้อาวุโสเช่นนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว อีกสามดินแดนเทพคงนั่งกันไม่ติดแน่ๆ”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยกมือชี้นิ้วไปที่เขาพลางหัวเราะว่า “เจ้านี่บางครั้งก็คิดมากเกินไป จะเหนื่อยเอานะ”
“เคยชินแล้ว” มู่ชิงเกอตอบอย่างนิ่งเฉย
เคยชินแล้ว คำง่ายๆ สามคำเป็นการตอบผู้เฒ่า ทั้งยังหมายถึงสิ่งต่างๆ มากมาย
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนางเคยชินแล้ว
ได้ยินคำตอบของนางรอยยิ้มของผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงก็หายไป นัยน์ตาเฉลียวฉลาดเต็มไปด้วยความคิดที่สลับซับซ้อน สุดท้ายแล้วเขาก็ถอนใจบอกนางว่า “เจ้ามีโชคชะตาที่เหนือกว่าคนอื่น สิ่งที่ต้องแบกรับบนบ่า ย่อมต้องมากกว่าคนอื่น”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ ในจุดนี้นางเห็นด้วยอย่างยิ่ง ความสามารถและหน้าที่มักจะไปด้วยกัน
นางเลือกเส้นทางนี้ย่อมจะต้องทอดทิ้งบางอย่าง และต้องแบกรับบางอย่าง
“ผู้อาวุโสยังไม่ยอมบอกข้าว่าท่านใครหรือ” มู่ชิงเกอถามอีก
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงสั่นศีรษะช้าๆ ยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่ข้าไม่ยอมบอกเจ้า แต่ข้าในปัจจุบันนี้เป็นเพียงคนแก่ว่างงาน ดังที่เจ้าเห็นเท่านั้น”
มู่ชิงเกอเม้มปาก ไม่ถามต่อ
การที่ผู้เฒ่าไม่บอกย่อมต้องมีเหตุผลของเขา นางเชื่อว่าคงมีสักวันที่ตัวเองจะได้รู้ว่าผู้เฒ่าลึกลับคนนี้เป็นใคร
“เจ้าไปวังน้อยแล้ว คงไม่สะดวกที่จะมาที่นี่ได้บ่อยๆ แต่ว่าที่ควรสอนข้าก็ได้สอนไปหมดแล้ว เจ้าเองก็เรียนรู้ได้ดี ไม่มีข้าอยู่ข้างๆ ก็ยังบำเพ็ญได้ ดังนั้นสถานที่นี้ไม่มาก็ไม่เป็นไร ครึ่งปีที่ไม่มีใครรบกวน เจ้าจะต้องคว้าโอกาสบำเพ็ญทุกวันแล้ว ให้ไปนั่งที่หออาคมบ่อยๆ หากคิดถึงตาแก่คนนี้ก็มาเยี่ยมเยียนข้าบ้างก็พอแล้ว” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกำชับมู่ชิงเกอในเรื่องต่างๆ
เขากับมู่ชิงเกอต่างเข้าใจดีว่าการเป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ ใหญ่ตำหนักหน้าแทนที่เซียนสุ่ยนั้นยังไม่จบสิ้น การไม่ยอมรับจากลูกศิษย์อื่นๆ การท้าทายของเซียนสุ่ยอีกครึ่งปีต่างเร่งรัดมู่ชิงเกอให้ไม่อาจพักผ่อนแม้เพียงครู่เดียว
“ความเข้าใจของเจ้าสูงมาก ใช้เพียงสิบวันก็สามารถเข้าใจอาคมหาวหมางทำให้ข้าประหลาดใจนัก ในเวลาครึ่งปีนี้ เจ้าสามารถเข้าใจถึงอาคมได้ลึกซึ้งแค่ไหนนั้นข้าเองก็ตั้งตาคอยอย่างยิ่ง แต่ ครึ่งปีนั้นสั้นมาก รากวิญญาณเจ้ามีมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกชนิดที่พลังโจมตีสูงที่สุดหนึ่งหรือสองชนิด ที่เหลือทิ้งไว้ก่อนชั่วคราว’’ ผู้เฒ่ากล่าวอีก
มู่ชิงเกอฟังอย่างตั้งใจแล้วผงกศีรษะ
ไม่ว่าผู้เฒ่าเป็นใคร มีเป้าประสงค์อะไร คำชี้แนะของเขาล้วนมีประโยชน์ดังนั้น มู่ชิงเกอย่อมรับไว้อย่างถ่อมตนทั้งหมด
หลังจากผู้เฒ่ากำชับจบแล้ว มู่ชิงเกอก็ถามต่อว่า “ผู้อาวุโส การควบคุมอาคมไม่สามารถแยกออกจากรากวิญญาณได้หรือ ดังเช่นข้าไม่มีรากวิญญาณสายนํ้า ก็ไม่สามารถควบคุมกฎบัญญัติสายนํ้าได้เช่นนี้หรือ”