ตอนที่ 592
ต่อสู้กับเซียนสุ่ยอีกครั้ง
ยอดเขาที่ถูกปาดออกไปเป็นเวทีประลองมีคนสองคนยืนอยูที่นั่นอีกครั้ง
เช่นเดียวกับเมื่อครึ่งปีก่อน เพียงแต่คู่ต่อสู้ถูกสลับที่
ผู้ท้าประลองครั้งนั้นยืนอยู่ในที่ผู้ถูกท้าประลอง ส่วนผู้ถูกท้าประลองครั้งนั้นก็ยืนในที่ผู้ท้าประลอง
รอบเวทีประลอง เขาเล็กที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเหล่านั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนอยู่ ลูกศิษย์เสื้อเขียว ลูกศิษย์เสื้อขาว ลูกศิษย์ถ้ำวิญญาณ แม้กระทั่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าต่างมากันอย่างครบครัน
ถงเถิงได้เปลี่ยนจากลูกศิษย์เสื้อเขียวไปยืนร่วมกับเหล่าลูกศิษย์เสื้อขาว เขาใช้มือจับราวกั้นมองไปทางเวทีประลอง เชียร์มู่ชิงเกอในใจ
‘ลูกพี่ ลุยเลย ครั้งนี้จะต้องให้คนทั้งหมดยอมรับทั้งกายและใจให้ได้’
เขาเล็กลอยอยู่รอบๆ เวทีประลองสิบกว่าลูก ทุกลูกสามารถจุคนได้หลายร้อยคน เวลานี้นอกจากด้านสิบลูกศิษย์ใหญ่ที่ดูว่างๆ อยู่แล้ว เขาอื่นล้วนเบียดแน่นไปด้วยคนที่มาที่นี่ แม้ไม่ได้เป็นทั้งหมดของลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย แต่ก็มากันไม่น้อยเลย
คนอีกมากที่เบียดขึ้นมาไม่ได้ก็ได้แต่ชะเง้อมองจากเชิงเขาเพื่อรอฟังข่าว
กลุ่มคนที่เขาเล็กมีไม่น้อยที่กระเหี้ยนกระหือรือ อยากรอให้การต่อสู้ของมู่ชิงเกอกับเซียนสุ่ยเสร็จสิ้น แล้วหาโอกาสลงมือกับมู่ชิงเกอ
เนื่องจาก เทียบกับสิบลูกศิษย์ใหญ่คนอื่นๆ แล้ว มู่ชิงเกอเป็นลูกพลับที่บีบได้ง่ายที่สุด เมื่อชนะเขาแล้วก็สามารถได้ฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้ามาอย่างง่ายดาย
แต่จะต้องมีเงื่อนไขว่า มู่ชิงเกอจะต้องไม่พ่ายแพ้ต่อเซียนสุ่ย
มู่ชิงเกอต้องชนะพวกเขาจึงจะมีโอกาส หากแพ้แล้วเซียนสุ่ยก็จะได้ทุกอย่างกลับคืนพวกเขาก็หมดสิทธิ์
คิดถึงตรงนี้แล้ว คนไม่น้อยต่างตีอกชกหัว เจ็บใจหนักหนา
พวกเขาต่างนึกเสียดายว่าทำไมจึงไม่ว่องไวเหมือนเซียนสุ่ย หากชิงส่งหนังสือท้าทายให้มู่ชิงเกอล่วงหน้าก่อนก็ไม่ใช่จะได้มีโอกาสบ้างหรือ
“เฮ้อ ศิษย์พี่เซียนสุ่ยไวจริงๆ กำหนดครึ่งปีเพิ่งผ่านไป เขาก็ไปท้าทายแล้ว”
“นี่ก็เป็นธรรมดา สงสัยครึ่งปีนี้ศิษย์พี่เซียนสุ่ยคงจะคิดถึงวันนี้ทุกเวลา ดังนั้นพอเลยกำหนด เขาก็มาท้าทายทันที”
“เดิมข้ายังคิดว่าครั้งนี้จะมีโอกาสชิงตำแหน่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ พอศิษย์พี่เซียนสุ่ยออกมาพวกเราก็หมดหวังแล้ว “
“หวังหรือ ฮึ! ไม่เคยมีอยู่แล้ว แค่ความคิดเพ้อเจอในใจพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าหูตาลายก็เท่านั้น แหละ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าอย่างไรหรือ ยังไม่เข้าใจอีก พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าหากมู่ชิงเกอชนะศิษย์พี่เซียนสุ่ยอีก โอกาสที่พวกเจ้าชนะจะมีเท่าไรกันหากศิษย์พี่เซียนสุ่ยชนะแล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้ฐานะนี้เป็นของศิษย์พี่เซียนสุ่ย ช้าหรือเร็วเขาก็ต้องแย่งคืน”
“เจ้านี่ไม่ฉลาดเลย คราวก่อนที่มู่ชิงเกอชนะได้อาศัยโชคกับการลอบโจมตี เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี เขาจะก้าวหน้าไปได้ถึงไหนกัน ต่อให้มีพรสวรรค์สุดแสนก็ไม่สามารถชนะศิษย์พี่เซียนสุ่ยได้หากชนะก็คงเพราะใช้อุบายเล่นงานศิษย์พี่เซียนสุ่ย หากพวกเราไปท้าทายเขา ก็คงไม่สามารถใช้แผนการได้กับทุกคนแน่ ดังนั้นการที่พวกเราจะชนะเขาก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ถึงเวลานั้นแล้ว ใครในกลุ่มพวกเราได้ฐานะของเขาหากศิษย์พี่เซียนสุ่ย จะเอากลับคืนก็ต้องรออีกครึ่งปี ไม่ว่าอีกครึ่งปีจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ได้สุขสบายในฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ ตำหนักหน้าครึ่งปี อีกทั้งในอนาคตเมื่อพูดออกไปก็ยังได้หน้ามากอีกด้วย
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้แล้ว คนที่กระเหี้ยนกระหือรือยิ่งมีมากขึ้น
สวัสดิการดีเยี่ยมของสิบลูกศิษย์ใหญ่อีกทั้งฐานะที่สูงส่งทำให้พวกเขาไม่ว่าใครก็อยากไปลองต่อสู้ดู
หรือหมายความว่า หากการต่อสู้วันนี้มู่ชิงเกอไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งให้ปรากฎชัดเจนน่ากลัวว่าต่อไป เขาจะไม่มีวันที่สุขสงบได้อีก
แค่รับมือการท้าทายที่มาติดๆ กันก็จะทำให้เขาหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่สามารถบำเพ็ญได้เต็มที่
“พวกเจ้าว่าการต่อสู้วันนี้จะเป็นอย่างไร” บนเขาเล็กที่สิบลูกศิษย์ใหญ่อยู่นั้น สี่น้อยมือกอดอก ถามด้วยสายตาดูหมิ่น
ทกคนต่างได้รับยาจากมู่ชิงเกอ เวลานี้ยากที่จะพูดเรื่องที่ไม่น่าฟัง ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ผ่านไปสักพัก เจ็ดน้อยซวนเฉียงจึงพูดช้าๆ ว่า “ครึ่งปีนี้ ดูเขาสงบเสงี่ยมมากทีเดียว”
คำพูดนางทำให้ทุกคนเอ่ยปากขึ้น
ห้าน้อยพยักหน้า “ใช่เลย เดิมเข้าใจว่าพอเขาใช้อุบายจนได้ฐานะนี้มาก็คงจะเที่ยวไปอวดตัว ไม่คิดว่าครึ่งปีนี้จะออกจากเขาวังน้อย น้อยมาก ถึงแม้ออกไปก็ไปหออาคม เงียบจนข้าแทบจะลืมคนคนนี้ไปเลย”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
แม้แต่จวงซานเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วย เขาใกล้ชิดกับมู่ชิงเกอที่สุด รู้ว่านอกจากจะไปเยี่ยมถงเถิงในช่วงแรกเพียงสองครั้งและพอได้รู้ว่าถงเถิงกับเฟิ่งซิ่งอยู่ด้วยกันได้อย่างดีแล้วมู่ชิงเกอก็ใช้ชีวิตเพียงแค่สองที่เท่านั้น
จากเขาวังน้อยไปหออาคม จากหออาคมไปเขาวังน้อย
ในครึ่งปีนี้ เขาเห็นอีกฝ่ายเพียงสองครั้ง และทั้งสองครั้งต่างอยู่นอกถํ้าของถงเถิง
“ดูแล้ว เวลาครึ่งปีนี้เขาจะไม่ได้ทิ้งไปเปล่าๆ บำเพ็ญตลอดเวลา” ใหญ่น้อยหลีเฉาเปิดปาก แววตาที่เป็นประกายฉายแววครุ่นคิด
รองน้อยขมวดคิ้ว “”แต่ว่า ต่อให้ขยันเท่าไร มีพรสวรรค์เท่าไร เวลาครึ่งปีคิดจะเหนือกว่าเซียนสุ่ยจริงๆ ยังไม่น่าเป็นไปได้ การบำเพ็ญพันปีกับครึ่งปีไม่ใช่อาศัยแค่พรสวรรค์กับความขยันจะสามารถทดแทนกันได้”
พูดจบเขาก็สั่นศีรษะ ไม่ใช่เสียดายแทนมู่ชิงเกอ แต่รู้สึกว่ามู่ชิงเกอไม่สามารถชนะเซียนสุ่ยจริงๆ
“พูดเช่นนี้แล้ว หากเขายังพยายามกอดฐานะนี้ไว้แน่นก็ต้องใช้วิธีนอกลู่นอกทางแล้ว” หกน้อยพูดอย่างดูแคลน
ทุกคนนิ่งเงียบอีก จวงซานก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เนื่องจากภายในใจเขา มู่ชิงเกอที่เพิ่งอยู่ในขั้นถํ้าวิญญาณได้เพียงปีเดียว หากต้องต่อสู้กับเซียนสุ่ยจริงจัง ก็ไม่สามารถรับมือเซียนสุ่ยได้อยู่แล้ว
เงียบไปนานแล้ว ใหญ่น้อยจึงพูดอีกว่า “ความจริง อาศัยพรสวรรค์ทางด้านการปรุงยา ถึงแม้ไม่มีตำแหน่งสิบลูกศิษย์ใหญ่ก็ยังสามารถสั่นสะเทือนแผ่นดินเทพได้อยู่ดี”
ใช่แล้ว สามารถอาศัยการปรุงยาได้ แต่ก็ยังจะเลือกใช้ความแข็งแกร่ง เอาแต่ใจมาก
คำพูดของหลีเฉา ทุกคนต่างเห็นด้วย
ยาเม็ดชั้นมหาเทพ เชียวนะ
ในแผ่นดินเทพตะวันออก แม้กระทั่งแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรล้วนเป็นของหายากยิ่งนัก อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน มู่ชิงเกออายุเพียงน้อยนิดก็ประสบความสำเร็จเช่นนี้ในการปรุงยา หากโลกภายนอกรับรู้ก็มีโอกาสที่ชื่อเสียงจะโด่งดังไปทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร
เวลานี้ แววตาที่คนทั้งเก้ามองมู่ชิงเกอล้วนเปลี่ยนเป็นแบบเดียวกัน
นั่นคือ ‘ศิษย์น้องคนนี้เอาแต่ใจมากเกินไปแล้ว’
เสียงระฆังดังขึ้น หมายความการแข่งขันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ผ่านมาครึ่งปี ยังคงเป็นการต่อสู้ที่เห็นคนเป็นรองชัดเจน คนที่เป็นรองย่อมเป็นมู่ชิงเกอ ถึงอย่างไร พวกเขาก็รู้อยู่ว่าเซียนสุ่ยคงไม่โง่นัก ครึ่งปีก่อนถูกเล่นงานไปแล้ว อีกครึ่งปียังจะโดนอีกหรือ
บรรยากาศรอบๆ ทำให้ถงเถิงตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือที่จับราวกำแน่นโดยไม่รู้ตัวบ่งบอกถึงความตื่นเต้น
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่ง แตะไหล่เขา แล้วตบ เบาๆสองที
เขาหันมองไปก็พบว่าเป็นเฟิ่งซิ่งที่กำลังยิ้มให้ราวกับจะปลอบเขา
ครึ่งปีที่อยู่ด้วยกัน จากท่าทางของศิษย์พี่ที่พูดไม่ได้คนนี้เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ โดยปกติการสื่อสารง่ายๆ เขาสามารถรู้ได้
จากการแสดงออกของเฟิ่งซิ่ง มีเพียงเรื่องที่ซับซ้อน ไม่สามารถใช้อากัปกิริยาได้จึงจะใช้การถ่ายทอดเสียงแทน
การปลอบของเฟิ่งซิ่งทำให้ถงเถิงซาบซึ้งใจ เขาผงกศีรษะบอกเฟิ่งซิ่งว่า “ศิษย์พี่เฟิ่งซิ่งข้าไม่เป็นไร ข้าเชื่อลูกพี่ เขาจะต้องไม่แพ้”
นัยน์ตาที่ซื่อใสของเฟิ่งซิ่ง เปล่งประกายแวววับ อมยิ้มผงกศีรษะ
เขาเล็กลอยที่ห่างจากถงเถิงและเฟิ่งซิ่งไปอีกสี่ลูก ซวนอิ่งกับสวีปิงยืนอยู่ด้วยกัน พวกที่อยู่ด้วยกันทั้งหมดบนเขาเล็กลอยทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์หญิงของดินแดนฮ่วนเยวี่ย
พวกนางมีไม่น้อยที่สนับสนุนข้างเซียนสุ่ย
ครั้งที่แล้วเซียนสุ่ยแพ้พวกนางก็เสียใจกันอยู่นาน พวกนางนับนิ้วรอให้วันนี้มาถึงเช่นเดียวกัน
ครั้งนี้ศิษย์พี่เซียนสุ่ยต้องเอาชนะเจ้าไร้ยางอายนี่ได้แน่นอน อัดเขาให้หนักๆ เตะออกจากเขาวังน้อย เจ้าสามดินแดนฮ่วนเยวี่ยของพวกเราต้องเป็นศิษย์พี่เซียนสุ่ยเท่านั้น”
“ใช่ ถูกต้อง คนที่ชนะสุดท้ายจะต้องเป็นศิษย์พี่เซียนสุ่ย”
“ดูเจ้าไร้ยางอายคนนั้นสิ มีหนังหุ้มงามเสียเปล่า แต่ทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ ลอบทำร้ายศิษย์พี่เซียนสุ่ยเพื่อเอาชนะ ศิษย์พี่เซียนสุ่ยเราก็ใจกว้างยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ใจข้าแค้นแทนศิษย์พี่เซียนสุ่ยจริงๆ”
“พวกเราก็เช่นเดียวกัน”
“มา พวกเราช่วยกันเชียร์ศิษย์พี่เซียนสุ่ยกัน”
“ศิษย์พี่เซียนสุ่ยสุดยอด!”
“ศิษย์พี่เซียนสุ่ย แข็งแกร่งที่สุด!”
เสียงลูกศิษย์หญิงดังแว่วมาจากระยะไกล
บนเวที สายตามู่ชิงเกอกวาดไปยังจุดที่เกิดเสียงอย่างรวดเร็วแล้วมองเซียนสุ่ยอย่างหยอกล้อ “ศิษย์พี่เซียนสุ่ยเป็นที่ชื่นชอบมากทีเดียวนะ”
เซียนสุ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนบอกมู่ชิงเกอว่า “พวกศิษย์น้องทั้งหลายเล่นสนุกกันเท่านั้น”
ขณะที่พูดคำนี้ แววตายังออกอาการเอือมระอานิดๆ ไม่ใช่การเสแสร้งแต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ดูแล้วเขาเองก็เอือมระอากับพวกศิษย์น้องเหล่านี้จริง
ในกลุ่มลูกศิษย์หญิงซวนอิ่งโวยอย่างไม่พอใจ “เอะอะอะไรกัน หุบปากให้หมด!”
พอนางเอ่ยขึ้น พวกลูกศิษย์หญิงที่คอยเชียร์เซียนสุ่ยต่างก็เงียบลงในทันที ทุกคนมองนางอย่างขุ่นเคืองแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรพลางก้มศีรษะลง
ตบะบำเพ็ญของซวนอิ่งนั้นไม่เท่าไรนัก แต่มีพี่สาวที่แกร่งกล้ามากคนหนึ่ง
ดังนั้น เมื่ออยู่ในกลุ่มลูกศิษย์หญิงดินแดนฮ่วนเยวี่ยจึงนับได้ว่าเป็นระดับขาใหญ่ พอนางเอ่ยปาก ก็หยุดอาการชื่นชมของเหล่าลูกศิษย์หญิงได้ในทันที
พอรอบด้านเงียบก็แค่นเสียงฮึ มองไปที่สวีปิง แล้วนางก็พูดว่า “เจ้าก็รู้จักเจ้านั่นไม่ใช่หรือ ถึงแม้เจ้านั่นไร้น้ำใจต่อข้า แต่ไหนๆ ก็ถือว่ารู้จักกัน เจ้ากับข้าก็ช่วยเชียร์เขาหน่อย”
สวีปิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้วทันที ในใจไม่ยินดี นางเม้มปากแข็งใจบอกซวนอิ่งว่า “ศิษย์พี่ เริ่มต่อสู้กันแล้ว พวกเรารักษาความสงบดีกว่า อย่าไปรบกวนคนบนเวทีประลองเลย”
เหตุผลของนางทำให้ซวนอิ่งอ้าปากค้าง ตอบโต้ไม่ถูก ได้แต่จ้องนางแล้วยอมสงบลง
บนเวทีประลอง มู่ชิงเกอกับเซียนสุ่ยประจันหน้ากัน เซียนสุ่ยบอกมู่ชิงเกอว่า “กระบวนท่าเมื่อครึ่งปีก่อนใช้กับข้าไม่ได้อีกแล้ว หากในครึ่งปีนี้เจ้าไม่มีกระบวนท่าใหม่มาเล่นงานข้า วันนี้ข้าจะเอาทุกอย่างของข้ากลับคืน”